เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Somewhere only I knowsmotherf*ckinprincess
ในวันที่ชีวิตไม่ต้องการใครนอกจากตัวเอง
  • สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับมนุษย์ตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งที่ลืมตาดูโลกมาได้ไม่นานนัก 
    มันคงจะเป็นการยอมรับว่าตัวเองกำลัง  "ป่วย"  สินะ ..
    ใช่แล้ว .. เรากำลังป่วย ไม่ได้ป่วยกาย ไม่ได้กำลังเป็นโรคร้าย แต่กำลังป่วยใจอยู่

    เราไปพบจิตแพทย์เพียงลำพัง ไร้ญาติ ไร้เพื่อน แต่ที่แปลกคือไม่รู้สึกโกรธใครสักคนที่มาไม่ได้
    เรายินดีที่มันเป็นแบบนี้ เรายินดีที่ได้มาคนเดียว
    จากการบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้จิตแพทย์ฟัง 
    ก็ได้ผลสรุปมาว่า เรากำลังเข้าสู่ภาวะซึมเศร้า และต่อต้านสังคม

    ให้ตายเถอะ .. เคยได้ยินแต่คนพูดกัน โรคซึมเศร้า ๆๆๆ แต่มันเป็นยังไง เราก็ไม่รู้
    รู้อย่างเดียว รู้ว่าตัวเองไม่ไหวแล้ว ..


         ย้อนกลับไปเมื่อ 3 ปีที่แล้ว การเลิกกับแฟนคนแรกของชีวิตที่เรารักมาก มันส่งผลกระทบกับจิตใจของเราอย่างเงียบ ๆ แต่ว่ารุนแรง และต่อเนื่องยาวนาน เราสูญเสียสิ่งยึดเหนี่ยวในชีวิต เราไม่กิน เราไม่นอน เราเอาแต่ร้องไห้ แม้แต่ในขณะเผลอหลับไปจากอาการอ่อนล้า เราก็ยังคงร้องไห้ในความฝัน 
    เอาแต่โทษตัวเอง ถามคำถามกับตัวเอง ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ? เกิดอะไรขึ้น ? เราผิดตรงไหน ?
    สิ่งที่เราเป็นมันส่งผลกระทบกับทุกอย่างรอบตัว เราขาดเรียนอย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องการพบหน้าเพื่อนฝูงคนไหน ตัดขาดทุกความสัมพันธ์ แม้แต่กระทั่งความสัมพันธ์ที่สำคัญที่สุด  "ครอบครัว" แม่พยายามช่วยเราทุกวิถีทาง ลางานมาเพื่อเฝ้าเรา ไปส่งเราไปโรงเรียนเหมือนตอนเด็ก แต่มันยิ่งทำให้เราแย่ลง เรารู้สึกผิดมากกว่าเดิม รู้สึกว่าตัวเองเป็นตัวปัญหาที่ทำให้แม่ต้องเหนื่อยขนาดนี้ ในที่สุดคือเราพยายามฆ่าตัวตาย เพราะคิดว่า ถ้าเราไม่อยู่ แม่จะสบายกว่านี้แน่นอน

         เวลาผ่านไป อาศับความรักและความอดทนจากแม่ และขอบคุณที่ตอนนั้นตัวเองมีเพื่อนที่ดีเหลือเกิน ถึงแม้ว่าจะมีเพียง 3 คน ทุกคนอดทนกับเรา จนกระทั่งเรากลับมาเป็นคนเดิมอีกครั้ง เราร่าเริงแจ่มใส เรากลับมาเรียนได้ปกติ แต่ทุกอย่างไม่ได้เหมือนเดิมไปทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก ..

        แต่เรื่องราวมันไม่ได้แฮปปี้เอนดิ้งขนาดนั้นน่ะสิ .. อาการของเราที่กำลังดีขึ้น เหมือนบ้านหลังน้อยที่ค่อย ๆ ก่ออิฐสร้างกำแพง แต่แล้วก็ถูกรถเครนขนาดยักษ์พังทลายมันลงในพริบตาเดียว คืนหนึ่งในช่วงปิดเทอม เราไปกินเหล้ากับรุ่นพี่ที่สนิทและวางใจมาก เพราะเค้าเป็นคนปลอบใจเราตอนเราอกหักครั้งแรก คุยกันเรื่องเข้ามหาลัย ก็เมาได้ที่เลยแหละ ทุกคนเลยตกลงว่าจะไปส่งพี่เค้าที่บ้านก่อน เพราะเป็นทางผ่านกลับบ้านคนอื่นพอดี แล้วก็ด้วยความโง่ของเราเอง เราก็เฝ้าพี่เค้าเพราะพี่เค้าเมามาก จนสุดท้ายเผลอหลับไป รู้สึกตัวอีกทีคือตัวเองอยู่ในสภาพ เปลือยครึ่งท่อน กางเกงข้างล่างถูกถอดออกจนหมด และถูกสอดใส่โดยอวัยวะเพศของคนที่เราไว้ใจคนนั้น
        เราตกใจมาก ทำอะไรไม่ถูก กรี๊ดลั่นและพยายามควานหากางเกงของตัวเอง และดันไปเจอโทรศัพท์มือถือของพี่เค้่วางอยู่บนเตียงด้วย เราเลยรีบใส่กางเกง คว้าโทรศัพท์ของพี่เค้าที่ไม่น่ามาอยู่บนเตียง หยิบของของเราและวิ่งออกจากบ้านเค้าให้เร็วที่สุด
        พอเรากลับมาถึงหอตัวเอง เรารีบเปิดดูโทรศัพท์ของพี่เค้าและพบว่าตนเองถูกถ่ายรูปไว้ เรารีบโทรหาเพื่อนสนิทของเราทันทีและเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้เพื่อนฟัง เพื่อนพยายามปลอบใจอย่างเต็มที่และเสนอให้แจ้งตำรวจ แต่ก็ด้วยความกลัวของเราเองแหละที่ไม่ทำแบบนั้น เราเลือกที่จะโยนโทรศัพท์ของพี่เค้าทิ้งน้ำไปและตัดสินใจลืมเหตุการณ์ทั้งหมด และพยายามเดินหน้าต่อไปถึงแม้ว่าตอนนั้นจิตวิญญานของเราหรือแม้แต่กระทั่งเหตุผลของการมีชีวิตอยู่มันจะเหลืออยู่น้อยเต็มที

         เรากลายเป็นคนชอบเก็บตัวมากขึ้นกว่าเดิม กลายเป็นคนไปไหนมาไหนคนเดียวได้โดยไม่ต้องพึ่งพาใคร จะบอกว่าไม่ต้องพึ่งพาก็ไม่ถูกนะ .. เรียกได้ว่าไม่ต้องการการพึ่งพาใครเลยดีกว่า เราดูหนังคนเดียวทั้งที่เมื่อก่อนไม่เคยเลย จาก 1 เรื่อง เป็น 2 เรื่อง 3 เรื่อง .. จนกระทั่งรักการดูหนังคนเดียว เราไปกินข้าวคนเดียว กินหมูจุ่ม หมูกระทะคนเดียว เราปฏิเสธทุกคนที่พยายามเข้ามายุ่งย่ามกับชีวิตของเรา มีคนเดียวที่เรายอมไปกินข้าว ช็อปปิ้งด้วย ตอนนั้นก็คือ แม่

        ในที่สุดวันที่เราสอบติดมหาวิทยาลัยก็มาถึง เราดีใจยกใหญ่ แม่ก็ดีใจกับเรา เราติดมหาวิทยาลัยต่างจังหวัด ซึ่งแม่กับเราก็ดีใจมากขึ้นไปอีก เพราะเราจะได้ไปจากสังคมใหญ่ที่ทำให้เราชีวิตพังสักที 
    แต่แล้วเหตุการณ์บ้า ๆ ก็เกิดขึ้น ..

    เพื่อนสนิทของเรา .. เสียชีวิต จากอุบัติเหตุรถชน หลังจากที่เราย้ายมามหาวิทยาลัยได้แค่วันเดียว

    ความเศร้ากลับเข้ามาในชีวิตของเราอีกครั้ง เราโทษตัวเอง ถึงแม้ว่าใครต่อใครจะบอกว่าไม่ใช่ความผิดของเรา แต่เรากลับรู้สึกว่าทำไมเราไม่สามารถทำอะไรให้ดีกว่านี้ได้ ทำไมเราช่วยเพื่อนเราไว้ไม่ได้เลย
    แต่โชคยังดีที่ความเศร้าครั้งนี้ส่งผลไม่รุนแรงนัก เพราะเราเจอทั้งกิจกรรมมหาวิทยาลัย การปรับตัวต่าง ๆ มากมาย ยังพอช่วยเหลือเราให้หลุดออกมาได้

    แต่มันดันตอกย้ำอาการต่อต้านสังคมของเราให้มันมากกว่าเดิม ..
    เราเริ่มมีปัญหาในเรื่องความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ไม่สามารถทำความรู้จักกับเพื่อนจำนวนมาก ๆ ได้
    คนอื่นเค้ามีกลุ่มก้อนกันเป็น 8-10 คน แต่เรากลับรู้จักเพื่อนเพียงแค่ 3-4 คนเท่านั้น
    และอาศัยการนั่งร่วมวงสนทนากับคนกลุ่มใหญ่เพื่อให้ตามเพื่อนคนอื่นทัน
    เราพบว่าตนเองไม่ต้องการมีความสัมพันธ์เชิงลึกกับใครเลย สามารถทำความรู้จักผู้คนอย่างผิวเผินได้
    แต่ถ้าหากทำความรู้จักและเริ่มมีความผูกพันธ์เข้ามาเกี่ยวข้อง สมองจะสั่งให้เราถอยออกมาทันที

    เราใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยโดยมีเพื่อนเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ที่มีความสัมพันธ์แบบหลวม ๆ ประมาณ 15 คน
    แล้วไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลอะไร เกิดการทะเลาะกันขึ้น กลุ่มใหญ่แตกกระจาย
    จนเหลือพวกเราอยู่ 8 คน ตอนนั้นเองความไม่ไว้วางใจกลับเข้ามาจู่โจมเราอีกครั้ง มันมาพร้อมกับความรู้สึกผิดที่ว่า .. ทะเลาะกันเพราะเรารึเปล่า ..

    เราเองก็ไม่ได้เป็นคนนิสัยดีซักเท่าไหร่ซะด้วยสิ อาการใจร้อนที่แก้ไม่หาย บวกกับนิสัยที่ชอประเมิณผลทุกอย่างรอบตัวของเราคงไม่ส่งผลดีกับใครอย่างแน่นอน (ถ้านึกไม่ออกให้นึกถึง Disgust สีเขียว ใน Inside out)

    เราก็พยายามใช้ชีวิตในกลุ่มที่เหลือ 8 คนของเราต่อไป 
    แต่ในที่สุด เดาสิ เกิดอะไรขึ้น ..
    ใช่แล้ว พวกเราทะเลาะกันอีกครั้ง
    ครั้งนี้มันเป็นความผิดของเราเอง ความผิดของเราทั้งหมด
    พวกเราแยกตัวออกมากัน 3 คน ครั้งนี้เราไม่เชื่อในความสัมพันธ์อะไรอีกแล้ว
    เรามองเห็นแต่ข้อเสียของคนรอบตัว เราไม่ต้องการมีความผูกพันธ์ใด ๆ ร่วมกับคนพวกนี้อีกแล้ว
    เราขอแค่คบเพียงเพื่อให้การเรียนในมหาวิทยาลัยของเราผ่านพ้นไปก็พอ
    เราอดทนมาตลอด  ถึงแม้ว่าทัศนคติของเพื่อนเราจะตรงข้ามกับเราแค่ไหน
    เราก็เก็บไว้ในใจ ก้มหน้าก้มตาฟังไป
    ถึงแม้เพื่อนเราจะเคยหลุดปากออกมาว่า คนที่มีชีวิตแบบเรานั้นช่างไร้ค่าเหลือเกิน
    เราได้แต่เก็บความเสียใจนั้นไว้อย่างเงียบ ๆ

        เรื่องราวมันแย่ลงเรื่อย ๆ เพราะทุกคนในกลุ่มต่างก็ใช้ความสนิทกันมาทำร้ายกัน ความเกรงใจหมดไป กลายเป็นทุกคนทำอะไรตามใจตนเอง หลายครั้งที่จิตใจเราถูกบั่นทอนด้วยคำพูดและการกระทำอย่างโหดร้าย เราเหนื่อยมาก ได้แต่ทนเก็บไว้ กลับมาร้องไห้กับตัวเองทุกวัน ว่าทำไมเราต้องมาเจอกับอะไรแบบนี้ 
    และแล้วความต้องการที่จะฆ่าตัวตายก็กลับมาอีกครั้ง อาจเป็นเพราะเรารักตัวเองมาก เราจึงไม่อาจทนเห็นตัวเองทุกทรมานได้มากกว่านี้อีกแล้ว เราจินตนาการถึงความตายสารพัด ความเครียด ความทุกข์เริ่มเข้ามาเกาะกินจิตใจ เรามองไม่เห็นความดีในตัวผู้คนอีกแล้ว เราเกลียดทุกคนที่พยายามทำดีกับเรา เรามองเห็นเพียงแค่ความจอมปลอมในสายตาของคนพวกนั้น เราคิดอย่างเดียวว่า อยากให้ตัวเองหายไปจากที่บ้า ๆ แบบนี้

    อาการนี้มันมากขึ้นเรื่อย ๆ จนวันที่เราไปแตะต้องกับเพื่อนเก่าอย่างแอลกอฮอลล์
    ความยับยั้งชั่งใจหายไป ความอดทนหมดสิ้น .. ถึงเวลาบอกให้โลกรับรู้แล้ว

    เราอาละวาดหนักมากจนเหมือนคนบ้า เราทำร้ายร่างกายเพื่อนรอบตัวทุกคนที่พยายามเข้ามาจับเรา
    ทำทุกอย่างเท่าที่คนตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งจะทำได้ ตบ เตะ จิก ต่อย ทึ้งหัว
    ด้วยแรงเหวี่ยงของแอลกอฮอลล์ แต่ทว่าไม่มากพอให้เราเมาจนหลับไป
    เราพยายามสื่อสารความอัดอั้นตันใจ ความทุกข์ ความเกลียดที่เกาะกินจิตใจเรา
    เราเมา แต่ไม่ได้เมาจนกระทำสิ่งใดไปโดยขาดสติ ทุกการกระทำผ่านการกลั่นกลองมาจากสมองและจิตใจ เราไม่ได้ต้องการใครเลย ไม่ต้องการให้ใครเข้าใจ ที่เราพอจะสื่อสารออกไปได้ในตอนนั้น
    ก็คือ  "อย่ายุ่งกับเรา"  "ไปไกล ๆ"  "เราทนไม่ไหวแล้ว"
    ถึงแม้ว่าใครจะพยายามพูดกับเรา จับเราไว้แค่ไหน
    ความต้องการของเราจริง ๆ นั้นมีแค่ ปลดปล่อยตัวเองออกจากพันธนาการแห่งความทุกข์ทนนี้

    หลังจากเหตุการณ์ "ปล่อยผี" (ตั้งชื่อขำ ๆ ให้ตัวเอง) ผ่านไป เราพบว่าตัวเองไม่กลับมาเป็นปกติอีกเลย ความเกลียดชัง ปนกับความทุกข์ระทมรุนแรงขึ้นในจิตใจเรา ยิ่งทุกคนพยายามถามเรา พยายามอยากได้ความจริงจากเราเท่าไหร่ เรายิ่งไม่พอใจ .. ขอร้องเถอะ .. เลิกยุ่งกับเราสักที ..
    ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงรู้สึกแบบนี้ แต่เราไม่ต้องการเป็นเพื่อนกับใครอีกแล้ว
    เราปิดกั้นตนเอง หลบอยู่หลังหน้าจอคอมพิวเตอร์ ปฏิเสธทุกคน ด้วยคำพูดง่าย ๆ ว่า "เราไม่เป็นไรแล้ว เราสบายดี" ขังตัวเองไว้ในห้อง ไม่ออกไปไหนเลยนอกจากซื้ออาหารประทังชีวิตตนเอง นอนวันละ 10 ชั่วโมง ตื่นขึ้นมาทำกิจวัตรประจำวัน และดูหนังฟังเพลงตามใจตนเองไป หาอะไรทำในห้อง ไม่ออกไปพบปะผู้คนเป็นเวลายาวนานมากกว่า 1 อาทิตย์
         เราไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้อีกแล้ว บางครั้งที่ความเศร้าเข้ามาจู่โจม เราพบว่าตัวเองร้องไห้แทบขาดใจ บางครั้งที่ความโกรธเข้ามาจู่โจม เราพบว่าตัวเองโกรธจนมือสั่นตาลาย หรือแม้แต่ความสุขที่เข้ามาในบางครั้ง เราก็ไม่สามารถยิ้มหรือหัวเราะได้อย่างจริงใจอีกแล้ว 
    เสียงปีศาจโผล่เข้ามาในหัวของเรา ครั้งนี้มันดังก้องกว่าที่เคย 

              "แกไม่สงสารตัวเองเหรอ หยุดความน่าสมเพชนี่ซะ แกรู้ใช่มั้ยว่าต้องทำยังไง.."

    เราโทรไปขอความช่วยเหลือจากแม่อย่างรวดเร็ว ก่อนที่ตัวเองจะเชื่อปีศาจนั้นจริง ๆ
    แม่ได้เดินทางมาหาเราอีกครั้ง พร้อมกับขอร้องให้เราไปพบจิตแพทย์ ..
    สภาพของเราตอนนั้นย่ำแย่มาก อืมมม .. เราสำรวจตัวเอง

              .. เราไม่ไหวแล้วจริง ๆ ..
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in