คำเตือน - เรื่องสั้นต่อไปนี้ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับภาพยนตร์ Star Wars: The Last Jedi แต่ระหว่างบรรทัดกลับแฝงความนัย ควรได้ชมภาพยนตร์ข้างต้นก่อนจะเป็นการประเสริฐยิ่ง
_________________
เจ้าสำนักชรากำลังนั่งเหม่อลอยอยู่อย่างเดียวดายบนเทือกเขาสูง ดวงอาทิตย์กลมโตสีส้มเจียนแตะขอบน้ำทะเลเบื้องหน้า จิตประหวัดย้อนถึงอดีตอันไกลโพ้น ในสนามรบและกลิ่นคาวเลือดที่ห่างไกลจากเกาะอันสันโดษนี้ราวกับเป็นดาวคนละดวง
ชั่ววูบหนึ่ง เทียนกงเส้า อดีตมือกระบี่อันดับหนึ่งของแผ่นดินผู้นี้ คล้ายเกิดนิมิตที่แจ่มชัดแลเห็นดวงตะวันซ้อนกันสองดวง "หรือศิษย์ทั้งสองของเรากำลังเผชิญหน้ากันอีกแล้ว"
_________________
โกวเนี้ยแปลกหน้านางหนึ่งมาเรียกขานเขาที่หน้าเรือนชานเมื่อไม่กี่เดือนก่อน นอกจากเพลงกระบี่ย่ำนภาอันเกรียงไกรที่สืบทอดมาในสายโลหิด แต่เทียนกงเส่าผู้นี้ยังถึงขั้นหยั่งรู้ฟ้าดิน มีหรือจะมิอาจทราบว่าโกวเนี้ยน้อยผู้นี้มาเยือนเขาด้วยเหตุใด แต่แม้ว่าจะสัมผัสได้ถึงพรสวรรค์และสัดส่วนที่เหมาะเหม็งกับเพลงกระบี่ย่ำนภา เขาก็ปฏิเสธที่จะถ่ายทอดวิชาให้กวงโกวเน้ียผู้นี้อยู่เนิ่นนาน ถึงกับเพิกเฉยไม่เหลียวแลนางซึ่งนั่งคุกเข่าอยู่หน้ากุฏิของเขาอยู่ สามวันสามคืนในฝนที่โหมหนัก เขารู้ได้โดยตบะอันแรงกล้าว่านางยังคงอยู่ตรงนั้นเพื่อรอคอยคำตอบที่เขาไม่เคยให้
ในค่ำคืนที่สี่ นกพิราบสีขาวตัวหนึ่ง บินข้ามทะเลมาร่อนลงที่อารามแห่งนี้ ที่ขาของนกพิราบตัวนี้ ผูกไว้ด้วยกระดาษเล็กๆ สีขาวหม่นๆ แผ่นหนึ่ง ถ้ามันเป็นนกพิราบสามัญทั่วไป คงใช้เวลามากกว่าสองเดือน แต่นกพิราบตัวนี้เป็นนกที่ถูกฝึกมาเป็นการพิเศษ แต่ละวันมันได้รับอาหารที่ปรุงขึ้นเป็นอย่างดีเพื่อบำรุงกล้ามเนื้อ สายตาของมันสามารถมองเห็นเข็มที่ร่วงหล่นลงในนาข้าวกว่าหนึ่งร้อยไร่ วันหนึ่งมันสามารถบินได้ไกลกว่าสองพันโยชน์ มิคาดคิดว่าเมื่อถึงที่หมาย มันยังถึงกับล้มลงตาย
มือกระบี่เดียวดายแกะกระดาษแผ่นนั้นขึ้นด้วยมือที่สั่นเทา ข้อความจากอดีตเตือนให้เขาได้สำนึกสิ่งที่สำคัญบางอย่าง เขาเปิดประตูออกไปและกล่าวกับแม่นางที่นั่งตัวสั่นตากฝนอยู่เบื้องนอก
"เอาเถิด เจ้าจงไปพักผ่อนเถิด เพื่อว่าพรุ่งนี้เช้าจะได้มีเรี่ยวแรงมาร่ำเรียนวิชาของสำนักย่ำนภา"
_________________
"ซือแป๋ เมื่อสิบเดือนก่อน ศิษย์ได้เผชิญหน้ากับซือเฮีย" มือกระบี่เดียวดายทำหน้านิ่งเฉยเมื่อได้ยินคำกล่าวอ้างถึงศิษย์ทรยศของสำนักผู้นี้ แต่กระนั่น ถ้วยสุราชั้นดีในมือถึงกับถูกบีบแหลกละเอียดไปโดยไม่ทันรู้ตัว
"จอมยุทธ์แซ่ไคผู้นั้นฝีมือกล้าแข็งยิ่ง แถมยังมีจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต แล้วเจ้าหนีรอดมาได้อย่างไร" เทียนกงเส่ากลับไม่ยอมเรียกขานคนแซ่ไคผู้นี้ว่าเป็นศิษย์ เพราะนอกจากมันจะทำร้ายตนผู้เป็นอาจารย์แล้ว มันยังบังอาจสังหารบิดาของตนเองไปได้
แต่ความชั่วโฉดของจอมยุทธ์กระบี่แดงแซ่ไคที่ไม่ว่าจอมยุทธฝ่ายธรรมะผู้ใดได้ยินก็ล้วนตบโต๊ะด้วยความเคียดแค้น คือการที่มันไปก้มหัวให้กับอ๋องซาโนกผู้ชั่วร้ายจากแดนไกลที่ทำการปกครองผู้คนในเมืองของตนด้วยกำลังแสนยานุภาพทางการรบและความรุนแรงที่เกินจากศีลธรรมและจินตนาการของมนุษย์โดยทั่วไป จนทำให้เกิดชาวบ้านจำนวนหนึ่งรวมพลังกันก่อกบฎ แต่แม้คนส่วนใหญ่จะแอบเห็นด้วย แต่ก็มิกล้ามาเข้าร่วมกับฝ่ายกบฏนี้เนื่องจากกริ่งเกรงในความป่าเถื่อนของอ๋องซาโนก
"ศิษย์บังเอิญเหวี่ยงกระบี่ไปมาเพื่อป้องกันตัว โชคดีที่ซือเฮียจู่ๆ ก็เกิดอาการประหลาด หน้าแดงก่ำหายใจติดขัดจนล้มลง ศิษย์จึงได้จังหวะหลบหนีออกมา"
"ที่เจ้าว่ามา คล้ายกับจะเป็นอาการลมปรานย้อนกลับ มิคาดคนแซ่ไคผู้นี้ยังมีความสับสนขาดความแน่ชัดในการกระทำของตนเอง"
"จริงอยู่ ก่อนหน้าที่ศิษย์จะทันหนีออกมา กลับได้สนทนากับซือเฮียอยู่บ้าง ศิษย์พบว่าซือเฮียไคยังมีความดีหลงเหลืออยู่ เพียงแต่ความเลวร้ายในปัจจุบันนี้เป็นเพียงหน้ากากเพื่อปิดบังอดีตที่เจ็บปวดบางอย่าง"
"เจ้าคิดจะไปกล่อมเกลาจิตใจของมันหรือ?"
"ศิษย์เชื่อว่านั่นย่อมทำได้"
"เหลวไหล! ความดีเลวมีเส้นแบ่งในตัว ไอ้เจ้าโจรกระบี่แดงแซ่ไคผู้นี้ ถ้าได้พบมันอีก ต้องสังหารทันที นอกจากจะเป็นการกอบกู้ชื่อเสียงของสำนักย่ำนภาแล้ว ยังเป็นการช่วยยุทธภพไปพร้อมกัน"
"รับทราบ" ศิษย์สาวก้มหน้ารับคำ แม้จะมีความหวาดหวั่นหวิวไหวในใจนาง ความรู้สึกนี้มิได้เกิดจากการยำเกรงในเพลงดาบสังหารอันโหดเหี้ยมของจอมยุทธ์กระบี่แดง แต่นางเกิดความรู้สึกแปลกๆ มาตั้งแต่ต่อสู้ที่ดุเดือดครั้งนั้น บางครั้ง อาจเป็นเพราะการที่นางและซือเฮียผู้นี้เกิดประทะฝ่ามือกันไปครั้งหนึ่ง นางเป็นเด็กกำพร้าที่โตมาโดยลำพังและไม่เคยได้สัมผัสกับชายใดมาก่อน คาดไม่ถึงเพียงครั้งแรกที่เปิดตัวสู่ยุทธภพก็ได้ต่อสู้ถึงเนื้อถึงตัวกับบุรุษผู้ถือกระบี่สี่แดงอันน่าเกรงขามผู้นั้น
ด้วยความเป็นอิสตรี นางมีสัมผัสพิเศษบางอย่างว่าจอมยุทธกระบี่แดง ก็มีความรู้สึกคล้ายกันกับตัวนางเอง ที่นางมิอาจรู้ได้คือ ผู้แซ่ไค ตั้งแต่เล็กได้ถูกบิดาและมารดาฝากเข้าสำนักย่ำนภา มาฝึกปรือกับเทียนกงเส่า ผู้มีศักดิ์เป็นโป๋โป่ของมันเอง สำนักนี้อยู่เร้นลับห่างไกล ฝึกตนปฏิบัติเคร่งครัด มีนางชีทำอาหารให้ทานซึ่งล้วนประกอบด้วยเต้าหู้และผักสด ว่างเว้นการประเวณีทุกรูปแบบ เมื่อจอมยุทธ์กระบี่แดงทำการทรยศต่อสำนัก ก็ได้ไปเป็นมือสังหารให้อ๋องซาโนก วันหนึ่งๆ มิเคยมีเวลาได้ยุ่งเกี่ยวกับสตรีเพศ หากไม่นับมารดาของมันแล้ว นางเป็นหญิงผู้เดียวที่เขาเคยได้แตะเนื้อต้องตัว
จนสิบเดือนผ่านไป ใจของจอมยุทธ์กระบี่แดงเกิดความสับสนวุ่นวาย ทุกเวลาที่ว่างเว้นจากการสู้รบ มันก็คำนึงถึงโกวเนี้ยแซ่กวงผู้เคยเอาชนะมันได้ในป่าไผ่แห่งนั้น มันเชื่อว่านางเกิดความรู้สึกบางอย่างระหว่างที่สู้กัน ยิ่งสู้มันยิ่งสำเหนียกว่าจิตสังหารของนางลดลงเรื่อยๆ ส่วนตัวมันเองกลับเกิดวอกแวก เกิดความรู้สึกสามัญของชายหนุ่มทั่วไปขณะเดินลมปราณในการต่อสู้ จึงเกิดการตีกลับ ยังผลให้ร่างกายบอบช้ำอย่างรุนแรง นับว่าฟ้าปราณีที่กวงโกวเนี้ยไม่อาจตัดใจประหัดประหารชีวิตของมันทิ้งไปแต่ครั้งนั้น
แต่พอได้ข่าวว่านางเข้าสังกัดสำนักย่ำนภาแล้วมันยิ่งครุ่นคิด หรือความรู้สึกของมันจะผิดไป หรือจริงๆ มันแอบคิดอยู่ฝั่งเดียว
_________________
"กวงซือม่วย!"
"ไคซือเฮีย ท่านสบายดี"
"ต้องขอบคุณที่ซือม่วยยั้งมือไว้เมตตาเมื่อปีก่อน ตอนนี้ข้าทุเลาดีเช่นเดิมแล้ว"
"เช่นนั้นก็ดี ซือเฮีย ข้ามีเรื่องจะขอร้อง"
"ข้ารู้ แต่ข้าไม่อาจช่วยเจ้าสังหารอ๋องซาโนกได้"
"ไม่นะ ข้ารู้ว่าท่านมิใช่คนเลวร้ายอะไร แต่ลึกไปภายในท่านยังมีความดีอยู่"
"บุญคุณความแค้นต้องแยกกันให้ขาด แม้ซือม่วยจะไว้ชีวิตข้ามา แต่ข้าก็ยังมิอาจช่วยเจ้าสังหารท่านอ๋องได้ ประการแรก ท่านอ๋องก็มีพระคุณกับข้า ข้ามิอาจหักหลังท่านอ๋องได้ และประการที่สอง ท่านอ๋องนั้นในความเป็นจริงเป็นยอดฝีมือที่มีซือแป๋ผู้เดียวเท่านั้นที่น่าจะทัดเทียมได้"
"แต่ถ้าเราทั้งสองใช้วิชากระบี่ย่ำนภาคู่ อ๋องซาโนกมีเพียงสองมือ ย่อมมิอาจทนทาน"
"นั่นยังยากยิ่ง เจ้าควรรู้ว่าท่านอ๋องมีองครักษ์ชุดแดงอีกแปดคนที่รายล้อมอยู่ตลอดเวลา"
"ถ้าเช่นนั้น ท่านจงจับข้าไปรับความชอบกับอ๋องซาโนกเถิด เพราะข้าเป็นฝั่งเดียวกับโจรก่อกบฏ"
"ซือม่วย เจ้าทำให้ข้าอึดอัดยิ่ง"
"ท่านพึงเลือก ระหว่างความดีกับความเลว ระหว่างข้าหรือซาโนก!"
จอมยุทธ์กระบี่แดงมองหน้าซือม่วยของมันราวกับพยายามหาความจริงจากในตาของนาง "เจ้า... หมายความว่า..."
"ใช่ ถ้าท่านรู้สึกเช่นนั้น ความรู้สึกของข้าก็ไม่ต่างไป" กวงโกวเนี้ยก้มหน้า แก้มเรื่อสีแดงฝาด
"ข้าเลือกไม่ได้"
"ถ้าเช่นนั้น ท่านจงคร่ากุมตัวข้าไปเถิด หวังว่าเมื่อถึงเวลาแห่งความเป็นและความตาย ท่านจะยอมเลือกเส้นทางที่ถูกต้อง"
_________________
ในที่สุด อ๋องซาโนกก็จบชีวิตของมันลงในวันนั้นเอง มิใช่ด้วยเพลงกระบี่คู่ย่ำนภา แต่ด้วยกระบี่เดียวของมือสังหารแซ่ไคที่มันไว้ใจเป็นที่สุด
นาทีนั้น แม้แต่ผู้แซ่ไคเองก็มิทันรู้ตัวว่ากระบี่ที่ใช้ออก มีอานิสงส์ของพลังแห่งรัก หรือความอาฆาตเคียดแค้นที่เร้นไว้จากการเคี่ยวเข็นยาวนาน
หรือจะเป็นพลังแห่งความมักใหญ่ใฝ่สูงในสันดาน
แต่ดาบเดียวของจอมยุทธ์แซ่ไค ไม่มีใครมองกระบวนท่าทัน เห็นอีกครั้ง อ๋องซาโนกก็ขาดครึ่งตัวและยังเป็นการช่วยเหลือกวงโกวเนี้ยไปพร้อมๆ กัน
ตั้งแต่มันถูกคิดค้นขึ้นมา เพลงกระบี่คู่ย่ำนภาก็ถูกใช้ขึ้นเป็นครั้งแรกในชั่วพริบตาที่กวงโกวเนี้ยหลุดพ้นจากการสกัดจุดของอ๋องซาโนก เพื่อรับมือกับองครักษ์ชุดแดงทั้งแปด ชั่วเวลาเพียงหยิบมือ ยอดฝีมือทั้งแปดก็ล้มตายสิ้น ทั้งสองจึงปรี่เข้าหากัน
"ซือม่วย เจ้าบาดเจ็บ?"
"เล็กน้อยเท่านั้น ขอบคุณซือเฮียที่ช่วยชีวิต เรากลับสำนักกันเถิด"
"ไม่ เจ้าอยู่ที่นี่กับข้าเถิดนะ อ๋องซาโนกสิ้นชีพแล้ว เราสองคนสามารถครองยุทธภพและราชบัลลังก์ได้อย่างง่ายดาย"
กวงโกวเนี้ยมองหน้าของจอมยุทธ์แซ่ไคอย่างประหลาดใจ "ซือเฮีย เราเกิดมาเป็นคนจึงควรทดแทนคุณแผ่นดิน การคิดการใหญ่เช่นนี้ไม่ถูกต้อง"
"เจ้าคิดจะจากข้าไปหรือ?" ปลายกระบี่แดงสั่นไหวไปตามมือ ความสั่นสะท้านของมือเป็นไปตามใจของผู้ถือ
"ถ้าเช่นนั้นคงเป็นหน้าที่ของข้าที่ต้องจัดการท่าน ซือเฮีย เชิญลงมือเถิด" กวงโกวเนี้ยจรดกระบี่ชี้ขึ้น อันเป็นท่าเริ่มต้นของเพลงกระบี่ย่ำนภา
_________________
ไม่ว่าในที่สุด การรบครั้งนี้จะจบลงที่ผลลัพธ์อย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญของเทียนกงเส่า การปกป้องแผ่นดิน ความเป็นไปในยุทธภพ หรือแม้แต่ความลำบากใจของศิษย์อัจฉริยะสองคนสุดท้ายของสำนัก ล้วนอยู่ในมืิอของคนรุ่นใหม่ ที่คนรุ่นเขาควรวางเฉยไปได้ เพราะในที่สุด เพลงกระบี่ย่ำนภาของเขายังสืบทอดต่อไป
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ใบหน้าของมือกระบี่ชรากลับปรากฎรอยยิ้มจางๆ
แล้วตาคู่นั้นที่เคยส่องประกายอันรุ่งโรจน์ที่สุดที่ยุทธภพเคยรู้จักมา ก็ปิดลงโดยไม่ได้เปิดขึ้นอีก
_________________
CR: starwars.com
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in