เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เรื่องสั้นนอวอรอรอตอพอลอ
คนจรจัด
  • ผมนั่งมองชายคนนั้นมาพักใหญ่แล้ว

    ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง เสื้อผ้าเก่าคร่ำคร่า คนเดินผ่านล้วนปิดจมูกบังกลิ่นบูดเน่าราวกับรถขยะของเทศบาล เขาหยุดนั่งอยู่ตรงโน้น ไม่ห่างเท่าไหร่นักจากผม ซึ่งกำลังนั่งฟังเพลงเก่าๆ จากลำโพง พลางดูดกาแฟช้าๆ ในห้องปรับอากาศอย่างดี

    มีเพียงกระจกบานนั้นที่คั่นเราสองคนออกจากกัน

    แม้มันจะใส อย่างน้อยมันก็ทำหน้าที่เป็นกำแพงกั้นไว้ ผมและคนในร้านจึงไม่รู้สึกถูกคุกคามมากนัก ส่วนใหญ่ยังนั่งคุยกันราวกับโลกภายนอกเป็นดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่ง

    นี่เป็นร้านกาแฟโปรดของผม มันอยู่ตรงสามแยกพอดี การจราจรบนถนนวันนี้ไม่เลวร้ายนัก ที่ป้อมจราจรที่หน้าร้านจึงไม่มีตำรวจจราจรอยู่ ชายคนนั้นจึงนั่งอยู่ตรงเก้าอี้พลาสติกข้างๆ ผนังป้อมตำรวจนั้น นิ่งเงียบ และไม่มีใครมาไล่

    กระจกบานนี้เหมือนจะเป็นแบบที่คนข้างนอกจะมองไม่เห็นคนข้างใน บางทีชอบมีคนมายืนส่องความเรียบร้อย หรือแม้กระทั่งบีบสิว เพราะคิดว่าเป็นกระจกสะท้อนและข้างในไม่มีใครเห็น ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นกระจกแบบนั้น ถึงผมจะมาร้านนี้ประจำ แต่บางทีรายละเอียดพวกนี้ เราก็ไม่ทันสังเกต มันอาจจะไม่สำคัญพอที่จะเก็บมาใส่ใจ 

    แต่ถ้ามันเป็นกระจกใส ก็แปลว่าชายคนนั้นกำลังจ้องหน้าผมอยู่

    มันคงมองไม่เห็นเราหรอก ผมคิดในใจและมองสำรวจชายแปลกหน้าคนนี้ มีรายละเอียดเล็กๆ บางอย่างทีกวนใจผมอยู่ ผมไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร

    ดูเผินๆ เขาไม่ต่างจากคนจรจัด คนไร้บ้าน หรือคนเสียสติอีกมากมายที่เราพบได้ทั่วไป ตรงป้ายรถเมล์อีกสองป้ายถัดจากนี้ก็มีเจ้าประจำอยู่คนหนึ่ง ใครผ่านไปผ่านมาตอนกลางคืนก็เห็นประจำ หน้าร้านทองนั่นอีกคน ตอนกลางคืนลุงหนวดเฟิ้มคนนั้นก็จะกางหนังสือพิมพ์กับลังกระดาษนอนกับหมา จะเรียกว่าหนึ่งหมาหนึ่งคนช่วยกันเป็นยามให้ร้านทองก็ไม่ผิดหรอกนะ เพราะอาซิ้มเจ้าของร้านแกก็เอาข้าวมามัดให้ลุงหนวดกินประจำอยู่แล้ว

    คนพวกนี้มีญาติพี่น้องหรือมีใครที่รักเขาบ้างไหม? หรือมีใครที่เขารัก? ผมไม่คิดว่าความผูกพันของลุงหนวดกับอาซิ้มร้านทองจะเรียกว่าความรัก มันคงเป็นความสงสาร สมเพช หรือการพึ่งพากันมากกว่า

    เพลง Down in the Willow Garden* ของการ์ฟังเกลแว่วเข้ามาในหู ผมเคยหัดเล่นกีตาร์กับเพลงนี้มาก่อน และเคยรู้สึกฉงนกับเนื้อเพลงอยู่นาน เพลงนี้ทำให้ผมกลับมาโฟกัสกับปัจจุบันอีกครั้ง ยังพยายามสำรวจชายจรจัดที่หน้าป้อมตำรวจ ความผิดสังเกตที่ยังซุกซ่อนจากสายตาของผมนั่นมันอยู่ตรงไหนกันแน่

    ในย่ามสีหม่นที่เขาสะพายใบนั้น มีอะไรตุงๆ อยู่ เหมือนจะเป็นหนังสือ เขาอาจจะเคยรับการศึกษามาก่อน อย่างน้อยก็น่าจะอ่านหนังสือได้ มิอย่างนั้นก็คงพกไว้หนุนรองหัวเวลานอนลืมตาจ้องท้องฟ้าตอนกลางคืน คนพวกนี้เขาจะนอนนับดาวไหมนะ? เขาจะรู้ไหมว่าอีกปีหน้าก็จะมีการเลือกตั้ง? แล้วมันรู้ไหมว่าป้อมที่มันนั่งอยู่มันมาจากภาษีของคนทำงานหามรุ่งหามค่ำอย่างพวกผมนี่เอง? เขารู้ไหมว่าโลกกำลังร้อนขึ้น? หรือกาแฟถ้วยละ 80 บาทนี่มันหอมอร่อยกว่าแก้วละ 35 ตามคิออสข้างทางยังไง?

    เพ้อแล้ว คนจรหมอนหมิ่นพวกนี้หรือจะมีสุนทรียะขนาดนั้น จะมีสติปัญญาเข้าใจหลักการพื้นฐานทางเศรษฐกิจ สังคม หรือติดตามข่าวสารการเมืองบ้านเราขนาดนั้น

    ผมของเขามีสีเทาให้เห็นอยู่ประปราย แต่ส่วนใหญ่จะเป็นคราบเปื้อน เขาอาจจะหลับอยู่บนม้านั่งยาวใต้สถานีรถไฟฟ้าตอนห่าฝนเทลงมาเมื่อตอนเช้า คงมีรถสาดน้ำจากข้างทางใส่ตัวเขาจนตื่นขึ้นมา หัวหูถึงโสโครกดูไม่ได้ขนาดนั้น

    แลดูแมลงวันแมลงหวี่ฝูงนั้นจะรักเส้นผมของเขาเหลือเกิน เห็นคอยเอามือปัดๆ ไล่อยู่ คงรำคาญสินะ เขาจะอยากสระผมบ้างไหม? ปกติผมจะทนไม่ได้เลย ผมมักสระผมทุกวัน เพราะความที่หนังศีรษะผลิตไขมันออกมาเยอะเกิน บางทีผมก็อยากตัดมันทิ้งไปให้หมด สกินเฮดไปเลยชีวิตก็น่าจะง่ายดี

    ผมมองเท้าของเขา เท้าดำเปรอะเปื้อนยังกับไปเดินลุยขี้เถ้ามา รองเท้าคีบเก่าเก็บสีกระดำกระด่างช่างเข้ากันได้กับกางเกงยีนส์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ตัวนั้นที่ดูไม่รู้แล้วว่ามันเป็นสีอะไร เขาอาจจะใส่ตัวนี้มานานหลายเดือนแล้ว กาลครั้งหนึ่งมันคงเคยเป็นสีน้ำเงินกระมัง ก็ขาดวิ่นซะอย่างกับผ้าที่ยังทอไม่เสร็จระดับนี้ ถ้ามันใหม่กว่านี้สักสิบกว่าปีก่อนคงจะเท่ราวกับพี่เคิร์ท โคเบนทีเดียว ไม่รู้สมัยที่เขายังเป็นผู้เป็นคน เขาจะเคยฟังเนอร์วาน่าไหมนะ หรืออาจจะเป็นเพิร์ลแจม โมเดิร์นด็อก เขาอาจจะเคยเป็นนักดนตรีก็ได้ ร่างกายนั้น ถ้าไม่ซูบผอม ผมเผ้ารุงรังนั่นจัดดีๆ นี่ได้มาดของร็อคเกอร์รุ่นใหญ่ทีเดียว อาจจะเป็นรุ่นน้องของเซบาสเตียน บ๊าคหรือลุงจอน บองโจวีได้อยู่

    สมมติว่าวันหนึ่ง เขาเคยอยู่บนเวที มีคนดูนับร้อย แสงสีไฟสาดลงมาขณะที่กีตาร์ในมือของเขากรีดเสียงร่ำร้องด้วยโซโล่ที่เศร้าสร้อยของเขา ตัวเขาในวันนี้จะยังมีสติพอที่จะฝันถึงอดีตนั้นไหม? หรือเพราะความฝันที่อักเสบนั้นเองที่กัดกินสติของเขาไป

    มือสองข้างนั้นสั่นเทาราวกับมีแผ่นดินไหวสัก 6.7 ริกเตอร์อยู่ข้างใน ไม่คล้ายกับมือของนักดนตรี ด้วยมือคู่นี้ เขาคงไม่สามารถเล่นดนตรีอะไรได้

    มือ? รอยเปื้อนสีเปลือกมังคุดอยู่บนมือของเขาทั้งซ้ายและขวา 

    นั่นมันเป็นคราบเลือด!

    แมลงวันพวกนั้น มันไม่ได้มาตอมผมของเขา แต่มันตอมมือของเขาต่างหาก! เลือดข้นๆ ที่ยังไม่แห้งดี

    ผมมองเขาด้วยความหวาดหวั่น ผมควรจะโทรแจ้งตำรวจดีไหม? หรือเขาอาจประสบอุบัติเหตุมา ถ้าเช่นนั้นก็ควรเรียกรถพยาบาล ว่าแต่เราจะโทรเข้า 191 เพื่อเรียกรถพยาบาลได้ไหมนะ หรือต้องโทรอีกเบอร์หนึ่ง

    เขายังนั่งจ้องกระจกนิ่งอยู่เหมือนเดิม ถ้าอย่างนั้นคงไม่ใช่เลือดของเขา!

    ผมมองที่ย่ามของเขาอีกครั้ง ร่องรอยตุงๆ นั่นมีความเรียบ มันคงเป็นหนังสือจริงๆ แต่ที่ด้านบนของย่าม ผมสังเกตเห็นแท่งอะไรยื่นโผล่พ้นปากย่ามมาเล็กน้อย

    พระเจ้าช่วย! นั่นมันเหมือนกับด้ามมีดพร้า ผมเคยใช้มีดพร้าฟันกิ่งไม้ในสวนหลังบ้านอยู่ ในอดีตเมื่อนานมาแล้ว แม้พร้าจะเก่าขึ้นสนิม แต่มันก็ยังฟันหยวกกล้วยขาด ถ้าใช้แรงมากพอ มันก็พอฟันกิ่งไม้เนื้ออ่อนได้ในสองสามสับ

    ในสังคมเมือง ไม่ได้มีแรดหรือช้าง ที่จะมีเนื้อหนังมังสาที่แข็งกว่าไม้เนื้ออ่อน

    แล้วเขาไปฟันอะไรมา? สัตว์ในสังคมเมืองจะมีอะไรมากมายเชียว หมา? แมว?

    คน?

    ผมพลันผลุนผลันลุกขึ้นยืน ไอ้คนบ้าที่นอกกระจกนั่นมันอาจจะเป็นฆาตกร และมันก็มีอาวุธ!

    พร้อมๆ กับที่ผมลุกขึ้น ชายผู้นั้นก็ลุกขึ้นมาด้วย หรือมันมารอฆ่าผม?

    บริเวณนั้นกลายเป็นพื้นที่อันตรายไปเสียแล้ว ถ้ามันมีจิตสังหารและอาวุธพร้อม มันก็อาจทุบกระจกเข้ามาทำอันตรายผมได้! ใครจะไปโง่นั่งอยู่ตรงนั้น

    ผมไม่มีโทรศัพท์ เลยหันไปตะโกนบอกคนในร้านให้โทรเรียกตำรวจ แต่ขณะที่พยายามจะเผ่นแผล็วจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่นั้น ผมก็ชนกับอะไรบางอย่างจนล้มลง เก้าอี้พลาสติกที่ผมนั่งอยู่เมื่อครู่ก็ถูกลูกหลงล้มลงไปด้วย

    เจ็บ ... มันไม่เจ็บมาก แค่เหมือนกับเดินซุ่มซ่ามไปชนกำแพงอะไรบางอย่าง ผมมึนๆ นิดหน่อย ผู้คนบนฟุตบาทหันมามองผม

    ผมเงยหน้าขึ้นดู ไม่มีเก้าอี้กับโต๊ะของร้านกาแฟ กำแพงคอนกรีตตั้งอยู่ตรงหน้า นี่มันผนังของป้อมตำรวจนี่

    ผมหันกลับไปมองชายจรจัดที่อยู่ข้างนอก แต่เขากลับไปอยู่ในผนังกระจกของร้านกาแฟนั่น

    ผมส่ายหัว ผิดแล้ว...

    ผมต่างหากที่อยู่ข้างนอก ข้างป้อมที่ไม่มีตำรวจอยู่สักคนเดียว

    ผมต่างหากที่นั่งจ้องผนังร้านกาแฟนั่นตลอดเวลา

    ผมนั่นเองเป็นชายจรจัด

    มือของผมนั่นเองที่เปื้อนเลือด

    เลือดเป็นของใคร ผมไม่มีอยู่ในความทรงจำ

    ผมเงยหน้าขึ้น กรีดร้องโหยหวน ราวกับยืนอยู่บนเวทีคอนเสิร์ต

    ป.ล. ควรเปิดเพลง Down in the Willow Garden ฟังไปด้วย เพื่อสุนทรียภาพในการอ่าน

    ตีพิมพ์ครั้งแรก STL 11 ตค. 59
    แก้ไขสำหรับ Minimore 25 ธค. 59

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
Nopthira (@fb2055269707942)
ชอบเรื่องของคุณมากเลยค่ะ พอดีจะเอาไปทำงานส่งแต่เราพยายามหาแนวคิดสำคัญของเรื่องนี้แล้วแต่นึกไม่ออกจริงๆ พอจะช่วยอธิบายให้ได้รึเปล่าคะ?
Nopthira (@fb2055269707942)
ชอบเรื่องของคุณมากเลยค่ะ พอดีจะเอาไปทำงานส่งแต่เราพยายามหาแนวคิดสำคัญของเรื่องนี้แล้วแต่นึกไม่ออกจริงๆ พอจะช่วยอธิบายให้ได้รึเปล่าคะ?
Panusak Boonkerd (@fb2702990459954)
เป็นการหักมุมที่สนุกมากครับ
@fb2702990459954 ขอบคุณครับ
Khunpinaina (@KANKORN)
ชอบมากเลยค่ะ เป็นการเขียนที่แตdต่างและบ่งบอกตัวตนมาก อ่านมาหลายๆ เรื่องมันน่าประทับใจมาก อันนี้ไม่ได้ยอนะคะ แต่รู้สึกว่าหลังจากได้อ่านเรื่องสั้นแต่ละเรื่องแล้วมันทำให้รู้สึกอยากรู้จัก เรียนรู้ หลักการคิดของคุณมากๆ "เรียบง่าย สวยงาม ลึกซึ้ง และชวนแปลกใจ"
@KANKORN ขอบคุณครับ ช่วงนี้ไม่ว่างเขียนไรเลย
Why KC (@fb9850924983488)
เข้าใจยากจังครับแต่โดยรวมแล้วที่ผมเข้าใจ​ กระจกนั้นทำหน้าที่สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นไปที่กำลังเกิดขึ้นคนจรเปลียบเหมือนตัวเรา​ เหมือนเรากำลังมองพินิจเข้าไปในจิตของตัวเอง​ ถึงสิ่งที่เกิดและกำลังเป็นไป​ สับสนถึงสิ่งที่เป็นและเคยเป็นหรืออยากเป็น​ หรือเปล่าครับ​เหมือนผมจะหลงประเด็น555
@fb9850924983488 ชอบการตีความนี้ครับ
Nattawut Auttarasee (@fb7703235666456)
จุดประสงค์ในการแต่งเรื่องนี้คืออะไรครับ....อยากทราบว่าผู้เขียนคิดยังไงถึงแต่งเรื่องนี้ขึ้นมาครับ
@fb7703235666456 แค่เขียนไปตามที่รู้สึกน่ะครับ
ลองตีความดูมั้ยครับ
Azan Terek (@fb3281903713172)
เราเรียนเรื่องนี้เเละ
@fb3281903713172 ยังไงครับ งง?