เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เรื่องสั้นนอวอรอรอตอพอลอ
สะพานละวางโทษ
  • ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินมาหยุดอยู่ที่กลางสะพาน เขาใส่เสื้อผ้าภูมิฐานแลดูมีฐานะ แต่ทอดสายตาซึมเศร้ามองไปรอบๆ งาน ทุกคนบนสะพานแห่งนั้นรู้จักเขาดี แน่ละเขาคือไฮโซหนุ่มผู้อื้อฉาวจากคดีความเมื่อสองเดือนก่อนหน้า ข่าวรถสปอร์ตสีแดงซิ่งชนลูกสุนัขโกลเด้นรีทรีฟเวอร์เสียชีวิต แถมยังไม่หยุดรถมาดูแลหรือให้ความช่วยเหลือดังไปทั่วโลกออนไลน์และข่าวภาคเช้าอยู่นานหลายวัน

    จนกระทั่งเขาออกมาให้แถลงข่าวว่าวันนั้นเขารีบมากเพราะพ่อเขาป่วยหนักต้องเข้าโรงพยาบาล  ผู้คนก็ยังว่ากันไปต่างๆนานา แก้ตัวบ้าง ชีวิตหมาไม่สำคัญเท่าชีวิตคนบ้าง ฯลฯ

    นี่ขนาดแถลงข่าวที่โรงพยาบาลนะ นักข่าวหัวเห็ดบางคนถึงกับแอบขึ้นไปถ่ายรูปถึงห้องผู้ป่วยเลยโดนไฮโซหนุ่มอาละวาดใส่ เป็นข่าวอีก

    สุดท้ายเขาคงทนแรงกดดันของสังคมไม่ไหวต้องมาสารภาพผิดถึงงานเทศกาลละวางโทษในปีน้ี
     ฉันซึ่งเป็นคนรักหมามากและไม่เคยให้อภัยเขาเลยตั้งแต่มีข่าวนั้นออกมาเริ่มรู้สึกว่าเขาคงจะเสียใจและสำนึกผิดจริงๆ 

    คงเป็นความรู้สึกที่ทับซ้อนกับความเสียใจของเขากระมัง ได้ข่าวว่าพ่อของเขาเพิ่งเสียชีวิตเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา 


     

    สายแล้วหรือนี่...


    เช้าวันสิ้นปีอีกแล้วสินะ


    ตลอดหกปีที่ผ่านมาฉันฝันเห็นภาพชายหนุ่มคนนั้นมาตลอดทุกคืนสุดท้ายของปี สายตาที่โศกเศร้าของเขาและความรู้สึกปลดปล่อยที่ได้รับการยกโทษให้จากทุกคนในสังคม ในวันที่เขาตัดสินใจออกมาขอขมาละวางโทษเมื่อครั้งนั้น 


    ที่เมืองเล็กๆ แห่งนี้ ทุกวันสิ้นปี เราเชื่อกันว่าใครที่ทำผิดพลาดจนไม่สามารถให้อภัยตัวเองได้ ต้องมาขอขมาคนที่เราทำผิดด้วย และยืดอกชำระล้างความผิดพลาดนั้นภายในวันสิ้นปีเพื่อให้สังคมก้าวเข้าสู่ปีถัดไปอย่างไม่มัวหมอง 


    ตามธรรมเนียมปฏิบัติ เมื่อผู้กระทำผิดกล้ามาขอขมาในงานละวางโทษประจำปี คู่กรณีต้องให้อภัย คิดเป็นอื่นไปไม่ได้ และนอกจากผู้เกี่ยวข้องแล้ว ทุกคนในสังคมต้องยอมรับและให้อภัยด้วย ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือด้วยดีมาตลอด กล่าวคือทุกเรื่องหายเงียบหลังจากผู้กระทำผิดได้ผ่านพิธีการให้อภัย ไม่มีใครพูดถึงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกคนใช้ชีวิตกันไปตามปกติ 


    ฉันไม่ใช่คนเมืองนี้แต่กำเนิด แถมยังไม่ได้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์อะไรมากมาย แต่พอรู้ว่าประเพณีนี้เริ่มต้นขึ้นมาเนิ่นนานหลายร้อยปีแล้ว ตำนานเล่าลือถึงเมื่อครั้งที่สะพานนี้กำลังก่อสร้าง สารถีของเจ้าเมืองแต่ยุคโบราณพลั้งเผลอจนม้าที่เทียมรถตกไปจากสะพานเสียชีวิต แถมเจ้าเมืองยังต้องตกน้ำจนเปียกปอน สารถีฉกรรจ์ผู้นั้นยืนกรานให้เจ้าเมืองประทานโทษถึงชีวิตแม้เจ้าเมืองจะเข้าใจว่าไม่ใช่ความผิดของเขา แต่เพราะสะพานกำลังก่อสร้างต่างหาก 


    ความรับผิดชอบอันสูงส่งทำให้เจ้าเมืองสั่งให้หล่อรูปปั้นของเขาไว้ ให้สะพานแห่งนี้เป็นสัญลักษณ์ของการให้อภัยและละทิ้งความผิดพลาดในอดีต


    เวลาผ่านไป สะพานไม้เก่าผุพัง กลายเป็นสะพานเหล็กสีดำเมื่อมสี่เลน ความผิดพลาดกลายเป็นตำนานของวีรบุรุษ มนุษย์กลายเป็นเทพที่ผู้คนมาสักการะ 


    เป็นแรงบันดาลใจของชาวเมืองทุกคน 


     

    "แน่ะวิ่งตาตื่นลงมาละ กินข้าวลูก" 


    แม่เหลืออาหารเช้าไว้ให้บนโต๊ะหน้าตาไม่ค่อยน่ากินเท่าไหร่ ถ้าเป็นวันทำงาน ฉันจะตื่นเช้าเพราะมีหน้าที่รับผิดชอบอาหารการกินให้พ่อกับแม่ที่สูงวัยแล้ว ส่วนวันหยุดแม่ก็จะรู้ว่าฉันไม่อยากรีบตื่น เขาก็จะทำอาหารรอไว้ให้ 


    ไม่อยากคุยหรอก แต่ฝีมือการทำอาหารของฉันอร่อยกว่าของแม่เยอะ แม่เป็นข้าราชการเก่า พ่อเป็นพ่อค้า สมัยยังทำงาน ที่บ้านมีคนมาช่วยแม่ไม่ค่อยได้หุงข้าวเอง ส่วนฉันตอนเด็กออกมาเรียนไกล เป็นเด็กหอได้ฝึกฝีมือทุกวันเลยได้ทักษะการทำอาหารติดตัวมา ไม่ได้เก่งกว่าคนอื่นมากมายหรอก แค่เก่งกว่าแม่นั่นแหละ พอทำงานสักพัก แม่เกษียณก็ได้เงินบำนาญของแม่มาช่วยกับที่ฉันเก็บหอมรอมริบจนซื้อบ้านได้ที่เมืองนี้แหละ จากนั้นพ่อกับแม่ถึงย้ายตามมา

    "ทำแต่งานแบบนี้ปีหน้าจะหาแฟนได้ยังไง?" พ่อถาม


    เรื่องแฟนน่ะเหรออัปเปหิออกไปจากชีวิตตั้งนานแล้ว ผู้ชายน่ะ อยู่ไปด้วยซักพักก็เริ่มน่าเบื่อ ที่เคยเอาใจที่เคยบอกรักก็หาย วันๆ เอาแต่ดูทีวี นั่งเล่นโทรศัพท์แล้วก็คาดหวังให้เราเป็นคนเอาใจแทน ไม่ใช่ไม่มีใครมาชอบ แต่บางคนก็คาดหวังจะตักตวงแต่ความสุขบนเตียง บางคนก็ดราม่าน่ารำคาญสุดท้ายก็ไม่เห็นเป็นไร ฉันก็อยู่แบบนี้มาได้ตั้งนาน ก็มีความสุขดี 


    "ใครเขาจะมาเอาล่ะพ่อ อายุเกินสามสิบแล้ว ไม่ใช่สาวๆ ซะหน่อย" ฉันรีบเอาจานที่กินไปที่อ่าง แม่หันมาเสริมประมาณว่าเห็นคุยกับใครอยู่ตั้งนานเมื่อปีที่แล้ว ฉันทำเป็นไม่ได้ยิน เปิดน้ำแรงๆ ล้างจานชาม เสียงน้ำก๊อกไหลผสมกับเสียงปั๊มที่นอกหน้าต่างห้องครัว ช่วยกลบเสียงคุยในโวลุ่มธรรมดาได้ดี ทำให้ฉันมีข้ออ้างเวลาไม่อยากตอบคำถามอะไร นี่เป็นอีกทริกหนึ่งที่ฉันเรียนรู้มาหลายปีแล้ว


    "รีบไปกันเถอะ สายแล้ว เดี๋ยวได้ที่นั่งไม่ดีแล้วดูพิธีไม่สนุก" แม่เรียก

     


     

     

    อย่างที่บอก ในวันสิ้นปี ชาวเมืองทุกคนมีหน้าที่ต้องไปรวมตัวกันที่สะพานละวางโทษ มีการสร้างอัฒจันทร์ขึ้นมาสองฝั่งสะพาน ผู้คนเบียดเสียดยัดเยียดหาที่นั่งดีๆ บางคนพกร่มมาด้วย ส่วนใหญ่เตรียมของว่างและเครื่องดื่มมาดู ไม่ต่างจากการมาเชียร์ฟุตบอลหรือไปชมมหรสพ 


    จะว่าไป มันก็คงคล้ายๆกับที่ชาวโรมันโบราณไปดูแกลดิเอเตอร์กัน แม้มันจะไม่ดุเดือดเลือดพล่านถึงเพียงนั้น แต่ทุกคนก็อยากรู้ว่าปีนี้ใครจะมาสารภาพอะไร บางคำสารภาพมีความสะเทือนใจเรียกน้ำตาผู้ชมได้ บ้างก็ตลกน่าสมเพช บ้างก็ชวนให้ตกตะลึง รวมๆก็เป็นไลฟ์เอ็นเตอร์เทนเม้นต์ชั้นดีที่ไม่ต้องตีตั๋วเข้าดู ชาวเมืองจึงมักจะไม่ออกไปเที่ยวที่ไหนในวันสิ้นปี เพราะต้องแจ้งนายทะเบียนล่วงหน้าซึ่งยุ่งยากพอสมควรที่เป็นเช่นนั้นเพราะทางการต้องมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าคู่กรณีจะอยู่เพื่อให้อภัยผู้มาขอขมา 


    บ้านเรามาช้าเลยต้องเดินขึ้นไปที่นั่งสูงหน่อย ไกลนิดนึง แต่เราก็เตรียมกล้องมาดูทุกคนไม่ใช่ปัญหาเท่าแดด (ครีมกันแดด SPF 60 ช่วยได้นะคะ) ฉันทาเรียบร้อยก็ส่งต่อให้แม่ซึ่งรับไป พ่อส่ายหน้าบอกไม่เอา


    พอถึงเวลา 9.09 น. ตรง พิธีกรรมก็เริ่มขึ้นเสียงผู้ประกาศออกลำโพงดังลั่น ปีนี้มีผู้มาขอขมาทั้งหมดสามคนเท่านั้น คาดว่าน่าจะแล้วเสร็จไม่เกินห้าโมงเช้า ซึ่งดีมาก เพราะฉันอยากกลับไปนอนจิบโกโก้ที่บ้านมีหนังสือที่อ่านค้างไว้ก่อนหลับไปเมื่อคืน ฉันอยากอ่านถึงตอนจบเร็วๆ


    นักบวชในชุดสีเทาเข้มเดินเข้ามานั่งในปะรำพิธี และเริ่มทำการพร่ำบ่นถ้อยคำศักดิ์สิทธิ์จากตำราโบราณด้วยภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ เสียงสวดดังเล็ดลอดเข้ามาในไมโครโฟนของพิธีกร ที่รวบรัดเข้าพิธีอย่างรวดเร็ว ผู้ขอขมารายแรกเป็นหญิงสาววัยรุ่นที่ท้องไม่มีพ่อจนต้องไปทิ้งเด็กไว้ในห้องน้ำที่โรงพยาบาล หล่อนกลายเป็นข่าวใหญ่ที่สังคมพากันรังเกียจ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยๆ แต่ส่วนมากครอบครัวก็ให้อภัยไปก่อนแล้ว มีแค่บางปีเท่านั้นที่กรณีแบบนี้ถึงกับมาขอขมาในพิธี 


    ยังเป็นเด็กหญิงอยู่เลย... น่าเสียดาย ฉันคิด


    เด็กหญิงเดินร้องไห้ออกมา พิธีกรยื่นไมโครโฟนให้ หล่อนเริ่มพูดถึงอดีตของที่บ้านพ่อและแม่ที่เคร่งครัดแต่ไม่เคยมีเวลาให้ เธอแอบหนีเที่ยวและมีสัมพันธ์อย่างเสรีกับเพื่อนชายหลายต่อหลายคน บางครั้งก็มากกว่าหนึ่ง จนพบว่าตัวเองท้อง เมื่อหาทางออกไม่ได้ การทิ้งลูกจึงเป็นทางเลือกที่เธอจำใจต้องทำ 


    แต่แทนที่เธอจะเลือกขอให้พ่อและแม่ยกโทษให้เธอกลับขานนามเด็กหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่ง เด็กหญิงประกาศว่านี่คือพ่อของเด็ก และเธอขอโทษที่ทิ้งลูกของเขา เธอไม่มีหนทางอื่น


    ตามระเบียบของพิธีนี้การถูกขานชื่อ หมายถึงผู้ขอขมา เลือกให้เขาหรือเธอออกมาเป็นคู่กรณีเป็นคนที่เขารู้สึกผิดที่สุดและเป็นคนเดียวที่จะขอให้ยกโทษให้ หากผู้ถูกขานชื่อไม่ยอมออกมา เขาหรือเธอจะถูกจับกุมไปดำเนินคดีซึ่งมีโทษสถานหนัก 


    คนดีๆ ต้องรู้จักยกโทษให้คนอื่น นั่นเป็นหลักคิดของเมืองเรา 


    อัฒจันทร์ทั้งสองฝั่งกึกก้องไปด้วยเสียงปรบมือ เด็กหนุ่มเดินลงไปที่ปะรำพิธี ด้วยสีหน้าแตกตื่น ราวกับจะถูกจับไปทำโทษ


    เมื่อเดินมาถึงปะรำพิธี เด็กหญิงยื่นยาเม็ดเล็กๆ ให้ชายหนุ่มที่ทำท่าเหมือนกำลังจะเป็นลม เขาส่ายหน้า ด้วยกล้องส่องทางไกลพกพาส่วนตัวฉันเห็นน้ำตาเขาเริ่มไหลออกมา พิธีกรเข้ามากระซิบกระซาบที่ข้างหูเขาร้องไห้หนักขึ้น แต่ก็พยักหน้าเป็นการยอมรับ


    ชายหนุ่มรับยาจากเด็กหญิง และประกาศผ่านไมโครโฟนด้วยเสียงสั่นเครือ "ฉันยกโทษให้เธอแล้ว" และยื่นยาเม็ดนั้นกลับไป


    เด็กหญิงทำหน้าดีใจ รับยานั้นไว้และกลืนลงคอทันที 


    ทั้งสองฝั่งสะพานเงียบกริบก่อนที่ส่งเสียงปรบมือและโห่ร้องจะดังกึกก้อง เมื่อเห็นเด็กหญิงล้มลงไปขาดใจตาย 


    "เขาเลือกยาพิษดีนะ ออกฤทธิ์เร็วทันใจ ไม่ถึงครึ่งนาทีเอง" แม่ทำหน้าประทับใจ หันมาคุยกับฉัน


    "นั่นสิ ท่าจะแพง ปีที่แล้วกว่าจะเสร็จ ลงไปชักอยู่ตั้งสิบกว่านาที" ฉันตะโกนตอบแข่งกับเสียงอึกทึกบนสะพาน แล้วหันกลับไปสนใจภาพข้างล่างต่อ


    "ขอเสียงปรบมือให้เด็กหนุ่มผู้กล้าหาญอีกครั้งครับและขอให้ทุกท่านในที่นี้ยกโทษให้เด็กหญิงผู้นี้ไว้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป" 


    พิธีกรประกาศขณะที่เจ้าหน้าที่มาเก็บศพเด็กหญิงออกจากพื้นที่พิธีกรรม ส่วนเด็กหนุ่มยังสะอื้นไห้หนักขึ้น จนเจ้าหน้าที่ต้องมาประคองพากลับขึ้นไปที่นั่งของตัวเอง


    "ลำดับต่อไปครับคนนี้ก็เป็นข่าวใหญ่ อื้อฉาวทีเดียว เขาเป็นนักกรีฑาตัวแทนทีมชาติไปได้ไกลถึงโอลิมปิก แต่ถูกจับได้ว่ารับเงินจากบ่อนพนันให้วิ่งแพ้ในการแข่งขัน 4 x 100 รอบสุดท้าย" 


    ชายหนุ่มผิวคล้ำร่างสูงโย่งเดินกระย่องกระแย่งออกมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เขาพูดออกไมโครโฟนด้วยน้ำเสียงสดใสว่า เขาไม่คิดว่าวันนี้จะมาถึง เขาเสียใจที่ความละโมภชั่ววูบเท่านั้นทำให้เลือกรับเงินร้อนนั้น และยังกล่าวขอบคุณโซเชี่ยวมีเดียมีไปขุดคุ้ยข่าวของเขาออกมาได้ ทำให้เขามีวันนี้


    "วันนี้ผมมาขอโทษคุณครูพละสมัยมัธยมของผมครับ คุณครู xxx"


    ชายชราวัยประมาณหกสิบกว่าปีแต่ยังดูกระฉับกระเฉงเหมือนหนุ่มใหญ่วัยกลางคนลุกขึ้นมาจากอัฒจันทร์ฝั่งใต้ เขาวิ่งเหยาะๆ ลงมาถึงปะรำพิธี ชายหนุ่มร่างสูงยกมือไหว้ และยื่นปืนพกสีดำเป็นมันวาวให้ครูของตน 


    "ผมสอนให้เด็กคนนี้วิ่ง เขาเป็นคนมีแวว มีสัดส่วนของนักกีฬาที่จะยิ่งใหญ่ได้ ผมรู้จักครอบครัวเขาดี ตอนที่เห็นข่าวนั้น ผมก็รู้ทันทีว่าเขาทำไปเพราะอะไร และผมรู้ว่าเขาเป็นลูกผู้ชายพอที่จะรับผิดได้ ผมภูมิใจในตัวลูกศิษย์คนนี้มากครับ"เขาพูดยิ้มๆ พิจารณาปืนในมือ "ครูยกโทษให้ เกิดมาชาติหน้าครูจะตามไปสอนเธออีก" 


    เสียงปืนในมือระเบิดดังผ่านอุปกรณ์ขยายเสียงชายหนุ่มร่างสูงที่นั่งคุกเข่าหลับตา ล้มลงทันทีที่กระสุนเล็กๆ สัมผัสขม่อม


    สีหน้ายามเสียชีวิตเหมือนฉาบรอยยิ้ม


    พ่อทำหน้าเหย แกไม่ชอบเวลาใครใช้ปืน เพราะเสียงดังหนวกหู แถมยังทำให้พื้นสะพานสวยๆเลอะเทอะ


    "พ่อไม่ได้ล้างถนนเองซะหน่อย" แม่หันไปบอก


    "คนไม่ได้เจอเองก็ไม่รู้สึกหรอก ฉันน่ะสงสารคนที่ต้องมาล้าง"


    "เดี๋ยวรถวิ่งสักสามสี่วันคราบก็หมดแล้วพ่อ" ฉันพูดแบบเซ็งๆ

      

    "ลำดับต่อไปครับ"พิธีการดำเนินต่อไป


    "เป็นหนุ่มใหญ่วัยกลางคนอาจไม่ค่อยมีใครรู้จักเขานัก แต่เขามาขอร้องอย่างหนักจนกรรมการของพิธีละวางโทษยอมให้เขามาร่วมพิธีได้ ขอเชิญคุณน้อต นวรรตพล ครับ"


    ฉันประหลาดใจมาก เมืองนี้ไม่ใหญ่มากก็จริงแต่ไม่เคยมีสักปีที่เราจะรู้จักผู้มาขอขมาเป็นการส่วนตัวขนาดนี้ ฉันรู้จักกับพี่น้อตมานานหลายปี เส้นทางชีวิตของเราไม่ได้โคจรเข้ามาใกล้กันเลยในหนึ่งปีที่ผ่านมา แถมหลังๆนี้เรายิ่งไม่ค่อยได้คุยกัน ภาพของเขาในวันนี้ทำให้ฉันรู้สึกอดสู ผู้ชายที่เหมือนจะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ฉันเคยนับถือเขาที่รอบรู้เก่งกาจไปเสียทุกเรื่อง เงินเดือนสูงลิ่ว คนที่เคยเอ็นจอยชีวิตจนพุงยื่นย้วยออกมา ผู้ชายคนนั้นถูกแทนที่ด้วยชายจรจัดซูบซีด ผมยาวกระเซอะกระเซอเสื้อผ้าที่ใส่ขาดกะรุ่งกะริ่ง มือหนึ่งถือมีดทำครัวมาด้วยเล่มหนึ่ง แว่นตาที่สวมไว้ดูเอียงกะเท่เร่ อ๋อ ขาแว่นเขาหักไปข้างหนึ่งนั่นเอง


    เขาไม่น่ากลายเป็นคนแบบนี้ ฉันคิด 


    "ผมเป็นคนที่ล้มเหลวในชีวิต ปีหนึ่งที่ผ่านมาผมทำงานไม่ได้ ไม่มีกระจิตกระใจทำอะไร สุดท้าย ผมตกงานหลายเดือน ไม่กล้ากลับบ้าน จนเงินหมด เพื่อนฝูงก๊หนีหน้า จนผมต้องออกมาร่อนเร่บนท้องถนน" เขาพูดใส่ไมโครโฟนทั้งน้ำตา "ผมรู้ว่า คนที่รู้จักผมหลายคนสงสัยว่าผมมีปัญหาอะไร ทำไมถึงหายหน้าหายตาไป แต่ในที่นี้มีคนเดียวที่รู้ดีที่สุดและเป็นคนที่ผมอยากขอให้เขายกโทษให้ผมที่สุด" 


    ฉันได้ยินเขาเรียกชื่อฉันออกมา พ่อกับแม่หันมามองด้วยสีหน้าประหลาดใจ นำสายตาของคนรอบๆ อัฒจันทร์มาที่ตัวฉัน แม่พยักเพยิดให้ฉันลุกขึ้นตามหน้าที่ "ไปสิลูก ไปให้อภัยเขาซะ"


    ผ่านพิธีเดียวกันนี้มาหลายปี ฉันในฐานะผู้ชมธรรมดาก็รู้สึกว่ามันสนุกดี จนเริ่มรู้สึกแปลกๆ ตอนที่เดินแหวกผู้คนลงมา เสียงโห่ร้องกึกก้องที่ผ่านเข้ามาในหูของฉัน แต่เหมือนฉันไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย ในใจฉันคิดถึงแต่เรื่องราวของเราสองคน จริงอยู่ พี่น้อตเคยบอกว่าแอบชอบฉัน แต่ฉันก็ปฏิเสธไปแล้วอย่างนุ่มนวลและชัดเจน ฉันถึงกับแนะนำให้เขามองหาใครที่ดีต่อใจตัวของเขาเอง ใครสักคนที่น่าจะดีกว่าฉัน เพราะฉันไม่อยากผูกพันกับใคร


    นี่เขากำลังลากฉันไปติดบ่วงกรรมอะไรกันเนี่ย


    ฉันเดินใจลอยไปถึงปะรำพิธี พี่น้อตส่งยิ้มเศร้าๆ ให้ เขาพูดเบาๆ ว่า "ผมขอโทษ ผมยังรักคุณอยู่ผมตัดใจจากคุณอย่างที่คุณเคยแนะนำมาไม่ได้ ผมขอโทษที่เคยทำให้คุณอึดอัด ขอโทษที่เคยดราม่าใส่"


    ฉันรู้สึกว่าน้ำตาฉันเริ่มไหลออกมา "ฉันไม่เคยโกรธพี่เลยนะ ฉันแค่ไม่คิดชอบพี่แบบนั้นเท่านั้นเอง" 


    "ผมรู้" เขาหลบตาฉันพร้อมถอนหายใจ เขายกมีดเล่มนั้นขึ้นมา ไล้นิ้วไปตามดัานคมอย่างใจลอย "แต่เราไม่เคยมีโอกาสได้คุยกันอีก ผมเลยไม่รู้ว่าจะหาทางไหนมาบอกว่าผมรู้สึกยังไง ผมรู้ตัวว่าคงอยู่ได้อีกไม่นาน หมอเคยบอกอย่างนั้น" เขาลดเสียงลง หันไมค์ออกจากปาก "ผมแค่อยากหาโอกาสบอกคุณว่าผมรักคุณจริงๆ ผมอยากให้คุณยกโทษให้ที่ผมบังอาจใช้โอกาสนี้มาบอกคุณ"


    น้ำตาฉันเริ่มไหลหนักขึ้น"ฉันทำไม่ได้ ทำไมพี่ต้องบังคับให้ฉันทำแบบนี้ด้วย แล้วทำไมฉันต้องมาเจอกับเรื่องอะไรแบบนี้ด้วย" 


    พี่น้อตจับมือฉันขึ้นมาให้กุมด้ามมีดไว้ "ผมรู้ รู้ด้วยว่าคุณอึดอัด ผมรู้ว่าหลายคนที่รู้จักผมและคุณแอบคิดอะไร รู้ว่านั่นยิ่งทำให้คุณวางตัวลำบาก ต่อไปคุณจะได้ใช้ชีวิตโดยไม่มีต้องพะวักพะวนกับเรื่องนี้ จะไม่มีใครแอบพูดอะไรอีก"


    "ฉันทำไม่ได้"


    น้ำตาเขาก็ไหลพรากไม่น้อยไปกว่าฉัน "ผมขอโทษที่ต้องกึ่งๆ บังคับคุณ ผมไม่รู้จะมีทางอื่นอีกที่จะได้คุยกับคุณอีกครั้งก่อนจะตาย ยกโทษให้ผมเถอะนะ"


    "..."


    "ผมรักคุณ"


    "ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้รู้สึกอะไรกับพี่จริงๆ"


     "ไม่ใช่ความผิดของคุณ ผมต่างหากที่ผิดไปเอง คุณช่วยปลดปล่อยผมไปเถอะ" เขากุมมือของฉันให้สูงขึ้น ปลายมีดจ่อที่หน้าอกข้างซ้ายของเขา


    "..."  


    "อย่าร้องไห้สิ" เขาเอามือซ้ายรวบฉันเข้าไปอ้อมอกอย่างอ่อนโยน แต่หนักแน่น ปลายแหลมของมีดชำแรกหน้าอกของเขาไปช้าๆ "ขอให้ใช้ชีวิตดีๆ มีความสุขนะ" 


    ".... ฉัน... ฉัน อภัย ให้ พี่ ทุก อย่าง..." ฉันพูดออกมาแทบไม่เป็นคำ เสียงที่สะอึกสะอื้นของฉันดังเต็มสองหูของทุกคนบนสองฝั่งของสะพานตอนที่มีดทำครัวเล่มนั้นทิ่มทะลุออกข้างหลังเขาไป 


    "... ขอบคุณครับ" เลือดไหลออกมาจากหน้าอกของพี่น้อต นองออกมาจนฉันเปียกชุ่มไปทั้งตัว เขาพยายามรวบรวมคำพูดสุดท้าย "สวัสดี ...ปี ...ใหม่" 


    มีดยังอยู่ในมือของฉัน มืออีกข้างยังกอดศพของเขาอยู่อย่างนั้นเอง 


    เสียงสะอื้นไห้ของฉัน ดังออกไมโครโฟน ฟังดูคล้ายกับเสียงหัวเราะเอิ๊กๆ




     

     

    ป.ล.ตำนานอ้างอิงดัดแปลงจากเรื่องของพันท้ายนรสิงห์


    ตีพิมพ์ครั้งแรก STL 21 ธ.ค. 59

    แก้ไขสำหรับ Minimore 22 ธ.ค. 59

    

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
Panusak Boonkerd (@fb2702990459954)
พี่มีงานเขียนที่เป็นเล่มไหมครับ
@fb2702990459954 วางแผนอยู่ครับ