เราว่าเราต้องลองถอยกันมามองแล้วว่าการที่เอากลุ่มคนชนชั้นล่างมาอ้างอิง มันไม่ใช่แล้วเปล่า เราอาจจะอคติจากการนำเสนอวีแกนจากบางกลุ่มบางชนชั้นที่นำเสนอให้มันดูพรีเมี่ยม ต้องออแกนิค ต้องไร้สารพิษ ซึ่งพอมันเป็นออแกนิคและไร้สารพิษ มันก็ถูกอัพราคาตามกลไกตลาดของทุนนิยม เนื่องจากอาหารที่ถูกป้อนเข้าระบบมันเป็นอุตสาหกรรม เป็นการเลี้ยงการปลูกแบบจำนวนมาก ดังนั้นจึงต้องใช้ยาใช้วัคซีน เข้ามาที่อาหารของคนทั้งพืชและสัตว์ ราคาถึงได้ถูกกว่าออแกนิค แย่จัง ทุนนิยม

ซึ่งพอพูดประเด็นนี้มา มันก็โยงไปได้หลายคำถามที่ว่าคุณภาพอาหารของประชาชนนั้นดีพอหรือยัง แล้วอาหารที่เราผลิตออกมา เช่นการล้มวัวล้มหมูแต่ละปี กี่สิบล้านตัว เราชำแหละเยอะขนาดนี้ ชีวิตเขาถูกใช้คุ้มค่ากับที่เราชำแหละไปมั๊ย food wasteกี่ปีเท่าไหร่ food wasteเยอะขนาดนี้ ทำไมยังมีคนอดอยากอยู่อีก เนี่ยคือสิ่งที่ควรตั้งคำถามต่อ (ซึ่งfood wasteไม่ได้มีแต่เนื้อสัตว์นะ ผักผลไม้นี่ก็ทิ้งไปเยอะ) 

มันทำให้เรานึกถึงวัฒนธรรมบุฟเฟ่ อาหารบุฟเฟ่นี่เป็นส่วนนึงที่ทำให้food wasteเยอะมาก คนกินก็อาจจะงงว่าชั้นก็กินหมดหนิ ไปทิ้งตอนไหน ใช่ food wasteอาจจะไม่ได่เกี่ยวข้องกับส่วนของคนกิน แต่มันมาจากระบบของหลายๆร้าน คือร้านบุฟเฟ่จะต้องเติมของให้เต็มตลอด ลองนึกถึงร้านอาหารบุฟเฟ่ในโรงแรมของจะเต็มตลอด แล้วพอปิดร้านก็ต้องทิ้งอาหารให้หมด เพื่อวันต่อไปจะได้ขายอาหารที่สดใหม่ทุกวัน (ต๊าย นึกถึงร้านโดนัทนายทุนที่ต้องเททิ้งวันละหลายๆถาด) ที่พูดเนี่ยเพราะเคยเห็นส่วนทิ้งขยะของโรงแรมจะมีผลไม้ดีๆทิ้งไว้ รอรถขยะมาเก็บ วันละหลายๆถุงใหญ่ แล้วลองนึกว่าแค่ในกทมมีกี่โรงแรม เป็นภาพที่เห็นละรู้สึกบอกไม่ถูกเลยนะ อาหารตั้งเยอะขนาดนั้น เหลือทิ้ง เอาไปเลี้ยงคนหรือให้คนกินได้อีกตั้งเยอะ แบบเนี่ยทุนนิยม 

สำหรับเราทุนนิยมคือปัญหา (อ่าว ไหงมางี้5555) คือเราจะบอกในไอเดียเราว่า ไม่ว่าคุณจะเป็นวีแกน หรือต่อต้านวีแกน หรือจะทางไหน ต่อให้คุณสู้กันเองเถียงกันเอง แต่สุดท้ายนายทุนก็กินรวบทุกทางไม่ว่าจะกินเนื้อหรือกินผัก ถ้าเราควบคุมแนวทางคุณภาพการผลิตได้ สำหรับคนที่ยังกินเนื้อสัตว์ คุณจะได้คุณภาพอาหารที่ดีขึ้น สำหรับวีแกน อุตสาหกรรมเนื้อสัตว์อาจจะผลิตลดลงแค่เท่าที่จำเป็น คุณภาพชีวิตสัตว์เลี้ยงเพื่อบริโภคอาจจะดีขึ้น