เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
อิน(เทิร์น)หรอ?cherry moon
อิน(เทิร์น)หรอ 3: 1st day as an INTERN




  • ด้วยความที่เรามาถึงกันก่อนวันเริ่มฝึกงานสามวันเราเลยมีเวลาสำรวจฮานอยก่อนนิดหน่อยเนื่องจากว่าที่พักของเราอยู่ไม่ไกลจากสถานที่ท่องเที่ยวของฮานอยมากนัก ทั้งพิพิธภัณฑ์สงครามสุสานโฮจิมิน วัดหง็อกเซิน หรือห้างลอตเต้ภายในสามวันที่ว่างอยู่นี่เราเลยคิดกันว่าจะไปเที่ยวที่พวกนี้ให้หมดแล้วหลังจากนั้นช่วงวีคเอ็นของการทำงานก็อาจจะได้ไปเที่ยวฮาลองเบย์หรือะไรทำนองนั้นกัน

    ซึ่งสามวันนั้นเป็นสามวันที่สนุกจนรู้สึกว่าถ้าแม่งไม่ต้องไปทำงานก็คงจะดีเนอะแบบเที่ยวไปเรื่อยๆไม่ต้องคิดไร ใช้เงินอย่างเดียว 55555555555555555 ทำตัวเหมือนหาเงินเองได้เดือนละแสนป่ะ

     



     

    จนวันที่ทำงานมาถึง...

    ที่ทำงานเราเริ่มทำงาน 8.30 พัก 12.00-13.30 แล้วเลิกงาน 18.00น.

    เช้าวันแรกเรากับเพื่อนวางแผนว่าจะออกสัก 7.00 โมงซึ่งในความคิดเราคาดว่าเดินทางไม่เกินครึ่งชั่วโมงคงถึงเพราะที่พักกับที่ทำงานไม่ไกลกันมากแต่ก็นั่นแหละเผื่อเวลาไว้รถติดเพราะไม่รู้ว่าช่วงเช้าของที่นี่เหมือนช่วงเช้ากรุงเทพรึเปล่า;) แบงค่อกแลนด์แดนมหัศจรรย์ที่ต้องเผื่อเวลาเดินทางเกือบสองชั่วโมงแม้จะไปด้วยบีทีเอสเพราะไม่รู้มันจะเสียวันไหน

    เอาล่ะ เรามั่นใจมากว่ามันจะไปถึงที่ทำงานประมาณ 7.30และวันก่อนหน้านั้นเราก็ได้ลองปั่นจักรยานไปเซอเวย์พื้นที่มาแล้ว(และพบว่าน่าจะตายก่อนถึงออฟฟิศถ้าปั่นจักรยานไป)และด้วยความที่เรากับเพื่อนไม่มีใครขี่มอเตอร์ไซค์เป็นเลย(แต่เลือกมาเวียดนาม555555555)เราเลยเลือกการเดินทางด้วยรถเมล์เพราะไม่อยากเสี่ยงกับการอัพราคาของแท็กซี่หรือแกร็บไบค์ซึ่งรถเมล์ที่เราดูเอาไว้จากกูเกิลแมพเนี่ยคือป้ายมันอยู่เยื้องๆที่พักเราไปนิดเดียวเท่านั้นอารมณ์ประมาณว่าทุกเช้าเราจะเดินมาขึ้นรถใกล้ๆและรถก็จะไปส่งเราหน้าซอยออฟฟิศ เห้ออะไรมันจะเพอเฟคขนาดนี้อีกวะ

    รถที่เรานั่งคือเบอร์ 09A, ระหว่างที่นั่งอยู่เรากับเพื่อนก็เปิดกูเกิลแมพดูไปด้วยเพื่อความแน่ใจว่าเราจะต้องลงป้ายไหนซึ่งพอถึงทางที่มันต้องตรงแต่รถเมล์กลับเลี้ยว! ทีนี้ก็เลิกลั่กเลยดิแบบเอาไงดีวะแบบจะถามกระเป่ารถเมล์ก็คือเขาฟังอังกฤษไม่รู้เรื่องเราเลยคิดว่าเออหรือเขาเปลี่ยนเส้นทางวะแบบเขาอาจจะไปวนรถใต้สะพานรึเปล่า55555555555555 แต่ด้วยความที่เพื่อนเป็นคนไม่อยากเสี่ยงมันเลยบอกว่าเอาล่ะเราจะลงกันป้ายหน้าแล้วเดินต่อ ระยะทาง 800 เมตร ตามกูเกิลแมพ ฮื่อออออ! แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากลงตามมันแล้วสาปส่งกูเกิลแมพที่แม่งบอกทางผิดอิเวร!

     




    สรุปแล้วเช้านั้นเราไปถึงออฟฟิศประมาณแปดโมงนิดๆ ตึกออฟฟิศดูภายนอกคือเหมือนตึกอพาร์ทเม้นท์เก้าชั้นปกติมากๆ5555555 ไม่นึกว่าจะมีบริษัทอะไรก็ตามอยู่ในนั้น แต่พอกดลิฟท์ขึ้นไปถึงชั้น 9เราก็ร็สึกตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้ง เพราะบริษัทในแบบที่เราคิดไว้กับที่เห็นมันค่อนข้างต่างกันพอสมควรเลยในความคิดเราคือเป็นบริษัทเล็กๆที่ทำงานกันอยู่ไม่เกินห้าคน ไม่ได้รับงานสเกลใหญ่มากเป็นห้องออฟฟิศเล็กๆน่ารักๆอะไรทำนองนี้ แต่ความจริงคือมันดูเป็นออฟฟิศขนาดกลางๆและมีโต๊ะพนักงานเยอะกว่าที่เราคิดไว้มาก(แต่ตอนหลังก็รู้ว่าอ่อ มันเป็นสองบริษัทที่เป็นเพื่อนกัน บริษัทเราก็ยังคงมีพนักงานสี่คนไม่รวมบอส5555555)

    ในเวลานั้นออฟฟิศยังคงปิดไฟมืด แต่เราสามารถมองผ่านกระจกใสเข้าไปเห็นโมเดลสถาปัตยกรรมต่างๆที่อยู่ภายในได้ซึ่งแต่ละงานก็ดูไม่เล็กแบบที่เราคิดไว้เลยซึ่งมันก็ทำให้เราแอบใจแป้วเล็กน้อยเพราะโดยส่วนตัวเราไม่อยากทำงานในสเกลที่มันใหญ่มากนักเราและเพื่อนชอบงานสเกลเล็กๆแบบพวกบ้าน เรซสิเด้นเชี่ยล หรือโรงแรมเล็กๆอะไรแบบนี้มากกว่า

    จนเวลาประมาณ 8.30 ก็มีพนักงานคนแรกมาถึงออฟฟิศ ซึ่งเขาเป็นพี่ผู้ญิงพนักงานออฟฟิศข้างๆที่อยู่ติดกันแบบแค่มีผนังเบากั้น เขาพาเราเข้ามานั่งรอคนอื่นๆข้างในระหว่างนั้นที่เริ่มมีพนักงานคนอื่นๆเข้ามาเรากับเพื่อนเกร็งมากพูดเฮลโล่กับทุกคนที่เดินผ่านเข้ามาในประตูออฟฟิศ5555555555555 จนในที่สุดบอสก็มาถึง บอสคนที่มาก่อนเป็นบอสฝรั่งซึ่งตอนแรกเราไม่รู้เพราะเขาเข้ามาตรวจงานพนักงานและที่เรานั่งอยู่คือเขาไม่ได้เดินผ่านจนในตอนที่เขามาทักทายนั่นแหละถึงรู้ว่าเออคนนี้หัวหน้านะซึ่งเขาก็ต่างกับที่เราคิดมากเหมือนกัน 555555555555 เอาจริงประเทศนี้แม่งเซอไพร้ซ์เราบ่อยมากนะ.

    บอสฝรั่งชื่อทิม เป็นชาวออสเตรเลีย, ในเว็บของบริษัทเขาดูเป็นคนจริงจังมากซึ่งเราหวั่นใจกับเขามากว่าจะเป็นคนเข้มงวดรึเปล่าวะอะไรแบบนี้แต่พอเขาเข้ามาทักแค่นั้นแหละ ว้อยยยยยยย น่ารักมากกกก สำหรับเราเขาเหมือนฝรั่งปลอมมากๆ(ตัดสินจาดสเตอริโอไทป์ฝรั่งที่เคยรู้จักมา)คือเป็นคนที่ขี้เกรงใจและดูขี้อายแล้วหน้าตาเขาใจดีมาก เสียงเขานุ่มมาก นุ่มแบบว่าหากนึกไม่ออกให้ลองนึกถึงเสียงของทอมฮิดเดิลสตัน (aka Loki) ซึ่งเขามาตรวจงานพนักงงานแป๊ปนึงแล้วก็ไป

    หลังจากนั้นไม่นานบอสญี่ปุ่นก็เข้ามาTake San, ซึ่งคนนี้ไม่ต่างจากที่เราคิดมากนัก555555555 คือเราคิดไว้ว่าเขาน่าจะเป็นคนจริงจังและเข้มงวดซึ่งก็เป็นงั้นจริงแต่อาจไม่เยอะเท่ากับที่เราคิดไว้บอสเข้ามาทักทายเรากับเพื่อนแป๊ปนึงแล้วก็รีบออกไป ก่อนไปก็เกริ่นเรื่องโปรเจคที่ทำอยู่ให้ฟังและบอกว่าเรากับเพื่อนจะได้ทำหน้าที่อะไรในบริษัท

    โปรเจคที่เราต้องเผชิญคือโปรเจคโรงเรียนนานาชาติในฮานอยซึ่งตอนนี้มีคิดเอาไว้สองแบบสำหรับให้ลูกค้าเลือก ซึ่งเรากับเพื่อนจะต้องแยกกันไปช่วยเจ้าของแบบแต่ละแบบนั้นเหมือนไปซัพพอร์ทเขาในทุกๆเรื่องไม่ว่าจะเป็น โมเดล เสนอแบบเล็กๆน้อยๆหรือทำไดอะแกรม ซึ่งเราในตอนนั้นรู้สึกอึดอัดมากเพราะเราต่างไม่รู้จักกันและกันแต่แม่งก็จะต้องไปประกบติดเป็นลูกมือเขาแล้วสิ่งที่กลัวก็คือว่าความชอบของเรากับเขามันจะจูนกันไม่ได้อ่ะเอาจริงๆ

     


    พนักงานในบริษัทเรามีอยู่สี่คนถ้าไม่รวมบอสและอินเทิร์นสามคนเป็นสถาปนิกอีกหนึ่งคนเป็นเลขา

    คนแรกเป็นผู้หญิงชื่อ Ahn : เจ้าของแบบโรงเรียนนานาชาติ1

    ตอนแรกเรานึกว่าเขาเป็นคนญี่ปุ่นด้วยซ้ำ55555 ด้วยสไตล์ที่ราวกับว่าตั้งแต่หัวจรดเท้าไปเหมามาจากยูนิโคล่ แต่เขาน่ารักมากๆแบบของเขาก็น่ารักมากๆเช่นกัน

     

    คนที่สองเป็นชายหนุ่มชื่อ Dam : เจ้าของโรงเรียนนานาชาติ2

    ตอนแรกเราไม่ค่อยได้คุยกับเขามากเพราะเขามีลุคที่ดูโตมากประมาณว่าเป็นซีเนียร์ที่ทำงานมาหลายปีแล้ว แต่พอได้คุยเท่านั้นแหละก็ร็เลยว่าคุยเก่งชิพหายแล้วเราก็ได้จับคู่กับเขาอยู่ระยะนึงในช่วงก่อนที่ลูกค้าจะเลือกแบบ

     

    คนที่สามเป็นผู้ชายอีกคนนึงชื่อ Dai(ด๊ะห์) : น้องใหม่ของออฟฟิศ

    เป็นคนที่เราหมายตาไว้ตั้งแต่แรกๆเลยว่าคนนี้แหละเราจะผูกมิตร! ด้วยความที่เขาดูเป็นคนน่ารักมากๆ แบบว่าน้องงงงงงและเราคิดว่าเขาน่าจะอายุไม่ต่างกับเรามากประมาณว่าเพิ่งเรียนจบอะไรประมาณนี้ ซึ่งความจริงคือเขาอายุ26! โดยที่ Dam ซึ่งเรามองว่าเขาน่าจะโตสุดกลับอายุน้อยกว่าคนนี้อีกอ่ะ 55555

     

    คนสุดท้ายชื่อ Ha เป็นผู้หญิงที่แลดูหวานมากกก : ทำทุกอย่างที่ไม่ใช่งานสถาปัตยกรรม

    คนนี้น่ารักมากเราส่งอีเมล์ถามเขาบ่อยมากช่วงเวลาที่อยู่ไทยว่าตกลงอะไรยังไงทำอันนี้ให้หน่อยได้มั้ย สอบถามนู่นนี่นั่นแล้วคือเขาตอบกลับมาแบบดีมากตลอดเวลา555555 แล้วคือตัวจริงเขาก็น่ารักมากจริง

     

     

     

    ช่วงเช้าของวันนั้นนอกจากไถไลน์โหยหวนกับบรรดาเพื่อนๆที่ประเทศไทยแล้วเราก็ไม่ค่อยจะได้ทำอะไรสักเท่าไหร่พนักงานในออฟฟิศดูยุ่งกันหมดซึ่งเราก็มารู้ทีหลังว่าวันนั้นมีประชุมกับลูกค้าตอนบ่ายและเขาต้องเสนอแบบกันเป็นบรรยากาศมาคุที่ทำให้เราแอบคิดว่าเออ แม่งไม่เป็นแล้วดีป่ะสถาปนิกทำไมต้องพาตัวเองมาอยู่ในสถานการณืที่ประสาทจะแดกขนาดนี้ด้วยวะ ฮ่าๆๆ

     

    จนเวลา12.00น. เรากับเพื่อนด้วยความเป็นเด็กใหม่เลยไม่กล้าลุกไปกินข้าวก่อนชาวบ้านเขาแล้วก็ไม่ร็ด้วยแหละว่าต้องไปกินตรงไหนมีร้านอะไรบ้าง หรือเรากินอะไรได้บ้างเพราะสามวันที่มาถึงก่อนสิ่งที่กินก็คือเฝอๆๆๆๆๆๆ . แต่พนักงานที่อ้อฟฟิศคงจะเวทแหละเขาเลยมาสะกิดแล้วเรียกไปกินข้าวด้วยกันซึ่งวันนั้นไปเป็นแก๊งค์ใหญ่มากประมาณสิบกว่าคนได้และเราก็ได้รู้ว่าเราและเพื่อนไม่ได้เป็นชาวต่างชาติพวกเดียวในอ้อฟฟิศแต่ยังคงมีอินเทิร์นออฟฟิศข้างๆจากอินเดียและฝรั่งเศสและในตอนกลางวันนั้นเรารู้สึกว่าทุกคนเฟรนด์ลี่และใส่ใจเรากับเพื่อนมากทุกคนดูตื่นเต้นที่จะได้คุยกับเราจนเรารู้สึกเหมือนเป็นเด็กฮอทๆตอนมอปลายประมาณนั้นเลย5555555555555555555555555 เติมเต็มความฝันมาก. แล้วก็ใช่ นั่นเป็นอีกเรื่องนึงที่เซอไพร้เรา

     



    ช่วงบ่าย...

    เป็นช่วงที่บริษัทมีประชุมกับลูกค้าซึ่งตอนแรกเราตื่นเต้นมากที่จะได้มีโอกาสเข้าไปสาระแนว่าบรรยากาศจริงมันเป็นยังไงดุเดือดเลือดพล่านเหมือนตอนอาจารย์ที่มหาลัยด่ามั้ยซึ่งเราก็ค้นพบว่าอาจารย์มหาลัยเราด่าได้เจ็บกว่าลูกค้าเยอะมากๆ และเราได้พิสูจน์แล้วว่าคำที่เขาบอกจบออกไปทำงานจริงลูกค้าเขาร้ายกว่าผมเยอะ เขาไม่ไว้หน้าคุณหรอกแม่งเป้นเรื่องโกหก ซึ่งเอาจริงเราก็คิดมานานแล้วแหละว่าเขาปั่นเพราะถ้าลูกค้าพูดกับเราแบบที่อาจารย์พูดกับเราเราคงไม่ทำแล้วให้เขาไปหาบริษัทใหม่ที่ถูกใจเถอะ.และมันก็เป็นสิ่งที่เราอยากรู้มากเหมือนกันนะว่าอาจารย์คณะสถาปัตย์ทำไมเขาขยันสรรหาถ้อยคำที่มันทิ่มแทงมาวิจารณ์ได้เสมอๆ

     

    การประชุมจบลงประมาณสี่โมงกว่าเราปวดหัวมากแบบหัวจะรัเบิดถึงแม้จะไม่ได้มีหน้าที่รับหน้าหรือโดนด่าไปด้วยก็ตามเราคิดว่ามันคงเป็นเพราะยังไม่ชินที่ต้องแปลจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยในหัวแบบที่ว่าเครื่องรวนกันเลยที่เดียว.แต่ก็จบลงที่ลูกค้าบอกว่าขอกลับไปตัดสินใจก่อนเลือกแบบ...

     




    วันแรกจบลงเราออกจากออฟฟิศประมาณหกโมงครึ่งกะว่าจะขึ้นรถเมล์สายเดิมแหละไปออฟฟิศเพราะกูเกิลแมพบอกมาว่าให้ขึ้นสายนี้(ยังไม่หราบจำ!) พอรถเมล์มาก็เดินขึ้นแบบชิวๆจ่ายตังค์พร้อมความหวังว่าจะกลับไปนอน แต่แล้วรถแม่งก็เลี้ยวอีกละตอนนั้นก็แบบเออหรือว่ามันจะไปอีกทางวะเป็นอีกรูทนึงแต่ก็ผ่านบ้านอะไรแบบนี้ จนสุดท้ายคือแม่งไม่ใช่ละมันห่างบ้านออกไปเรื่อยๆเลยตัดสินใจลงและขึ้นอีกคันนึงซึ่งก็ขึ้นผิดฝั่งอีก โว้ยยยยยย วันนั้นแม่งแบบคิดสภาพว่าปวดหัวแทบจะระเบิดจากประชุมตอนบ่ายแล้วต้องมาเจอเหตุการณ์แบบนี้อ่ะวันนั้นคือหงุดหงิดมากและก่นด่าประเทศนี้แบบว่าวายวอดมาก(ลืมด่าความเอ๋อของตัวเองเลย)ซึ่งจนตอนนี้เป็นเวลาสองอาทิตย์กว่าแล้วเราก็ยังไม่รู้ว่าทำไมสายรถเมล์ของที่นี่มันวิ่งได้ประสาทแดกมากคือรอบไปและรอบกลับมันคนละเส้นกันแบบถึงแม้ตอนไปจะสามารถขึ้นจากป้ายหน้าบ้านได้แต่ตอนกลับคือป้ายอยู่อีกที่ต้องเดินประมาณ700เมตร คือบั่บ อิหยังวะ!

    จนในที่สุดก็สามารถกลับมาถึงที่พักเกือบๆสองทุ่มหลังจากอาบน้ำอาบท่าวีดีโอคอลกับทางบ้านแล้วก็นอนยาวเลย อยากจบวันนี้ให้เร็วที่สุด!






เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in