'เวียดนาม? เอาจริงหรอเขามีซีเนียร์รับรองป่ะเนี่ย? '
'ไปทำไมอ่ะ? '
'เห้ย! ได้ไปจริงป่ะ เจ๋ง '
ปฏิกิริยาหลากหลายมากตอนที่เราเริ่มบอกคนใกล้ตัวและอาจารย์ที่ปรึกษาว่าจะมาฝึกงานที่เวียดนามบางคนก็ตื่นเต้นไปกับเราบางคนก็เหมือนยังมีความสงสัยในประเทศนี้อยู่ 555555 ยิ่งบ้านเรายิ่งแล้วใหญ่ เขาทำเหมือนตอนนี้โลกยังอยู่ในยุค 60s-70s ประมาณนั้นเลย
ซึ่งมันก็ไม่แปลกหรอกที่คนจะมองประเทศนี้แบบนั้น เพราะเราเองก็เคยคิดสงสัยในประเทศนี้เหมือนกัน
ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 24 พฤษภาคม 2018, เป็นครั้งแรกที่เราได้มาประเทศเวียดนาม.
ในตอนนั้นเราและเพื่อนอีกห้าคนมาในฐานะนักท่องเที่ยวการเที่ยวก็คือดูรีวิวตามกระทู้ที่หาเจอในเน็ตโดยสาเหตุที่พวกเราเลือกประเทศนี้ก็เพราะว่าเป็นประเทศที่ไม่ไกลค่าตั๋วไม่แพงมากและเราสามารถเที่ยวได้ในเวลา 5 วัน ก่อนจะต้องกลับไปเรียนซัมเมอร์ที่มหาลัย
เมืองที่พวกเราเลือกในตอนนั้นคือ โฮจิมินห์-ดาลัด-มุยเน่ เป็น 3เมืองที่หลากสไตล์มากกกก
เราตื่นเต้นมากเพราะเป็นครั้งแรกที่มาเที่ยวเองในประเทศที่เป็นภาษาอื่นและเราก็ไม่มั่นใจในสกิลภาษาอังกฤษทั้งของเราและเขาเท่าไหร่แต่พอมาถึงโฮจิมินห์เราประทับใจมากเรารู้สึกว่ามันคล้ายกรุงเทพแต่อาจจะต้นไม้เยอะกว่าและมีการวางผังเมืองมากกว่ากรุงเทพซึ่งเรากับเพื่อนในฐานะคนที่เรียนคณะสถาปัตย์ค่อนข้างประทับใจนะที่ได้มาเที่ยวเมืองที่ให้ความสำคัญกับการออกแบบระดับนึง5555555555
ทริปนั้นจบลงไปด้วยความสนุกและเราพอใจกับมันนะ ถึงขนาดที่รู้สึกว่า’
และมันก็จบไปเราและเพื่อนกลับไปใช้ชีวิตปกติโดยมีความประทับใจในทริปนั้นอยู่ในใจตลอดมา(โดยไม่รู้เลยว่าการมาเยือนอีกครั้งจะเปลี่ยนความคิดนี้ไปได้
จนกระทั่ง...
‘นิสิตต้องหาที่ฝึกงานนะคะอย่างน้อย 320 ชั่วโมงไม่งั้นไม่ผ่านเกณฑ์ค่ะ ‘
ฝึกงาน!!!
มันเป็นอะไรที่เรารู้สึกกลัวมากตั้งแต่เข้ามหาลัยมา เอาเป็นว่าเรากลัวมันมากกว่าทีสิสเสียอีก(แต่ตอนนี้กลัวทีสิสมากกว่าแล้วจ้าแงงงง) เรากลัวมากการเข้าไปเป็นเด็กฝึกงานทั้งจากคำบอกเล่าในเน็ตหรือที่ต่างๆและโดยส่วนตัวคือเป็นคนที่สกิลการเข้าสังคมแทบติดลบคิดไปต่างๆนาๆแล้วว่าต้องทำตัวยังไงวะ จะยื่นพอร์ทยังไง เขียนเมล์ยังไงสัมภาษณ์ต้องทำหน้าไงไม่ให้ดูอ่อนหัดวะ คือบั่บ 555555555 ปสด. มาก
แต่ก็นั่นแหละ เราไม่สามารถหนีมันไปได้พ้นถ้าเราต้องการจะเรียนจบ
จนเวลามันผ่านไปสักพักนึง ในช่วงนั้นเป็นช่วงที่ประเทศมีเหตุการณ์น่าปวดหัวจนเรารู้สึกว่า‘แม่ง! ไม่อยากอยู่ประเทศนี้แล้วอยากเป็นคนชาติอื่นโว้ยเอากูออกไปที! ‘ นั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆของการตัดสินใจจะออกมานอกประเทศของเรา.
ซึ่งมันก็อาจจะเป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่ความประทับใจแม่งก็ยังฝังแน่นอ่ะเพื่อนเราคนนึงเลยมาชวนพอดีว่า ‘ เห้ย ไปฝึกงานเวียดนามกันมั้ย? ‘
หลังจากที่เรามองเวียดนามเป็นสถานที่แรกที่เราอยากไปแล้วทีนี้ก่อนหน้านั้นสิ่งที่เราต้องทำกันคือทำพอร์ทให้เสร็จเพราะไม่งั้นมันจะไม่มียื่นไปสมัครเขาซึ่งด่านนี้แม่งก็กินเวลานานพอสมควรด้วยความที่เราและเพื่อนไม่ได้มีบริษัทไหนในใจกะว่าทำพอร์ทเสร็จแล้วค่อยหาบริษัทแล้วหว่านเมล์ไปแต่ในช่วงที่ต้องทำพอร์ทนี้มันก็มีกิจกรรมให้ทำมากเหลือเกินทั้งไปค่ายอาสาของคณะไปทำเวิร์คชอป และอีเวนท์คณะรวมถึงความขี้เกียจและเอื่อยเฉื่อยของเราที่กว่าจะทำพอร์ทเสร็จก็กินเวลาไปปลายๆเดือนกุมภาแล้วซึ่งตอนนั้นเพื่อนหลายคนได้ที่ฝึกงานกันไปเรียบร้อยมันเลยทำให้รู้สึกตุ้มๆต่อมๆนิดนึง
หลังจากนั้นช่วงเวลาแห่งการส่งพอร์ทยื่นสมัครงานก็มาถึง เราและเพื่อนช่วยกันหาบริษัทที่คิดว่าน่าสนใจและสไตล์งานเป็นแบบที่เราอยากไปเรียนรู้ซึ่งก็มีหลายบริษัทมากที่น่าสนใจและเราได้รู้ในตอนนั้นเองว่าเวียดนามมีบริษัทสถาปนิกที่งานสวยๆเยอะมากกกกกกกและงานส่วนใหญ่ก็เป็นงานสถาปัตยกรรมสีเขียวซึ่งเป็นแนวงานที่มหาลัยเราโฟกัสเราดีใจมาก รู้สึกว่า แม่ง! เลือกถูกที่จังโว้ย!
โดยส่วนตัวของเราส่งเมล์ไปหลายบริษัทมากเพราะเหมือนเวียดนามคือเขาไม่ได้ระบุเวลาปิดรับสมัครเด็กฝึกงานเอาไว้เหมือนบริษัทไทยเอาเป็นว่าเราหว่านไปเป็นสิบที่แต่ไม่มีใครตอบกลับมาเลย ที่ตอบกลับมาก็คือบอกว่าคนเต็มและหวังว่าจะร่วมงานกันในอนาคตอะไรประมาณนั้นT^Tเราจากที่ใจตุ้มๆต่อมๆแล้วทีนี้คือใจแป้วอ่ะ คิดแล้วว่าทำไงดีวะถ้าไม่ได้ที่ฝึกงานแล้วด้วยเวลาที่มันใกล้เข้ามาแล้วด้วยแหละเหมือนในไทยเขาก็เริ่มปิดรับสมัครไปหมดแล้วเราแบบเริ่มคิดแล้วว่าลองติดต่อบริษัทแถวบ้านไปดีมั้ยวะ
จนในที่สุดก็มีบริษัทนึงตอบกลับมาหาเราและเพื่อนเป็นบริษัทที่เจ้าของเป็นคนญี่ปุ่นกับฝรั่ง ตอนแรกเราทักไปถามเขาในเฟสบุ๊คว่ายังต้องการคนอยู่มั้ยคือไม่อยากส่งเมล์ไปเก้อๆอีกแล้วอ่ะ ซึ่งเขาก็ตอบมาแบบเฟรนด์ลี่มากว่าให้ลองส่งประวัติกับพอร์ทไปแล้วเขาจะติดต่อกลับมาซึ่งนั่นเป็นความประทับใจแรกของเราต่อบริษัท เราคิดว่าถ้าบรรยากาศในที่ทำงานดีอะไรมันก็ดีทั้งนั้นแหละ
หลังจากเราส่งเมล์ไปได้สักสองวันเขาก็ยังไม่ตอบกลับมาตอนนั้นคือแบบเตรียมใจแล้วว่าแม่งต้องปิ้วเหมือนที่อื่นแน่ๆ เรารู้สึกหมดหนทางจนถึงขนาดชวนเพื่อนว่าแบบ‘มึง ไปบนผู้ก่อตั้งมหาลัยกันมั้ยวะ ’ (ซึ่งก็ไปจริง)555555555555 แบบไม่ได้ด้วยเล่ห์ต้องเอาด้วยกลแล้วอ่ะตอนนั้น มันต้องสักทางแล้ว!
แล้วเขาก็ตอบกลับมาจนได้...
ตอนนั้นจำได้ว่าเรากำลังนั่งรถไฟฟ้ากลับบ้านด้วยระยะทางที่ไกลมากจากหมอชิตถึงสำโรงเราเลยหยิบมือถือขึ้นมากดดูนู่นดูนี่ไปเรื่อยๆจนกระทั่งมันมีเมล์เข้ามา ตอนแรกเราไม่ได้คาดหวังว่ามันจะเป้นเมล์ของบริษัทไหนก็ตามแต่แล้ว555555 แต่เราก็กดเข้าไปดู แล้วก็โป๊ะเช๊ะ! เขารับแล้วโว้ยยยย!
ตอนนั้นคือดีใจมากแบบกลั้นยิ้มแทบไม่อยู่แต่ก็กลัวคนบนบีทีเอสด่าว่าเป็นบ้าก็คือกลั้นยิ้มจมูกบานอ่ะตอนนั้น พอตั้งสติได้ก็ไลน์ไปหาเพื่อนซึ่งมันก็ได้เหมือนกันก็แบบดีใจหนักกว่าเดิมตอนแรกเรากะว่าจะกลับถึงบ้านก่อนค่อยบอกแม่แต่ความตื้นตันมันเต็มเปี่ยมมากเลยแบบโทรบอกแม่ณ ตอนนั้นเลย
แล้วหลังจากนั้นก็เป็นเหตุการณ์ตามด้านบน...
เราในตอนนั้นสบายใจดีใจและตื่นเต้นมากกับสิ่งที่จะต้องไปเจอในอนาคตเอาจริงๆก็ไม่ได้นึกเอาไว้เลยว่าถ้ามันไม่ออกมาเป็นแบบที่คิดไว้จะเป็นยังไงวะอาจเพราะเคยมาประเทศนี้ครั้งนึงด้วยแล้วเลยลำพองใจว่ามันก็ไม่ได้สักเท่าไหร่นี่หว่าตอนที่ทุกคนเตือนทุกคนถามมันเลยไม่ได้เข้าหูเราสักเท่าไหร่ เราไม่ได้เผื่อใจว่าการมาเที่ยวกับการมาอยู่มันอาจจะไม่เหมือนกันและหลังจากที่เรามาเราก็พบว่ามันไม่เหมือนกันจริงๆ...
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in