๒
/
ฤดูฝน, ปี ๒๕๖๓
ในเดือนกันยายน
ㅡ
ส่วนวันนี้เขากำลังง่วนกับการเตรียมวัตถุดิบสำหรับเมนูผัดถั่วงอกเต้าหู้หมูสับ มือเรียวจับด้ามมีดหั่นเต้าหู้อย่างทะมัดทะแมงเพราะได้เข้าครัวกับแม่และยายแต่เด็ก บางครั้งก็ถูกให้ใช้ทำอะไรจุกจิก บางคราก็กลายเป็นหัวหน้าพ่อครัวในบ้าน
รามสูรหวนกลับไปสู่วันวาน, ห้องครัวทางปีกซ้ายที่กินพื้นที่กว้างกว่าห้องนั่งเล่น ยามเขายังเป็นเด็กประถมก็ได้สำรวจอุปกรณ์ในนั้นอย่างครบถ้วน จนกระทั่งเข้ามัธยมต้น, คุณยายผู้มีรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าใจดีก็อนุญาตให้รามสูรจับมีดและใช้น้ำมันได้ (ซึ่งแน่นอนว่ามีรอยน้ำมันกระเด็นฝากไว้บนท่อนแขน) เขาฝึกหัดจนทำได้หลายอย่างทั้งคาวหวาน เพียงเพื่ออยากให้คุณยายเอ่ยชมเชยกับฝีมือการทำอาหารของตน ท่านจะได้ไม่ต้องห่วงแล้วว่าหลานชายตัวน้อยคนนี้จะเลี้ยงตัวเองได้หรือไม่
แต่แล้วกาลเวลาก็ไม่รอท่า ความตายพรากผู้อาวุโสของบ้านหลังนี้ไปจากอ้อมกอดของเด็กชายวัยสิบสี่ปี
ㅡ ทั้งที่คุณยายยังไม่ได้ทานบัวลอยฝีมือหลายชายเพียงคนเดียวของเธอ
/
อากาศร้อนอบอ้าวเป็นสัญญาณว่าฝนจะตกในไม่กี่ชั่วโมงถัดไป รามสูรอยู่ในเสื้อยืดคอกลมตัวโคร่ง และกางเกงเชือกผูกขาสั้น เขากำลังเล่นกับเจ้าหง่าวในห้องนั่งเล่นด้วยไม้ล่อแมว
เพียงชั่วครู่, ความง่วงงุนก็เข้าครอบงำเปลือกตาของชายหนุ่ม เขาซุกตัวในโซฟาผ้าคล้ายต้องการแสวงหาความอบอุ่น อาจเพราะเครื่องปรับอากาศที่เย็นฉ่ำ ไม่ก็ความเหนื่อยอ่อนจากการจ้องมองหน้ากระดาษอันว่างเปล่า ㅡ เขียนไม่ออกเลยสักตัว
ร่างสูงเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างทันที เจ้าหง่าวเดินต้วมเตี้ยม ล้มตัวลงข้างล่างโซฟา และเฝ้าเจ้านายที่กำลังอยู่ในห้วงภวังค์
รามสูรมักมีคำกล่าวติดปากว่า ㅡ
ซาตานคือตัวอักษร และวิญญาณกลวงเปล่าคือนักเขียน,
เพราะเหล่านักเขียนทั้งหลายมอบวิญญาณครึ่งนึงแก่หน้ากระดาษ เราต่างใส่ตัวตนลงไปในอักษรที่ร้อยเรียงกันเป็นคำ จากคำเป็นประโยค จากประโยคเป็นเรื่องราว
ซาตานแท้จริงมิได้อยู่ในนรก, สำหรับนักเขียน, หากแต่เป็นผลงานที่พวกเขาสรรค์สร้าง
เราล้วนสละเวลา จิตใจ และตัวตน มอบแด่ซาตาน ㅡ แลกกับดวงใจอันถูกเติมเต็ม
รามสูรไม่คิดว่านักเขียนควรเอาใจนักอ่าน, นักเขียนและนักอ่านควรได้ประโยชน์ร่วมกัน, กล่าวคือ ผู้รังสรรค์ควรได้เขียนเพื่อเติมเต็มจินตนาการตนเป็นประการแรก ก่อนจรดนิ้วบนแป้นพิมพ์เพื่อให้ผู้อ่านได้อะไรก่อนปิดหนังสือเป็นประการที่สอง
เมื่อรามสูรกลับมาอ่านถ้อยคำบนหน้ากระดาษ
เขาก็ได้สัมผัสตัวตนอันถูกฝากไว้บนนั้น
ยามสูญสิ้นวิญญาณจนเจียนตาย
เขาละลายตัวอักษรพวกนั้น
ใส่ในแก้วทรงสูง
ดื่มตัวตนที่สูญเสียไป
ให้หลั่งรินอาบหัวใจ
เป็นเครื่องย้ำเตือนว่า, เขายังคงมีชีวิต
ณ โลกใบเส็งเคร็ง และโลกอันเป็นนิรันด์
เพราะหนังสือแม้ถูกเผาเป็นขี้เถ้า
แต่ผู้ที่ได้อ่านมันไม่เคยลืมเลือน
/
ห้านาฬิกาสิบสี่นาที, รามสูรจ้องมองท้องฟ้าที่มีเมฆเทาปกคลุมบางส่วน กลิ่นชื้นของดินลอยแตะจมูก เป็นสัญญาณว่าหยาดฝนกำลังจะกลั่นตัวลงมายังพื้นโลก วันนี้อารมณ์เขาอึมครึมด้วยเพราะความรู้สึกหลากหลายตีกันจนจุกจากอกถึงคอ, กังวลว่าต่อจากนี้เขาต้องละทิ้งการเขียนไปหรือไม่,
การหมดความสามารถในสิ่งที่ตนเองเคยเก่ง ㅡ นี่แหละน่ากลัวที่สุด
เขาอยากสัมผัสสายฝน ให้มันชะล้างความเหนื่อยล้าตามกายและใจออกไปเสียบ้าง พร้อมหวังข้างในลึกๆว่า, หลังฝนตกหนักครั้งนี้ ดวงอาทิตย์จะกลับมาส่องประกาย ㅡ อีกครั้ง
รามสูรเปิดประตูบ้านออกไป พร้อมกับหยาดน้ำฟ้าหยดแหมะบนข้างแก้ม เขาเงยหน้าขึ้น, ภาสกรหลบฉากไปอยู่หลังเมฆก้อนใหญ่สีทะมึน เสียงฝนกระทบหลังคาบ้าน, ใบไม้, พื้นดิน รับช่วงต่อกันเป็นทำนองรอบกายเขา ขายาวพาตัวเองเดินเลียบไปยังข้างบ้านสวน พร้อมพิรุณที่กำลังพรำลงมา, บนเส้นผมสีดำขลับราวปีกกา บนบ่ากว้างที่ลู่ลงเล็กน้อยในเสื้อยืดสีน้ำตาลอ่อน บนแพขนตาที่ขยับขึ้นลงอย่างเชื่องช้า
'ออกมาทำไมนะ' เขาคิดอย่างคล้ายเพิ่งรู้สึกตัว แต่ก็ไม่หันกลับไป รามกวาดสายตาผ่านสายฝน
ตรงหน้าคือต้นพุดซ้อน, ยืนสง่างามท่ามกลางฤดูฝน กลีบดอกที่ซ้อนกันเป็นชั้นชวนให้นึกถึงกระโปรงของเจ้าหญิงโฉมงาม กลุ่มใบสีเขียวขจียามต้องหยาดน้ำดูมันเป็นเงา รามสูรหลับตา, สูดเอากลิ่นชื้นฝนผสมรวมกับกลิ่นสุคนธ์หอมชื่นจากบุปผาลงปอดสองข้าง พิรุณเริ่มตกลงมามากขึ้นจนผมสีมะเดื่อลู่ลงกับกรอบหน้า หยดน้ำเกาะพราวบนดวงหน้าคมและริมฝีปากหยัก
บรรยากาศรอบกายเป็นสีเทาครึ้มฟ้าครึ้มฝน ลมหนาวพัดมาเยือนทำให้อากาศเย็นกว่าเดิม ชายหนุ่มเปิดเปลือกตาอย่างช้าๆ เงยหน้ามองแพเมฆกำลังเดินทางเติมความเหงาใจให้แก่แห่งหนอื่น ㅡฤดูฝนเป็นช่วงเวลาที่เหมาะกับคำว่าเหงาหงอยรองลงมาจากฤดูหนาว ความเย็นฉ่ำอันเคว้งคว้างชวนให้ทุกคนฟังเพลงเศร้า เสียงฝนพรำเปาะแปะกระทบกับต้นไม้ใบหญ้าชวนให้นึกถึงฤดูฝนปีก่อนอันว่างเปล่า
แล้วปีนี้จะต่างไปหรือไม่หนอ?
ก่อนตะวันจะยาตรามาถึง รามสูรยื่นมือไปลูบกลีบดอกพุดซ้อนสีกระจ่างอย่างเบามือ เกลี่ยหยาดน้ำด้วยนิ้วโป้งขวา แววตาอ่อนลงคล้ายแย้มยิ้มหากแต่มุมปากยังคงสงบนิ่ง
พลันปรากฏแสงทองส่องจากดวงดอกไม้ในมือ
"เฮ้ย ! ! !" ใบหน้าคมตื่นตระหนก เขาชักมือออกทันที ขาก้าวไปข้างหลังอย่างไม่รู้ตัว ชายหนุ่มวัยยี่สิบแปดยกมือขยี้ตาด้วยคิดว่าอาจเป็นเพราะฝน จึงทำให้มันพร่ามัวเห็นบางอย่างซึ่งเกินจริง
แต่เขาคิดผิดถนัด
ยามลืมตานั่นน่าตกใจกว่า
ตรงหน้ารามสูร, ใต้ต้นพุด, มีคนในเสื้อเชิ้ตสีครีม กางเกงสแลคและรองเท้าหนัง ดวงหน้าเกลี้ยงเกลาเงยขึ้นสบสายตากับเจ้าของบ้านที่ตัวแข็งทื่อ แก้วตาสีน้ำตาลอ่อนแลดูงุนงงเล็กน้อย กลุ่มผมหยักศกสีเข้มกว่านัยน์ตามีหยดน้ำพรมอยู่ทั่ว
แสงอรุณยามเย็นทาบทับลงมา, ย้อมร่างทั้งคู่ราวไม่เคยมีความมืดครึ้มของฟ้าฝนเคยพาดผ่าน
"ใคร?" ชายหนุ่มนักเขียนเพิ่มการ์ดป้องกันในน้ำเสียง
"ผม คือ- เอ่อ" ชายวัยประมาณยี่สิบเกาแก้มตนเองอย่างประหม่า ส่วนสูงที่ห่างกันเกือบสิบเซนฯทำให้เขาต้องเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย
"ขโมย?" เขากล่าวเสียงเข้ม, แววตาสีนิลยังคงจ้องเอาเรื่อง จากปกติที่หน้านิ่งก็ดูดุอยู่แล้ว ตอนนี้สีหน้าก็ชวนผวาอยู่พอควร
"ไม่ใช่ครับๆๆ" ดวงหน้าขาวกระจ่างตื่นตระหนก
"คุณรามฟังผมก่อน"
"เป็นขโมยไม่พอเป็นสตอล์กเกอร์อีกเรอะ" คิ้วเข้มขมวดปม เด็กนี่อยู่ๆก็มาเรียกชื่อเขา ไม่ใช่คนรู้จักก็ต้องเป็นสตอล์กเกอร์แหงๆ
"ก็บอกว่าฟังผมก่อน"
รามสูรกอดอก
"ผมน่ะㅡ"
"เป็นภูตในต้นพุดซ้อนต้นนี้ต่างหาก"
"จะปั้นเรื่องก็ให้มันเนียนหน่อยเถอะ" รามสูรทำหน้าเหนื่อยหน่าย
"ไม่เชื่อผมหรอ, ได้, เดี๋ยวทำอะไรให้ดู"
เขาพยักเพยิด
มือเรียวของเด็กหนุ่มยกขึ้นกำในอากาศ ปิดเปลือกตาลงพร้อมตั้งสมาธิ แสงสีทองจะสว่างวาบ ใบหน้าคมเข้มแสดงอารามตกใจก่อนแปรเปลี่ยนเป็นเรียบนิ่ง, เพราะยามอีกฝ่ายแบมือออก, พบแต่ความว่างเปล่า
"ได้ไง ! " เด็กหนุ่มอุทาน ใบหน้าขาวกลับซีดมากกว่าเดิม
"นึกออกแล้ว !"
"คุณรามเด็ดใบพุดออกมาเร็ว"
ชายหนุ่มถอนใจแต่ยังไม่คลายคิ้วที่ขมวดอยู่ สาวเท้าไปใกล้ต้นพุด ยื่นมืิอออกไปปลิดใบสีเขียวออกจากกิ่ง
"โอ๊ย" เสียงอุทานจากคนตัวเล็กกว่าเรียกให้รามสูรหันไป เจ้าตัวยกแขนให้อีกฝ่ายดู พบว่ามีรอยสีแดงจางๆบนนั้นคล้ายโดนหยิก
"ตัวผมก็คือต้นพุดซ้อน, เชื่อรึยัง"
"อ้อ" เสียงแหบกล่าวตอบในลำคอ
นักเขียนนิ่งเงียบไปสักพักละม้ายใช้ความคิด ก่อนจะกระตุกยิ้ม, เด็กหนุ่มเสียวสันหลังวาบ, มือเรียวกำใบต้นพุดขึ้นมาสามสี่ใบ
อีกฝ่ายหน้าถอดสี แขนข้างที่ชูไว้ค้างเติ่งในอากาศ
"ขอลองหน่อยนะ" ไม่พูดเปล่า เขาดึงใบพุดมันวาวจนหลุดจากกิ่งสีน้ำตาลเข้ม เสียงแห่งความเจ็บปวดดังระงมพร้อมรอยหยิกบนบนแขนขาวซีดเพิ่มขึ้นอีกเป็นจ้ำ
"ของจริงนี่นา" รามสูรโปรยใบพุดลงพื้น เด็กหนุ่มผิวขาวเกือบซีดจ้องใบหน้าสูงวัยกว่าอย่างตะลึงงัน
นี่จงใจแกล้งหรือทดสอบจริงๆกันแน่ ? !
ร่างสูงเดินอาดๆนำไปยังประตูหน้าบ้าน ทิ้งให้ภูตตัวน้อยยืนงงเป็นไก่ตาแตกพร้อมลูบแขนตัวเองป้อยๆ
"เอ้า เธอจะยืนอยู่อย่างนั้นทั้งคืนหรอ" ชายอายุมากกว่าถามแกมหัวเราะเล็กน้อย ใบหน้าขาวยับยู่ด้วยความหงุดหงิดยามสบสายตาระยิบระยับของรามสูร
"ถอดรองเท้าก่อนเข้าบ้านนะวรรษา"
"ครับ?"
"ที่เงียบไปตอนนั้นคือตั้งชื่อให้น่ะ"
"ไม่คิดว่าผมจะมีชื่ออยู่แล้วหรอครับ"
"ใครมันว่างขนาดตั้งชื่อให้ต้นพุดซ้อน"
"คุณรามไง"
"ก็จริงของเธอ" เขาไหวไหล่, แสงอรุณสะท้อนดวงแก้วสีเข้มคู่สวยของเจ้าของบ้าน วรรษามองภาพนั้นอย่างประหลาดใจ
"เข้าบ้าน, ษา, เดี๋ยวไม่สบาย"
เอ่ยจบเขาก็หมุนตัวกลับ เดินอย่างเชื่องช้า ทิ้งให้ดอกพุดซ้อนสีขาวมองตามด้วยความรู้สึกฉงน
ความอบอุ่นแห่งหน้าฝนท่วมท้นในใจ
การถูกเรียกขานด้วยชื่อ
นับเป็นสิ่งที่มากมายสำหรับเขา
จากคิดว่าตนเป็นเพียงดวงวิญญาณไม่สลักสำคัญอันใด กลับมีชื่อถูกบันทึกในความทรงจำของใครคนหนึ่ง, มันทำให้วรรษารู้สึกยินดีเหลือเกิน
เด็กหนุ่มก้าวตามรามสูรไปด้วยดวงหน้าเปื้อนยิ้ม
พร้อมแสงสีทองสุดท้ายของวัน
/
ด้วยรัก
ติชมเม้ามอยคอมเม้นที่ #พซรจ หรือใต้ลิงค์ฟิคตอนนี้ได้เรยง้าบบบบบบบ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in