เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
พุด​ซ้อน​รัญจวน​ #พซรจ
สาม


  • /



    ฤดูฝน, ปี ๒๕๖๓
    ในเดือนกันยายน












                        รามสูรกำลังหัวหมุนกับการที่มีคนอีกคนอยู่ในบ้าน,ไม่ใช่แค่นั้น แต่เป็นการที่ต้องนั่งจัดการกับอีกฝ่านในทุกเรื่อง,การใช้อุปกรณ์ภายในบ้าน เครื่องใช้ไฟฟ้า อาหารการกินที่ต้องทำเพิ่มอีกจาน บทสนทนาที่เริ่มยาวนานขึ้นเรื่อยๆ


    จากการที่คิดว่าจะให้อาศัยไปก่อน รอเวลาที่วรรษาจะเข้าต้นพุดเหมือนเดิมได้

    เขาคงต้องพิจารณาใหม่เสียแล้ว


    “คุณราม”


    “จะถามอะไรอีกล่ะ” เขาเอ่ยอย่างนึกเบื่อหน่าย ระหว่างยามเช้าของวันที่สองซึ่งมีภูตหนุ่มละม้ายคนวันยี่สิบต้นๆอยู่ในบ้าน รามสูรตบท้ายมื้อเช้าด้วยกาแฟร้อนหนึ่งแก้วถ้วน


    “ไม่เขียนต่อหรอครับ” วรรษาเงยหน้าจากแมวสีดำบนตัก


    “หืม?”


    “นิยายเรื่องตามหาหัวใจแม่มดน่ะ” ดวงตาสีน้ำตาลยังคงจับจ้องอยู่บนใบหน้าเจ้าของบ้าน


    “แอบค้นข้าวของฉันหรอ?” เขาเหลือบมองเด็กตรงข้ามผ่านแว่นตาแวบหนึ่ง มือขวาพลิกหน้ากระดาษสีน้ำตาลโดยไม่รู้สึกหงุดหงิดแต่อย่างใดกับการโดนล้วงความลับมาตีแผ่หราบนโต๊ะกินข้าว


    “อันที่จริงคุณเปิดมันค้างไว้ต่างหาก” เขาแก้ตัว


    “เมื่อวานคงอ่านจนจบเลยสินะ” รามสูรยืดกายขึ้น วางแก้วกระเบื้องบนโต๊ะ ลุกไปปอกผลไม้ที่ซิงค์ล้างจาน


    “จบสองหน้าถ้วนครับ” เด็กหนุ่มไม่ได้สนใจเลยว่าไอ้สองหน้าที่พูดถึงมันจะทำร้ายจิตใจอดีตนักเขียนไหม, ถูกต้อง สองหน้า แค่นั้นแหละที่รามสูรพิมพ์ทิ้งไว้


    “ตั้งใจจะกัดกันรึไง” เขาตอบโดยไม่ละสายตาจากแอปเปิ้ลในมือ ไม่มีร่องรอยความไม่พอใจบนใบหน้า อันที่จริงเพราะยอมรับด้วยว่าอยู่ในช่วงไฟมอดอย่างแท้จริง


    “ไม่ๆๆ- ไม่ใช่นะครับ” เขาอึกอัก เลือกคำพูดอยู่นานสองนาน


    “ที่จริงโครงเรื่องผมว่าดีเลยนะ”


    “เป็นภูตแท้ๆรู้ได้ไงว่าอันไหนดีหรือไม่ดี” รามวางจานแอปเปิ้ลที่ปอกไว้เรียบร้อยตรงหน้าเพื่อนร่วมบ้าน


    “คุณยายของคุณเอาผมมาปลูกครับ” นิ้วสีซีดหยิบแอปเปิ้ลชิ้นหนึ่งเข้าปาก


    รามสูรหยุดการเอื้อมมือไปจับหูแก้วกาแฟ เขาเงยหน้าสบตากับวรรษา


    “ช่วงปิดเทอมคุณมักจะกลับมาที่บ้านสวนตลอดเลย วันไหนอากาศดีก็จะชวนคุณยายออกมาอ่านหนังสือข้างนอก ด้วยความที่คุณรามขี้เกียจเพ่งสายตามองตัวอักษร ตอนนั้นก็จะออดอ้อนคุณยายให้อ่านให้ฟังทุกที” 

    รอยยิ้มบางตวัดขึ้น วรรษามองออกไปนอกหน้าต่างบานใหญ่ วันนี้อากาศดีเหมือนวันวานในความทรงจำ, ท้องฟ้าสีสด เมฆปุยสีขาว แสงแดดอ่อนส่องประกาย


    “เผลอๆท่านรักต้นพุดมากกว่าฉันซะอีก” เขาขำ ยกกาแฟขึ้นจิบ


    “ไม่จริงหรอกครับ” วรรษาเอ่ยอย่างกระตือรือร้น


    “รู้น่า ฉันพูดไปงั้น” นักเขียนถอดแว่น ปิดหน้าหนังสือวางลงบนโต๊ะหินอ่อนสีขาว


    “นี่แกล้งกันอีกแล้วหรอ, คุณราม” เด็กหนุ่มตัวเล็กเริ่มควันออกหู ก็ไม่ใช่หงุดหงิดขนาดนั้นเพียงแต่เมื่อวานเขาถูกเจ้าของบ้านแกล้งหลายครั้งเข้า จนตนเองเริ่มแยกไม่ออกว่าอันไหนพูดจริงหรือพูดเล่น


    “เปล่านี่” รามสูรเลิกคิ้ว ลุกขึ้นกำลังจะสาวเท้าไปยังห้องสมุด


    “ฉันงีบสักแป๊บนะ เธออย่าทำข้าวของพังล่ะ”


    “ไม่ใช่เด็กนะครับ” ผิวซีดเผือดของภูตดอกพุดซ้อนดูขาวขึ้นไปอีกเมื่อแสงยามเข้าส่องลงมา


    “รู้น่า” เสียงหัวเราะเบาๆดังขึ้น และหลังจากนั้นพวกเขาก็ใช้เวลากับตัวเองอยู่ครู่ใหญ่ทีเดียว





    /





                       วรรษา,เด็กหนุ่มตัวผอม ผมหยักศกสีน้ำตาลไม้โอ๊ค ผิวขาวซีดจนนึกว่าไม่ใช่คน ㅡก็ไม่ใช่นี่นา, สองวันมาแล้วที่เขาได้ซุกตัวในผ้านวมอุ่นๆ, ดูมนุษย์พูดคุยกันผ่านจอแก้วสี่เหลี่ยม บางทีก็นั่งสูดกลิ่นหอมๆที่ลอยฟุ้งจากห้องครัว 

    คุณรามสูรทีแรกก็คะยั้นคะยอบังคับจะให้เขากลับไปสิง(เจ้าของบ้านใช้คำนี้)ในต้นพุดซ้อนอย่างเดิมเสียให้ได้ ชายวัยหนุ่มไม่อยากได้ภาระเข้ามาในชีวิตเป็นเรื่องที่ร้อย ยิ่งภาระที่ว่ามาพร้อมกับการดูแลคนหนึ่งคน(หรือวิญญาณหนึ่งตนก็ตามแต่เรียก) รามสูรไม่พร้อมรับ ไม่มีทาง


    แต่ฟ้าดูเหมือนไม่หวังให้อดีตนักเขียนได้ใช้ชีวิตอย่างสงบ, เพราะวรรษาไม่สามารถกลับไปในต้นพุดซ้อนได้ ใช่แล้ว ปัญหาใหญ่หลวง ซึ่งรามสูรเป็นคนต้องรับมัน


                        คืนแรกที่เด็กหนุ่มได้มีห้องเป็นของตัวเองทำให้เขานอนไม่หลับ(จริงๆคนนอนไม่หลับคงจะเป็นเจ้าของบ้านมากกว่าที่ต้องปัดกวาดเช็ดถูทุกซอกทุกมุม) มันอยู่ตรงข้ามกับห้องรามสูร ก่อนนี้เคยเป็นห้องนอนแขกแต่ตอนนี้มันมีเจ้าของถาวร(รามสูรหวังจะชั่วคราว)แล้ว



    เมื่อวานทั้งวันเต็มๆคุณนักเขียนได้สาธยายทุกที่และทุกสิ่งในบ้าน, อันนั้นไว้ทำอะไร อันนี้ใช้ได้ไหม และวรรษาก็เอาแต่ถามต่อด้วยตาเป็นประกายวิบวับ



                        รามสูรมักจะชอบแกล้งภูตตัวน้อยเล่นประจำ เดี๋ยวก่อน เขาไม่ได้ใช้ความรุนแรงทางกายและวาจาแต่อย่างใด เพียงแต่ชอบพูดเล่นให้เข้าใจผิดหรือไม่ก็หยอกล้อให้อีกฝ่ายงงงวยเสียอย่างนั้น


    นับเป็นงานอดิเรกที่เพิ่มขึ้นมาอีกอย่าง
    และเขาค่อนข้างพอใจทีเดียว

    สีหน้าของวรรษาตลกจะตายไป


    ‘คุณราม คนเข้าไปอยู่ในนั้นได้ยังไงครับ’ นิ้วขาวซีดขี้ไปยังโทรทัศน์ในห้องนั่งเล่น อากัปกิริยางงงวยและตกตะลึงเขียนอยู่บนหน้า


    ‘อ้อ เราจับมนุษย์ยัดลงไปในนั้น แล้วให้พวกเขาแสดงละครให้ดู’ เสียงทุ้มติดแหบกล่าวคล้ายเป็นเรื่องปกติ ตัดภาพไปที่คนฟังซึ่งหน้าซีดกว่าเก่ากลัวจะเป็นลมล้มพับไป


    ‘ไร้มนุษยธรรมเกินไปไหมครับ-!’


    ‘ฉันล้อเล่น’ คิ้วเข้มยกขึ้น แม้สีหน้ายังไม่หลุดหัวเราะแต่ก็ดูออกว่าสนุกกับการเห็นใบหน้าซีดๆของภูตเด็กหนุ่ม


    ‘คุณรามสูร เอาอีกแล้วนะครับ จะพูดหลอกผมไปถึงไหน’


    ‘ถือว่าเป็นค่ากินค่าอยู่ในบ้าน’


    ‘แต่ฉันไม่หลอกอะไรเรื่องร้ายแรงเธอหรอก, วางใจได้’


    ‘ก็ต้องอย่างนั้นแหละครับ’


    ‘รึเปล่านะ’







    /





                        เจ้าหง่าวหลับปุ๋ยตัวกลมอยู่ข้างเท้าเจ้าของ เวลาบ่ายสามนิดๆกับอากาศชื้นจากฝนที่เพิ่งตกทำให้ทุกคนในบ้านหลับใหลอย่างไม่ต้องพยายาม



    รามสูรชอบฤดูฝน,เหมือนวรรษา(แน่ล่ะก็เป็นต้นพุดซ้อน)


    ชายหนุ่มมักจะหลับได้อย่างง่ายดายเมื่อมีเสียงฝนตกกระทบหลังคาสอดรับกันเป็นทอด ความเย็นฉ่ำของมันโอบกอดรอบตัวเขา, เข้าไปทุกที่ในร่างกาย พาลให้อยากซุกตัวบนเตียงพร้อมผ้าห่มหนาๆ, กลิ่นไอดินฟุ้งกระจายในปอดเทียบได้กับกำยานให้ใจผ่อนคลาย



    หน้าฝนทำให้คนเหงา, รามสูรเห็นด้วย และทางตรงกันข้าม, เขากลับชอบพอความเหงาจากการรู้สึกโดดเดี่ยวเพราะสายฝน มากกว่าจากการอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายที่รายล้อมแต่ไม่สนิทใจ



    การมองออกไปนอกหน้าต่างที่มีหยาดน้ำเกาะอาจทำให้ใจวูบโหวง แต่ทันใดนั้นยามได้เห็นแสงไฟสีอมส้มหรือดวงอาทิตย์ที่โผล่พ้นขอบเมฆสีเทา มันทำให้มนุษย์ถูกเติมเต็มด้วยความอบอุ่นอย่าน่าประหลาด, ในความเคว้งคว้างสีเทามัวกลับมีดวงไฟน้อยๆคอยแผ่กระจายไออุ่นไปทั่วอก



    บางทีเมื่อได้เจอกับความเศร้าเหงาหงอย เราอาจจะรู้สึกถึงความอบอุ่นจากสิ่งเล็กน้อยมากยิ่งขึ้น
     ㅡบทเรียนจากฤดูกาล


    รามสูรรักหน้าฝน
    เพราะมันว่างเปล่ามากกว่าฤดูอื่นๆ

    ทำให้เขาไม่ต้องหวนนึกถึงอะไรที่ผ่านมามากนัก



    เขาหวังว่าจะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ

    ขอฤดูฝนยังเป็นพื้นที่ของเขาตลอดไป





    /





                        วรรษาลืมตาตื่นขึ้นมาช่วงสี่โมงครึ่ง ขายาวซีดในกางเกงบอลลุกขึ้นยืน (รามสูรไม่ยอมเจียดเงินซื้อของให้ภูตที่จะหายไปเมื่อไหร่ก็ได้หรอกนะ) เด็กหนุ่มเดินจากโซฟาในห้องนั่งเล่นไปยังห้องสมุดปีกขวาของตัวบ้าน, ว่าจะขอยืมหนังสือเสียหน่อย แมวดำเดินนวยนาดมาคลอเคลียที่ขา เขาก้มตัวลงไปลูบหัวกลมๆอย่างเอ็นดู


    “เจ้านายแกไปไหนล่ะ”


    “ม้าว” มันหยีตา เอนหัวรับสัมผัสอย่างพอใจ

    วรรษาวาดยิ้ม สิ่งมีชีวิตนี่ตัวอุ่นจริงๆ


    “โดนแมวทรยศแล้วสิเนี่ย” เสียงเจ้าของบ้านแหบกว่าเดิมเล็กน้อยหลับจากการนอนหลับ เขายกมือสางผมยุ่งเหยิงของตนอย่างคนเพิ่มตื่น


    “หลับสบายเลยนะครับ “ เด็กหนุ่มผิวขาวซีดเอ่ยหยอกเย้าคนแก่กว่าอย่างลืมตัว ปกติแค่สบตาตรงๆยังยากเลย, ไม่ได้รู้สึกแปลกกับอีกฝ่ายแต่อย่างใด เพียงรู้สึกไม่คุ้นชินกับการจ้องตามนุษย์เท่านั้นเอง


    “เธอก็เหมือนกันไม่ใช่หรอ น้ำลายยืดแล้วนั่น“ ชายหนุ่มตอบกลับ เขาก้มตัวลงไปเกาคางเจ้าหง่าว มันตอบรับสัมผัสอย่างคุ้นเคยก่อนจะเดินกลับไปยังทางเดิม ㅡแมวก็คือแมวอยู่วันยันค่ำ


    "คุณราม-"


    "เรื่องจริง ไม่ได้แกล้ง"


    วรรษายกหลังมือเช็ดมุมปาก คราบแห้งกรังของน้ำลายคิดอยู่นิดหน่อย แต่ก็พอให้ใบหน้าขาวซีดขึ้นสีแดงแปร๊ด


    "...ขอบคุณครับ"


    รามสูรหัวเราะขึ้นมาเบาๆ เรียกให้สายตาเขียวปั๊ดมองมายังตนเอง

    "เอาน่า ปกติของมนุษย์" 

    "ผมไม่ใช่่"

    "ก้ำกึ่ง" เจ้าของบ้านเดินนำไปยังห้องหนังสือ วรรษาก้าวตามไปอย่างไม่รีรอ


    กลิ่นกระดาษทั้งเก่าและใหม่กำจายในอากาศ นักเขียนหย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้โยกริมหน้าต่างบานมโหฬาร, ไม่ได้กล่าวเกินจริง วรรษาคิดแบบนั้นเพราะขนาดของมันกินไปเกือบถึงเพดาน ราวสามเมตรกว่าเกือบสี่เห็นจะได้ ชายหนุ่มพยัดเพยิดให้ภูตน้อยลากเก้าอี้ไม้ตัวเล็กมานั่ง, วรรษาทำตาม เขานั่งลงเยื้องๆรามสูร ㅡไม่ใกล้ไม่ไกล อยู่ในระยะสายตา


    "คุณราม ผมขอยืมหนังสืออ่านได้ไหมครับ"


    เจ้าของตู้หนังสือที่เรียงรายกันอยู่คิดคำตอบชั่วครู่


    "เอาสิ" เขาตอบ, สวมแว่น


    “แต่มีข้อแม้”


    “ครับ”


    “ห้ามพับมุมกระดาษ ห้ามกินขนมระหว่างอ่าน ห้ามทำเปื้อน ห้ามวางสันกับโต๊ะตอนอ่าน เก็บให้อยู่ที่เดิม”


    “รักหนังสือกว่าเจ้าหง่าวไหมครับเนี่ย”


    “แมวกับหนังสือน่ะเทียบกันไม่ได้หรอกนะ”


    “?”


    “เพราะฉันยอมตายดีกว่าถ้าต้องเลือก”


    “ผมก็อยากลองรักอะไรได้ขนาดนั้นบ้าง จะรู้สึกยังไงน้า-“


    เขายิ้มพร้อมส่ายหัว ยกหนังสือที่วางบนโต๊ะกาแฟขึ้นอ่านต่อ ปล่อยให้วรรษาลุกไปเลือกสักเล่มที่วางเรียงรายบนชั้นบนชั้น


    เด็กหนุ่มเดินไปยังโซนนิยาย เขาคิดว่ามันน่าจะอ่านง่ายที่สุด นิ้วซีดขาวกรีดไปตามสันหนังสือทีละเล่มๆ สายตาสีน้ำตาลอ่อนกวาดมองไปทั่วชั้นวาง


    เจ้าชายน้อย


    มันบางกว่าเล่มอื่นๆแต่ดูเก่าและเหมือนถูกเปิดมาหลายครั้งครา เขาหยิบมันออกมาพิจารณาจากเรื่องย่อด้านหลัง, หวังว่ามันจะไม่ยากต่อการเข้าใจแหละนะ เขาไม่เคยอ่านหนังสือมาก่อนแต่น่าแปลกประหลาดที่ออกมาจากต้นพุดซ้อนโดยไม่มีปัญหาเรื่องภาษา แม้แต่ภาษาอังกฤษก็ตาม ㅡอาจจะเป็นพรพิเศษจากพระเจ้าล่ะมั้ง


    “ผมยืมเรื่องเจ้าชายน้อยนะครับ”


    “อืม” เขาตอบรับในลำคอโดยไม่ละสายตาจากหน้ากระดาษ


    จะว่าไปเท่าที่วรรษามาอยู่นี่ได้เห็นเจ้าของบ้านอ่านหนังสืออยู่เป็นประจำ เมื่อวานก็ถามออกไปจนได้

    ‘คุณราม’

    ‘หือ?’

    ‘ทำไมยังอ่านหนังสืออยู่ล่ะครับ’

    ‘ทำไมล่ะ?’

    ‘มันจะไม่กดดันตัวเองหรอครับ เห็นงานเขียนคนอื่นแบบนี้’

    ‘ไอ้กดดันก็กดดันนิดหน่อย แต่มันช่วยจุดไฟได้อยู่นะ’

    วรรษากำลังจะถามต่อ
    ถ้างั้นทำไมไม่กลับมาเขียนล่ะครับ

    ‘ที่ยังเขียนไม่ได้ก็คิดว่าไฟอาจจะยังไม่ติดล่ะมั้ง’

    ‘Close your eyes and light a match’

    ‘?’

    ‘Light the match inside your heart, then blow on the tinder’

    ‘โพสต์อิทบนโต๊ะคุณน่ะครับ’

    ‘เธอนี่อ่านข้าวของฉันเธอเกินไปแล้ว’

    รามสูรยิ้มขำ ส่ายหัวเบาๆ
    วรรษาหัวเราะเล็กน้อยก่อนเอ่ยขอโทษขอโพย









    /

    ด้วยรัก





    โควทภาษาอังกฤษมาจากเรื่อ Carry On ของ rainbowrowell ค่ะ?

    เหมือนเดิม ติชมได้ที่ #พซรจ และใต้ลิงค์ทวิตตอนที่สามนะคะ


    , imercye

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in