เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
พุด​ซ้อน​รัญจวน​ #พซรจ
หนึ่ง


  • /



    ฤดูฝน, ปี ๒๕๖๓
    ต้นเดือนกันยายน









                       ณ บ้านสวนทรงวิคตอเรียนหลังไม่ใหญ่มากนัก มันตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพ​ได้อย่างน่าประหลาด สถานที่แห่งนี้มีหลายสิ่งหลบซ่อนอยู่, กลิ่นรัญจวนของดอกพุดซ้อน, ความเอื่อยเฉื่อยที่พบเห็นได้ยากในเมืองหลวง, และนักเขียนหนุ่มที่หมดอาลัยตายอยาก



    นายรามสูร รุ่งโรจนา



                        เอาเข้าจริงๆอาชีพนี้ก็ไม่ได้ 'รุ่งโรจน์'​ อย่างที่เฝ้าฝันไว้สักเท่าไหร่, เพราะช่วงนี้เขากำลังอยู่ในช่วง ㅡ หมดไฟ 

    หากเปรียบเทียบก็คล้ายคนรักที่ไม่ใจเต้นแรงยามพบหน้า, เหนื่อยหน่ายกับการเฟ้นหาคำพูดมาสนทนาด้วย แต่กระนั้นก็ยังอยากมีเขาในชีวิต แปลกจริงหนอใจคนเรา ㅡ จะว่ารักก็ยากจะพูด ครั้นให้บอกเกลียดก็มิกล้า



    ดังนั้นชายวัยยี่สิบแปดปีจึงมาลี้ภัยสักพัก​ที่บ้านสวน, ซึ่งจะเป็นของเขาในอนาคต เป็นการเติมเชื้อเพลิง​ก็เห็นจะได้



    "พี่ราม กินข้าวเย็น" เสียงใสดังขึ้นมาถึงชั้นสอง รามสูร​กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ชิดขอบระเบียง ผินหน้าทอดสายตาไปยังสวนดอกไม้รอบๆเรือนขนาดกลาง ปิดหนังสือในมือก่อนลุกขึ้นบิดไปมาสองสามที


    "กำลังไป" เขาตอบรับ วางหนังสือลงอย่างนึกเสียดาย




    /




                        โต๊ะทานข้าวทำจากหินอ่อนขัดเงาวับ อันที่จริงจำพวกหินอ่อน ไม้ กระจกใสบานใหญ่ คือเครื่องเรือนในบ้านทรงวิคตอเรียนเป็นเสียส่วนมาก รวมๆราคาเฟอร์นิเจอร์​ทั้งหมดก็อาจจะพอซื้อบ้านเล็กอีกสักหลังก็เป็นได้, รามสูรคิดขณะแกะปลาทูในจาน


    "พี่จะกลับเมื่อไหร่" เมขลาเอ่ยถามผู้เป็นลูกพี่ลูกน้อง​


    "ไม่อยากให้อยู่หรอ" รามเขี่ยก้างซี่เล็กออก


    "ใช่ที่ไหนล่ะ ยังไงซะบ้านหลังนี่ก็ต้องเป็นของพี่อยู่แล้ว" หล่อนกล่าวคล้ายจะตัดพ้อ ไม่ได้ประชดเรื่ิองเจ้าของบ้านทรงวิกตอเรียน เพราะที่แห่งนี้มันเป็นของคุณยายและในพินัยกรรมก็แสดงชื่ิอเจ้าของในอนาคตไว้ด้วย, แค่รอให้เมขลาหาบ้านที่เธอชอบได้เสียก่อน เจ้าหล่อนจึงจะย้ายออกไปอยู่พร้อมสามีที่เพิ่งจดทะเบียนได้สองเดือน


    "งั้นเดี๋ยวยกเจ้าหง่าว​ให้" เขาวางเนื้อปลาที่แกะแล้วในจานอีกฝ่าย พร้อมว่าจะยกแมวของตนให้ (ที่ชื่อว่าเจ้าหง่าวเพราะมันชอบร้อง 'หง่าว' ​ตอนมาคลอเคลียรอบๆขาของเขา)​


    "ไม่เอา มันชอบข่วนหนู" เธอผงกหัวเป็นเชิงขอบคุณ​สำหรับเนื้อปลาทูปลอดก้าง


    "เอ้อ ที่บอกจะไม่อยู่นี่ไปไหน" เขาถามพลางก้มหน้าจัดการมื้ออาหารตรงหน้า


    "หนูจะไปญี่ปุ่นประมาณอาทิตย์​นึง อีกสามอาทิตย์​ถัดมาก็ต้องอยู่ออฟฟิศ​" 


    "ไปด้วยดิ่ ญี่ปุ่นอ่ะ"


    "เขียนงานให้ออกก่อน"


    "ใจร้ายจัง" เขาเบ้ปากอย่างไม่ใส่ใจนัก มือก็ตักไข่ชะอมเข้าปาก แต่มันก็จี๊ดที่ใจนิดหน่อย, แทงใจดำน่ะ


    "ทำกับข้าวอร่อยนะ" เสียงทุ้มติดแหบกล่าวชมเหมือนจะเปลี่ยนเรื่ิอง ไม่มีแววประชดประชัน​ในนั้นแต่อย่างใด


    "ก็พี่โมกข์​ชอบกินไข่ชะอม" หล่อนเอ่ยเสียงหวานยามเอ่ยชื่อคนรัก ทำให้รามสูรอดหยอกล้อน้องสาวตัวดีเสียไม่ได้


    "ทีพี่รามชอบกินอะไรทำไมไม่ทำให้บ้าง" คิ้วเข้มบนหน้าผากยับยู่อย่างเกินจริง นานๆทีชายหนุ่มจะล้อเล่นกับใคร กระทั่งเพื่อนสนิทยังต้องใช้เวลานานพอตัวกว่าจะข้ามผ่านกำแพงต​ระหง่านไปได้ และถึงแม้อย่างนั้น รามสูรก็ยังมีเส้นแบ่งชัดเจนระหว่างตัวตนกับโลกใบนี้อย่างชัดเจน


    "เป็นผัวหนูหรอ"


    "แรงมาก"



    หลังจากเสียงหัวเราะเบาๆของทั้งสอง บทสนทนา​ก็ไม่มีอะไรให้กล่าวถึงมากนัก




    /




    "เย็นนี้หนูกลับบ้านแม่นะ อาจจะเข้ามาพรุ่งนี้เย็น" เจ้าหล่อนพูดขณะมือกำลังนำจานล้างน้ำเปล่า


    "เค"


    "อยู่ดีๆ อย่าทำข้าวของพัง"


    "คนนะไม่ใช่หมา" เขาหัวเราะกับท่าทางเกินเหตุของน้องสาว


    "ถามได้ไหม"


    "ว่ามา"


    "เมื่่อไหร่จะกลับไปเขียน หนูชอบงานพี่นะ"


    "ดีใจ" คล้ายจะเอ่ยเพียงหยอกเล่น แต่ในอกคนพูดราวมีฝนพรำลงมาชั่วขณะ, หัวใจนักเขียนได้รับการเยียวยา​ขึ้นมาเล็กน้อย


    "แต่บก.ใหม่ไม่ให้ผ่าน" เขาพูดถึงบรรณาธิการ​คนใหม่ที่เพิ่งเข้ามาทำงานหลังจากคนเก่าเกษียณ​ออกไป นักเขียนนิยายอย่างเขาก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับทัศนคติ​ของอีกฝ่าย ㅡ แต่คิดหรอว่ารามสูรจะทำ


    "​ทำไม"


    "เขาบอกว่าพี่ชังชาติ" 


    "อะไร แค่ตัวละครตั้งคำถามว่าเมื่อไหร่ประเทศนี้จะมีประชาธิปไตย​อ่ะนะ" เมขลาเริ่มเลือดขึ้นหน้า มือก็คว่ำจานใบสุดท้ายลงตะกร้าก่อนหันมาสังเกตสีหน้าของอดีตนักเขียน


    "ไม่ใช่แค่นั้นมั้ง เพราะบรรทัดสุดท้ายมันก็,"
     


    ไฉนมนุษย์​เดินดินจึงคล้ายเทวดา ด้วยเพียงความดีอันไม่อาจพิสูจน์​ให้คนกราบไหว้, 
    และไฉนใครคนหนึ่งจึงสมควรตายเพียงเพราะไม่ศรัทธาในความดีนั้น



    "พี่ใคร แรงที่สุด"


    "นั่นแหละ เลยลาออกแม่ง" คิ้วเข้มขมวดมุ่ย นึกเสียดายนิดหน่อยที่ตอนนั้นไม่ได้ชกหน้าบก.สักหมัดให้ความเป็นสลิ่มมันไหลออกไปบ้าง


    "แต่ฐานแฟนคลับก็ยังเหนียวแน่นนี่" เจ้าหล่อนเช็ดมือกับผ้าที้แขวนไว้ด้านหน้า 


    "ป่านนี้โดนรวบไปหมดรึยังก็ไม่รู้เลย" รามหัวเราะแห้ง หันหลังเอามือเท้ากับขอบอ่างล้างจาน


    "อ๋า, ตลกร้ายสินะ"


    "ซิกเนเจอร์​ของประเทศนี้ล่ะ" เขาตอบ, โคลงศีรษะ​อย่างเหนื่อยอ่อนกับอนาคตของตนและอีกหลายล้านคนที่นี่ ㅡ อันอยู่ในมือคนโง่ สลิ่ม และม.112





    /




                        ในห้องสมุด, ปีกขวาของตัวบ้าน, มีตู้ไม้บรรจุหนังสือจนเต็มราวห้าหกหลังวางเรียงกันเป็นแนวยาวรอบห้อง ที่ตรงกลางเป็นโต๊ะไม้ตัวใหญ่ และเก้าอี้สำนักงานที่ดูไม่เข้ากับการตกแต่งภายใน​ห้อง

                        ด้านหลังห้องเป็นหน้าต่างใสบานใหญ่ มองออกไปด้านนอกจะเจอต้นพุดซ้อนสูงราวสองเมตรเห็นจะได้ ส่วนใกล้หลังบ้านจะเป็นดอกแก้วพวงดวงใจเรียงกันสามต้น ที่ตอนนี้ขาวสะพรั่งไปหมดเพราะได้เจอสายฝน และอีกไกลสายตากว่านั้นเป็นต้นดอกคูณที่เคยเหลืออร่ามเมื่อฤดูร้อน



    รามสูรกลับสู่สภาวะ 'เข้าฌาน​' ที่เมขลาตั้งชื่อให้ นั่นไม่ใช่การนั่งสมาธิแบบศาสนาแต่เป็นการเอาตัวเข้าไปในโลกบนหน้ากระดาษ, 


    เขาถือว่าหนังสือคือสถานที่,เช่นเดียวกับภาพยนตร์, เพราะเรามักจะหลบซ่อนความโหดร้ายของโลกใบนี้ เข้าไปดื่มด่ำและมีชีวิตในเรื่องราวที่ถูกรังสรรค์​จากปลายปากกาของนักเขียน ซึ่งไม่เพียงนักอ่านที่ใช้มันเป็นสถานที่หยุดพัก ㅡ นักเขียนก็มีวันที่อ่อนแอและอยากหลบลี้หายไปเช่นกัน


    เราทุกคนอ่อนแอ
    แต่ก็ล้วนเข้มแข็ง,

    เราเติมเต็มกันและกันด้วยตัวอักษร
    กล่าวคือวันพรุ่งนี้
    ดวงดาวจะพร่างพราว
    ผิวน้ำจะระยิบระยับจับใจ
    แสงตะวันจะสะท้อนสว่างไสว​

    และเราจะหายใจต่อไป

    ตราบเท่าที่​ดวงหทัยยังมีชีวิต




    (และรอคอยประชาธิปไตย​อันมีประชาชนเป็นผู้ถือครองอย่างแท้จริง)​



                        ย่ำยามเย็น, แสงอรุนใกล้ลาลับสาดส่องกระทบเสี้ยวหน้าคมของชายหนุ่ม ซึ่งกำลังหลับคอพับบนเก้าอี้โยกใกล้หน้าต่าง หนังสือเรื่อง 'หากโลกนี้ไม่มีแมว'​ ถูกวางแหมะบนโต๊ะกาแฟข้างๆ ใต้นั้นมีเจ้าหง่าวตัวกลมนอนขดอยู่แทบเท้าเจ้าของ เวลาผ่านไปจนแสงสุดท้ายของวันไล่มาจนทาบทับเปลือกตาชายหนุ่ม 


                        องค์ประกอบ​ทั้งหมดคล้ายภาพวาดอย่างน่าเหลือเชื่อ อาจด้วยคิ้วเข้มเป็นทรงกำลังผ่อนคลาย, รูปปากสีชมพูอ่อนอันได้สัดส่วน, โครงหน้าคมแต่ไม่เล็กจนเกินไป, และทุกสิ่งนั้นช่วยขับให้นัยน์ตาสีดำสนิทที่สะท้อนแสงตะวันมีความงาม​เกินศิลปะใด 


     รามสูรรู้สึกตัวขึ้นจากภวังค์​ ขยี้เปลือกตาชั้นเดียวของตนอย่างง่วงงุน ก่อนป้องปากหาวหวอดและเกาศรีษะทำให้มันยุ่งเหยิงกว่าที่เคยเป็น


    ก่อนความชัดแจ้งอย่างหนึ่งจะปรากฏ, กลิ่นหอมรัญจวนจากดอกพุดซ้อนลอยละล่องโอบล้อมรอบตัวเขา ชายหนุ่มมึนงงเกินกว่าจะแยกแยะความจริงและความฝัน ตนเลื่ิอนสายตาไปยังหน้าต่างบานใหญ่ที่เปิดอ้า, พระพายซึ่งหอบหิ้วเอาสุคนธ์​หวานมาพร้อมกับกลีบดอกพุดสีขาวพิสุทธิ์​ พวกมันโปรยปรายเต็มชั้นวางของ, บ้างหล่นลงพื้น บ้างปลิวมาบนมือราม​สูร



    เขากำมันเบาๆ ยืนยันว่าตนตื่นอยู่
    แต่ก่อนนั้นหน้าต่างมันปิดอยู่ไม่ใช่หรือ? 



    นัยน์​ตาคมสีเข้มสะท้อนแสงวาบวาว เลื่อนมองไปยังต้นพุดทรงพุ่มซึ่งดอสีีขาวโพลนเบ่งบานเต็มที่ ไม่สังเกตเห็นถึงคว่มผิดปกติใด ตะวันฉายกำลังโบกมือลาแล้ว, แสงสีทองลอดเร้นผ่านช่องระหว่างใบพุดสีเขียวเข้ม





    ภาพเหล่านั้นราวฝันอันเกินจริง



    และวันนี้ของนักเขียน, ก็จบลงโดยมีกลิ่นพุด​ซ้อนติดอยู่ที่ปลายจมูก












    /

    ด้วยรัก




    กรี๊ดดดดดดดดดดดดดมาแล้วคร้าฟฟฟ ฟิคออริเรื่ิองแรกแหละค่ะ นายรามสูรของเราเป็นพระเอก น่ารัก แต่ดราม่า แต่น่ารักนะ ไม่แบดเอนด์แน่นอน เชื่อได้ คอมเม้นติชมเปนกำลังใจ และรอเลือกตั้งใหม่ไปด้วยกัน สวัสดีคคร่าาา

    tag : #พซรจ
    twitter : @imercye (หลัก) @imercye__ (ลงงาน)

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in