Diary...บันทึกความทรงจำแบบเวิ่นเว้อ
ทริปนี้จุดเริ่มต้นมาจากการไปดูดวงและดูเรื่องงาน แล้วแม่หมอเขาก็บอกลองถามมั้ยว่าถ้าไปขอพรที่ไหนมีโอกาสได้งาน เขาก็มี 3 ที่ให้เราหยิบไพ่มาอย่างละใบคือ วัดพระแก้ว, หลวงพ่อโสธรและพระพุทธชินราช ปรากฏเราหยิบมาของ "วัดพระแก้ว" เราได้ 9 ถ้วย ส่วน "พระพุทธชินราช" เราได้ควีนเหรียญ คือความจริงตอนแรกเราไม่รู้หรอกว่าได้ไร แต่แม่หมอบอกว่าดี มารู้ตอนจะเขียนนี่แหละแล้วเอารูปใส่เลยได้เห็นว่าได้ไพ่ไร เพราะตอนนั้นมีหลายเรื่องในใจเลยไม่ได้ดูไรเท่าไหร่ เขาว่าดีก็ดี ถ่ายภาพไพ่มา 2 ใบ ส่วน "หลวงพ่อโสธร" แม่หมอคว่ำไพ่ไว้เลยไม่เห็นแต่ก็แสดงว่าไม่ดี
มาคิดๆ ดู...เพราะแม่หมอบอกให้แค่เปิดรูป "พระพุทธชินราช" ขึ้นมาแล้วขอพรก็ได้ แต่เราว่างไง ตกงาน และไม่อยากอยู่กรุงเทพฯ เท่าไหร่เพราะมันรู้สึกแย่กับการตกงานและหลายๆ อย่างเลยตัดสินใจ ถ้าเป็นแบบนั้น เราขึ้นไปไหว้เองดีกว่าและเพื่อประหยัดเงินก็จะเดินทางไปทางรถไฟ
ตอนแรกว่าจะไปวันจันทร์ แต่ลังเลเพราะต้องตื่นเช้ามากๆ ดูเวลาตารางรถไฟคือต้องไปขบวนแรกตอน 7 โมงเช้าเป็นขบวนเร็วเพื่อให้ไปถึงตอนบ่ายโมงกว่าๆ และราคาพอรับได้ ส่วนขบวนธรรมดาก็มีแต่ออก 9 โมงกว่าๆ ไปถึงตอน 6 โมงเย็น ซึ่งคำนวณดูคือต้องค้างคืนซึ่งต้องเสียเงินมากขึ้นแม้ขบวนรถธรรมดาจะถูกกว่าขบวนเร็วแต่ถ้าต้องค้างคืน...เราจะต้องเสียเงินมากขึ้น...ความจริงมีขบวนด่วนพิเศษด้วยแต่แพงไป จ่ายไม่ไหว
ดูแค่ 3 ขบวนแรก คือเร็ว ราคา 179 บาท, ด่วนพิเศษ ราคา 479 บาทและธรรมดา 69 บาท แต่ถ้าดูความเร็วจริงๆ เร็วกว่ากัน 1 - 2 ชั่วโมง
ตอนวันจันทร์นี่คิดจะไปแต่ไม่ได้ไป แต่ในใจและความรู้สึกคือยังไงก็ต้องไป แต่ใจบอกว่าวันอังคารอย่าเพิ่งไปให้ไปวันพุธ ส่วนเหตุผลไม่มี แค่ใจและความรู้สึกเราบอกว่าต้องไปวันพุธ ดังนั้นก็เชื่อความรู้สึกตัวเองว่าไปวันพุธแล้วกัน
วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน 2562 ลังเลมากก็ว่าจะไปนี่แหละ แต่นอนไม่หลับ คิดนั่นนี่ รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ จนตี 2 คิดว่าคงไม่ได้นอนแล้วแหละแม้ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตอนตี 4.45 น. แต่ก็นอนไปตอนตี 2 กว่า แล้วตื่นมาตอนตี 3 เศษๆ ตอนนั้นคิดว่าไม่ไปแล้ว อยากนอนมากกว่า แต่ก็นอนไม่หลับ จนตี 4 เศษๆ ดูเวลาเรื่อยๆ ก็คิดว่าไม่ไปแล้วจะนอน จนตี 4.45 น. ความรู้สึก 2 จิต 2 ใจมาก ความรู้สึกคือต้องไป ควรจะไป สุดท้ายก็เลยลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวออกเดินทางตอนตี 5 เศษๆ แต่ตอนหยิบชุดมาวางเตรียมไปอาบน้ำก็ยืนมองชุดนะว่าจะไปหรือไม่ไปดี
แต่ในที่สุด...ตี 5 เศษๆ ก็โผล่มายืนที่ป้ายรถเมล์ ก็คิดว่าจะไปทันมั้ยเพราะรถไฟออก 7 โมงเช้า จน 113 วิ่งมาอย่างเร็วเลน 2 รีบโบกยื่นแขนไปสุดๆ แต่มันวิ่งผ่านไปเลยได้แต่มองตาม ตอนนั้นรู้สึกโมโหมากๆ เพราะกลัวไปไม่ทัน และไม่รู้จะมาอีกเมื่อไหร่ คิดเลยรอให้สายกว่านี้จะหาเบอร์โทรไปด่าที่อู่ว่ารถ 113 ที่ผ่านหมู่บ้านเราตอนตีห้าเศษๆ (5.14 น.) นี่วิ่งไม่รับผู้โดยสารทั้งที่โบกก่อนตั้งนาน...รอ รอ รอต่อไปแบบโมโห ร้อนใจเพราะกลัวไปขึ้นรถไฟไม่ทัน ไม่ทัน 7 โมงเช้าก็ไม่ต้องไปแล้ว แต่สุดท้าย 113 ก็ไม่มาก็เลยโบก 168 ไปต่อรถแถวหน้ารามแทนซึ่งก็ต้องรอ 113 อยู่ดีแหละไปหัวลำโพง แต่มันก็มีสายรถอื่นอีกที่หน้ารามแต่อาจไปถึงหัวลำโพงช้ากว่า แต่ถ้ายังยืนอยู่ที่ป้ายหน้าหมู่บ้านก็ไม่ได้ไปไหนและไม่มีทางเลือกอื่นอีกนอกจาก 113...คือเซ็ง เสียเงินเพิ่มจากจะจ่ายแค่ 10 บาทจากบ้านไปหัวลำโพง นี่เสียเงินกับ 168 ไปอีก 20 บาท...ตอนนั้นกลัวจริงว่าจะไปไม่ทัน และรถก็มาติดแยกนรกที่ลำสาลีอีก เราก็มองสะพานข้ามแยกคือถ้าเป็น 113 จะวิ่งขึ้นสะพานข้ามแยกไปแต่ 168 จะมาติดอยู่ข้างล่างที่แยกนี้..เซ็งมาก ไม่อยากดูเวลาในมือถือเลย
ตี 5.42 น. ก็มาถึงหน้าราม รอรถเมล์ คือจะไปทันมั้ย? แต่โชคดีรอไม่นานเพราะ 4 -5 นาที 113 ก็มา ในใจคือคันที่วิ่งผ่านเราหน้าหมู่บ้านไปแบบเร็วๆ มั้ย แต่อาจไม่ใช่ก็ได้เพราะคันนั้นวิ่งเร็วมาก ป่านนี้อาจไปถึงหัวลำโพงแล้วก็ได้ (ประชด) แต่คนก็แน่นมากก็ยืนไปดีกว่าไม่ได้ไป ไม่แน่พลาดคันนี้คือไปไม่ทันก่อน 7 โมงเช้า
ยืนไปแบบเซ็งๆ คนก็ขึ้นเยอะแบบคงไม่ได้นั่งอ่ะ..แต่ก็มาได้นั่งตอนเกือบถึงแยกอโศก แต่ไม่กล้าหยิบมือถือขึ้นมาดูจริงๆ ว่ากี่โมงแล้ว คือปลงแล้วแหละว่าถ้าไปทันก็ทัน ไม่ทันก็คงทำไรไม่ได้ แต่ในใจก็นึกถึง "พระพุทธชินราช" นะว่าถ้าให้ไปไหว้ขอให้ไปขึ้นรถไฟขบวน 7 โมงเช้าให้ทันในวันนี้
นั่งลุ้นเวลาอยู่ และรถก็ติดหลายแยก ส่งคนลงหลายป้ายติดๆ ถนนเส้นหน้าจุฬาฯ ยังติดแยก คนก็ลงหลายป้ายคือเส้นนี้ปกติคนลงหลายป้ายแบบนี้เลยรึไง จนผ่าน "Chamchuri Square" ก็มองนอกหน้าต่างผ่านๆ แต่ตาดันเหลือบไปเห็นนาฬิกาอันใหญ่ด้านหน้าบอกเวลา 6.25 น. คือทันแน่นอนเพราะเลี้ยวแยกนี้ตรงไปอีกไม่ไกลคือ "หัวลำโพง"
6.31 น. ก็มาถึง "หัวลำโพง"
เดินเข้าไปก็ดูป้ายบอกตารางรถไฟที่จะออกก่อน คนก็เยอะพอประมาณ ก็เดินไปต่อแถวและถามคนขายตั๋วว่ามีตั๋วเหลือมั้ย (ถามไปงั้น...น่าจะเหลืออยู่แหละ)
ราคาตั๋วรถไฟ 179 บาท
ครั้งนี้ไม่พลาดเหมือนครั้งที่แล้ว กดเงินให้พร้อมและดูที่เขาให้บริการชาร์จแบตคือ 20 บาท แต่ที่อยุธยาคือฟรี
ตอนไปกดเงินก็มีประกาศขบวนรถนี้ไปขึ้นชานชาลาไหน แต่ฟังไม่ชัดเท่าไหร่ แต่ตอน 6.40 น. ก็เข้าไปเร่ร่อนแถวชานชาลารอประกาศอีกรอบว่าชานชาลาไหน เพราะหาในตั๋วรถไฟไม่เห็นมีบอก
เดินเร่ร่อนสักพักก็มีประกาศอีก ตั้งใจฟังเขาบอกชานชาลา 10...ครั้งที่แล้วนึกว่าชานชาลา 7 คือชานชาลาท้ายๆ นะ แต่มาดูจริงๆ มี 12 ชานชาลา
ตอนเห็นขบวนรถไฟท้ายๆ ขบวนคือไม่แน่ใจว่าจะใช่ไหมเพราะดูหรูดูแพง แบบเราไปรถเร็วธรรมดาไม่น่าจะได้ขบวนรถไฟโบกี้แบบนี้ เดินส่องตามหน้าต่างเห็นเหมือนมีพวกเชฟทำอาหารด้วย (มั้ง)
เดินไปเรื่อยๆ ก็มาเป็นโบกี้เหมือนไว้เก็บพวกสินค้า...เดินถัดมาอีกโบกี้คือเหมือนมีคนนั่งปกติเลยเดินขึ้นโบกี้นี้แล้วกัน แต่ปรากฏคือชั้น 2 ของเราชั้น 3 ไง เลยต้องเดินผ่านตรงเข้าไปที่โบกี้ด้านหน้าซึ่งเห็นจากที่นั่งคือชั้น 3 แน่นอน
เดินหาที่นั่ง ดึงแผ่นกระจกหน้าต่างลง พยายามดันมันให้ลงลึกที่สุดแต่ก็ได้แค่ที่ได้ พอดันลงไม่สุดเหมือนมีไรมาขวางกั้นเรากับวิวข้างทาง
ว่างไม่รู้ทำไร อีกประมาณ 10 นาที รถไฟก็ออก ก็ดูข้างทางแล้วถ่ายภาพสิ่งที่สนใจ คนก็ขึ้นมาบนรถไฟเรื่อยๆ
รถไฟออกเวลา 7.02 น. ซึ่งเลทไป 2 นาที
แล่นไปได้ไม่กี่นาทีก็ไปจอดอยู่แถวๆ ที่ออกจากสถานีไม่ไกลนั่นแหละ และจอดนานสักพัก ในใจคือนี่รถเร็วที่แพงกว่ารถธรรมดา แต่ตอนนั้นไปอยุธยาไม่มีจอดแบบนี้นะตกลงเสียเงินเพิ่มมาร้อยนึงนี่คืออะไรอะไรคือความแตกต่างจากขบวนธรรมดา?
ตอนรถหยุดตรงนี้ นายตรวจก็มาตรวจตั๋ว และบอกเราว่าเรานั่งผิดที่ นี่โบกี้ 5 แต่ของเราในตั๋วคือโบกี้ 7 ที่นั่ง 40 แต่นั่งตรงนี้ก่อนได้
ความจริงเราอาจไม่รู้เรื่องก็ได้ แต่ก็คิดขบวนเร็วต้องนั่งตามที่มั้ย?...เห็นมีคนเดินผ่านหาที่นั่ง...ก้มหน้าดูตั๋วรถไฟเหมือนหาที่นั่ง...เราก็คิดว่านั่งตรงไหนก็ได้มั้ง...ไม่ต้องตามที่...แต่เมื่อนายตรวจบอกเราเลยสะพายเป้เดินไปที่โบกี้ที่ 7 ซึ่งคนเต็มกว่าโบกี้ 5...พยายามมองหาเลขที่นั่ง 40...ตอนแรกหาไม่เจอ ไม่รู้อยู่ตรงไหนเพราะไปมองฝั่งซ้าย เลยมามองหาฝั่งขวาก็เจอเลขที่นั่ง 40 แหละ เป็นที่นั่งติดหน้าต่าง แต่มีผู้หญิงผู้ชายคู่นึงนั่งอยู่ติดหน้าต่าง พวกเขาเห็นเราก็ยิ้มให้เรานะ...แต่เราก็หันหลังกลับไปที่นั่งเดิมเราที่โบกี้ 5 เจอนายตรวจระหว่างทางสู่ขบวนที่ 5 ก็เลยบอกเขา "ขอนั่งที่เดิมนะคะ" เขาก็โอเค
ว่างๆ นั่งชมวิวตอนเช้าๆ ก็ถ่ายภาพข้างทางไปด้วย
ณ "สถานีบางซื่อ" เราก็ได้ต้อนรับแขกคนแรกของเราที่มานั่งด้วยกันฝั่งตรงข้าม เป็นคุณป้าคนหนึ่งสถานีนี้..คนก็ขึ้นเยอะเหมือนกัน
แกร๊ง...แกร๊ง...รถไฟออกจากสถานี..ตอนนั้น 7.31 น.
ว่างๆ ไม่มีไรทำก็นั่งมองวิวข้างทางหรือคนในรถไฟด้วยกัน...ถ่ายภาพ
อาหารบนรถไฟก็มีขายเรื่อยๆ เดินกันไปเดินกันมา แต่เราเองก็ยังไม่ได้ทานข้าวเช้าแต่ก็ไม่คิดจะซื้อไรทานอยู่ดี นั่งชมวิว...ดูคนบนรถไฟไปเรื่อยๆ
ระหว่างทางก็มีการก่อสร้างเป็นระยะ แต่ไม่รู้สร้างอะไรเหมือนกัน...หรือรางรถไฟฟ้า?
ผ่านหมู่บ้านสวยๆ น่าจะชื่อ "หมู่บ้านกลางเมือง" เป็นหมู่บ้านใหญ่มีตึกหลายตึก เหมือนอยากทำให้ดูแพง แต่กาลเวลาก็ทำให้มันทรุดโทรมแต่ก็ยังสวยอยู่ดีแหละ
ผ่าน "วัดเสมียนนารี" ทีไร นึกถึงผีสาวชุดดำครึ่งตัวที่เขาบอกโดนรถไฟชนคลานไปตามรางรถไฟ แต่ตอนนี้อาจไม่มีแล้วก็ได้..เพราะเรื่องนานมากแล้ว..แต่เป็น 1 เรื่องในความทรงจำ
นายตรวจตั๋วก็มาตรวจตั๋วเรื่อยๆ เพราะพอรถไฟจอดตามสถานี คนก็ขึ้นมาเรื่อยๆ...คือที่สังเกต..ตรวจตั๋วบ่อยกว่าตอนเราไปอยุธยาอีก...อาจเพราะขบวนนี้เป็นสายยาวเดินทางไกลถึง "เด่นชัย"
ตอนแรกเราไม่ได้สนใจหรอกว่าคนในโบกี้นี้เป็นใครอะไรยังไง แต่พอนายตรวจตั๋วมาตรวจแถวที่เรานั่ง คนข้างๆ เราก็หยิบตั๋วรถไฟออกมาเป็นปึก...และมีน้องๆ ลุกขึ้นเอาขวดน้ำมาแจกคนที่นั่งในเบาะต่างๆ...ทำให้เรารู้ว่าคงน่าจะเป็นบริษัท..แต่ตอนนั้นยังไม่แน่ใจว่ามา OUTING หรือมาทำงานกัน เพราะคนข้างๆ เรามีหมวกแบบน่าจะเป็นพวกวิศวกรมาด้วย
แต่น่าจะมาทำงานกันมั้ง แบบมาสำรวจเส้นทางอะไรกัน (เดา?) คือเหมือนเผือกอ่ะ เราก็เสียบหูฟังเพลงอยู่ แต่บางทีช่วงเปลี่ยนเพลงหรือไม่ได้เปิดดังมากก็ได้ยิน ก็น่าสนใจดีบางช่วง...แต่ไม่รู้บริษัทไรอ่ะนะ..แต่พวกวิศวกรแหละ..และเกี่ยวกับรถไฟฟ้า
ตอนคนพูดขึ้นมาพูด...ก็มีคนมาถ่ายภาพ....แต่ผ่านไปประมาณไม่ถึง 15 นาที...ก็ไม่รู้มีใครฟังบ้างไหม...เราก็นั่งมองอยู่...สลับกับมองวิวด้านนอก...อยู่ดีดีก็นึกขำ...แบบปฏิกิริยาคนบนรถไฟที่เห็น...สีหน้า...การกระทำ....บางคนก็นอน...บางคนก็เหม่อ...บางคนสีหน้าอมทุกข์...บางคนยิ้มคุยกันเอง....คือในโบกี้นี้มีทั้งคนจากบริษัทเดียวกันและไม่ใช่ปะปนกัน...คนที่ฟังอาจอยู่ด้านหน้าๆ ที่เรามองไม่เห็นก็ได้
เราเองความจริงก็นั่งฟังเพลงอยู่ แต่บางทีได้ยินอะไรน่าสนใจก็หันมาฟังที่เขาพูดและจดตามบ้าง คือเรื่องในบริษัทเขาแหละ แต่น่าสนใจและก็ข้อมูลพื้นฐานทั่วไปถ้าทำงานด้านนี้น่าจะทราบอยู่แล้ว
วัดแถวดอนเมือง โดดเด่นด้วยเจดีย์สีทองทางด้านหน้าวัด
รถไฟแล่นไปเรื่อยๆ ตอนนี้ 8.19 น. ข้างทางก็เหมือนทุ่งนาสีเขียวมีหุ่นไล่กาปักอยู่
วิถีชีวิตบนรถไฟก็ต้องดำเนินต่อไป
8.33 น. ก็มาถึงสถานีบางปะอิน
8.44 น. ถึงสถานีอยุธยา ที่เพิ่งมาเมื่อ 4 วันก่อน คิดถึงจุดชาร์จแบต วันนั้นมารอชาร์ตให้แบตขึ้นเยอะๆ เกือบเต็มเป็นชั่วโมง ความจริงอยุธยายังมีที่ที่เราไม่ได้ไปอีกเยอะมาก แต่ยังไม่อยากย้อนกลับมาเก็บที่เที่ยวให้มากขึ้นตอนนี้
คือพอมาถึงอยุธยา มองเวลาเกือบ 2 ชม. แล้วนึกถึงตอนมาอยุธยาไม่กี่วันก่อน รอบนั้นขบวนรถธรรมดา ออกจากสถานี 11.20 น. มาถึงอยุธยา 13.04 น. ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 44 นาที ส่วนขบวนนี้เป็นขบวนเร็วใช้เวลา 1 ชั่วโมง 44 นาทีเหมือนกัน อะไรคือความแตกต่างของราคาตั๋ว...ลองเช็คในตารางรถไฟ...เอาขบวนนี้เลย...ขบวนรถเร็ว...ถ้ามาถึงอยุธยาคือ 45 บาท ส่วนขบวนธรรมดาที่เราไปวันนั้น 15 บาท และความจริงเลทเพราะตามตารางต้องมาถึง 8.37 น.
วัดธรรมนิยม จ.อยุธยา...จุดเด่นคือสีทองของรูปปั้นที่น่าจะเป็นองค์พระพรหมเพราะมี 4 หน้า
ระหว่างเดินทางก็นั่งฟังเพลง มองวิวข้างทางและถ่ายภาพเล่นไปเรื่อยๆ
ณ สถานีลำภาชี คุณป้าที่นั่งตรงข้ามเราก็ลาจากไป...บายค่ะ
ของขายก็มีพ่อค้าแม่ค้าเดินมาขายเรื่อยๆ หลากหลายเมนู
ตอนเรามองวิวด้านนอกไปเรื่อยๆ เราก็เห็นควันดำๆ ลอยไปในอากาศก็สงสัยว่าควันจากการเผาไหม้ที่ไหนเพราะลอยไม่หยุด จนเราอยากถ่ายภาพรถไฟวิ่งเลียบทุ่งหน้าเลยยื่นมือถือออกไปถ่ายภาพ เลยได้เห็นว่าควันดำมาจากรถไฟนี่เอง...คือใช้ถ่านเหรอ?...แต่การยื่นมือถือออกไปนอกตัวรถไฟนี่ก็เสี่ยงเพราะหลายช่วงคือผ่านสะพาน คือเรามองไม่เห็นอยู่แล้วเพราะไม่ควรยื่นหัวออกไป ถ้าเผลอยื่นมือถือออกไปถ่ายภาพตอนนั้นคือนอกจากมืออาจบาดเจ็บ มือถือกระเด็นหายไปแน่นอน
นั่งรถไฟไปเรื่อยๆ...ชมวิว...ถ่ายภาพ...และฟังเพลง...เพลงนี้เล่นขึ้นมาก็ชอบเหมือนกัน...แต่ถ้าเรื่องหัวใจเรา...ไม่ได้สนใจไรอ่ะ...ถ้าดูไพ่น่าจะออก...Death...Tower และ 10 ดาบ...แต่เราก็ไม่ผิดถ้านึกถึงใครหรือเรื่องราวอะไร...แม้แค่นึกถึงเงียบๆ...คนเดียว...แบบไม่มีไรอยู่ในนั้นเลยก็ตาม....และไม่ได้เป็นไปตามเพลงนี้
"อีกนานแค่ไหน ที่ใจของเราเปิดรับกัน ในสิ่งที่ฉัน ทุ่มเทให้เธอหมดหัวใจ
เพราะในวันนี้ฉันรู้ว่า เมื่อรักเธอแล้วเริ่มไหวหวั่น คงเหลือเพียงฉันกับคำถามที่ค้างในใจ
ว่านี่คือรักๆๆ หรือแค่หลงๆๆ ก็ยังคงค้นหาคำตอบ ก็อยากแค่รอๆๆ แต่ไม่ใช่มาร้องขอ
ให้เธอนั้นหันมาเห็นใจ (ก็เพราะรัก) อีกนานแค่ไหน ที่เราจะได้พูดคุยกัน
ไม่ใช่แค่ฝัน แต่มีเรื่องราวเล่าให้ฟัง เพราะทุกๆครั้งที่พบหน้า และทุกค่ำคืนยามนิทรา
เมื่อฉันหลับตาแต่ในหัวใจยังคิดถึงเธอ ว่านี่คือรักๆๆ หรือแค่หลงๆๆ ก็ยังคงค้นหาคำตอบ
ก็อยากแค่รอๆๆ แต่ไม่ใช่มาร้องขอ ให้เธอนั้นหันมาเห็นใจ (ก็เพราะรัก)
หากเธอได้รู้ว่าไม่เคยมีใคร ทำให้ฉันวุ่นวายใจ ก็มีแต่เธอๆๆ ทำให้ฉันพร่ำเพ้อด้วยเหตุผลนาๆ
ไม่อยากหา ถ้อยคำใด อธิบาย บอกเล่าใคร ให้เข้าใจ หรือช่วยบอกกับฉัน ว่านี่คือรักๆๆ หรือแค่หลงๆๆ
ก็ยังคงค้นหาคำตอบ ก็อยากแค่รอๆๆ แต่ไม่ใช่มาร้องขอ ให้เธอนั้นหันมาเห็นใจ (ก็เพราะรัก)"
(คำตอบ - Basket Band)
รถไฟก็แล่นไปเรื่อยๆ...แม้เราอาจจะแค่นึกถึงใคร...หรือนึกถึงเรื่องใด...ก็แค่นึกถึงเท่านั้นแหละ...หลายๆ เรื่องในชีวิต...มันสอนให้เราอยู่เงียบๆ...เฉยๆ...คนเดียวบนโลกใบนี้ดีกว่า...กลุ้มใจเรื่องงานและเงินด้วย...แต่ในความจริง...ก็ทำไรไม่ได้ทั้งนั้น...เจ็บมาเยอะ...พลาดมาเยอะ...เหมือนหนีปัญหา...แต่ไม่อยากเครียด...ทุกข์ใจอีก...แต่ถ้าเงินหมดก็ไม่รู้ทำไงเหมือนกัน...ผู้คนในสังคม...ใครที่เราพบเจอ...เราไม่รู้ความคิดและความเข้าใจเขาหรอก...เราควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ด้วย...แบบบ้า...โกรธ...โมโห จุดจบเป็นไงก็รู้อยู่
9.13 น. ก็มาถึงสถานีหนองวิวัฒน์ เดินทางมาเหมือนนานนะ แต่เพิ่ง 9 โมงเองคือเดินทางมา 2 ชั่วโมงเท่านั้น
9.20 น. มาถึงสถานีท่าเรือ
สถานีเราต้องรับสาวน้อยน่ารักใส่แว่นคนหนึ่งมานั่งตรงข้ามเราเห็นแบกเป้มาใบหนึ่ง ไม่รู้จัก ไม่ได้คุยไรกัน แต่ตอนนั้นเราตั้งใจจะบันทึกภาพและสถานีขึ้น - ลง ของคนนั่งตรงข้ามเราว่าเที่ยวนี้มีกี่คนและใครบ้าง
9.26 น. มาถึงสถานีบ้านหมอ
9.34 น. มาถึงสถานีหนองโดน...ที่สถานีกลุ่มคนที่มาเป็นบริษัทที่น่าจะเกี่ยวกับพวกวิศวกรรมและรถไฟฟ้าก็ยกขบวนลงจากรถไฟไป...บายค่ะ
ออกเดินทางต่อไปสู่จุดหมายที่อีกไกลแสนไกล...เพราะ 9 โมงกว่าเอง
9.48 น. รถไฟก็เข้าสู่สถานีที่เราร้อง WOWWWW....ในใจเพราะเจอโบราณสถานอยู่ติดกับสถานีรถไฟเลย ตอนแรกไม่ทราบสถานีอะไร แต่น่าสนใจมากเพราะเราชอบพวกของโบราณและประวัติศาสตร์อยู่แล้ว....เคยสอบติดคณะโบราณคดี ม.ศิลปากรด้วย...แต่พอตอนสัมภาษณ์...อาจารย์ถามทำไมอยากเรียนคณะนี้...ตอบว่าอยากขุดไดโนเสาร์...อาจารย์บอกไม่มีให้ขุดแล้ว...???
สถานีนี้คือ...สถานีลพบุรี เมืองวานรนั่นเอง...น้องแว่นที่นั่งตรงข้ามเรา และคุณป้าที่นั่งอีกฝั่งแถวเดียวกันก็ลงสถานีนี้นั่นเอง...บายค่ะ
ระหว่างจอดรอผู้โดยสารขึ้น - ลง ก็มีคนมาขายของเรื่อยๆ
โบกมือลาเมืองลพบุรี...นครวานร
ตอนออกจากสถานีก็เจอโบราณสถานอีก 3 แห่งทั้งฝั่งซ้าย - ขวามือของเรา...บอกตามตรงที่นี่แหละ...จุดหมายใหม่ที่เราต้องมารอบหน้า
สมกับนครวานรเพราะลิงเพียบจริง อย่างโบราณสถานภาพสุดท้าย รอบๆ คือฝูงลิงสิบกว่าตัวที่นั่งอยู่ด้านนอกหรือเกาะรั้วอยู่
ลาลพบุรีด้วยภาพกราฟฟิตี้ลิงจ๋อ
เดินทางด้วยรถไฟต่อไปเรื่อยๆ วิวฝั่งเราส่วนใหญ่ที่เห็นหลังออกจากลพบุรีคือทุ่งนา แต่อีกฝั่งคือจะมีภูเขาเพิ่มเข้ามาด้วย พอเราหันไปมองก็รู้สึกว่าสวย...สวยกว่าฝั่งเราอีก...เลยถ่ายภาพเก็บไว้
ควันดำๆ ก็ลอยไปในอากาศเหมือนเดิม คือรถไฟใช้ถ่านหินจริงๆ ใช่ไหมหรือการเผาไหม้อะไร...คือเราไม่รู้หรอก...แค่ถ่ายภาพไปเรื่อยๆ ตามทางที่รถไฟวิ่งผ่าน
อาหาร - เครื่องดื่มมีแวะเวียนผ่านมาเรื่อยๆ คุณลุงฝั่งตรงข้ามก็เริ่มซื้ออะไรทาน..คือคนอื่นไม่ทราบ เห็นแต่คุณลุง....ตลอดทางกว่าจะลง...มีพ่อค้าแม่ค้าแวะมาหาเยอะ...และคุณลุงก็ซื้อไปหลายอย่าง...ส่วนเราก็ถ่ายภาพไปเรื่อยๆ เพราะในการเดินทางรถไฟคนเดียว...ไม่มีอะไรทำนอกจากแค่ถ่ายภาพ...ชมวิว...ฟังเพลง...เล่นเนตในมือถือ
แอบมองเก้าอี้เยืื้องถัดไป...ความจริงนั่งนานๆ ก็อยากเอาขาวางพาดเก้าอี้เหมือนกันแบบทั้งรองเท้า กลัวถอดแล้วมันเลื่อนหาย แต่ไม่กล้า...
ระหว่างทางจะเห็นช่วงที่มีการก่อสร้างหลายจุดเหมือนกัน ส่วนสร้างอะไรก็น่าจะสะพานรถวิ่งแหละจากโครงสร้างที่เสร็จแล้ว
รถไฟปรู๊น...ปรู๊น ก็ปล่อยควันสีดำล่องลอยไปบนท้องฟ้าเรื่อยๆ ทุ่งนาสีเขียวและภูเขาที่ทอดยาวเหมือนมีวัดอยู่บนนั้น
มองวิว...มองท้องฟ้าไปเรื่อยๆ ระหว่างทาง...คิดนั้นนี่...เรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับชีวิตตอนนี้...ทั้งเรื่องงาน...เงิน..อนาคตและความรู้สึก...ความทรงจำต่างๆ...รู้มั้ยนะว่า...บางทีเราอาจคิดถึงเรื่องต่างๆ...คิดถึงใครสักคน...ก็ได้แต่คิดเท่านั้น...หลายๆ เรื่องราวความทรงจำ...เรื่องที่ทำผิดพลาดลงไป...จนชีวิตเป็นแบบนี้...ทุกอย่างแม้เราแค่คิด...ก็แค่คิดแค่นั้น...รถไฟที่แล่นไปเรื่อยๆ...พาเราออกจากความทรงจำและความรู้สึกเหล่านั้น....ห่างออกไป...แต่ก็ไปแค่ตัวเราเท่านั้น...เพ้อเจ้อมาก...ก็ได้แค่คิด...บางทีเรานึกถึงใครบางคน...และอยากให้เขามานั่งตรงข้ามเรา...และคุยไรกัน...แต่ในความจริง...ไม่มีเขาคนนั้นหรือใครอยู่ตรงนี้...เราเครียดและมีเรื่องในใจมากมายที่ทุกข์ใจ...หลายอย่างทำร้ายใจเรา...คนในสังคมที่เราไม่ได้ทำไรให้เขา...ยุ่งไรกับเขา...อยากอยู่เงียบๆ คนเดียว...ไม่ยุ่งไรกับใคร...ไม่รับรู้อะไร...เพราะความจริงแม้เรานึกถึงใคร...เราก็อยู่คนเดียวตรงนี้เงียบๆ คนเดียวอยู่ดี...ไม่อยากทุกข์...เครียด...เจ็บปวดคิดมาก...อยากอยู่ห่างจากทุกๆ เรื่องที่เกิดขึ้นกับชีวิตตอนนี้...แม้หลายๆ เรื่อง...ที่ทำชีวิตเราเป็นแบบนี้...เราอาจผิดพลาดเองไปหลายอย่าง...แต่ว่าเราก็ไม่ได้รู้อะไรจริงๆ...เราอาจมโนจิตคิดไปเองก็ได้...มโนจิตว่ามีคนดีกับเรา...แต่ก็พอๆ กับคนที่นินทาไม่ชอบเรา...และเฉยๆ ไม่ได้สนใจอะไรเรา...มันไม่มีบทสรุปอะไรกับเรื่องต่างๆ ที่เราย้อนคิด...มีแค่เราอยู่ตรงนี้เท่านั้น
"เป็นแค่คนหนึ่ง ในโลกใบเก่า ชีวิตช่างเงียบเหงา
ไม่เคยได้เห็น ความจริง มีพร้อมทุกอย่าง และมีในทุกสิ่ง
อยากบอกว่าความจริง ฉันเดียวดาย เธอนั้นก็อยู่ ในโลกใบหนึ่ง
ที่ฉันเอื้อมไม่ถึงและยังไม่เคย ได้เข้าใจ
เธอเหมือนลมผ่าน ผ่านมาในหัวใจ แต่งเติมชีวิตฉัน ให้สดใส
แค่เพียงได้พบเธอ แค่เพียงได้รักเธอ อยากอยู่กับเธอ ตลอดไป
จะนานเพียงไหน ใจฉันก็มีแต่ภาพเธอ แม้ความจริง
ไม่เห็นว่าเธอ อยู่ข้างกาย หลับตายังคงพบกัน
ไม่มีวันลับเลือนไป ถึงแม้ว่าเธอ จะอยู่ที่ไหน
ก็อยากจะขอ ให้ฉันมีเธอ อยู่เรื่อยไป
แค่มีเธอเคียงข้างดูแล แหละเข้าใจ
ไม่เคยมีใครเหมือนเธอที่ทำเพื่อฉัน มากมาย
ใจฉันจะมี เธออยู่อย่างนี้ตลอดไป"
(แค่มีเธอ - พิจิกา)
ความจริงไม่มีใคร...มีแค่ตัวเราเอง...นั่งรถไฟไปเรื่อยๆ ก็ฟังเพลงไปเรื่อยๆ เพลงบางเพลงที่ได้ฟังเราก็ชอบเนื้อหาของมัน แม้ไม่ได้ตรงซะทุกอย่าง...อย่างเพลงนี้เราไม่ได้มีไรพร้อมเลย...งานก็ไม่มี...เงินก็แทบไม่มี...และไม่มีใครทำเพื่อเราตอนนี้...แต่บางทีเราก็นึกถึงไรบางอย่าง...แต่ก็แค่เรา...เราไม่อยากยุ่งหรืออะไรกับใคร..เพื่อผจญกับความคิด...ความเข้าใจ...คำพูด...คำนินทาคนอื่น...เพราะชีวิตมันทุกข์ใจมากพออยู่แล้ว...แม้หลายๆ อย่างที่ในอดีตเหมือนมีคนที่พอดีกับเราบ้าง...แต่เราอาจโง่หรือถอยจากสิ่งเหล่านั้นเอง...แม้บางอย่างเราก็ตัดจากความคิดและความรู้สึก...ความบ้าบอของตัวเองไม่ได้...แบบมโนจิตคิดไปเอง...และอยู่คนเดียวมากเกินไป...และสักวันเราก็ลืมความรู้สึกนี้ไปเอง...แบบเราควรโฟกัสเรื่องหางานและหาเงิน...บางทีหลังผ่านเรื่องราวความผิดหวังในชีวิตและความผิดพลาดมากมาย...เราก็ไม่ได้คิดและหวังอะไรอีก...อยากพอมีเงิน...มีงาน..และออกเดินทางไปเรื่อยๆ...แบบที่เท่าที่เงินที่มีจะพาตัวเองออกไปได้...อยู่กับตัวเอง...เงียบๆ คนเดียว...ไม่ต้องผจญกับเรื่องราวต่างๆ...คนที่ผ่านไปมาในสังคม...ที่ทำเราทุกข์ใจ...คิดมาก...และเจ็บปวดอีก
10.17 น. เราก็มาถึงสถานีบ้านหมี่...ที่สถานีนี้...เราก็ได้ต้อนรับคุณพี่ 2 คนมานั่งเก้าอี้ฝั่งเดียวกับเรา...ตามที่ตั้งใจไว้ว่าจะถ่ายภาพและบันทึกสถานีขึ้น - ลงของคนที่มานั่งเก้าอี้ฝั่งเดียวกับเรา...เราก็เลยแอบถ่ายภาพเขาไว้...และจดว่าขึ้นสถานีไหน...และลงสถานีไหน
การก่อสร้างตามทางที่รถไฟผ่านก็มีอยู่หลายที่...เหมือนเร่งพัฒนาเส้นทางกัน....เพราะเห็นการก่อสร้างพวกสะพานเยอะมาก
วัดลิบๆ เลียบทางรถไฟ โดดเด่นด้วยองค์เจดีย์สีทอง
การก่อสร้างสะพานที่พบเห็นได้หลายจุดระหว่างทางรถไฟ
คุณพี่ 2 ท่านที่นั่งฝั่งเดียวกับเราลงสถานีจันเสน...ซึ่งรูปที่เราถ่ายภาพไม่แน่ใจว่าสถานีจันเสนมั้ย ไม่ได้ถ่ายติดป้ายบอก แต่จำได้ว่านั่งไม่นานก็ลงรถไฟจากไป...บายค่ะ
เส้นทางที่ผ่านส่วนใหญ่ก็ทุ่งนาน...บางทีก็สถานที่ก่อสร้าง..พบเห็นได้หลายจุดที่รถไฟวิ่งผ่าน
"ใครบางคนผ่านมา และทำให้ฉันรู้จัก กับคำว่ารัก ความคิดถึง ห่วงใยเป็นยังไง
ใครบางคนจากไป กลับสอนให้ฉันรู้ว่า กับคำว่าเหงา ความเดียวดาย เจ็บช้ำต้องทำใจ
สุขและทุกข์ที่ฉันนั้นได้สัมผัส ล้วนแล้วมาจากเธอ ความทรงจำดีๆ ที่ฉันได้เคยพบเธอ
ไม่รู้จะลืมอย่างไร ขอโทษจริงๆ ที่ยังไม่ลืมเธอ ไม่ว่านานแค่ไหน ขอโทษจริงๆ ที่ยังฝังใจ
แม้ว่านานเท่าไร บอกใจไม่ให้จำ แต่มันกลับไม่ลืม หัวใจมันไม่อาจฝืน ลุกยืนขึ้นไม่ไหว
ฉันอ่อนแอเกินไป ที่จะสั่งให้ใจลืมเธอ"
(ขอโทษจริงๆ - Basketband)
อ่อนแอจริงๆ...คิดถึงเรื่องที่เราตกงาน...และคงหางานไม่ได้อีก...แบบงานหายาก...และตัวเองก็แก่มากๆ แล้วด้วย...ไม่อยากหวังไร...ไม่อยากไปทนคำพูด...ความเข้าใจคนอื่น...ไม่อยากเสียใจ...และผิดหวังอีกแล้ว...อยากหนีไปเรื่อยๆ...จากเรื่องราวต่างๆ...แต่เงินก็ไม่มีอ่ะนะ...ไม่มีรายได้...มีแต่รายจ่าย...ชอบประโยคนี้
"หัวใจมันไม่อาจฝืน ลุกยืนขึ้นไม่ไหว ฉันอ่อนแอเกินไป ที่จะหางานใหม่"
ในชีวิตทำเรื่องผิดพลาดมาเยอะ...นึกถึงก็เสียใจ...แต่สังคมก็โหดร้ายพอๆ กับที่เราไม่อยากก้าวต่อไป...พอๆ กับสิ่งดีดีที่เราพลาดไป...แล้วไม่อาจย้อนอะไรกลับมาได้...
ตอนแรกที่ผ่านภูเขาเตี้ยๆ ลูกนี้ก็ไม่ได้สนใจไรมาก...แต่ที่เตะตาและสนใจคือยอดที่โผล่มาแบบขึ้น - ลง ก็น่าสนใจและอยากลองเดินๆ ดู แบบเดินค้นหาดินแดนมหัศจรรย์แม้ความจริงก็ไม่ได้มีไรน่าสนใจขนาดนั้นก็ได้ แต่ด้านล่างคือมีการก่อสร้างกันอยู่
จุดนี้คือสถานีช่องแค ตอนนั้นเวลา 10.38 น. เหมือนนั่งรถไฟมานานมากแต่แค่ 10 โมงกว่า
10.49 น. มาถึงสถานีบ้านตาคลี...สถานีนี้เป็นปลายทางสุดท้ายของขบวนรถไฟที่เราไปอยุธยาตอนวันเสาร์ที่ 16 พฤศจิกายน 2562
สถานีบ้านตาคลีมีสิ่งที่น่าสนใจคือรูปภาพเก่าๆ ของ ร.๙ กับการเดินทางโดยรถไฟ
"กว่าจะผ่านจะพ้นวันเวลาที่จะยอมรับว่าไม่มีเธอมันหนักหนามันช่างยากเย็น
ต้องเอาความเป็นทุกข์สร้างเป็นพลังเปลี่ยนเอาความผิดหวังเป็นกำลังใจ
ต้องเอาความคิดถึงที่มีผลักดันไม่ให้ท้อใจ
เก็บทุกอย่างกลับมาวางตามเดิมเอาข้าวของและรูปเธอคืนมามาวางไว้ที่เดิมนั้น
ให้ได้มองไปแล้วเหมือนยังมีเธอให้มองไปแล้วเหมือนว่าเธอยังอยู่
ต่อชีวิตให้ก้าวไปให้หายใจไปวันวันทุกทุกการเดินทางของฉัน
ฉันรู้จะมีเธอมองดูไกลไกลจะดีจะร้ายจะล้มจะลุกขึ้นเดินต่อไป
ถึงแม้บางครั้งจะเงียบเหงาฉันไม่เคยเดียวดายแค่มองรูปเธอก็พอชื่นใจ
ถึงแม้เธอจะไม่อยู่ในชีวิตฉันแต่เธออยู่ในหัวใจ เธอมีความหมายเหลือเกินกับฉัน
ในวันอ่อนไหวเวลาที่เธออยู่กับฉันแม้มันจะสั้นเกินไปแต่ฉันดีใจที่ได้รักเธอ
ได้พบกับเธอกว่าจะผ่านจากวันเดือนเป็นปีฉันเพิ่งรู้ว่าทุกวินาทีมันเชื่องช้าเมื่อขาดเธอ
แต่ก็ทำให้ฉันได้คิดทบทวนสิ่งดีดีที่ได้ทำตอนเธออยู่ช่วงเวลาที่แสนดีที่ไม่มีทางคืนมา"
(ไม่อยู่ในชีวิต แต่อยู่ในหัวใจ - ลุลา)
เพลงนี้เป็นเพลงที่พอฟังในช่วงการเดินทางก็เหมาะกับการเดินทางดี...บางทีการคิดถึงใครก็แค่นึกถึงแค่นั้น...เพราะเราอยู่ตรงนี้แค่คนเดียว...และเราก็เดินทางคนเดียวต่อไป...มันเป็นการแค่นึกถึงที่ไม่มีความจริงหรือโลกแห่งความเป็นจริงอะไรอยู่ในนั้น
รถไฟแล่นไปเรื่อยๆ...หันไปมองฝั่งตรงข้าม...ความจริงเราไม่รู้หรอกว่าใครเป็นไง...มีเรื่องราวความเป็นมาอย่างไร...คิดอะไรอยู่ในใจ...รู้สึกอย่างไร...แต่บางทีคนเราก็ไม่ใช่คนเดียวที่เหงาและอยู่คนเดียวบนโลกใบนี้...ไม่ใช่คนเดียวมีเรื่องคิด...หรืออะไรทีี่ซ่อนอยู่ในใจ...ก็ถ่ายรูปคุณลุงคนนี้เหมือนเยอะ...แต่เพราะเป็นคนเดียวที่เราจะถ่ายภาพได้...ความจริงก็ไม่กล้าถ่ายภาพเหมือนกัน...พยายามแอบถ่ายภาพ...แม้เราอยากได้แบบอารมณ์ความรู้สึก...และท่าทาง...แต่สมมติเปลี่ยนเป็นเรา...เราก็อาจรำคาญและไม่อยากให้ใครถ่ายภาพเราทั้งนั้น...แม้ว่าแค่บังเอิญเราไปติดอยู่ในภาพที่คนอื่นเขาถ่ายก็ตาม
11.06 น. สถานีหนองโพ...นึกถึงนมยี่ห้อนึง...แต่คงไม่ได้เกี่ยวข้องไรกัน
คุณลุงฝั่งตรงข้ามเราก็ยังฮิตกับการที่พ่อค้าแม่ค้าแวะเวียนมาขายของ...ส่วนเราก็ไม่ได้ซื้อไรเลยทั้งอาหาร-และน้ำ...แม้ยังไม่ได้ทานอะไรตั้งแต่เช้า...เพราะไม่อยากยุ่งยากกับขยะและการเข้าห้องน้ำ...แม้มีหลายคนทิ้งของไว้บนเก้าอี้แล้วไปห้องน้ำ...แต่เราไม่อยากเข้าห้องน้ำบนรถไฟ
11.07 น. เราก็ลาจากสถานีหนองโพ ควันรถไฟยังดำลอยหายไปในอากาศเหมือนเดิม..ตกลงใช้ถ่านจริงดิ...แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันแหละ
อาหาร - เครื่องดื่มบนรถไฟก็มีมาขายเรื่อยๆ...แบบไม่มีอดตายแน่นอน
นั่งอยู่คนเดียวไปเรื่อยๆ...บางทีก็อยากให้คนที่นึกถึงมาอยู่ฝั่งตรงข้าม...แต่คงไม่มีวันเป็นไปได้....แต่เรานึกถึงใคร?...ก็ไม่ได้สำคัญอะไร...ก็แค่นึกถึง...
นั่งรถไฟไปเรื่อยๆ และฟังเพลง...พอเพลงนี้ขึ้นมาแล้วโดนมาก...แต่เจ็บมากๆ...นี่เรื่องงานนะ...ที่เจ็บมากๆ...แต่หลายๆ อย่างในชีวิตในส่วนความเจ็บของความผิดหวังและเราอาจความสามารถไม่พอ...ก็ตัวเราเองด้วยที่ทำไรผิดพลาดหรือไม่รู้ทำไง...ทำให้ชีวิตต้องเป็นแบบนี้...ฟังเพลงไป...รันทดไป...มองวิวข้างทางไปเรื่อยๆ...เซ็งชีวิตและเซ็งการกระทำตัวเองในอดีต
"เคยไหม รักใครที่เขาไม่แคร์ ก็แคร์เขาอยู่ เคยไหม ทุ่มเททั้งทั้งที่รู้ ไม่ได้กลับมา
เลื่อนลอย ไม่น่าเฝ้าคอยก็คอย โง่เป็นบ้า ผลลัพธ์เท่ากับน้ำตา แน่ล่ะคนแพ้คือเรา
มันบีบเข้าไปข้างใน มันบาดลึกลึกลงไปทุกที ใครว่าไม่เท่าไหร่ เรื่องอย่างนี้ถ้าไม่เจอกับตัวเอง
ไม่รู้หรอกว่า เจ็บมากมาก ไม่รู้จะเจ็บไปถึงเมื่อไหร่ ปวดร้าวมันเป็นยังไง
ซึ้งแล้วซึ้งใจจริงจริง เหนื่อยมากมาก ได้แต่ย้ำหัวใจลืมเถอะ ลืมทุกสิ่ง จะลบมันออกไหม
จะเจ็บน้อยลงได้ไหม ยังไม่รู้เลย มีไหม สักคนที่ใจมันเคยช้ำช้ำเหมือนกัน
มีไหม มีช่วยบอกฉันจะผ่านพ้นไปได้อย่างไง กี่วัน ความเข้มแข็งจะกลับเข้าที่มันได้
น้ำตาแห้งหมดเมื่อไร นานไหมหรือไม่มีวัน"
(เจ็บมากๆ - ดัง พันกร บุณยะจินดา)
แม่ค้าคนเดิมเดินผ่านกลับมาอีกรอบ...ความจริงหลายคนแหละที่เดินผ่านไปมา...แต่ดูๆ ของที่ขายไม่ใช่ของเดิม...ก็ไม่แน่ใจ...คนนึงขายกันกี่อย่างกันแน่
11.36 น. เราก็เดินทางมาถึงสถานีนครสวรรค์...และลาจากไปในเวลา 11.40 น.
ฝูงวัวยืนตากแดดเล็มหญ้าอยู่กลางทุ่งนา
มาอีก 1 เพลงโปรดที่ฟังบนรถไฟแล้วชอบ...แต่ก็ไม่ได้ตรงไรกับชีวิตจริงอยู่ดี
"ในวันนั้นตรงนี้เธอเคยอยู่ข้างฉัน เรานั่งกระซิบกันและเธอบอกฉันว่าเธอจะไม่ไปไหนในวันนี้ ตรงนั้นเธอเดินอยู่ข้างเขาแต่ฉันนั้นไม่มีใคร คำที่บอกฉันมันหายไปตอนที่เขามา แต่ฉันยังยืนอยู่ตรงที่เก่าที่เธอเดินจากไปคงเหลือเอาไว้แต่คำถามว่าเธอเธอจำได้หรือเปล่าตรงนี้จำความรักของเราได้บ้างหรือเปล่าที่เรารักกันและฉันรักเธอขนาดไหนเธอเธอจำได้หรือเปล่าตรงนี้ตรงที่เค้ามาแทนที่ฉันตอบฉันสักคำว่าทำกันลงได้ไงและตอนนี้คำที่เธอเคยบอกรักฉันมันไม่ได้สำคัญเป็นแค่เรื่องเมื่อวานที่มันผ่านไปแต่ฉันไม่ลืมฉันยังยืนอยู่ตรงที่เก่าที่เธอเดินจากไปคงเหลือเอาไว้แต่คำถามว่าเธอเธอจำได้หรือเปล่าตรงนี้จำความรักของเราได้บ้างหรือเปล่าที่เรารักกันและฉันรักเธอขนาดไหนเธอเธอจำได้หรือเปล่าตรงนี้ตรงที่เค้ามาแทนที่ฉันตอบฉันสักคำว่าทำกันลงได้ไงวันนึงเธอเดินไปในใจฉันเปล่าเปลี่ยวอยู่ตรงนั้นเธอ"
(ที่เก่า - Marc)
พ่อค้าแม่ค้าหลายคนเดินมาเพื่อมาขายอาหาร - เครื่องดื่ม....หลากหลายเมนูมาก...แต่เราก็ไม่ได้ซื้ออะไรอยู่ดีแม้ไม่ได้ทานข้าวและน้ำมาตั้งแต่ตื่นนอน
คุณลุงฝั่งตรงข้ามก็ยังฮิตกับการที่พ่อค้าแม่ค้าแวะเวียนมาขายของ
11.56 น. เราก็มาถึงสถานีทับกฤช
ทุ่งนาและหนองน้ำ...และฝูงนกที่บินขึ้นสู่ท้องฟ้า
"We've been gaining one good thing through losing another.
I'm so proud to be with you,my love.
Now you know the meaning of SUNSHINE AFTER RAIN.
Let me tell you LIFE IS GOOD, my friends."
(Gaining through losing - Ken Hirai)
เพลงเล่นไปเรื่อยๆ...เพลงนี้ความจริงเป็นภาษาอื่นที่ฟังไม่เข้าใจยกเว้น 4 ประโยคนี้...ชอบ...โดยเฉพาะ "I'm so proud to be with you,my love."...ในอดีตอยากให้มีคนพูดประโยคนี้กับเราอ่ะนะ...แต่ตอนนี้คงไม่มี...และเราก็ไม่มีไรให้ตัวเองภาคภูมิใจด้วย...แต่ก็ยังชอบเพลงนี้อยู่ดีตอนที่ได้ฟัง
12.12 น. เราก็มาเดินทางมาถึงสถานีชุมแสง
คุณลุงฝั่งตรงข้ามก็ยังฮิตกับการที่พ่อค้าแม่ค้าแวะมาขายของ...คุณยายคนนี้มาขอให้คุณลุงช่วยซื้อ...แต่เราช่วยซื้อใครไม่ได้ทั้งนั้น...ตัวเองก็ไม่รู้จะมีกินไปอีกนานแค่ไหน...ไม่มีเงิน
12.28 น. เราก็เดินทางมาถึงสถานีบางมูลนาก...มีรูปหล่อหลวงพ่อเงิน...ก็ไหว้ขอพรเพราะไหนๆ ก็ได้ผ่านมาแล้ว
เจดีย์สูงสีเหลืองโดดเด่นท่ามกลางสีเขียวของต้นไม้
12.43 น. มาถึงสถานีดงตะขบ...จอดแช่ก่อนเข้าสถานีจริงตรงนี้นานเหมือนกันเกือบ 10 นาที...ก็มีนั่งหลับตาแป๊ปนึงแต่ต้องลืมตาตื่นอย่างไวเพราะมีลมแรงมาพัดโดนหน้า...ลืมตาคือรถไฟวิ่งผ่านไปเร็วมาก...ก็ไม่แน่ใจจอดให้รถไฟคันนี้วิ่งผ่านไปก่อนหรือเปล่า
แล่นผ่านสถานีดงตะขบ...12.52 น.
นกบินอยู่บนฟากฟ้าสีน้ำเงิน
ฟังเพลงไปเรื่อยๆ...เพลงนี้ก็ชอบ
"อยู่ตรงนี้ ที่มีเธอ แค่มองหันมาก็เจอ ได้เจอะหน้ากัน
แต่คงไม่มีวันเวลาใดๆเลย วันเวลาที่สองใจ จะหันมา เข้าหากัน
หากว่าเธอ ใกล้เข้ามา ความรักมันยิ่งพา ให้เกิดเหงาใจ
ยิ่งต้องคอยแกล้งทำเย็นชา ไม่คิดอะไร คุยไปพลาง ก็ช้ำไปพลาง เหมือนว่ารักระหว่างเรา ไม่เคยมี ..หากฟ้านั้นยืนเคียงคู่ตะวัน รักของฉันและเธอก็คงเหมือนกัน ได้แค่มองเป็นของคู่กัน แต่ไม่เคยจะอยู่ร่วมกัน ได้แค่ผ่านกันไป แล้วมอง ได้แค่มองกลับมาแล้วถอนใจ เมื่อไรที่สองเราจะเข้าใจ เมื่อไรจะเข้าใจ มองเป็นของคู่กัน แต่ไม่เคยจะอยู่ร่วมกัน ได้แค่ผ่านกันไป แล้วมอง ได้แค่มองกลับมาแล้วถอนใจ เมื่อไรที่สองเราจะเข้าใจ รักกันชั่วนิรันดร์"
(รักเธอชั่วนิรันดร์ - muzu)
มองออกไปลิบๆ มีควันลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า บางทีเขาอาจกำลังเผาอะไรอยู่ก็ได้
ชมวิวไปเรื่อยๆ มองท้องฟ้า เห็นเมฆก้อนใหญ่มากลอยอยู่บนท้องฟ้าก็เลยถ่ายภาพไว้
13.01 น. ก็มาถึงสถานีตะพานหิน...เหมือนเคยได้ยินชื่อแต่ไม่รู้มีอะไรที่นี่ ขี้เกียจหาข้อมูล
ผ่านทุ่งนา...ผ่านหนองน้ำ....ผ่านต้นไม้...ผ่านบ้านเรือน...ผ่านวัด...และองค์พระสีทองบนภูเขา
นั่งชมวิว...ถ่ายภาพ...ฟังเพลง...ความจริงตอนถึงสถานที่ต่างๆ จำไม่ได้ว่าฟังเพลงไรหรอก...แค่ตอนอยู่บนรถไฟชอบ....ก็แคปหน้าจอหรือจดไว้ว่าเพลงพวกนี้ฟังแล้วชอบ...แต่ไม่ได้มีความหมายอะไร
"ค่ำนี้ยังอีกนานใช่ไหม ไม่ว่าทำอะไร คิดเรื่องใดไปไกล ก็ยังคิดถึงทุกที และค่ำคืนนี้ ฉันต้องกลั้นน้ำตา เอาไว้ ไม่ให้ไหล ไม่ให้ร้อง เพราะคิดถึงเธอ คิดถึงฉันบางไหมเธอ หลายวันแล้วที่เราไม่ได้เจอ ยังคงเขินทุกครั้ง เหมือนแรกทั้งที่เราไม่ได้เพิ่งแลกเบอร์ อยากเปลี่ยนมือถือ เป็นมือที่เคยจับ อยากเปลี่ยนจากแค่คิดให้เป็นได้ใกล้ ให้เป็นได้สัมผัส คิดถึงเธอทั้ง all night ทั้งวันทั้งคืนไม่รู้จะพอไหม พูดกับตัวเองว่าฉันต้องทนไหว ซึ่งถ้าเป็นเธอไม่รู้จะทนไหม บางครั้งมันน้อยใจว่าฉันมีสิทธิทำได้แค่นั้นหรือ แสดงความคิดถึง ความรู้สึกผ่านตัวหนังสือ บอกตัวเองให้จำไว้ ความรู้สึกนี้ ความคิดถึงที่มีแต่ไม่อาจจะเอื้อมถึง บอกตัวเองให้จำไว้ จำไว้ว่าครั้งนึ่ง ความคิดถึงทำให้รู้ว่าทรมาน เพียงใด ไม่มีใครรู้ว่าความคิดถึงมันทรมาน มันเป็นความคิด ที่ทำให้คิดจนปวดกระบาล และหยุดตัวเองไม่ได้ ฉันห้ามความคิดไม่ได้ ฉันหยุดความคิดไม่ได้ แต่ที่ฉันทำได้คือต้องพยายาม ไม่ให้คิดถึงเรื่องที่ฉันและเธอทำ พยายามไม่ฟังเพลง เพลงที่มอบให้เธอฟัง และเรื่องราวอีกมากมายที่ทำให้ฉันและเธอจำ ฉันจะไม่นับวันรอ วันที่ฉันและเธอได้เจอกัน บอกตัวเองให้จำไว้ ความรู้สึกนี้ ความคิดถึงที่มีแต่ไม่อาจจะเอื้อมถึง บอกตัวเองให้จำไว้ จำไว้ว่าครั้งนึ่ง ความคิดถึงทำให้รู้ว่าทรมาน เพียงใด ฉันเพิ่งเข้าใจ ในวันที่เธอไกลห่าง แต่ก็ไม่รุ้ว่าเธอนั้น จะเป็นอย่างฉัน บ้างไหม บ้างไหม บ้างไหม ฉันเองก็ไม่เข้าใจ ว่าทำไม ทำไม ทำไม ทำไม คิดถึงเธอจัง บอกตัวเองให้จำไว้ ความรู้สึกนี้ ความคิดถึงที่มีแต่ไม่อาจจะเอื้อมถึง บอกตัวเองให้จำไว้ จำไว้ว่าครั้งนึ่ง ความคิดถึงทำให้รู้ว่าทรมาน เพียงใด"
(Try To- MAIYARAP)
13.14 น. ก็มาถึงสถานีหัวดง...เวลาที่จะถึงพิษณุโลกคือประมาณ 13.43 น. ก็แสดงว่าน่าจะใกล้เดินทางถึงแล้วในเวลา 1 ชั่วโมง
13.22 น. ก็มาถึงสถานีวังกรด
ความจริงไม่รู้สถานีอยู่จังหวัดไหน...แต่พอรถไฟวิ่งผ่านเห็นรูปปั้นจระเข้ตัวน้อยก็คาดว่าน่าจะมาถึงพิจิตรแล้ว
ฟังเพลง...มองวิวไปเรื่อยๆ...เพลงนี้ก็ 1 ในเพลงที่ฟังแล้วรู้สึกว่าใช่...แค่เปลี่ยนจากผู้ชายเป็นผู้หญิงและจากความรักเป็นงาน...ชีวิตคนเราแตกต่างมีเส้นทางของตัวเอง...เราก็มีชีวิตและเส้นทางของเรา...ที่น่าเจ็บปวดและผิดหวัง...และอยากเดินออกจากสังคมป่วยๆ...ความคิดและความเข้าใจคนอื่นที่ทำร้าย...และทำลายชีวิตเรา...เดินออกจากทุกสิ่งทุกอย่าง...ไม่รับรู้และสนใจ...มีแค่เราและตัวเรา...ไม่ต้องทุกข์ใจคิดมากและประสาทกินเพิ่มจากที่ทุกข์...เครียดและคิดมากอยู่แล้ว...ก็บ่นๆ...แล้วทำไรไม่ได้...ก็เพราะทำไรไม่ได้...เลยออกเดินทางมาแบบนี้...ถอนตัวออกจากสังคมที่เจ็บปวด...คิดมาก...ทุกข์ใจ...เสียใจและผิดหวัง...คนเราอย่าหวังให้คนอื่นมาเข้าใจ...ไม่ใช่ชีวิตเขา...ไม่ได้เกิดขึ้นกับตัวเขาเอง..แต่หลายๆ เรื่อง...เราทำผิดพลาดไปเอง...และหาทางออกและแก้ไขอะไรไม่ได้...เสียใจจริงๆ ตอนนี้
"เคยบ้างไหม เหมือนว่าใจจะหาย เวลาเห็นฝนพรำ บรรยากาศแบบนี้ใครมีอดีตคุ้นกัน
ความทรงจำกลับมาทำร้ายหัวใจ กลับไปนึกถึงบางคน เป็นอยู่ทุกครั้ง
ใจมันยังมืดครึ้ม เหมือนฟ้าที่มืดมน แต่ละครั้งที่ฉันหายใจไม่เคย ไม่ทุกข์ทน
คนที่ดูเข็มแข็งที่จริงปวดร้าว ซ่อนมันเอาไว้น้ำตา ฝนที่หล่นในใจผู้ชาย
มีใครบ้างจะเห็น มีใครบ้างความรู้สึกที่คาทุกอย่าง เกาะกินจนหนาวไปถึงขั้วใจ
ฝนที่หล่นในใจผู้ชาย แม้ว่าฝนจากฟ้าจะซาไป มันก็ยังไม่ยอมแห้งไป
จะหยุดตกเมื่อไร ไม่รู้ฝนที่หล่นในใจผู้ชาย มีใครบ้างจะเห็น มีใครบ้างความรู้สึกที่คาทุกอย่าง
เกาะกินจนหนาวไปถึงขั้วใจ ฝนที่หล่นในใจผู้ชาย แม้ว่าฝนจากฟ้าจะซาไป
มันก็ยังไม่ยอมแห้งไป จะหยุดตกเมื่อไร ไม่รู้ อยากจะลืม แต่กลับยิ่งจำ สายฝนยังพรำในใจ"
(ผู้ชายในสายฝน - รุจ)
13.30 น. ก็เดินทางมาถึงสถานีพิจิตร...อีกไม่ไกลคงถึงปลายทางของเรา..."พิษณุโลก"
ความจริงเราเอาแต่มองวิวด้านนอกไปเรื่อยๆ...มองในรถไฟบ้าง...ก็ไม่รู้คุณลุงฝั่งตรงข้ามมีคนมานั่งด้วยเมื่อไหร่...แต่หันไปอีกทีก็เจอนั่งคุยด้วยกันแล้ว...ส่วนเราก็เดินทางเงียบๆ...กับเพลงในมือถือของเราไปเรื่อยๆ....คนเดียว
13.44 น. มาถึงสถานีบางกระทุ่ม...ซึ่งตามเวลาในตั๋วรถไฟเราจริงๆ...เราต้องถึงพิษณุโลกตอน 13.43 น. นะ...คือขบวนเร็วนี่เร็วมากจริงๆ...
รถไฟแล่นไปเรื่อยๆ...เลียบทุ่งนาเหมือนเดิม...ก็ไม่อาจเดาได้ว่าจะถึงพิษณุโลกกี่โมงแต่คิดว่าต้องเลยบ่าย 2 โมงไปนั่นแหละ...ถึงตอนไหนก็รู้เอง...แต่มาถึงพิจิตร...พิษณุโลกก็ไม่อยู่ไม่ไกลแล้วแหละมั้ง
มาถึงอีก 1 เพลงที่นั่งฟังขณะอยู่บนรถไฟแล้วรู้สึกโดนกับความรู้สึกของเรา...หลบไปพัก...คือตกงานเป็นปีเป็นชาติ...ยังพักไม่พออีกรึไง...แต่เราอยากหลบไปพักกับปัญหาและเรื่องทุกข์ใจในกรุงเทพฯ...ความคิด...ความเข้าใจ...คำพูดคนอื่นที่ทำเราทุกข์...เครียด...ประสาทกินกว่าเดิม...หรือเรื่องราวความผิดหวัง...เจ็บปวด...ที่เราทำได้แค่เฉยๆ...มองข้าม...ไม่สนใจ...เพื่อไม่ให้โดนคนอื่นเข้าใจผิด...นินทา...หรือทำเราคิดมาก...เจ็บปวดอีก...ทั้งๆ ที่เราไม่ได้ยุ่งไรกับใคร...และพูดหรืออธิบายอะไรไม่ได้สักอย่าง...เบื่อกับความคิดและความเข้าใจคน...เหมือนคนแพ้อ่ะ...แพ้แล้วไง...ทำไรไม่ได้...ถ้ารู้สึกแย่หรือไม่ดี คิดมากหรือทุกข์ก็ต้องเป็นฝ่ายหลบหายไปเอง...ไม่อยากประสาทกินและทุกข์ใจมากไปกว่านี้...เจ็บทั้งเรื่องงาน...เจ็บทั้งเรื่องคน...เวรกรรมตามเราคนเดียว...แต่คงไม่เคยตามคนที่ทำร้ายเรา...เหมือนเพ้อเจ้ออ่ะแต่เวลาเราแย่ๆ...จิตตกก็แบบนี้เอง...
"อยากอยู่เงียบเงียบอย่างนี้ อยากคิดอะไรซักหน่อย ไม่อยากไปไหนด้วยใจลอยลอย
ไม่อยากจะเจอหน้าใคร ขี้เกียจออกไปแกล้งยิ้ม ทั้งที่ใจวุ่นวาย ก็ออกไปแล้ว ต้องไม่สบาย
ถ้าหากเจอหน้าบางคน อยากหลบไป ซักพักนึงขอไปลืมหน้าเธอซักหน่อย
ลบร่องรอยหัวใจที่เป็นแผล อยากหลบไปพักนานนาน ให้ห่างบางคนที่เคยรังแกใจ
ที่มันต้องแพ้ มันก็ควรต้องพักสักวัน ถ้าหากมันยังเหนื่อยนัก จะพักมันไปเรื่อยเรื่อย
ไม่อยากไปไหนให้ใจต้องเหนื่อย ไม่อยากเจอะเจอหน้าใคร ขี้เกียจออกไปแกล้งยิ้ม
ทั้งที่ใจวุ่นวาย ก็ออกไปแล้วต้องไม่สบาย ถ้าหากเจอหน้าบางคน อยากหลบไปซักพักนึง
ขอไปลืมหน้าเธอซักหน่อย ลบร่องรอยหัวใจที่เป็นแผล อยากหลบไปพักนานนาน
ให้ห่างบางคนที่เคยรังแกใจ ที่มันต้องแพ้มัน ก็ควรต้องพักสักวัน อยากหลบไปซักพักนึง
ขอไปลืมหน้าเธอซักหน่อย ลบร่องรอยหัวใจที่เป็นแผล อยากหลบไปพักไกลไกล
ให้ห่างบางคนที่เคยรังแก ใจที่มันต้องแพ้มันแค่อยากไปพักสักวัน"
(หลบไปพัก - ทีน&คิม)
14.07 น. เราก็เห็นตลาดที่มีคำว่าพิษณุโลกไกลๆ ก็คิดว่ามาถึงแล้วแหละ "พิษณุโลก"...ก็เลทไปประมาณ 25 นาทีนั่นแหละ
14.08 น. รถไฟเทียบชานชาลา
คนอื่นๆ ก็เดินผ่านไปเข้าในสถานี ส่วนเราก็ยังยืนอยู่ในชานชาลาเพราะต้องการถ่ายภาพตอนรถไฟแล่นออก แต่ก็รอนานมากเพราะเหมือนมีการตรวจเช็คอะไรกันอยู่...ตอนแรกก็คิดว่าพวกสินค้าเพราะตอนเราขึ้นรถไฟเห็นมีตู้หนึ่งเหมือนเอาไว้เก็บสินค้า...แต่ตอนรถไฟใกล้ออก...มีประกาศว่ารอเติมน้ำอะไรสักอย่าง...ผู้โดยสารที่ขึ้นไปก็มีบางคนชะเง้อออกมาดูนอกหน้าต่างรถไฟบ้าง
14.15 น. นายสถานีก็เดินถือธงออกมาเตรียมโบกแสดงว่ารถไฟใกล้ออกจากชานชาลาแล้ว
เราก็รอถ่ายภาพโบกี้สินค้าและโบกี้ที่ดูแพงที่อยู่หลังสุดของขบวนที่ตอนเราเดินผ่านจะขึ้นรถไฟแล้วเห็น
ซึ่งโบกี้ที่ดูเหมือนแพงท้ายๆ ขบวน พอเราเอารูปมานั่งไล่ดูก็ไม่เห็นพวกเชฟไรเหมือนที่เราเห็นตอนเช้าก่อนขึ้นรถไฟ เห็นเหมือนคนนั่งปกติซึ่งเราอาจเข้าใจหรือมองผิดไปตอนขึ้นก็ได้...อาจไม่ใช่พวกเชฟแต่แค่ผู้โดยสารทั่วไปบนขบวนรถไฟ...ไม่รู้สิ...ตอนขากลับจากอยุธยา...เราเห็นรถไฟขบวนที่ดูแพงวิ่งผ่าน...แล้วมีคนนั่งทาน...และมีเหมือนส่วนทำอาหาร...ทำเครื่องดื่มอยู่...แต่เราก็ถ่ายภาพส่งขบวนรถไฟที่เรานั่งมาออกจากพิษณุโลก...บ๊ายบายนะคะ...กับ 7 ชั่วโมงที่อยู่ด้วยกันมา
สำหรับเพลงส่งท้ายความเจ็บปวด...ผิดหวัง...ทุกข์ใจของเรา...บ๊ายบาย...ขบวนรถไฟที่เรานั่งมา...ก็เพลงนี้...แม้ความจริงเราไม่ได้ฟังเพลงนี้บนรถไฟ...แต่มาฟังหลังจากนั้น...แต่ฟังทีไรก็โดนใจเรา...ในเรื่องงาน...แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็กัดฟันข่มใจยืนไว้...พยายามไม่สนใจ...หรือเรื่องต่างๆ ในชีวิต...ความทุกข์ใจ...ผิดหวัง...เสียใจต่างๆ...คำพูด...คำนินทาและความเข้าใจ...ซึ่งเราก็คงทำไรไม่ได้หรือจะให้ไปแก้ไขอะไรก็ไม่ได้เหมือนกัน...ความจริงก็ไม่ได้มีใครสนใจเราจะคิดหรือรู้สึกไง...แต่ถ้าหากเวรกรรมมีจริงคงตามแค่เรา...ไม่ได้ตามคนที่ทำร้ายหรือเข้าใจผิดเรา...และบางทีก็คิดแม้ตอนนี้...การที่เราไม่ชอบใคร...อาจไม่ใช่เพราะคนคนนั้นทำไม่ดี..แต่อาจเป็นคนแวดล้อมหรือสิ่งต่างๆ...ที่เราเจอที่เราไม่ค่อยแน่ใจว่าเกี่ยวข้องกันมั้ย...แต่ถามว่าเราไม่ชอบใคร...เพราะไม่พอใจหรือคิดมากอย่างไรก็แล้วแต่...มีใครต้องสนไหม...ความจริงบทเรียนจุดนี้ก็อย่าหลอกตัวเอง...เพราะเราทนทุกข์ใจทรมานมามากพอแล้ว...แม้หลายอย่างเราก็ผิด...ยอมรับ...หลายอย่างทำตัวเองก็คงยอมรับ...สุดท้ายถ้าเราตายจากไป...เราก็ขอเลือกเก็บอะไรดีดีไว้...แม้ตอนนี้เราก็ไม่แน่ใจว่าอะไรดีดีที่เราเคยสัมผัสหรือรับรู้...มันยังมีอยู่รึเปล่า...ก็อาจคงไม่สำคัญไรเลยก็ได้...ไม่ว่ากับใคร...หรือเราที่ไม่อยากคิดมากหรือเจ็บปวดกับความคิด...ความเข้าใจใคร...หรือเรื่องราวความผิดหวังและเจ็บปวดเรื่องงาน...การว่าร้ายนินทา...การใส่ร้ายใส่ความ...ทั้งที่เราก็ไม่ได้ไปยุ่งหรืออะไรกับใคร...แต่ต้องประสาทกินกับความคิดและความเข้าใจคนอื่น แต่เราก็ยอมรับแหละ...เราก็ไม่ได้ดีไรเลยทั้งนั้น...
"ยิ้มให้เธออย่างคนเข้าใจได้ดี เมื่อรู้ว่าในวันนี้ที่เธอจะไป ไม่เลยไม่เป็นไร ก็มีแค่นี้ใช่ไหม เรื่องของเรา นั่นคือที่ฉันพูดไป ส่วนลึกในใจเธอไม่รู้ ร่างกายมันเป็นหินที่ไม่สะท้านสะเทือนเหมือนไม่แคร์ แต่ใจโดนทำลายเป็นผุยเป็นผงเป็นทรายไร้ชิ้นดี กัดฟันฝืนยืนทั้งที่ยืนไม่ไหวใกล้ล้มแล้วเต็มที ต้องฝืนเท่าที่แรงจะมี น้ำตาผู้ชายมันตกใน แค่ไม่กี่นาทีเดี๋ยวเธอก็ไป ให้ไปก่อนเธอไกลจะมองมาเห็น แล้วน้ำตาจะไหล จะยอมให้มันได้ไหล ให้ไหลมา ซ่อนรอยร้าวที่มันแตก ให้ลึกจนมองไม่เห็น ร่างกายมันเป็นหินที่ไม่สะท้านสะเทือนเหมือนไม่แคร์ แต่ใจโดนทำลายเป็นผุยเป็นผงเป็นทรายไร้ชิ้นดี กัดฟันฝืนยืนทั้งที่ยืนไม่ไหวใกล้ล้มแล้วเต็มที ต้องฝืนเท่าที่แรงจะมี น้ำตาผู้ชายมันตกใน ร่างกายมันเป็นหินที่ไม่สะท้านสะเทือนเหมือนไม่แคร์ แต่ใจโดนทำลายเป็นผุยเป็นผงไม่มีชิ้นดี เมื่อเธอเดินจากไป"
(ร่างเป็นหิน ใจเป็นทราย - แซนด์ สโตน)
ในชีวิตคนเรา...แล้วเราจะได้เรียนรู้...คนอื่นจะคิดหรือเข้าใจอย่างไรไม่สำคัญ...ไม่ต้องสนใจหรือให้ความสำคัญ...ถ้ามันทำร้ายเรา...บั่นทอนใจเรา...แม้เวรกรรมคงไม่มีวันตามคนเหล่านั้น...แค่เราคิดและเข้าใจในเรื่องของเราก็เพียงพอแล้ว
สำหรับเพลงนี้...4 ประโยคต่อไปนี้...ขอมอบให้เรื่องงานของเรา...ไม่ว่าบนโลกใบนี้...หากมีใครรับรู้และจดจำ...ถ้าสิ่งที่เป็นไป...เราไม่ดีจริง...เราคงต้องยอมรับ...แต่ถ้าไม่ใช่...ชาตินี้ไม่ได้...ชาติหน้าขอให้เวรกรรมตามสนองคนที่ทำร้ายเรา...ให้เจอแบบเราและรับรู้ว่าสิ่งที่เราเจอ...เรารู้สึกยังไง...แม้เขาอาจจำไม่ได้ว่าชาติก่อนสักชาติ...เคยทำอะไรกับใครไว้
"ร่างกายมันเป็นหินที่ไม่สะท้านสะเทือนเหมือนไม่แคร์
แต่ใจโดนทำลายเป็นผุยเป็นผงเป็นทรายไร้ชิ้นดี
กัดฟันฝืนยืนทั้งที่ยืนไม่ไหวใกล้ล้มแล้วเต็มที
ต้องฝืนเท่าที่แรงจะมี น้ำตา(คนอย่างเรา)มันตกใน"
เหมือนดราม่า...ไร้สาระ...แต่คนเราไม่ว่าในใจคิดหรือเจ็บปวดยังไง...แต่สิ่งที่แสดงออกเพื่อความเข้มแข็งและยืนให้ได้ในสังคม...คือเฉยๆ...ไม่สนใจ...ไม่อะไรทั้งนั้น...ไม่ใช่แค่เรื่องงาน...ความจริงก็เรื่องคนในสังคมทั้งนั้นที่ทำร้ายใจกันไปมา...แล้วใครแคร์ใคร...คำตอบก็รู้อยู่...คิดมากก็เจ็บปวดป่าวๆ...คนเราก็ต้องเอาตัวรอด...หรือทำตามความต้องการตัวเอง...ใจตัวเอง...ต่อให้ทำร้ายคนอื่นทั้งที่เรื่องจริงและไม่จริง...ก็ไม่มีใครเขาแคร์กันว่าจะทำร้ายใครบ้าง....เราก็ไม่ใช่ดีไร...แต่ก็อย่างที่บอก...เวรกรรมตามแค่เรา...ไม่เคยตามคนที่ทำร้ายใจเรา...ใครใส่ใจใคร...คนเรา...เอาเป็นว่าหลายๆ คนในสังคม...ยืนได้แบบไม่เป็นไร...ในใจคือพรุนไปด้วยความเจ็บ...แต่ถ้าไม่เข้มแข็ง...ก็ต้องตาย...พร้อมตายหรือยังล่ะ?
14.16 น. เราก็เดินเข้าสู่สถานีพิษณุโลกเพื่อเดินทางต่อไปยังจุดหมายของเราที่ตั้งใจมา
อย่างแรกที่เราดูคือเที่ยวรถไฟขากลับ...ความจริงก็ดูมาแล้วจากในเว็บตารางรถไฟ...ก็พอรู้ว่ามีแต่เที่ยวกลับแบบดึกๆ...แต่ก็มาดูเพื่อความแน่ใจอีกที...ก็ตามนั้นคือดึกแล้วไปถึงกรุงเทพฯ ตอนรุ่งเช้า...เราก็เลยต้องมีทางเลือกอื่นๆ ในใจอย่างรถทัวร์หรือรถตู้...ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าอยู่ไหน...หรือท่ารถอยู่ไกลจากที่นี่มากมั้ย...แต่เดี๋ยวค่อยค้นหาทีหลัง...เพราะอยากไปวัดพระพุทธชินราชก่อน...แล้วค่อยหาทางเดินทางกลับทีหลัง...แต่ไม่มีการค้างคืนแน่นอนเพราะเปลืองเงิน
ตอนแรกเราจะเดินออกจากสถานีแล้วแต่นึกขึ้นมาได้ว่าจะไปวัดพระพุทธชินราชยังไง...เลยมองหาประชาสัมพันธ์ของสถานี...เพราะที่อยุธยามี...ที่นี่ก็น่าจะมี...และก็เจอ...น้องเขาบอกให้ไปสองแถว...เดินเลี้ยวซ้ายไปตลาดแล้วเลี้ยวขวาอีกทีไปรอสองแถวที่ป้ายรถเมล์
บริเวณด้านหน้าของสถานีก็จะมีป้ายใหญ่ๆ เหมือนมีที่เที่ยวไฮไลท์อะไรบ้างของพิษณุโลก...ซึ่งต้องมีรถ...ไม่ก็ต้องมีเงินเหมารถไป
เดินออกมานอกสถานีรถไฟ...เราก็เห็นตลาดอยู่ทางซ้ายมือ...มีรถหลายคันวิ่งผ่านหน้าสถานีรถไฟ...ถ้าดูป้ายทะเบียนคือของกรุงเทพฯ เยอะมาก...เยอะกว่าของพิษณุโลกและจังหวัดอื่นๆ...ซึ่งคนกรุงเทพฯ อาจมาพิษณุโลกเยอะหรือเป็นทางผ่านไปจังหวัดอื่นๆ ทางภาคเหนือ
ความจริงตลาดอยู่ทางซ้ายมือแต่เราเห็นหัวรถจักรรถไฟอยู่ด้านหน้าสถานีเลยเดินไปถ่ายภาพก่อนเพราะตอนกลับอาจไม่ได้กลับมาที่สถานีรถไฟอีกเพราะเราอยากกลับกรุงเทพฯ ภายในคืนนี้ก่อนเที่ยงคืนถ้าเป็นไปได้...เพราะรอรถไฟคือรอดึกและเราไม่ค้างเพราะเปลืองเงิน...แต่ก็ต้องหารถทัวร์หรือรถตู้กลับซึ่งก็ต้องลองถามคนแถวนั้นอีกทีหลังเราไหว้พระเสร็จ...ตอนนี้หาทางไปไหว้พระพุทธชินราชก่อน
ถ่ายภาพเสร็จก็เดินเข้าสู่ตลาดซึ่งตรงไหนคือที่รอขึ้นสองแถวก็ต้องไปถามคนแถวนั้นอีกที
ความจริงเราไม่ได้ทานข้าวแต่เช้าแต่ก็ไม่มีเวลาทานเพราะบ่ายสองกว่าแล้วเลยแวะซื้อน้ำที่โลตัสแค่นั้น...ซึ่งตอนจ่ายเงินก็ถามแคชเชียร์ว่า...รู้มั้ยไปขึ้นสองแถวที่ไหน...แคชเชียร์ที่ยืนอยู่ 2 คนบอกไม่รู้เพิ่งย้ายมา...แต่คุณป้าใส่เสื้อลายดอกบอกให้เราออกจากโลตัสแล้วเลี้ยวซ้ายจะเจอป้ายรถเมล์...ก็รอสองแถวตรงนั้น...แต่ถามหาความเป็นมิตร...ก็ไม่รู้สึกจากคนในนี้นะ...แต่เขาบอกก็ขอบคุณเขาแล้วแหละ
เดินเลี้ยวซ้ายจากโลตัสเราก็เจอวินมอไซด์ก่อน และฝั่งตรงข้ามถัดไปอีกคือป้ายรถเมล์ เราก็ไม่แน่ใจป้ายนี้หรือเปล่าเลยเดินไปรอรถแถวๆ นั้นแล้วถามน้องริมสุดว่าจะไปวัดพระพุทธชินราชไปรถอะไร...น้องเขาก็บอกว่าให้รอถามคนขับหรือดูป้ายของรถเอาว่าผ่านไหม...คือสรุปน้องเขาก็ไม่น่าจะรู้นั่นแหละ...แต่ก็ต้องขอบคุณน้องเขาที่อุตส่าห์ตอบเรา
รอไม่นานก็เห็นสองแถวมาลิบๆ แล้วมาจอดแถวป้ายรถเมล์...เราก็มองป้ายหน้ารถก่อน...ว่าผ่านไหม...แต่ก็เดินไปถามคนขับอยู่ดี...แต่ตอนที่จะถามมีน้องเหมือนเป็นกระเป๋าไม่ก็ทำไรที่เกี่ยวข้องกับสองแถวคันนี้มาถามเราว่าจะไป...เราก็บอกจะไปไหว้พระพุทธชินราช..เขาก็บอกให้ไปป้ายสีเขียวและสีม่วงเพราะจะผ่านวัดพระพุทธชินราช...เราก็โอเค..รับรู้ไว้...ส่วนน้องคนที่เราถามเมื่อกี้ก็เดินมาถามว่าไปที่นี่ๆ ไหม...คนที่บอกให้เราหารถป้ายสีม่วงหรือสีเขียวก็บอกไม่ไป...น้องเขาก็เดินกลับไปนั่งที่เดิม
รออีกแป๊ปเดียว...ก็เห็นสองแถวมาอีกคัน...คันนี้ป้ายสีเขียว...พอรถจอดเลยเดินไปถามคนขับ...เขาก็บอกไปวัดพระพุทธชินราช....ราคา 15 บาท
ตอนรถออกแล้วผ่านป้ายที่น้องที่เราถามนั่งอยู่...น้องเขาก็มอง...เราเลยยิ้มให้อีกครั้ง...เหมือนขอบคุณที่เขายังตอบคำถามเรา
รถก็แล่นไปเรื่อยๆ ในทางที่เราเพิ่งเคยผ่านครั้งแรก...ก็ไม่รู้ไกลมากน้อยแค่ไหน...แต่ก็บอกคนขับถ้าถึงแล้วให้บอกด้วย
ประมาณ 7 นาทีก็เดินทางมาถึง...ตอนนั้น 14.39 น. เราก็เดินไปพูดขอบคุณคนขับด้านหน้ารถผ่านกระจกรถ...แต่ดูแล้วคนขับไม่ได้สนใจเรา...เราเลยออกเดินต่อไปที่วัดพระพุทธชินราช
สิ่งที่สะดุดตาเราก่อนเดินไปที่วัดพระพุทธชินราชคือเจดีย์โบราณฝั่งตรงข้าม...เห็นชื่อวัดคือ "วัดราชบูรณะ"...ก็ตั้งใจไว้ว่าถ้าไหว้พระพุทธชินราชแล้วอาจจะข้ามฝั่งไปไหว้...และยังมีศาลหลักเมืองที่อยู่ฝั่งเดียวกับวัดพระพุทธชินราชนี่แหละ...แต่ว่าอยู่คนละด้านของสะพานมีคลองกั้น
เดินมาถึงวัดพระพุทธชินราช...ด้านหน้าก็เหมือนมีการก่อสร้างอยู่...ก็มองหาทางเข้าว่าต้องเข้าทางไหน...ฝั่งซ้ายหรือขวาของทางวัด..แต่เห็นคนเดินเข้าทางด้านซ้ายมือของเรา...เราเลยเดินไปทางด้านนั้น...ซึ่งก็เป็นเขตมีการก่อสร้างอยู่รอบวัด
ถ้ามองจากตรงนี้ข้ามไปอีกฝั่งคลองจะเห็นศาลหลักเมืองลิบๆ อยู่ตรงนั้น
เดินเข้าไปในวัดก็เห็นโบสถ์ของพระพุทธชินราช...แต่เราใส่ขาสั้นมา...เลยต้องหาที่เปลี่ยนกางเกงขายาว...ตอนแรกคือสวมทับเลยนี่แหละ...ก็หามุมหลบๆ...จะเอากางเกงขายาวมาใส่ทับกางเกงขาสั้น...แต่หาไม่มี...เลยต้องไปเปลี่ยนที่ห้องน้ำ
ฝั่งตรงข้ามห้องน้ำจะมีโบสถ์เล็กๆ ถ้าส่องจากหน้าต่างจะเห็นพระพุทธรูปสีทองอยู่...ก็ถ้าไหว้พระพุทธชินราชเสร็จแล้วก็อาจแวะมาไหว้ที่โบสถ์นี้ก็ได้...เพราะไหนๆ ก็มาถึงพิษณุโลกแล้ว
เดินตรงเข้าไปยังโบสถ์พระพุทธชินราช...ก็จะเจอที่สำหรับไหว้อยู่ในศาลา...ก็เลยตัดสินใจไปไหว้ตรงส่วนนี้ก่อน
ในศาลาก็มีธูป-เทียน-แผ่นทอง-ดอกบัว...หยอดเงินใส่ตู้แล้วเอามาไหว้ขอพรได้...ก็อุตส่าห์เดินทางมาถึงที่นี่ก็ไหว้ขอพรเรื่องงาน...และเรื่องอื่นๆ ที่ทำร้ายจิตใจเรา...ที่เราทุกข์ทนทรมานใจ...และหาทางออกไม่ได้...ศรัทธาและขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเหลือ
ไหว้พระขอพรที่ศาลาแล้วก็ไหว้ขอพรองค์พระพุทธชินราชที่ในวิหารต่อ...ซึ่งต้องถอดรองเท้าในที่เขาจัดวางไว้ให้...วิหารเปิด - ปิดเวลา 6.00 - 21.00 น. มีป้ายแปะไว้บนกำแพงแถวที่ถอดรองเท้า...ตอนเราจะเดินเข้าวิหาร...ก็มีกลุ่มผู้หญิงเดินผ่านมา...มีคนหนึ่งจิกตามองเราแบบไม่พอใจ...เราไม่ได้รู้จักหรือไม่คิดว่าเคยเจอเขามาก่อนเลยไม่สนใจ...เจอบ่อยที่กรุงเทพฯ ก็เจอ...แบบผู้หญิงมองเราแบบไม่พอใจ...คิดว่าเราจะสนใจมั้ย...ก็ไม่น่ารำคาญ...ด่ากลับด้วยแม้แค่ในใจ...หรือพอไปทำบุญไหว้พระ...นึกขึ้นมาได้ก็แช่งว่าเราไม่ได้ทำไรเขา...แต่เจอเขาทำแบบนี้กับเรา...คิดว่าเขาควรได้รับผลไรบ้างที่ทำเราที่มีเรื่องทุกข์เครียดเสียใจผิดหวังในใจมากพออยู่แล้วต้องอารมณ์เสียเพิ่มแบบนี้...ควรขอให้ตายไปมั้ย?...แต่ก็ไม่เห็นมีใครตายสักคน...หรือผู้ชาย...บางทีคือเห็นเราแบบบ้าผู้ชาย?...วิ่งตามผู้ชาย?...หลงตัวเองแบบนี้?...คนเรารับรู้ได้แม้ไม่ต้องรู้จักด้วยคำพูด...สีหน้า...แววตา...และการกระทำ...แต่ก็ทำไรไม่ได้ทั้งนั้น...ใครจะไปทำไรได้...แล้วใครจะมาแคร์เราจะรู้สึกไง...เราเองก็ไม่ใช่ดีหรอก...ที่ทำได้ก็แค่เฉยๆ..ไม่สนใจแค่นั้น...สักวันเราก็คงตายไปเอง...หมดทุกข์หมดโศกไปชาตินี้...คนเราในเรื่องบางอย่าง...มีบุญแต่วาสนาคงไม่ถึงที่จะได้อะไรที่ชีวิตน่าจะดีกว่านี้...และทำตัวเองแหละ...ปลงได้แล้วรอวันตายให้หมดเวรหมดกรรม....ไม่อยากรับรู้ไรอีก...แต่ยอมรับไม่ได้ดีและทำหลายอย่างพลาดเองกับโอกาสต่างๆ ในชีวิตที่สายไปและไม่มีวันคืนมา...สุดท้ายก็ไม่ชอบ...เกลียด...เฉยๆ กันไปแบบไม่ต้องมีไรต้องแคร์กันไปเอง...เจ็บปวดเนอะ...แต่ต้องยอมรับความจริง...เราก็ไม่รู้...ไม่เข้าใจใครเหมือนกัน...เวรกรรมของเราเองแหละ...ชดใช้ไป...ตอนนี้ก็ชดใช้อยู่...หลายอย่างก็ทำตัวเอง...บางอย่างคนอื่นก็อาจเข้าใจผิด...พูดใส่ร้ายใส่ความคิดตามความเข้าใจกันไปเอง...แต่เราก็ไม่ได้ดีไร...และทุกอย่างในชีวิตเรามันจบลงแล้ว...เราไม่อยากเจ็บปวดจากคนในสังคมอีก....แม้จะเจ็บปวดกับสิ่งที่เราเผชิญอยู่แบบทำไรไม่ได้นอกจากเฉยๆ....ไม่สนใจ...ไม่คิดไรมาก...ตายได้...เราก็ตายไปสักวัน...บายค่ะ
เดินเข้าไปไหว้ขอพรองค์พระพุทธชินราชในวิหาร คนก็เยอะพอประมาณ...แถวหน้าๆ ก็มีคนมานั่งถ่ายภาพ...เราก็เดินไปไหว้แถวด้านหน้าเพื่อให้องค์พระพุทธชินราชเห็นเราชัดๆ และเผื่อได้ยินคำอธิษฐานในใจเราชัดๆ...แบบคิดมโนจิตไปเอง...แต่ก็มีคนมาถ่ายภาพแบบกรุ๊ปทัวร์ไม่ก็บริษัท...เขาก็บอกให้เราเขยิบออก...ซึ่งเราไม่เขยิบ...เพราะถ้าเขาเห็นแก่ตัวเพื่อความต้องการตัวเอง...เราก็จะเห็นแก่ตัวเพื่อตัวเราเหมือนกัน...และเราเดินทางมา 7 - 8 ชั่วโมงเพื่อมาไหว้ขอพรโดยเฉพาะ...พวกเขาอาจอยู่ดีมีสุข...ถ่ายภาพเฮฮาตามความต้องการตัวเองไม่ต้องสนใจคนอื่นเขาจะมีทุกข์ร้อนเสียใจผิดหวังอะไร...เราก็ไม่ต้องสนใจคนที่เขาก็ไม่ได้ดีหรือสนใจไรเราเหมือนกัน...เราก็เขยิบไปข้างหน้าเพื่อขอพรต่อหน้าองค์พระพุทธชินราช...พวกกรุ๊ปทัวร์ที่มาด้วยกันก็มาถ่ายภาพเรื่อยๆ...แม้เราหลับตาขอพรแต่ได้ยินเสียง...ก็มีทั้งเสียงแบบเดี๋ยวค่อยตัดออก...ขอพรนาน...และเดี๋ยวไปช้อปปิ้งกัน...ซึ่งตอนเราอธิษฐานขอพรพระ...เราก็มีแอบแว่บกล่าวถึงคนพวกนี้ในใจประมาณว่ามาไหว้ก็ไม่เห็นตั้งใจสนใจไรนี่คะ...เหมือนมาเที่ยว-ถ่ายภาพ...สิ่งที่พวกเขาอาจขอ...ก็คงไม่ได้จริงจังไร...แต่ก็แค่แว่บ...เพราะเราก็นั่งหลับตาขอพรต่อไป...เหมือนเห็นแก่ตัวเนอะ...แต่ใครใครก็สนใจแต่ความต้องการตัวเองไม่สนใจใครคนอื่นเหมือนกัน...เราก็ไม่อยากสนใจใครเพราะเราก็มีเรื่องทุกข์ใจเครียดเสียใจผิดหวังมากพออยู่แล้วถึงได้เดินทางไกลมาไหว้ขอพรถึงที่นี่
ไหว้พระพุทธชินราชในวิหารแล้ว...เราก็ออกมาเสี่ยงเซียมซี...ครั้งแรก...ก็เหมือนต้นร้าย - ปลายดี...แต่เหมือนเราอยากได้ใบที่ดีกว่านี้เพราะเราอุตส่าห์เดินทาง 7 - 8 ชั่วโมงเพื่อมาไหว้ขอพรถึงที่นี่เลยลองเสี่ยงเซียมซีอีกครั้ง...ก็ประมาณต้นร้าย - ปลายดี....คือตอนนี้ชีวิตแย่แหละ...แต่ต่อไปก็อาจดีขึ้น...แต่ความพอใจเราเหมือนไม่ดี...อยากได้ดีกว่านี้...เพราะอุตส่าห์เดินทางมา...แต่ก่อนเสี่ยงเซียมซีรอบที่ 3 คือบอกตรงๆ ว่าเราเสี่ยงเพราะอาจออกไม่ดีเลยก็ได้...แต่ก็เสี่ยงดู...ตอนอธิษฐานก่อนเสี่ยงเซียมซีก็รู้สึกเกรงใจองค์พระ...เพราะหลายรอบเหลือเกิน...และที่ได้คำทำนายไป...ก็ไม่ใช่เลวร้าย...คือตอนนี้ไม่ดีแต่ต่อไปก็ดีไง...อดทนรอไปก่อน...แต่เราก็อธิษฐานรอบที่ 3 ไปในแนวขอคำแนะนำด้วย...ซึ่งพอไปอ่านคำทำนาย...เราเหมือนเชื่อว่าท่านศักดิ์สิทธิ์จริงๆ....คือเชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์อยู่แล้วนั่นแหละถึงได้มาไหว้ถึงที่นี่...แต่ใบคำนายรอบ 3 คือพวกประโยคแรกๆ...คือเหมือนเตือนเราจริงๆ นั่นแหละ
เสี่ยงเซียมซีแล้ว...รอบ 3...ก็ไม่กล้าเสี่ยงอีก...ก็มาเติมน้ำมันตะเกียงเพราะไหนๆ ก็คือเดินทางมาแล้ว...ไม่รู้จะได้เดินทางมาอีกเมื่อไหร่
เติมน้ำมันตะเกียงแล้ว...ความจริงตั้งแต่เรามาไหว้พระ-ขอพร....เสี่ยงเซียมซี...เราก็ได้ยินพระแถวผ้าป่าพูดว่าถ้าทำบุญแจกพระ....แต่เราไม่ได้สนใจมากไม่มีเงินและคิดว่าหลักร้อย...แต่พอเติมน้ำมันตะเกียงแล้วมานึกขึ้นได้....ถ้าเป็นผ้าป่า...20 บาทล่ะได้ไหม...เลยเดินไปถามพระ...แต่ท่านบอกหมดเวลาแล้วไม่มีแจก...ถ้าอยากได้ให้ไปเช่าที่ร้านเอง...เราเลยถ่ายภาพผ้าป่าแล้วเดินเข้าวิหารพระพุทธชินราชไปขอพรอีกรอบ...เพราะนานๆ มาทีเลยอยากขอหลายๆ รอบเพื่อย้ำอีกครั้งเกี่ยวกับสิ่งที่เราขอพร
ไหว้พระพุทธชินราชแล้ว...เราก็เดินมาทางประตูทางเข้าพิพิธภัณฑ์....และที่เราเห็นยอดเจดีย์สวยๆ จากด้านนอก....ความจริงเราก็ไม่ได้รู้นะว่าเจดีย์นี้สรุปอยู่ตรงไหน...เห็นแต่ยอดเจดีย์อย่างเดียว
เดินตามทางพรมไป เพราะเราต้องถอดรองเท้า...เดินตรงไปฝั่งขวาก็จะเจอองค์พระเรียงกันหลายองค์...ตรงแถวประตูทางเข้า...มีโบสถ์เล็กๆ...ที่มีองค์พระพุทธรูปอยู่ด้านใน...และอีกด้าน...ถ้าเดินเข้าไปอีกทางฝั่งซ้ายมือจะเป็นโบสถ์ขององค์พระพุทธชินสีห์
ในโบสถ์พระพุทธชินสีห์ก็จะตู้จัดแสดงพระพุทธรูปและจาน-ชามที่น่าจะเป็นของเก่า-ของโบราณอยู่ด้วย
เดินย้อนกลับมาออกทางประตูเดิม...เราก็เดินไปไหว้ขอพรพุทธชินราชอีกรอบ...เพื่อตอกย้ำขออธิษฐานขอพรของเรา...เพราะอุตส่าห์เดินทางมาและไม่รู้จะได้มาอีกเมื่อไหร่
เมื่อไหว้พระพุทธชินราชแล้วเราก็ไปรดน้ำมนตร์...ซึ่งพระรูปนี้...ตอนมาครั้งแรกที่เข้ามาไหว้...เข้าไปถามท่านว่าเสี่ยงเซียมซีด้านนอกเหรอ...เพราะครั้งที่แล้วเรามา...เหมือนเราจะเสี่ยงเซียมซีด้านในวิหาร...ท่านก็เหมือนทำหน้าไม่พอใจเราไงไม่รู้...แต่ก็บอกด้านนอก...
เราก็มาต่อแถวรดน้ำมนตร์...ไม่รู้คิดไปเองไหม...กลุ่มคนข้างหน้าเราเหมือนพระท่านสวดรดน้ำมนตร์นานกว่าเรา...แต่ก็บทเดียวกันนั่นแหละมั้ง...ไม่รู้สินะ
ออกจากวิหารพระพุทธชินราช...เราก็เดินมาไหว้ขอพรที่วิหารพระเจ้าเข้านิพพานและพระศรีศาสดา
เดินออกจากวิหารพระศรีศาสดา...เราก็เจอวัดนางพญาอยู่ฝั่งตรงข้าม...ก็ยังไม่แน่ใจจะเดินไปไหว้ดีไหม...ความจริงในวัดพระพุทธชินราชยังมีโบสถ์เล็กๆ อยู่ท้ายวัดนะ...ก็ว่าเข้าห้องน้ำเปลี่ยนเป็นกางเกงขาสั้นก่อนค่อยไปไหว้แล้วกัน...ร้อนมาก
พอเปลี่ยนกางเกงเสร็จเดินออกมาก็ลังเลว่าจะไปไหว้พระที่โบสถ์เล็กๆ 2 โบสถ์ด้านหลังดีมั้ยเพราะตอนนั้น 16.14 น. แล้วและเราคิดว่าถึงเวลาแล้วแหละต้องหาทางไปขึ้นรถทัวร์หรือรถตู้กลับกรุงเทพฯ...ตอนอยู่แถวหน้าวิหารพระเจ้าเข้านิพพานก็ลองหาข้อมูลเกี่ยวกับรถทัวร์และรถตู้กลับกรุงเทพฯ เหมือนกันว่าต้องไปขึ้นรถที่ไหน...มีรถตลอดเวลามั้ย...ราคาประมาณเท่าไหร่...และก็เปิดดูตารางรถไฟอีกรอบเพื่อการตัดสินใจด้วย...แบบราคาก็สำคัญและเวลารถออกและถึงกรุงเทพฯ ก็สำคัญ
สุดท้ายเราก็ไม่ได้เดินไปไหว้พระที่โบสถ์เล็กๆ ด้านหลังแต่เดินตรงไปที่วัดนางพญาเลย...ก็ดูป้าย...และเดินไปทางเข้าด้านข้าง...แต่ก็ไม่เจออะไรอยู่ดี...แบบเหมือนมาผิดที่ซะแบบนั้น....เดินย้อนไปดูป้ายใหม่อีกรอบ...ก็ไม่รู้อยู่ดีว่าตกลงที่อยู่บนป้ายนี่อยู่ตรงไหนกันแน่
เดินเข้ามาประตูถัดจากป้ายชื่อวัดและป้ายบอกทาง แต่ไม่เจออะไรเลยที่จะบ่งบอกว่ามีสิ่งที่อยู่บนป้ายบอกทางอยู่แถวนี้
หาไม่เจอก็เลยช่างมันเถอะ...ออกเดินทางต่อไปสู่ถนนใหญ่...แต่แล้วก็เห็นป้ายนี้...ชี้ทางไปอุโบสถวัดนางพญา
หันไปตามลูกศรก็เจอโบสถ์และมีพระประธานในโบสถ์ ไหนๆ ก็ผ่านมาเจอแล้วก็เลยเดินเข้าไปไหว้ขอพร
ความจริงตอนเราขอพระเสร็จจะถ่ายภาพองค์พระประธานก็มีเรื่องหงุดหงิดคือผู้ชายเสื้อดำที่เดินไปมาตามทางแบบหาตู้หยอดเงินแหละ และคงมีหลายตู้....ก็เดินวนไปมา ซึ่งเวลาคนยืนมันจะไปบังองค์พระด้านล่างและเราก็รีบไป...รอนานไม่ได้ที่จะให้เขาไปก่อน...ก็เลยถ่ายภาพมาเท่าที่ได้...ซึ่งเราอยากได้แค่องค์พระไม่อยากติดคน...ตอนนั้นในใจคือจะเดินอีกนานไหม...เดินไปมาอยู่ได้
เดินออกจากวัดนางพญาเราก็เดินตรงจะออกไปถนนใหญ่ก็เจอพลับพลาหทัยนเรศวร์ 5 พระองค์และพระมหาเถรคันฉ่องก็เลยเดินเข้าไปไหว้ขอพร
ตอนเข้าไปไหว้รูปเคารพของครอบครัวพระนเรศวรก็ปกติ...แต่พอออกมาไหว้มหาเถรคันฉ่อง เด็กที่อยู่แถวนั้นก็หันมาทางเราที่ยืนไหว้ขอพรอยู่แล้วร้องเพลงแบบเด็กๆ แต่แนวล้อเลียน...จำเนื้อเพลงไม่ได้...แต่ลดความน่าเสื่อมใสขององค์มหาเถรคันฉ่องลงไปได้ แบบมีเด็กมาร้องเพลงนี้อยู่ข้างหน้าองค์ท่าน...แต่เราก็ไม่ได้สนใจ...ไหว้ขอพรเสร็จก็ออกมาด้านนอกเพื่อเดินออกสู่ถนนใหญ่
เดินมาสู่ถนนใหญ่ก็มี 2 ทางให้เลือกเดินคือศาลหลักเมืองและเจดีย์วัดราชบูรณะ...ยืนคิดอยู่ฝั่งตรงข้ามเจดีย์วัดราชบูรณะนานเพราะมันอยู่ฝั่งตรงข้ามและสะพานลอยต้องเดินไปอีก...ส่วนศาลหลักเมืองอยู่ฝั่งเดียวกับวัดพระพุทธชินราชแค่อยู่คนละฝั่งคลองแค่นั้น
สุดท้ายก็ตัดสินใจไม่ข้ามฝั่งไปเพราะยังไงเราก็จะไปไหว้ศาลหลักเมือง....ถ้าข้ามไปก็ต้องหาทางข้ามกลับมาอีก...และสะพานลอยก็อยู่ไกล...เดินย้อนไปย้อนมา
เดินข้ามสะพานนเรศวรไปศาลหลักเมือง...มีคลองคั้นตรงกลาง
เดินมาไม่ไกลก็ถึงศาลหลักเมืองพิษณุโลก
เดินเข้าไปไหว้ขอพรในโอกาสที่มาถึงพิษณุโลกแล้ว...ซึ่งถ้ามองไปทางฝั่งขวามือจะเจอยอดเจดีย์ของวัดพระพุทธชินราช
ตอนขอพรที่เราต้องการเสร็จแล้ว...เราก็ขอพรเรื่องให้ได้กลับกรุงเทพฯ ด้วยเพราะไม่รู้จะไปอย่างไรดี...ถ้าไม่กลับรถไฟก็ต้องกลับรถทัวร์หรือรถตู้...ซึ่งเราก็ไม่รู้จะไปขึ้นรถที่ไหนอยู่ดี...ท่ารถก็ไม่รู้อยู่ที่ไหนของพิษณุโลกและไม่รู้จะไปยังไงเหมือนกัน...ก็เลยขอให้หาทางกลับกรุงเทพฯ ให้ได้ด้วย
ตอนเราขอพรเรื่องกลับกรุงเทพฯ...เราก็เห็นคุณลุงคนหนึ่งเดินตัดศาลหลักเมืองผ่านหน้าเราไป...เราก็มองตาม...และคิดว่าลองถามเขาดูดีไหมว่าจะกลับกรุงเทพฯ....กลับโดยรถอะไรดี..และต้องไปขึ้นรถที่ไหน...พอเขาเดินลงบันไดศาลหลักเมือง...เราเลยเดินตามเขาไป
เดินไปเรียกเขาแบบ...ขอโทษนะคะ...แล้วยกมือไหว้...ถามว่าจะกลับกรุงเทพฯ อย่างไร...ความจริงก็ดูเขาไม่ได้อัธยาศัยดีอะไรเท่าไหร่...แต่ก็บอกให้กลับรถทัวร์หรือรถตู้นี่แหละ...ขึ้นสองแถวไปท่ารถ...หรือโบกตุ๊กตุ๊กไรไปนี่แหละ...ซึ่งเราก็บอกเขาว่าแพงก็จะไปรถสองแถวนี่แหละค่ะ...แล้วเขาก็เดินกลับไปสำนักงานส่วนราชการฝั่งตรงข้าม....เราก็เดินไปตามทางเขาบอก...คือออกถนนใหญ่เลี้ยวขวาไปรอสองแถวที่ป้ายรถเมล์
ยืนรออยู่แป๊ปเดียวว่าสองแถวจะมามั้ยและจะมาเมื่อไหร่เพราะ 16.40 น. แล้ว...เราอยากกลับถึงกรุงเทพฯ ภายในวันนี้...แต่รอไม่นาน...เราก็เห็นสองแถวสีม่วงวิ่งมาไกลๆ...ก็ลุ้นดูป้ายหน้ารถว่าจะไปท่ารถหรือเปล่า
พอรถวิ่งมาใกล้ๆ เราก็ดูป้ายหน้ารถก็เห็นว่าผ่านท่ารถแต่เพื่อความแน่ใจเลยเดินไปด้านข้างคนขับที่ปิดกระจกอยู่...ทำเหมือนแบบมีไรจะถามเขา...คนขับเลยลดกระจกลง...เราเลยถามเขาว่าจะไปท่ารถ...แบบจะกลับกรุงเทพฯ...รถทัวร์หรือรถตู้...ผ่านหรือเปล่าคะ...คนขับก็บอกผ่านและให้เรามานั่งหน้าคู่คนขับเลย...ค่ารถ 20 บาท
ระหว่างเดินทาง...คนขับก็เล่าให้ฟังว่าเขาก็เคยขับ TAXI ที่กรุงเทพฯ มา 9 ปีแล้วหมดสัญญาหรือไรนี่แหละก็เลยมาขับสองแถวที่พิษณุโลกแทน...ปกติขับแถวม.นเรศวรได้วันละ 2 พัน...แต่วันนี้มาขับแทนคนอื่น...เขาก็บอกกล้วยที่มีในรถเขา 10 บาทเอง ถ้าที่กรุงเทพฯ แพงกว่านี้...
ตอนนั้นก็ไม่รู้ท่ารถไกลแค่ไหน...จากตรงที่อยู่ตรงนี้..แต่คนขับบอกอาจจะทันรอบ 6 โมงเย็น...แสดงว่าท่ารถไม่น่าจะอยู่แถวนี้แหละ
รถก็วิ่งผ่านสถานีรถไฟที่เรามาตอนบ่าย...วัดพระพุทธชินราชไม่ได้อยู่ไกลจากสถานีรถไฟมาก..ถ้าเดินทางโดยรถยนต์แบบนี้ก็ประมาณ 7 นาที
ผ่านตลาดที่เรามาเดินผ่านเพื่อไปรอสองแถวตอนบ่าย...คนขับบอกแต่ก่อนชื่อตลาดร่วมใจ ตอนนี้ชื่อตลาดหลังสถานี...
คนขับก็มาจอดแถวนั้นเพื่อรอรับผู้โดยสารขึ้นรถ...แต่รถข้างหน้าเป็นสองแถวปรับอากาศ...คนขับก็บอกแพงกว่ารถธรรมดา 5 บาท
ออกเดินทางต่อไป...ตามเส้นทางที่ผ่านก็เห็นพวกที่พักหรือพวกร้านอาหาร...บาร์เยอะเหมือนกัน...นักท่องเที่ยวคงเยอะมั้ง...คนขับก็ถามทำไมไม่ค้างแบบที่นี่สักคืน...เพราะเราเล่าให้ัฟังว่าเพิ่งมาถึงที่นี่ตอนบ่ายวันนี้อีก...นั่งรถไฟมา 7 ชั่วโมง...เราก็บอกคิดว่าที่พักอย่างต่ำน่าจะ 500 บาท...คนขับก็บอกไม่ได้แพงขนาดนั้น...อย่างตามท่ารถก็แบบ 200 - 300 ก็มี
รถสองแถวก็วิ่งไปเรื่อยๆ...แต่พิษณุโลกตัวเมืองแบบนี้...รถติดแบบไม่ต่างจากรุงเทพฯ...แม้น่าจะไม่ติดมากเท่ากันแต่ก็ติด...พอขับผ่านแถวโรงพยาบาลพระพุทธชินราช...คนขับก็บอกที่นี่คนไข้เยอะ...ส่วนฝั่งตรงข้ามไม่ไกล...ร้านข้างถนนเล็กๆ...ก็เจี๊ยบลูกชิ้นรสเด็ด....น้ำจิ้มอร่อยมาก...ลูกชิ้นลูกเล็กๆ...เรามองดูก็เห็นมีลูกค้ายืนหน้าร้านหลายคนเหมือนกัน...คงจะอร่อยจริง
ส่วนศูนย์การค้าปทุมทอง...แต่ก่อนคนเยอะกว่านี้แต่ตอนนี้น้อยลงแล้ว...คนขับก็ชี้ให้ดู
รถวิ่งในตัวเมือง...รถก็ติดไปเรื่อยๆ...ก็คุยกับคนขับก็อาจเป็นเพราะช่วงเย็นๆ...คนเลิกงาน...เด็กเลิกเรียนแบบนี้...รถเลยติด
ผ่านพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านจ่าทวี...คนขับก็ชี้ให้ดู...แต่ถ่ายภาพไว้ไม่ค่อยทันเพราะรถวิ่งผ่าน...คนขับก็บอกคนมาเที่ยวชมที่นี่ก็เยอะเหมือนกัน
รถก็ติดอยู่ในตัวเมือง...แต่ก็เห็นว่าในเมือง...พวกที่พัก....ร้านอาหารเยอะ...เหมือนเป็นเมืองท่องเที่ยวหรือเมืองที่เขาผ่านไปจังหวัดอื่น...
พอออกนอกตัวเมือง...ถนนก็เริ่มโล่ง...คนขับก็บอกมีห้างไรบ้าง...กี่สาขา...ก็เจริญแหละ...คนขับก็บอกว่าถ้าไปรถตู้ไปที่ท่ารถเก่าก็ได้...แต่รถทัวร์ ณ ท่ารถเก่าจะไปแค่ใกล้ๆ...ส่วนรถทัวร์ที่ไปจังหวัดไกลๆ...ต้องไปขึ้นที่ท่ารถใหม่...ที่ไปกรุงเทพฯ, ลำปาง หรือแถบอีสาน....ท่ารถใหม่เรียก...บขส.อินโดจีน...เราก็เลยถามท่ารถใหม่มีรถตู้มั้ย...ถ้ามีก็ไปท่ารถใหม่เผื่อมีรถให้เลือกมากกว่า
17.17 น. ก็มาถึงท่ารถเก่า...คนขับก็บอกมีรถตู้ไปกรุงเทพฯ เยอะ...เราก็ถามว่ารถตู้ที่ท่ารถใหม่มีมั้ย...คนขับก็บอกว่ามี...เราเลยบอกขอไปลงท่ารถใหม่แล้วกัน...จะได้มีตัวเลือกมากขึ้นว่าจะกลับรถอะไรเร็วกว่ากัน...คนขับก็ตกลง...แต่เรามารู้ทีหลังจากคนขับว่าถ้ามาท่ารถเก่า 15 บาท...ถ้าไปท่ารถใหม่ 20 บาท...คือเราลงตรงนี้ก็ขาดทุนอ่ะดิ
ออกเดินทางต่อไป...เราก็มองท้ายรถ...ก็ยังเห็นมีผู้โดยสารนั่งอยู่...คือแอบคิดไงว่านี่คนขับต้องขับไปส่งเราคนเดียวมั้ย...แบบน่าจะไกลมั้ย...เขาอาจจะอยากรีบกลับบ้าน...เห็นบอกเราให้ไปรถตู้ท่ารถเก่าบ่อยๆ
ระหว่างทางคนขับก็แวะซื้อไส้กรอกอีสานมั้ง....ก็ไม่รู้เรียกว่าอะไรไม่เคยทาน...แต่คนขับบอกอร่อยมีคนฝากซื้อ...
รถแล่นไปเรื่อยๆ...ผ่านสะพานข้ามแห่งหนึ่ง...คนขับน่าจะบอกว่าชื่อสะพานอินโดจีน...ถ้าไปเส้นนี้จะไปเพชรบูรณ์...เราได้ยินคำว่าอินโดจีนก็คิดว่าท่ารถใหม่คงอยู่ไม่ไกล
17.28 น. เราก็เห็นท่ารถใหม่อยู่อีกฝั่งไม่ไกล...แต่ต้องไปกลับรถไกลนิดนึง...
ตอนกลับรถมาแล้วจะไปที่ท่ารถใหม่...เราก็เห็นฝูงนกบินอยู่บนท้องฟ้า...จะค่ำแล้วคงบินกลับรังกันมั้ง
17.31 น. เราก็มาถึงท่ารถใหม่ของพิษณุโลก...
คนขับเพิ่งมาบอกว่าที่นี่ไม่มีรถตู้ไปกรุงเทพฯ...ให้ไปรถทัวร์...ซี่งเขาบอกให้ไปกับบ.พิษณุโลกยานยนต์ พอเราลงรถ...คนขับก็ตะโกนเรียกเจ๊คนนึงบอกให้เราไปด้วย...ผู้หญิงคนนั้นก็บอกรอบ 18.30 น. คืออีก1 ชั่วโมง...ความจริงเราอยากมาเลือกหารถเองก่อนมากกว่า...แต่ก็แค่เออออเขาไป
เข้ามาในท่ารถ..จะเห็นตารางรถซึ่งดูสับสนและงงมาก...มองผ่านๆ แล้วไม่เข้าใจ
ตอนแรกเราอยากหารถทัวร์เองมากกว่าแบบเดินถามว่าของบริษัทไหนไปถึงกรุงเทพฯ เร็วสุด...แต่เจ๊ที่เราโดนคนขับฝาก...เรียกเราให้ไปที่ช่องขายตั๋วบริษัทเขา...เราเลยต้องเดินไปจุดนั้น
ที่นั่งว่างก็มีหลายที่ แต่แถวหลังสุดติดหน้าต่างฝั่งซ้ายมีคนจองแล้ว...เรามาติดใจฝั่งขวาติดหน้าต่างที่ว่าง...ความจริงเราควรจะจองตรงนี้...แต่มีประสบการณ์เลวร้ายกับรถตอนกลับจากพะเยา...ที่เราคิดว่าเอนเบาะได้สุดๆ ไม่ต้องเกรงใจคนข้างหลัง...กลับเอนเบาะไม่ได้เพราะติดผนังห้องน้ำ...เหมือนเรื่องมาก...แต่เราก็ถามเจ๊ว่าติดผนังมั้ย...เจ๊ก็บอกเขาไม่รู้เหมือนกันว่าคันที่เราจะไปนี่เป็นอย่างไร...เราก็ถามด้านล่างเหมือนกันว่าเอนเบาะได้เยอะมั้ย...เพราะเจ๊เขาก็แนะนำด้านล่าง...แต่สุดท้ายก็ไปสรุปกันที่ที่นั่งฝั่งซ้ายติดหน้าต่างแถวที่ 2 จากหลังสุดแล้วกัน ค่ารถ 288 บาท
สิ่งที่เราสงสัยคือเวลาถึง...คือรถไฟมานี่คือ 7 ชั่วโมงนะ...เราคิดว่ารถทัวร์น่าจะเร็วกว่า...แต่มาคำนวนเวลาคือ 7 ชั่วโมงเหมือนกัน...และไม่รู้เขาพิมพ์ผิดหรือเปล่า...รอบก่อนหน้านี้คือ 16.25 น. แต่ไปถึงกรุงเทพฯ เวลา 21.45 น. แต่รอบนี้ออกช้ากว่าประมาณ 2 ชั่วโมงแต่ไปถึงกรุงเทพฯ ตอนตีหนึ่งกว่า
เราได้ตั๋วรถมาก็มองไปรอบๆ...ความจริงอยากเดินถามก่อนมากกว่าเพราะอยากไปถึงกรุงเทพฯ ภายในวันนี้...และนึกถึงรถตู้...คือไม่รู้และโง่...ตอนถึงท่ารถเก่า...ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้...เราอาจขอให้คนขับรอแป๊ปนึงได้มั้ย...ให้เราเข้าไปถามหารถตู้ก่อนว่ากี่บาทและไปถึงกรุงเทพฯ กี่โมง
ตอนนั้น 17.46 น. ไม่รู้จะทำอะไร...และไม่ได้ทานอะไรมาตั้งแต่เช้า..เลยเดินไปหาข้าวทาน...ก็มีให้เลือก 3 ร้าน...ตอนแรกจะทานข้าวขาหมูแต่ราคา 50 บาท...เลยไปดูร้านติดกัน...ข้าวหมูแดง 40 บาท ก็เลยเอาร้านนี้แล้วกัน...
ส่วนถ้าชาร์จแบตคือ 20 บาทและตอนแรกจะสั่งเครื่องดื่มแต่แพง...ส่วนเป๊ปซี่นี่โต๊ะอื่นสั่ง...ความจริงอยากสั่งน้ำอัดลม...แต่ได้ยินว่า 18 บาทเลยเงียบ...มองคนขายหยิบจากตู้เย็นไปให้โต๊ะที่สั่ง...ราคาข้างขวดน่าจะ 12 บาทมั้ย...อาหารอ่ะถูก...แต่อย่างอื่นแพงอยู่
ออกจากร้านข้าว...ก็มองหา 7/11...คือราคาไม่ได้ถูกไรแต่มาตรฐานราคาตามที่เคยดื่ม...แต่หาไม่เจอ...แต่เจอพวกราคาที่พักรายวัน 250 - 350 บาทแบบที่คนขับสองแถวบอกเราเมื่อกี้...แต่เราสงสัยมีผีมั้ย
17.55 น. อีกนานกว่ารถที่ไปจะมาจอดมั้ง...ยังเห็นที่จอดยังโล่งอยู่...ก็ต้องรออีกครึ่งชั่วโมง
เดินหา 7/11 ไม่เจอ เลยเดินเข้าไปในสถานีจะหาคนถาม...เจอผู้หญิงท่าทางโอเคนั่งอยู่เลยเข้าไปถามหาว่าแถวนี้มี 7/11 มั้ย..เขาบอกไม่มีแต่แนะให้ไปร้านสะดวกซื้อฝั่งตรงข้ามท่ารถแทน...ก็ลุ้นราคาเหมือนกัน...แต่ก็ได้ COKE มาราคามาตรฐานคือ 15 บาท
ค่าชาร์จแบตในท่ารถคือ 30 บาท...ดังนั้นมองหาปลั๊กไว้เสียบชาร์จแบตฟรีคงไม่มี
18.24 น. รถที่จะไปก็มาเทียบท่า...
ตอนเดินต่อแถวขึ้นรถ...ก็แอบส่องที่นั่งชั้นล่างเพราะแถวหลังเอนเบาะได้แค่ไหน...และขึ้นไปชั้นบน...เพื่อพบว่าที่นั่งที่เราหมายตาไว้ตั้งแต่แรกและไม่แน่ใจเพราะเคยเจอประสบการณ์เอนเบาะไม่ได้เพราะติดผนังห้องน้ำ...คันนี้ที่นั่งนั้นคือเอนได้เยอะมาก...เพราะไม่มีห้องน้ำด้านหลัง...และมีประตูฉุกเฉิน...ฝั่งซ้ายตังหากที่เอนได้ไม่เยอะ...แต่ทำไรไม่ได้ต้องไปนั่งที่ที่จองไว้
ท่ารถตรงนี้คนขึ้นไม่เยอะเท่าไหร่...แต่เรารู้เพราะดูๆ ตอนจองว่าต้องมีคนเยอะกว่านี้...รถก็ออกจากท่ารถตามเวลา
18.43 น. รถเลี้ยวเข้าบริษัทแหละ...เพื่อที่เราจะได้รู้ว่าต้องจอดที่นี่ 30 นาที...ก็รู้ว่าส่วนหนึ่งที่ไปถึงกรุงเทพฯ ช้าเพราะมาจอดเรื่อยเปื่อยตรงนี้นี่แหละ...แต่เราก็ไม่ได้ลงจากรถ...
19.15 น. รถก็ออกเดินทางต่อไป...พนักงานก็เริ่มแจกน้ำและขนมปัง...ส่วน COKE เราซื้อเอง
19.27 น. เราก็มาที่ท่ารถเก่าซึ่งดูน่าเจ็บปวด...เพราะถ้ารู้ว่ารถจะมาที่นี่...เรามารอที่นี่ก็ได้เผื่อจะได้ไปรถตู้ที่อาจจะได้กลับถึงกรุงเทพฯ เร็วกว่านี้
21.57 น. มาถึงจุดพักรถ...เป้าหมายคือห้องน้ำและปลั๊กไฟ...เพราะที่ชาร์จแบตที่ยืมน้องมาสร้างปัญหา...ตอนชาร์จช่วงรถออกเหลือ 52%...แต่ชาร์จได้ไม่นานคือ 0%...ตอนนั้นแบตเหลือ 14%...ก็ไม่แน่ใจว่าถ้าชาร์จแบตที่นี่เสียเงินมั้ย
ที่นี่น่าจะเสียเงินซื้อทานเอง...แต่เราไม่ทานเพราะเป้าหมายของเราคือชาร์จแบตมือถือ
#ชีวิตติดปลั๊ก...มองหาปลั๊กไฟก็เห็นมีอยู่ตามเสา...แต่ไม่มีติดพวกที่นั่งทานข้าว มองหาว่าจ่ายเงินมั้ยก็ไม่มีป้ายติด...เลยไปยืนเสียบชาร์จแบตแต่ไม่นั่ง...ยืนเอาตัวบังไว้...ก็ยืนอยู่แบบนั้นและภาวนาให้ทานกันช้าๆ...เราจะได้มีเวลาชาร์จแบตนานๆ...แต่ยืนก็กลัวคนมาเก็บเงินค่าชาร์จแบตเหมือนกัน...ยืนจนเขาขึ้นรถกันไป...แต่เราก็รอจนคนขับจะขึ้นรถ...ความจริงตอนยืนก็เห็นพวกคนขับมองมาที่เราตอนพวกเขาทานข้าว...เรากลัวแค่จะมาเก็บเงินเราที่ชาร์จแบตแค่นั้นแหละ...จนคนขับเดินไปขึ้นรถ...และมองมาที่เราว่าตกลงจะชาร์จแบตอยู่ที่นี่หรือจะขึ้นรถ...เราก็ดึงปลั๊กออกแล้วขึ้นรถ....ความจริงคนขับมองเราอาจเพราะสาเหตุอื่นก็ได้...แบบอีนี่แอบชาร์จแบตฟรึไงคือยืนเฝ้าปลั๊กอยู่คนเดียวตรงนั้น 20 นาทีมั้ง...ตอนเอาปลั๊กออกคือขึ้นมาได้ 40%...แอบเสียดาย 30 นาทีที่บริษัทรถทัวร์ที่เขาบอกใครอยากลงไปก็ลงได้...ถ้าเรารู้ว่า Power bank จะเป็นแบบนี้จาก 52% ลดมาเหลือ 0% ภายในเวลาแป๊ปเดียวและแบตเราขึ้นไปอยู่แค่ 30% เราอาจจะลงไปหาปลั๊กชาร์จแบตก็ได้...ก็หวังว่า 40% นี้จะไปถึงกรุงเทพฯ อ่ะนะ..นั่งฟังเพลงไปเรื่อยๆ
มองดาวบนท้องฟ้า...ไม่ได้เอนเบาะนอนมาก...แต่เอนตัวไปเบาะข้างๆ ที่ไม่มีคนนั่ง...อยากอาบน้ำมาก...เท้าก็เลอะ...แบบปกติจะนอนยาวถ้าที่นั่งข้างไม่มีคน...แต่นี่นอนก็นอนไม่ได้...ตัวสกปรก...ได้แต่เอนไปเบาะข้างๆ เอา
1.33 น. รถก็มาถึงสถานีหมอชิต 2 ก็คือเลทแหละ...แต่ก็ได้นอนมาบ้าง...ตอนลงจากรถอยากหาที่นอนมาก...แบบเช่านอนให้ถึงเช้า...แต่คงไม่ได้..นอกจากแถวนี้ไม่มียังเปลืองเงิน...เงินไม่มีเสียไปเยอะกับค่าเดินทางนี่แหละ...ก็คิดคือไม่อยากรอรถไฟที่พิษณุโลกนานๆ...แต่ต้องมารอรถเมล์ที่นี่แทน...เพราะไม่ได้เหมือนที่คนขับสองแถวบอกว่ากรุงเทพฯ มีรถตลอด...เพราะรถเมล์นี่ส่วนใหญ่น่าจะรอถึงตี 4 โดยเฉพาะรถที่เราจะไป
ปกติทั่วไป..มีรถทัวร์เข้ามา...พวก TAXI หรือมอเตอร์ไซด์คงต้องรุม...มีคนถามสัมภาระเราอยู่ไหน...แต่เราเดินผ่านออกมา....เดินเข้าไปในตัวอาคาร...ก็มีคนนอนเป็นจุดๆ...ที่เราเดินผ่าน
เดินมาที่ท่ารถเมล์ก่อน...แต่ก็อย่างที่คิดแหละ..ไม่มีรถเมล์...คิดถึงประโยค "หนูอยากกลับบ้าน"
ง่วง...อยากนอนมาก...อยากอาบน้ำมาก
ตอนที่ยืนอยู่ตรงนี้ เพลง "อยากหยุดเวลา" ของศรัญญาเล่นพอดี...แต่เราไม่อยากให้เวลาเดินช้าช้าตามเพลงนะ....อยากให้เปลี่ยนเป็นเนื้อเพลงนี้แทน
"ฉันเริ่มจะใจหายเมื่อมองฟ้าไกล ฟ้าใกล้จะรุ่งสางเริ่มมีแสงรำไร รู้ว่าใกล้เวลาได้กลับบ้านนอนสมใจ... แต่ตอนนี้หัวใจเริ่มสลายแต่จะทำเช่นไร อยากจะร้องไห้... อยากให้เวลาเดินเร็วเร็ว...ขอรถเมล์พากลับบ้านสักคัน" แทน....บางทีีเราคิดถึงใครสักคน...แต่เขาไม่มีวันอยู่ตรงนี้...ไม่มีวันอยู่
เดินมองหาป้ายสายรถที่จะพาเราไปถึงเดอะมอล์ บางกะปิ...ซึ่งมี 2 สายคือ 96 และ 145
มองหาปลั๊กไฟเพื่อชาร์จแบตมือถือด้วย...แบตใกล้จะหมดแล้ว...แต่มองหาก็ไม่เจอสักปลั๊ก
ทำไรไม่ได้ก็เดินย้อนกลับไปที่เดิมเพื่อหาปลั๊กไฟ
ที่เจอรอบๆ ศูนย์อาหารนี้...บางปลั๊กคือปิดช่องเสียบไว้...ส่วนปลั๊กที่น่าจะเสียบได้ดันอยู่ด้านในที่สกปรกและเหม็นมากจนแทบหายใจไม่ออก...คือพื้นสกปรกมาก...ไม่มีที่วางมือถือ..เราต้องยืนเฝ้า...คือแค่เดินเข้าไปดูว่าช่องเสียบไม่ได้โดนปิดไว้ใช่มั้ย...แค่แป๊ปเดียวคือทนไม่ได้...ขนาดเดินออกมาแล้วก็เหมือนอยากเป็นลม...ทั้งที่เมื่อกี้ก็ปกติแค่ง่วงนอนเฉยๆ
เดินหาปลั๊กแต่ไม่เจอ....เลยเดินมาที่ร้านขายมือถือ...เห็นปลั๊กเขาว่างอยู่เลยถามชาร์จเท่าไหร่...เขาบอก 30 บาท...เราก็ลังเลแล้ว...คนขายก็บอกเอามา 20 บาท....คือ 20 บาทก็ได้...เราก็เลยจ่ายไป 20 บาทแบบเสียดายเงิน...แต่ต้องรอรถออกอีกนาน...ก็ชาร์จแบตไปแล้วกันเอาไว้ฟังเพลงบนรถเมล์...ตอนแรกจะหาที่นั่งเฝ้าแถวร้าน...แต่คนที่คุยกับคนขายบอกเราให้ไปนั่งรอที่ศูนย์อาหารที่มีคนนอนฟุบกันเยอะแยะ...เราเลยเดินไป...ง่วงแต่ไม่กล้านอนฟุบเพราะโต๊ะสกปรก..ก็นั่งรอแบบไม่รู้ทำไร...มีหลับตาบ้าง..แต่นอนไม่หลับแน่นอน
นั่งได้สักพัก...เราก็ลุกจะไปห้องน้ำ..จะไปหาซื้อโฟมล้างหน้าใน 7/11...แต่ตอนจะเดินออกจากศูนย์อาหาร...มีผู้ชายมีอายุคนนึงถามเราว่า "ไปแล้วเหรอ"...เราก็มองเขางงๆ ว่าใครแต่ก็ตอบไปว่า "ยังค่ะ"...แล้วเดินออกจากศูนย์อาหารนั้นไป....ก็ไปห้องน้ำ...ไปซื้อโฟมล้างหน้ามาล้างหน้าเพราะอยากอาบน้ำมากแต่อาบตอนนี้ไม่ได้...ได้แค่ล้างหน้า แล้ววกกลับมาที่ศูนย์อาหารอีก...แต่โต๊ะที่เรานั่งเมื่อกี้มีเด็กวัยรุ่น 3 คนมานั่งทานข้าวแล้ว...เราเลยเดินไปนั่งโต๊ะข้างๆ....ผู้ชายมีอายุคนที่ทักเราก็นั่งอยู่แถวนั้น แต่เขาไม่ได้มองเราอ่ะนะ...เรานั่งได้สักพักก็เบื่อก็เลยเดินออกไปแถวที่จอดรถตู้...เรื่อยเปื่อย...เราก็เห็นตรงซอกลืบแถวที่ขายรองเท้ามีปลั๊กอยู่...แต่ถ้าเรามาลองเสียบชาร์จแบตตรงนี้คือยืนเฝ้าไม่มีที่วางมือถือ...เดินไปตรงที่จอดรถตู้...พวกคนขับก็เข้ามาถามไปไหนๆ....อยู่ได้....ง่วงเลยรำคาญ...จะหาข้าวทานก็แพง..และไม่รู้ว่าตกลงที่เห็นๆ นี่ขายยัง...แพงก็ไม่กิน เดินกลับไปที่เดิมแล้วเดินกลับไปท่ารอรถเมล์อีกรอบ...
มานั่งอยู่ท่ารอรถเมล์คืออากาศเย็นและปลอดโปร่งกว่า ยุงก็ไม่มี...ตีสองกว่าๆ ก็เห็นรถเมล์น่าจะสาย 3 มีการเคลื่อนไหวแต่ยังไม่เข้าเทียบท่า และก็มีสาย 136 เข้าเทียบท่า...เราเดินไปดูป้ายบอกว่ารถสายไหนรอบแรก - รอบสุดท้ายเริ่มและหมดกี่โมง...เหมือนสองสายนี้วิ่งตลอดแต่ดึกๆ อาจนานๆ ทีก็ได้...แต่รถ 136 ที่มาเทียบท่าที่เราเห็นก็จอดแช่ประมาณครึ่งชั่วโมงถึงออกรถ...เราก็รอ 145 ที่เราดูป้ายบอกจะเริ่มเที่ยวแรกตอนตี 4 แต่พอตีสามเศษๆ....145 รถธรรมดาก็เข้าเทียบท่า...ก่อนหน้านี้เราคิดว่ารถรอบแรกจะเริ่มตี 4 เลยไม่ได้ไปเช็คมือถือว่าแบตเต็มหรือยัง...และคิดว่าเสีย 20 บาทให้เขาเฝ้ามือถือให้เราเวลาชาร์จแบตด้วยแล้วกัน...แต่พอเห็น 145 เข้ามาเทียบที่จอดรถ...คนก็เดินไปขึ้น...เราคิดตอนนั้นว่าอาจจอดนานเหมือน 136 ที่จอดเป็นครึ่งชั่วโมง...เลยรีบเดินออกจากท่ารถเมล์ไปเอามือถือที่ชาร์จไว้...กลับเจอลุงคนนั้นที่ทักเราว่า "ไปแล้วเหรอ" ที่ศูนย์อาหารยืนอยู่หน้า 7/11...เขาก็มาทักเราอีก...แต่จำไม่ได้ว่าถามไร...แต่เราตอบว่าเราจะไปเอามือถือที่ชาร์จไว้...แบบรถที่เรารอมาแล้ว...แล้วเดินจากไป...แต่เราไม่แน่ใจว่า 145 ยังจอดอยู่มั้ยเลยหันไป...ก็เห็นลุงคนนั้นมองเราอยู่ตรงทางเดินหน้า 7/11...แต่เราไม่ได้มองเขาไง...เรามองเลยไปที่ 145 ที่จอดอยู่....แต่เราคิดว่าเขาจะคิดว่าเรามองเขามั้ย...เลยเดินหันหลังออกไปเพื่อไปเอามือถือที่ชาร์จแบตไว้...พอไปถึงร้านขายมือถือก็ถามคนขายว่าชาร์จได้เท่าไหร่แล้ว...ตอนแรกก็คิดว่าอาจไม่เยอะ...คือเสียไป 20 บาทก็อยากให้มันเต็มอ่ะแหละ...คนขายก็หยิบมือถือเราขึ้นมาดูและบอก 99%...เราเลยบอกงั้นไป 7/11 ก่อน...ซื้อนมมาดื่ม...ไปเอามือถือ...ที่ชาร์จได้ 100%...แล้วเดินกลับไปที่ท่ารถเมล์...ตอนนั้นคิดว่า 145 น่าจะยังอยู่เหมือน 136 ที่จอดนานตั้งครึ่งชั่วโมง...แต่ระหว่างทางที่เดินไปจะผ่านรั้วลวดไขว้ๆ แถวท่ารถ...เราเห็นผ่านๆ ว่ามีผู้ชายยืนหันหลังอยู่...แต่ไม่ได้สนใจจะมอง...เดินผ่านไป...แต่ผู้ชายคนนั้นกลับมาขวางเราไว้...เราเลยเห็นว่าเป็นลุงคนนั้น...ในใจคือคิดว่ายังอยู่อีกเหรอคือจำไม่ได้ว่าลุงพูดไรแรกๆ...แต่บอกว่าไป 145 เหมือนกัน...บ้านอยู่ปากน้ำ...เราก็คิดว่าทำไมไม่ไปล่ะ...145....ก็จอดอยู่....มาทำไรตรงนี้...ลุงก็พูดๆ เดินนำหน้าเรา...จนไปถึงท่ารถเมล์...เราเลยเห็นว่า 145 ออกไปแล้ว...คือไม่ได้จอดนานเหมือน 136 เหรอ...และเราต้องเดินไปเอามือถือ...เซ็งนิดนึง...แต่เอาเป็นว่าถ้าคันแรกไม่ได้ออกตี 4 เดี๋ยวก็มีรถมาอีกแหละ...อ้อ...ระหว่างทางเดินมาท่ารถเมล์...ลุงยื่นกระดาษแผ่นเล็กมาให้เรา...เราดูเลยรู้ว่าเบอร์มือถือและชื่อ...เขาก็ขอเบอร์เรา...ความจริงเขาก็ถามเราระหว่างเดินว่าจะกลับแล้วทำไมไปชาร์จแบต..เราก็ไม่ได้ตอบไร...ตอนเดินจะถึงท่ารถเมล์จะผ่านร้านขายมือถือ...เขาก็ชี้ให้เราดูว่ามีรับชาร์จแบตเหมือนกัน
ความจริงถ้าไปเล่าให้ใครฟัง...อาจมีคนถามเราว่าเขาชอบเราเหรอ?...แต่ไม่ใช่....คนเราไม่รู้ความคิดและจุดประสงค์เขาหรอก...และเราก็เฉยๆ และง่วงด้วย...เบื่อๆ เซ็งๆ มากกว่า...เขาก็ขอเบอร์เรา...แต่เราบอกว่าเดี๋ยวเราโทรไปแล้วกัน...ไม่รู้ตอนนั้นคิดไรอยู่...แต่คงไม่ได้คิดไรเลยมากกว่า...เขาก็ถามชื่อเรา...เราก็บอกชื่อเล่นเราไปนั่นแหละ...ซึ่งเราคิดว่าเรื่องปกติ...อยากรู้ก็บอก...เบื่อที่จะอะไรมาก....อยากนอนมากกว่า...เพราะเราเคยไปนู้นนี่...และเจอผู้คนระหว่างทาง...ได้คุยกัน...อย่างไปอยุธยา...เราก็ได้ยืนคุยกับคนที่เราไม่รู้จักที่ตรงที่ชาร์จแบตมือถือ...หรือตอนไปเชียงใหม่...เราไปคนเดียวและหาคนที่จะแนะนำเราได้ว่าเราจะหาที่พักถูกๆ ได้ที่ไหนในท่าแพ...ก็ไปทักคนที่ลงสองแถวคันเดียวกันที่แบกเป้ใหญ่ๆ มา...เลยได้คุยและเขาก็พาเราไปที่พักที่เขาจะไปและบอกที่นี่ถูก...ห้องพัดลมคือ 350 บาทต่อคืน...และมีขอไลน์มาเหมือนกัน...เผื่ออยู่ในเชียงใหม่เหมือนกันจะได้มาเจอกัน...แม้จบทริปนั้นในอีก 2 - 3 วันก็ไม่ได้ติดต่อไรกันอีก...ดังนั้น..เราถือว่าเรื่องปกติ...ขอเบอร์เราก็จะให้...ถามชื่อก็จะตอบ...ถ้าคนคนนั้นไม่ได้ดูไม่น่าไว้วางใจสุดๆ...หรือไม่ควรไปสนทนาด้วย...และเรามีอะไรๆ อยู่ในใจแล้วแม้ก็แค่นั้นแหละ...ดังนั้นเรื่องนี้คือมองเป็นแนวคนมาเจอมาคุยกัน...และเราไม่มีทางรู้ว่าคนคนนั้นคิดอะไรกับเรา...ในสังคม...คนหลอกลวงก็มีเยอะ...อาจมาตีสนิทหวังทรัพย์...หรือมีจุดประสงค์อื่นก็ได้...อย่างหาเพื่อนคุยระหว่างรอรถเมล์...ซึ่งก็ไม่รู้ทำไมต้องเป็นเราอ่ะนะ...คนตั้งเยอะแยะตรงนี้...หรือเพราะเรามาคนเดียวก็ได้แบบนี้...ตอนหลังเหมือนลุงแกโทรมา...เราไม่ได้เมมเบอร์ไว้แต่รู้เพราะตอนโทรมา...เรายังไม่ถึงบ้านเลย...แต่ไม่ได้รับ...อยากกลับบ้านนอน...คงอาจโทรมาถามว่าถึงบ้านยัง...แบบแกแนะเราว่า...ถ้าเราไม่มีรถไปหน้ารามให้เดินไปแถวตลาดบางกะปิข้ามฝั่งไปรอรถไปหน้ารามแบบนี้....แต่ในใจเราคือ....คิดถึงผู้หญิงที่เดินแถวนั้นแล้วโดนรถเมล์ชนตาย...เลยไม่อยากไปเดินแถวนั้นมืดๆ คนเดียว...แม้ตอนนี้พ่อค้าแม่ค้าแถวนั้อาจตั้งของขายแล้วก็ได้
เรากับลุงคนนี้ก็ไปยืนอยู่แถวท่ารถเมล์นั่นแหละ...ง่วงมาก...ตีสามกว่าแล้ว...ลุงพูดเก่งมาก...ชวนคุย...ถามเรามาจากไหน...เราก็บอกพิษณุโลก...ลุงเขาก็บอกมาจากโคราช...และก็ถามเราอยู่ที่ไหน...เราก็บอกราม...คือซอยบ้านเราก็รามแหละแต่ความจริงก็ไม่ใช่หน้าราม...ลุงก็พูดเป็นตุเป็นตะเองว่าเราจบราม...และถามว่าเราเรียนจบคณะอะไร...เราก็ไม่ได้บอกไร...เขาก็พูดเองว่า...รัฐศาสตร์หรือมนุษยศาสตร์...เราก็บอกไม่ใช่...เขาก็ถามว่าปีใหม่กลับไปเยี่ยมแม่มั้ย...เราก็บอกไม่กลับ...คือในใจ...แม่เราก็อยู่กรุงเทพฯ นี่แหละ...เราบอกว่ามาจากพิษณุโลกแต่ไม่ได้บอกว่าอยู่พิษณุโลก...ลุงเขาก็บอกว่าเคยทำงานก่อสร้าง...เขาก็ถามเรา...เราก็บอกเป็นฟรีแลนด์..ตกงาน...เพราะความจริง....ถ้าใครมาถามก็ตอบตามนั้น...เราเคยแบบสมัยหลายปีก่อน...ตกงานเลยจะไปปฏิบัติธรรมที่กาญจนบุรีและต้องไปขึ้นรถไฟธนบุรี...ตอนยืนรอข้ามถนนแถวราชดำเนินเจอคุณลุงคนหนึ่งยืนอยู่ด้วยกัน...และไม่รู้ทำไมได้คุยกัน....เราก็บอกตกงานเลยจะไปปฏิบัติธรรม...เขาเลยให้นามบัตรมา...บอกเป็นครูอยู่โรงเรียนแถวนั้นแหละ...เหมือนที่โรงเรียนขาดฝ่ายธุรการ...ถ้าสนใจก็ลองติดต่อมา...แต่เราไม่เคยติดต่อไป...ตอนนั้นเพิ่งจบ...ยังอยากทำงานสายที่เรียนจบอยู่...และความจริงต่อให้เขาให้นามบัตรมา...ผ่านไปหลายวัน..เขาก็ลืมไปเองแหละ...ไม่ได้รู้จักกัน
ลุงคนที่คุยกับเราที่ท่ารอรถเมล์ก็พูดเก่งมาก...เราก็ง่วง...คือจำท่ายืนตอนนั้นแบบคิดอยู่ตอนที่ลุงเขาคุย...ยืนเอามือถือกุมกันเองไว้ด้านหน้าและยิ้มตอนแกพูด..ประมาณ..เออ..ฟังอยู่...แต่สติล่องลอย...บางทีก็มองไปที่ที่นั่งรอรถเมล์...ว่าทำไมไม่ไปนั่ง...แต่เราก็ไม่อยากไปนั่งคุยกับลุง...ก็ยืนกันอยู่แบบนี้แหละ...แต่ลุงถึงบอกทำงานก่อสร้าง...แต่รู้เยอะ...พูดถึงรถไฟฟ้าด้วย...แบบหน้าราม...ลงใต้ดิน...แถวสุขาภิบาล 3...ก็กำลังก่อสร้าง...ลำสาลีแต่ก่อนเรียกลำสาหัก...เพราะแต่ก่อนที่จะมีสะพานข้ามแยก...คือรถติดมาก...เราก็บอกลุงว่าตอนนี้ก็ติด...รู้มั้ยว่าความจริงโลกนี้คือหลอกลวง...สังคมคือการหลอกลวง...ยิ่งคนไม่รู้จักและเพิ่งพบเจอกัน...เราไม่รู้ใครเป็นใคร...ตัวจริงเขาเป็นใคร...เบื้องหลังเขาเป็นไง...คิดอะไรในใจทั้งนั้น...แค่ยืนคุยกันไปเรื่อยๆ..ไม่ต้องสนใจ...ไม่ต้องมีเหตุผล...ไม่ต้องสนไรจริงไม่จริง....เดี๋ยวจากกันตรงนี้คงอาจไม่เจอกันอีกแล้วก็ได้....อย่างเขาพูดว่าเราเรียนราม...อยู่พิษณุโลก...แม้เราไม่ได้บอกแบบนั้น...มันก็ไม่จำเป็นต้องหาความจริงอะไรจากกันและกันอยู่แล้ว...สังคมแห่งการหลอกลวง...ไม่มีไรจริงจัง...พบแล้วผ่านกันไป
ลุงแกก็พูดเก่งต่อไป...พูดว่าช่วงปีใหม่มี Event เยอะ...เราก็คิดในใจว่าจะให้ไปทำไรใน Event...และยังถามเราไม่สมัครพริตตี้...เราก็บอกไม่สวย...เขาก็บอกไม่จำเป็นต้องสวย...คือมีทั้งสวยและไม่สวย....แล้วก็พูดไรเกี่ยวกับพริตตี้ที่สวยๆ อีกนิด...เราก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง...สงสัยว่า 145 จะมาอีกมั้ยและเมื่อไหร่...ท่าจอดรถเมล์คือว่าง...ลุงก็บอก 136 คนขึ้นน้อย...145...คนขึ้นเยอะกว่า...ลุงก็เล่าให้ฟังว่าถ้าไป 145 คันเมื่อกี้...ป่านนี้ถึงเดอะมอล์ บางกะปิแล้วเพราะรถไม่ติด...เคยขึ้น....หรือไปถึงปากน้ำเร็ว...คือเราฟังก็คิดในใจว่าทำไมไม่ขึ้นคันเมื่อกี้ไปล่ะ...
3.40 น. 145 แบบรถแอร์ก็เข้าเทียบท่าจอดรถ...เราก็ยืนมองอยู่เพราะอยากไปรถธรรมดาซึ่งราคาถูกกว่า...ก็เลยยืนอยู่แบบนั้นและไม่คิดจะขึ้นรถตอนนั้น...แต่ลุงก็เดินผ่านเราไป...แบบก่อนหน้านั้นก็ไม่ได้คุยไรกันแล้ว...และเราก็คิดๆ อยู่ว่าถ้าสมมติขึ้น 145 นี่ต้องนั่งด้วยกันมั้ยหรือเบาะเดี่ยว...หรือลุงแกจะแยกย้ายจากกันไปเอง...เพราะเราง่วงและอยากนั่งฟังเพลง....คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ในใจเราไปเรื่อยๆ มากกว่า...เกิดมานั่งด้วยกันและได้ฟังแกพูดไม่หยุด..คงปวดหัวมากแน่ๆ...ลุงแกก็อาจแค่หาคนคุยระหว่างยืนรถรถหรือมีจุดประสงค์อื่นไม่รู้....ไม่มีใครรู้ความคิดคน...ยิ่งคนเพิ่งเคยเจอและไม่รู้ัจัก...ลุงแกก็เดินผ่านเราไป...พูดว่ารถแอร์มาแล้ว...แบบที่เมื่อกี้ไม่ขึ้น 145 แบบรถธรรมดาเพราะรอรถแอร์...ลุงแกก็ไปขึ้นรถ...เราก็ยืนมองเฉยๆ อยู่ตรงนั้น...แล้วหันหลังไป 7/11...บายค่ะลุง
เดินไป 7/11 และเดินไปห้องน้ำฟรี....ห้องน้ำแถวท่ารถเมล์ต้องเสียเงิน...เดินผ่านรั้วเหล็กไขว้อีกเลยถ่ายภาพไว้...บางทีเราก็คิดว่าลุงมีเรื่องไรกับเรารึเปล่า....แต่ไม่รู้และก็จากกันตรงท่ารถเมล์นั้นแหละ แต่ลุงก็มีพูดไรให้เราโมโห...แบบบอกว่าตอนเห็นเราคือเราหลับอยู่ตรงศูนย์อาหารนั่นแหละ...แต่เราบอกแค่หลับตา...ลุงก็บอกว่าเราหลับ...คือน่ารำคาญใจมาก....ฟังหน่อยซิโว้ย
เรากลับมาท่ารถเมล์...145 ก็ยังรถแอร์อยู่ดี...ตอนนั้น 3.56 น. เราก็นั่งรอ...เปิดเพลงฟังไปเรื่อยๆ...และรอเมื่อไหร่รถธรรมดาจะมาซักที...จนรถคันนี้ออกไปตอน 4.00 น. 145 คันต่อไปก็เข้ามา...รถแอร์เหมือนเดิม...ส่วนรถ 136 ข้างๆ เข้ามาเทียบที่จอดทีหลังแต่รถธรรมดา...เซ็งมาก...อยากได้แบบถูกๆ
รอจนคันเมื่อกี้ที่เข้ามาตอน 4.00 น. ออกไป...คันต่อมาก็รถแอร์...คือไม่รอแล้วโว้ยแบบนี้....ง่วงนอน...แต่ก็คิดแหละจากนี่ไปเดอะมอล์ บางกะปิอาจ 20 บาทก็ได้ ไม่ก็ 25 บาทนี่แหละ...แต่ไม่อยากรอแล้ว...อยากอาบน้ำ...แล้วนอนซักที...สรุปก็ 20 บาท
145 ออกจากหมอชิต 2 ตอน 4.19 น. แล้วไปถึงเดอะมอล์ บางกะปิตอน 4.59 น. ทำเวลาดีมากและดีที่เรามารถรอบนี้ก็ได้....เพราะถ้ารอ 514 หรือสาย 8 แอร์ที่จะผ่านบ้านเราไม่มีทางมาจอดตรงนี้่ตอนตี 5 เพราะไม่ใช่ต้นสาย....ก็มาลุ้นรถตู้ว่าจะออกคันแรกกี่โมง...เพราะ TAXI แพง...อย่างต่ำน่าจะ 70 บาท
เดินไปถึงวินรถตู้ก็มีป้ายบอกออกคันแรกตอนตี 5 แต่ตอนนั้นหันไปรอบๆ...ไม่เจอรถตู้ไปบ้านสักคัน
ความจริงถ้ารอบดึกๆ แบบเราเคยกลับหลัง 4 - 5 ทุ่ม รถตู้จะไปจอดข้างหน้าแถวถนนใหญ่....ความจริงก่อนเดินมาตรงนี้...เราหันไปมองข้างหน้าแล้วแต่ไม่มีรถตู้จอด...เราเลยเดินออกไปใหม่อีกรอบ...เพราะต้องเดินออกไปถนนใหญ่อยู่แล้ว...แล้วก็เจอรถตู้จอดอยู่ลิบๆ...ก็รีบเดินเข้าไปดู....มีผู้หญิงคนหนึ่งจะขึ้น...เราเลยถามเข้าไปร่มเกล้าใช่มั้ย...ผู้หญิงคนนั้นก็มองเรางงๆ...คนขับก็เห็นเหมือนหลับอยู่...ในรถก็มีคนนั่งอยู่ 1 คนคือออกแน่ล่ะ...เลยเดินขึ้นไปนั่ง
กลับมาถึงบ้านตีห้ากว่าๆ...จบไปอีกทริปไหว้พระ....ส่วนชีวิตก็ตกงานต่อไปอยู่ดี...แต่ก็ได้ไปไหว้พระพุทธชินราชที่อยากไหว้...และการเดินทางที่พบเจอเรื่องราวต่างๆ....ชีวิตคนเราไม่รู้อนาคตเป็นไงหรอก...แต่ตอนนี้ก็ใช่ว่าจะดีไร...ตกงาน...ไม่มีเงิน....เรื่องอื่นๆ ไม่ว่าอย่างไร...เราก็อยู่คนเดียวนั่นแหละ...เราไม่รู้ใครคิดไงกับเรา...หรืออาจไม่มีใครสนใจเราแล้วก็ได้....เราไม่รู้ความคิดหรือความเข้าใจใครทั้งนั้น....เราเองก็ทำเรื่องโง่ๆ และผิดพลาดมามากมาย...ชีวิตเลยเป็นแบบนี้...รู้แค่ตอนนี้เราตกงาน...ไม่มีเงินและชีวิตไม่ได้ดีและมีความสุขไรทั้งนั้นนั่นแหละ...และไม่อยากทุกข์ใจหรือรับเรื่องคิดมาก...เสียใจอีก...หลายอย่างในชีวิตคนอื่นมองเราแค่สิ่งที่เราทำแต่ไม่รู้ในความคิดและใจเรา...ส่วนเรานี่คงแย่ยิ่งกว่า...ไม่มองอะไรเลย...ชีวิตคนมันสั้น...แต่เราก็ทำลายมันไปเรื่อยๆ...ด้วยการแค่มีลมหายใจไปวันๆ....แบบทำไรไม่ได้...ทุกข์ใจ...เศร้าใจ...แต่ได้แค่เฉยๆ...แต่เราก็คงทำลายอนาคตตัวเองและความสุขตัวเองไปจริงๆ ด้วยตัวเราเองนั่นแหละ...และไม่มีวันเอาอะไรกลับคืนมาได้
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in