เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
My StoriesJirattipat Tengamnuay
เมื่อฉันว่าง ตกงาน นั่งรถไฟแก้เบื่อไปอยุธยา
  • DIARY....บันทึกการเดินทางฉบับมีแค่เราคนเดียว...ก็เดินทางคนเดียว

    ตื่นมาเช้าวันเสาร์ที่ 16 พฤศจิกายน 2562 ตอนนั้น 8 โมงกว่าๆ แล้ว ไม่รู้ทำไร ไม่รู้ไปไหน แต่ก็อยู่แบบนี้ไม่ได้เพราะมีหลายเรื่องทุกข์ในใจ หาทางออกไม่ได้ อยากเดินทางแต่เป็นที่ใกล้ๆ ก็นึกถึงรถไฟ ก่อนหน้านี้ก็ดูๆ ไว้บ้าง อยากไปเชียงใหม่, ยะลา, กุยบุรีหรือแก่งคอย แต่วันนี้อยากไปที่ใกล้ๆ กรุงเทพฯ แบบเช้าไปกลับค่ำ เลยเปิดหาจังหวัดเที่ยวใกล้กรุงเทพฯ ก็เจออยุธยา อ่านผ่านๆ มีที่เที่ยวไหนบ้าง แต่บอกตามตรงก็ไม่รู้หรอกว่ามันไกลจากสถานีรถไฟที่เราจะลงมากไหม? บอกไม่ได้ว่าจะไปถึงที่เหล่านั้นหรือเปล่า เลยตัดสินใจเลิกดู ช่างมัน พอไปถึงอยุธยา สามารถไปไหนได้บ้างก็ไปแค่นั้น แล้วก็ลองเช็คตารางรถไฟไปอยุธยา เจอรอบธรรมดา 15 บาทแต่ออกประมาณ 11 โมงเศษ ดูเวลาและคิดว่าจากบ้านไปถึงหัวลำโพงก็เกือบ 2 ชั่วโมงเลยรีบอาบน้ำแต่งตัวออกจากบ้านก็ประมาณ 9 โมงเช้า แต่ก็ไปรอรถ 113 ที่ป้ายรถเมล์นานมาก ดูเวลาไป คิดไปว่าจะไปทันไหมตอนรถไฟออก 11 โมงกว่าเพราะราคาถูกสุดแล้ว 15 บาท

    สุดท้าย 113 ก็มาหลังรอเป็นครึ่งชั่วโมงก็ออกเดินทางไป แต่ก็หวังว่าจะไปทัน 11 โมงเศษก่อนเวลารถไฟจะออก

    สุดท้ายก็มาถึงสถานีรถไฟตอน 10 โมงกว่าเกือบ 11 โมงคือทันแน่นอน คนต่อแถวซื้อตั๋วก็ไม่ได้เยอะ แต่ใช้เวลานาน ก็ยืนรอไปแต่พอถึงคิวกลับมีผู้หญิงคนหนึ่งแซงไปซะงั้น แต่ก็ได้แค่คิดในใจเพราะทำไรไม่ได้ก็ยืนรอต่อไป แต่ตอนรอก็เห็นช่องท้ายๆ ไม่มีคน แต่ไม่แน่ใจว่าช่องพิเศษหรือเปิดปกติ ยืนรอๆ จนไม่อยากยืนรอช่องนี้แล้วเพราะช้ามาก เลยตัดสินใจไปช่อง 11 ขอซื้อตั๋วไปอยุธยาและซื้อได้สำเร็จในเวลาที่ไม่น่าจะถึง 1 นาที ราคาตามต้องการ 15 บาท ตอนนั้น 10.53 น. แต่รถไฟออก 11.20 น. 



    คือยังพอมีเวลาไปห้องน้ำ ใจจริงอยากหาที่ชาร์จแบตด้วย ก็เดินเข้าไปทางไปห้องน้ำและเห็นฝั่งห้องน้ำชายมีปลั๊กว่าง เลยหมายตาว่าจะเอาปลั๊กตรงนี้แหละชาร์จแบตหลังออกจากห้องน้ำ แต่พอออกจากห้องน้ำ มีประกาศพอดีว่าคนที่มีตั๋วไปขบวนนี้ให้ไปขึ้นรถไฟได้ ในใจลังเลเพราะกลัวไม่ได้ที่นั่งเพราะคนน่าจะเยอะ แต่อีกใจขอชาร์จแบตก่อน เลยเดินไปชาร์จแบต ปรากฏลองเสียบหลายปลั๊ก ไฟไม่เข้า สรุปชาร์จไม่ได้ เดินไปเจอปลั๊กอีกอันใกล้ตู้ดูดวง แต่มีประกาศบอกใครดึงปลั๊กออกปรับหลักพันนี่แหละ แต่ตอนที่เห็นก็ไม่ได้มีปลั๊กเสียบอยู่ แต่ก็ไม่กล้าเสี่ยงเดินไปขึ้นรถไฟเลยแล้วกัน


    ตอนเดินเข้าไปในชานชาลาก็จำไม่ได้ชานชาลาไหนที่เขาประกาศ ดูในตั๋วก็ไม่เห็นบอกชานชาลาไหน ก็เลยยืนถ่ายภาพรถไฟ ตอนแรกคิดว่าชานชาลา 4 ไหม? 


    แต่พอเดินไปและเห็นขบวนรถไฟท้ายๆ เกือบสุดทางเดินมีคนเดินในขบวนเหมือนเพิ่งขึ้นเยอะมากเลยไม่แน่ใจว่าขบวนนี้ไหม แต่ก็มีประกาศอีกว่าคนที่จะไปขบวนนี้คือไปอยุธยาเวลานี้ให้ไปชานชาลาที่ 7 ก็เลยไปที่ชานชาลานั้น


    ก่อนขึ้นก็ให้นายท่าดูตั๋วก่อนว่าใช่ขบวนนี้นะ เขาก็บอกมาใช่ เดินขึ้นไปแรกๆ ก็ตกใจเพราะคนเยอะ ที่นั่งเต็ม กลัวไม่ได้นั่งและอยากนั่งใกล้หน้าต่าง ก็ไม่คิดว่าคนจะเยอะแบบนี้ แต่ก็นั่นแหละวันเสาร์ แม้เราจะมาขึ้นหลังเขาประกาศให้ขึ้นแป๊ปเดียว 


    เดินไปท้ายๆ ขบวน (ความจริงส่วนหน้าที่รถจะวิ่ง) ก็เจอตู้หนึ่งมีที่ว่างติดหน้าต่างแบบติดทางเข้า ก็ลองนั่งแต่รู้สึกอึดอัด เลยมองหาที่อื่นและย้ายไปฝั่งขวาแทนในที่นั่งแถวกลางๆ แต่ก็รู้สึกว่าไม่ใช่ที่ของเราและอยากนั่งฝั่งซ้าย เลยมองหาที่นั่งอื่น เลยไปได้ที่นั่งท้ายสุดของโบกี้นี้ ตอนที่นั่งไม่มีใครนั่ง ก็เลยได้นั่งติดหน้าต่างสมใจ


    นั่งได้ไม่นานก็มีคุณป้ามาขายน้ำ ถามราคาก็เลยซื้อมา 1 ขวดราคา 10 บาท 


    ตอนเปิดกระเป๋าเงินดูนี่แหละถึงทำเรานึกขึ้นได้ว่า เรามีเงินเหลือแค่ไม่ถึง 30 บาท ซึ่งเราลืมไปว่าเราต้องกดเงินตู้ ATM ด้วย ตอนนั้นดูเวลา 11.08 น. ยังพอมีเวลาที่จะวิ่งไปกดเงิน แต่ก็ลังเลเพราะเดี๋ยวไปกดที่อยุธยาก็ได้ แต่ไม่แน่ใจว่ามีค่าธรรมเนียมต่างจังหวัดไหม...คนขึ้นรถไฟก็เยอะขึ้นเรื่อยๆ เราก็กลัวว่าถ้าลงไปก็กลัวไม่ได้ที่นั่งติดหน้าต่างแบบนี้อีก เลยตัดสินใจเสี่ยง ทิ้งกระเป๋าเป้ไว้บนเก้าอี้ แล้ววิ่งลงไปกดเงินที่ตู้ ATM ความจริงมีตู้ ATM แถวหน้าประตูออกชานชาลาแต่เป็นของ TMB, ธนชาติ ออกไปหน่อยก็ SCB ดังนั้นต้องไปที่เก่าคือออกไปอีก ก็วิ่งออกไป เจอฝรั่งก้มๆ หาของในกระเป๋าเป้ตัวเองแถวตู้ ATM ก็เลยรีบวิ่งไป ไม่แน่ใจว่าเขาจะกดเงินไหม คือเราเสียเวลาไม่ได้เพราะรถไฟจะออกและเราทิ้งกระเป๋าเป้ไว้บนรถไฟ ถ้ารถไฟออกไป คือหายแน่นอน แต่สุดท้ายก็กดเงินได้สำเร็จ


    ใช้เวลา 1 นาทีวิ่งกลับมาที่รถไฟ พยายามขึ้นตู้ขบวนกลางๆ แต่ก็ติดคนขึ้นซึ่งเดินช้ามาก...เราก็พยายามแทรกเขาแต่ทางมันแคบ เราก็กังวลเรื่องเป้ที่เราทิ้งไว้บนเก้าอี้ว่ามันจะหายไปไหม? เพราะคนขึ้นเยอะ ผู้หญิงคนข้างหน้าก็เอี้ยวตัวมาจับกระเป๋าเป้ตัวเองแบบเราจะขโมยเขาไหม แต่เราอยากให้เขาหลบให้พ้นทางไปสักทีและพยายามแทรกผ่านไปที่เก้าอี้ของเรา และโล่งใจว่าเป้เรายังอยู่ไม่ได้หายไปไหน และที่ของเราไม่มีคนอื่นมานั่ง


    นั่งรอเวลารถไฟออก ก็มีคนขึ้นมาอีกเยอะ บางคนก็เหมือนจะมานั่งฝั่งตรงข้ามเราแต่ก็เดินไปข้างหลังตู้ถัดไป คู่แรกที่มานั่งฝั่งตรงข้ามเราคือสามีภรรยาฝรั่ง แต่ก็เหมือนมาถ่ายรูป ภรรยานั่งบนรถไฟมองออกไปนอกหน้าต่าง สามีออกไปยืนถ่ายรูปข้างล่าง พอสามีขึ้นมาก็เดินไปตู้ถัดไป นั่งคนเดียวไปอีกสักพักก็มีผู้ชายคนนึงมานั่งเยื้องกับเรา แล้วรถไฟก็ออกเดินทางตามเวลา 11.19 น.



    ระหว่างทางก็ถ่ายภาพสถานีต่างๆ หรือข้างทางไปเรื่อยๆ ที่นั่งก็เต็มมีคนขึ้นเยอะขึ้น เจ้าหน้าที่มาตรวจตั๋ว เราก็หยิบตั๋วมาจะยื่นให้ แต่เขาตรวจแค่ 3 คนรอบเราแล้วก็ไป เราก็โอเค เพราะเขาคงเห็นเรามีตั๋วในมือแล้ว





    13.05 น. ก็มาถึงสถานีอยุธยา ซึ่งถือว่าตรงตามเวลา


    ตลอดทางที่คิดคือหาที่ชาร์จแบตเพราะตอนที่มาถึงที่นี่เหลือ 27% ตอนแรกก็คิดว่าต้องหาร้านข้าวนั่งกินข้าวแล้วขอเขาชาร์จแบต ถ้าแบตยังได้น้อยก็ไปร้านตัดผมต่อเพราะอยากตัดผมข้างหน้าออกเพราะรำคาญ ดังนั้นพอเห็นป้ายเหมือนมีอาหารขายก็เลยเดินตามป้าย แต่พอเข้าไปในสถานีตรงที่เขาซื้อตั๋วก็เห็นเขามีให้ชาร์จแบตฟรีก็เลยไปเสียบชาร์จแบต คือที่กรุงเทพฯ ไม่มี มีแต่เสียเงิน ที่นี่ชาร์จฟรี มีปลั๊ก 9 ปลั๊ก


    ตอนนั้น 13.08 น. ตอนแรกมีคนยืนชาร์จ 2 คนแล้วเขาก็ไป ก็ยืนอยู่คนเดียวเฝ้ามือถือ มองคนซื้อตั๋ว และตุ๊กตุ๊กที่หานักท่องเที่ยวไปเที่ยวชมวัดมั้ง เห็นมีป้ายวัดสำคัญตั้งอยู่ แต่สังเกตว่านักท่องเที่ยวบางคนถือแผนที่ด้วย ก็หันไปมองที่ประชาสัมพันธ์ที่มีนักท่องเที่ยวยืนอยู่ก็คิดว่าน่าจะเอามาจากตรงนั้น ด้านหลังอาคารก็มีตารางใหญ่บอกเวลาเข้าออกรถไฟ แต่ยืนมองจากที่ชาร์จแบตไม่เห็นเพราะไกล 


    ตอนแรกมาก็ไม่รู้จะไปไหนเพราะถึงมีแนะนำในแบบที่เที่ยวอยุธยาแต่เราไม่เคยมา เราก็ไม่รู้หรอกว่าไกลแค่ไหน ก็เห็นมีให้เช่าจักรยาน 50 บาท มอเตอร์ไซด์ 200 บาท แต่ตุ๊กตุ๊กคือแพงและมีสองแถวแต่ก็ไม่รู้กี่บาท ก็กะเดินๆ แถวนี้เพราะเห็นมีวัดอยู่ แบบเอาแค่อยู่แถวสถานีรถไฟไม่ต้องไปไหนไกลแล้วค่อยขึ้นรถไฟกลับกรุงเทพฯ ได้แค่ไหนเอาแค่นั้นที่เจอ


    ยืนเฝ้ามือถือไปสักพักก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาชาร์จแบตข้างๆ เขาก็ทักเราก่อนแต่จำไม่ได้ทักไร แล้วก็ฝากให้เราช่วยดูมือถือให้เขา เพราะเขาจะไปห้องน้ำ เราก็บอกว่าได้ แม้ในใจคือเขาไว้ใจคนง่ายไปมั้ย? หรือเราดูน่าไว้ใจได้ เพราะเพิ่งเคยเจอกัน แต่เราก็ต้องยืนเฝ้ามือถือเราอยู่แล้วก็เลยช่วยเขาดูมือถือเขาด้วย ก็ไม่มีไร แม้เขาหายไปนานซึ่งอาจคิวยาว ก็มีผู้หญิงโทรมๆ กับลูกเดินผ่านมองมือถือพี่เขานะ แต่เราก็มองผู้หญิงคนนั้น ซึ่งเราไม่ควรตัดสินใจแค่สภาพภายนอกว่าเขาเป็นอย่างไร เขาแค่อาจเดินผ่านและมองเฉยๆ ก็ได้


    แต่พี่คนที่ฝากก็หายไปนาน แบบแอบคิดถ้าแบตเราเต็มคือต้องรอซึ่งไม่รู้อีกนานแค่ไหน แต่ความจริงอีกนานอ่ะเพราะแบตขึ้นช้ามาก สักพักก็มีน้องผู้หญิงผิวคล้ำมาชาร์จแบตข้างๆ เราเลยต้องเขยิบไปอีกด้าน แล้วพี่ผู้หญิงคนนั้นก็โผล่มาขอบคุณ แล้วไปนั่งรอ ส่วนเรายังไม่อาจตัดใจจากมือถือได้กลัวชาร์จๆ มีคนวิ่งกระชากเอาไปจากที่ชาร์จแม้มือถือเราก็ไม่ได้ดีมากแหละแต่กลัวแบบคิดไปเอง เลยยืนเฝ้าต่อไปใกล้ๆ

    ความจริงเหมือนเผือกเรื่องคนอื่นแหละ แต่ว่างรอชาร์จแบต ถือว่าบังเอิญได้ยินน้องเขาพูดแบบจะนั่งรถไฟไปหาผู้ชายชื่อฟิวที่บุรีรัมย์ เหมือนให้ผู้ชายมาหาแต่ไม่มามั้ง น้องอีกคนที่มาด้วยก็โทรหาแม่ขอเงิน แต่เหมือนแม่จะให้แค่ 200 สำหรับน้องและเพื่อน เพื่อนก็บอกเดินทางไกลต้องใช้เงินหรือมาส่งเพื่อนให้ถึงที่ แล้วสุดท้ายเหมือนไม่ได้เงินตามต้องการก็ปรึกษาหาทางออกว่าต่อรถยังไงกัน น้องที่โทรหาแม่ก็นั่งบนพื้น ดูแล้วน่าจะม.ปลาย โวยวายกับเพื่อนว่าแม่ไม่ให้เงินแบบเดินทางต้องใช้เงิน คือเหมือนเผือกแหละ แต่คิดซะว่าว่างไม่มีไรทำแล้วกัน มันได้ยินเอง แต่ก็คิดในใจรถไฟฟรีไม่มีแล้วเนอะ ไม่งั้นคงอาจไปที่ที่อยากไปได้ดีกว่านี้ไม่ต้องใช้เงินเยอะ และนี่ต่อกี่ต่อใช้เงินเท่าไหร่ แต่เรื่องของเขา เราไม่รู้ละเอียดอยู่ดี แค่ได้ยิน แต่คิดในใจอยากเดินทางก็ต้องมีเงินของตัวเองด้วยอ่ะไม่ใช่ยังขอพ่อแม่อยู่ แล้วพอเขาไม่ให้ตามต้องการก็โวยวาย แต่สุดท้ายน้อง 2 คนก็จากไป เราก็ยืนเฝ้ามือถือต่อไป ก็มีคนอื่นมาเสียบชาร์จอีก 3 - 4 คน บางคนนั่งรอ บางคนก็ยืนรอเหมือนเรา


    ตอนยืนรอก็เดินออกไปยืนริมประตูบ้าง ก็เลยได้คุยกับพี่ผู้หญิงคนหนึ่ง...เขาก็ถามเราว่ามาจากไหน...เราก็บอกกรุงเทพฯ ก็ยืนคุยกัน...เขาก็บอกแบบมาทำงานที่นี่ได้ 2 - 3 เดือนไม่ค่อยได้ไปไหน เพราะเราก็เหมือนถามถึงที่เที่ยว หรือการเดินทาง เพราะตอนแรกก็ว่าจะเดินแถวๆ นี้ไม่ไปไหนไกล...พี่เขานี่แหละบอกว่าเขาเองก็ไม่ค่อยได้ไปไหน แต่เพื่อนเขาบอกให้เดินเข้าไปในซอยตรงข้ามแล้วนั่งเรือข้ามไปจะเจอที่เที่ยวเยอะ...เราก็แค่รับรู้ไว้...แล้วพี่เขาก็เล่าให้ฟังว่าไปสองแถวแค่ 7 บาท ตอนแรกๆ ที่เขามา เขาจะนั่งตุ๊กตุ๊กมาสถานีรถไฟแต่ 60 บาท แต่เจอฝรั่งคู่นึงข้ามถนนไปรอสองแถว คือ 7 บาท ยังบอกเราเลยว่าฝรั่งยังฉลาดกว่าเราอีก...เราก็ถามเขามาทำงานอะไร...เขาก็บอกทำงานศาล และบอกว่าต้องทำอีก 2 - 3 เดือน ไม่ค่อยได้ไปไหน แบบวันนี้ที่มาทั้งที่ปกติไม่มาวันเสาร์เพราะเอกสารเยอะ นั่งรถไฟจากลพบุรีมา 13 บาทเองแต่วันหยุดแบบนี้ คนมาเที่ยวเยอะ

    ความจริงเราก็มองเขาว่าไว้ใจได้มากมั้ยคืออยากฝากมือถือที่ชาร์จอยู่แล้วไปห้องน้ำ เพราะความจริงเรามีเมนส์ แล้วตั้งแต่รถไฟออกมาตอนนี้ก็เกือบ 3 ชม. แล้ว ก็เลยเกริ่นถามเขาว่า ฝากมือถือได้ไหม...แต่พี่เขาบอกไม่ปลอดภัยแม้มือถือจะไม่แพง...แต่ในใจเราคิดคือเราจะฝากเขานี่แหละ แต่ก็มองเขาแบบพิจารณาอีกทีว่าตกลงไว้ใจได้ไหม มือถือที่บอกไม่แพงนี่กี่บาทกัน เราก็มองมือถือเขาที่ชาร์จอยู่ คือของเรากลางๆ แต่ซื้อมา 16,000 บาทแต่เราก็ถือว่าแพงสำหรับเราตอนนี้เพราะตกงาน ไม่มีเงินเลยจะเสียมันไปไม่ได้...แต่พี่เขาก็เล่าให้ฟังว่าเมื่อวานก็มียายคนนึงฝาก เขาก็เฝ้าให้...แต่เราไม่แน่ใจเขาแล้วไง เลยไม่เอาดีกว่า แต่ตอนบอกเขา พี่ที่ฝากเราเฝ้ามือถือก็ยืนดูมือถือตัวเองตรงที่ชาร์จ เราก็แอบมองเขาและมองพี่ผู้หญิงคนนี้แบบฝาก 2 คนเลยได้ไหมให้ช่วยดูแบบเราก็ไม่อยากไว้ใจคนแปลกหน้า แต่สุดท้ายพี่ที่ฝากเราเฝ้ามือถือก็เอามือถือเขากลับไปนั่ง เราก็ช่างมันเถอะ แต่มาดูมือถือตัวเองที่ชาร์จมันยังไม่ยอมเต็มสักที แบบเหลืออีกเยอะ เราก็มองนาฬิกาแบบต้องถึงบ่าย 2 แน่นอนกว่าจะชาร์จได้เต็ม แล้วพี่ที่ยืนคุยกับเราเมื่อกี้ก็บอกไปห้องน้ำแบบเขารอรถไฟอยู่ ไม่งั้นพลาดขบวนนี้ต้องรออีกนาน ไม่เหมือนกรุงเทพฯ มีหลายรอบ แต่เขาก็หายไปเลยแหละ


    ยืนรอเดินไปเดินมาแถวนั้น อยากไปห้องน้ำแต่ยังไม่กล้าฝากมือถือใคร พี่ที่ฝากเราเฝ้ามือถือก็นั่งอยู่แต่ก็ไม่กล้าฝากเขา คือไม่กล้าไว้ใจใครจริงๆ จนบ่ายสองเศษๆ จากตอนแรกจะรอแค่บ่ายสอง แบตก็ยังได้แค่ 80 กว่า% คือมาถึงอยุธยาเนี้ยคือมายืนชาร์จแบตเป็นชั่วโมง ข้าวก็ยังไม่ได้กินตั้งแต่เช้า ตอนแรกจะไปหาร้านข้าวทานแล้วชาร์จแบตก็มองๆ ร้านตรงข้ามสถานี แต่ไม่แน่ใจมีปลั๊กไฟมั้ย และจะชาร์จได้มั้ย

    ยืนเฝ้าต่อไป แต่ก็สังเกตมานานแล้วว่าที่ตรงประชาสัมพันธ์น่าจะมีแผนที่ เห็นนักท่องเที่ยวบางคนมีแผนที่ติดมือออกมา เลยเดินเข้าไปถามเขาบ้างว่ามีแผนที่มั้ย น้องเจ้าหน้าที่ก็หยิบให้ เราเลยเดินเอากลับมาดูที่ตรงชาร์จมือถือ ไม่กล้าละสายตานานกลัวหาย 


    พอเอามาดูๆ ว่ามีที่ไหนบ้างก็ต้องเริ่มจากสถานีรถไฟที่ยืนอยู่ก่อน แต่หาไม่เจอ หาในตัวเลขก็ไม่มีคำว่า "สถานีรถไฟ" เลยเดินกลับไปถามน้องเจ้าหน้าที่ เขาก็วงให้ว่าสถานีรถไฟอยู่ตรงไหนในแผนที่ แต่เราก็มองไม่ออกอยู่ดีว่าที่ไหนอยู่ตรงไหนเพราะไม่เคยมา น้องเขาก็ถามว่าไปไหน เราก็ดูในแผนที่ว่าอันไหนไม่ต้องข้ามแม่น้ำก็เจอวัดใหญ่ชัยมงคล แต่น้องบอกไกลมาก เราก็ถามรถสองแถวไปถึงไหม น้องบอกไม่ถึง แต่ระหว่างถาม เราก็มองมือถือเราเป็นระยะกลัวหาย 

    เราก็ไม่รู้จะไปไหนเพราะดูจากแผนที่ไม่เข้าใจจริงๆ เลยถามน้องว่าถ้าจะไปที่เที่ยวเยอะๆ ต้องนั่งเรือข้ามฟากไปใช่ไหม น้องก็บอกว่าใช่ คือมานึกดูแล้วต้องขอบคุณพี่ผู้หญิงที่คุยเมื่อกี้มากและดีที่มาชาร์จแบตเพราะไม่งั้นคงไม่รู้อะไรเลยและคงได้แต่เดินอยู่รอบๆ แถวสถานีแบบไม่มีจุดหมาย แต่เพราะมาชาร์จแบต เลยได้คุยกับพี่เขาว่ามีเรือข้ามฟากไป และรู้ว่ามีแผนที่แจกจากบรรดานักท่องเที่ยวที่ถือแผนที่เดินผ่านไป

    พอเอาแผนที่กลับมาส่องต่อตรงที่ชาร์จแบต ก็มีน้องผู้ชายคนนึงมาทัก ก็เห็นตั้งแต่น้องเขาเอามือถือมาชาร์จแล้วแต่ไม่ได้สนใจไรมากเพราะมีคนมาชาร์จหลายคน  น้องมาทักว่าเห็นเราไปถามเจ้าหน้าที่เรื่องแผนที่ เขาก็เอาแผนที่เขามาให้ดู แล้วชี้ที่เขาวงไว้เป็นวัดโบราณ 3 จุด และบอกให้เรานั่งเรือข้ามฟากไป เราก็ถามน้องเขาเรื่องจักรยานว่าปลอดภัยมั้ย? ถ้าจะปั่นที่นี่คือมีฝรั่งปั่นนั่นแหละ แต่เราไม่แน่ใจ น้องเขาก็บอกตอนมาแรกๆ เขาก็ปั่น แต่ปั่นไปไม่ไกลก็เอามาคืนแล้วเปลี่ยนเป็นมอเตอร์ไซด์แทนก็ข้ามสะพานไป แต่ต้องเอามาคืนก่อน 6 โมงเย็น เราก็ถามว่าที่ในแผนที่ไกลมั้ย? แบบเดินได้มั้ย น้องเขาก็บอกว่าไกล คุยสอบถามสักพักแล้วน้องเขาก็ขอตัวเดินออกไป

    เราก็ยืนดูแผนที่ต่อไป แต่ดูไม่รู้เรื่องอยู่ดีเพราะไม่รู้ที่ไหนอยู่ตรงไหน มองไม่ออก จนน้องเขากลับเข้ามานั่ง เราก็อยากไปห้องน้ำมากเพราะมือถือยังชาร์จไม่เต็ม ไม่อยากดึงออกเสียเวลาชาร์จ เลยเดินเข้าไปถามน้องเขาว่า "ไว้ใจได้ไหม" น้องเขาก็มองหน้า เราเลยขอฝากมือถือน้องเขาให้ช่วยดู บอกไปห้องน้ำ 5 นาทีแล้วเดินออกไป

    พอกลับมาที่ชาร์จก็เห็นน้องเขายืนดูมือถือตัวเองอยู่ เราเลยขอบคุณน้องเขา แล้วดูมือถือตัวเอง สักพักน้องเขาก็ไป และยกมือไหว้เรา เราก็ยิ้มให้ คือไม่รู้จักเพิ่งเคยเจอแต่ก็มาเจอคนอัธยาศัยดีที่ช่วยแนะนำการเดินทางของเราก็นับว่าดีนะ เพราะมาที่นี่ไม่รู้อะไรจริงๆ


    รอจน 14.27 น. มองมือถือก็ชาร์จได้ 97% คือไม่อยากรอแล้วเอาว่าเกือบเต็มก็โอเค ก็ออกจากสถานีรถไฟข้ามฝั่งไปลงเรือในซอยตรงข้าม มีร้านขายข้าวอยู่ ตอนยืนชาร์จแบตก็มองว่าชาร์จแบตแล้วอาจข้ามไปทาน แต่เวลานั้นไม่ทันแล้ว เสียเวลาเป็นชั่วโมงเพื่อชาร์จแบต ส่วน Powerbank มี 2 อันเสียมาตั้งนานแล้วยังไม่มีเงินไปซื้อ แบตมือถือก็หมดเร็วมาก ขนาดไม่ได้ทำไร ดูหน้าจออีกที แบตลด



    ตอนเดินเข้าซอยก็มีฝรั่ง 4 คนเดินนำหน้าก็คิดว่าคงน่าจะไปลงเรือเหมือนกัน ระหว่างทางก็มีให้เช่าจักรยานและมอเตอร์ไซด์ และร้านตัดผม มองหาร้านตัดผมเพราะอยากตัดผมข้างหน้ามาก รำคาญเกะกะตา แต่ก็คิดว่าตอนกลับมาถ้าร้านยังเปิดก็จะตัด แต่ต้องถามราคาก่อน กรุงเทพฯ 50 บาทกะอีแค่ผมหน้าม้า แต่ก่อน 20 บาท เผื่อที่นี่จะ 20 บาทบ้าง


    เดินมาถึงท่าเรือก็คนละ 5 บาท ตรงนั้นก็มี "ศาลปึงเถ่ากงม่า" ก็เลยแวะไหว้ก่อนเพราะมองหาเรือแล้วยังไม่มีน่าจะข้ามไปฝั่งนู้นอยู่ ก็ขอพรก่อนออกเดินทาง



    ขอพรเอาฤกษ์เอาชัยแล้วก็มารอเรือที่ท่าก็มีคนรออยู่ 5 คนรวมฝรั่งเมื่อกี้ 4 คน


    รอเรือแป๊ปเดียว เรือก็ข้ามกลับมา ถ้ามีจักรยานด้วยก็ 10 บาท 



    นั่งเรือข้ามไป 2 นาทีก็ถึงท่าเรือฝั่งตรงข้าม "ท่าเทียบเรือตลาดเจ้าพรหม"


    เดินลงจากเรือก็ขึ้นไปด้านบน ก็มีจักรยาน + มอเตอร์ไซด์ให้เช่าอยู่ 


    มาถึงปากซอยเข้าสู่ตลาด ก็มีคนขับตุ๊กตุ๊กถามจะไปไหน เราก็โบกมือยิ้มแบบไม่ไปค่ะ เขาก็บอกอีกเดินไป 2 KM. แต่ในใจคือ 2 KM. นี่รู้เหรอเราจะไปไหน? 

    เดินออกมาเจอตลาดก็ไม่รู้ไปทางไหนต่อ เพราะแผนที่ไม่บอกอะไร แม้ดูว่าที่ไหนใกล้กับท่าเรือ แต่ดูไม่ออกอยู่ดีเพราะแค่ออกมาก็มี 2 ทางให้เดินแล้ว แต่ก็ตัดสินใจเดินไปฝั่งซ้ายมือแล้วกัน


    แต่เพราะดูแผนที่ไม่ออกจริงๆ ว่าควรไปทางไหนยังไง พอดีเดินผ่านร้านหนึ่ง มีพนักงานยืนอยู่หน้าร้าน เลยลองถามเขาแล้วกัน เขาก็ถามว่าไปไหน ตอนแรกเราก็ไม่รู้ เพราะตอนนี้ออกจากท่าเรือมาก็จริงแต่ไม่รู้อยู่ตรงไหน และก็ไม่รู้ว่าจะบอกว่าจะไปไหน เขาก็ถามย้ำว่า คุณจะไปไหน 2 - 3 รอบ เราก็นึกถึงแผนที่ของน้องที่สถานีรถไฟที่วงๆ รอบโบราณสถานไว้เลยมองตัวเลขแล้วดูว่าคือที่ไหน ซึ่งก็คือหมายเลข 15 และ 16 "วัดมหาธาตุ" และ "วัดราชบูรณะ" เลยบอกคนที่เราถามไปว่า 2 วัดนี้ต้องเดินไปตรงไหน เขาก็บอกให้เดินไปถึง 3 แยกแล้วเลี้ยวขวา เดินตรงไปให้สุดแล้วก็จะเจอ เราก็ขอบคุณเขาแล้วเดินทางต่อไป  คือเดินอย่างเดียวไม่โบกรถเพราะไม่มีเงิน และเราคิดว่าแม้เราไม่รู้อยู่ตรงไหนแต่ก็จะเดินไปเรื่อยๆ


    พอมาถึง 3 แยก เราก็ไม่แน่ใจแยกนี้หรือข้างหน้า แต่มองไปลิบๆ มันน่าจะมากกว่า 3 แยก น่าจะ 4 แยก เลยตัดสินใจเดินเข้าเส้นนี้แหละ แล้วค่อยถามคนเอาข้างหน้า


    แต่ดูแผนที่ไม่ช่วยไรจริงๆ เพราะไม่รู้เราอยู่ที่ไหนอยู่ดี แต่ก็เอาออกมาเปิดดูเรื่อยๆ เผื่อเจอไรที่จะทำให้เรารู้ว่าอยู่ตรงไหนแล้วก็ได้ แต่ไม่เจออะไร ก็ได้แต่เดินไปตามทางเรื่อยๆ จนมาถึง 4 แยกก็ไม่รู้ไปทางไหนต่อ เอาแผนที่มาเปิดดูแบบจะหาคนถามทางก็ไม่มี มีแต่รถวิ่งผ่านไปมา เลยตัดสินใจข้ามไปฝั่งตรงข้าม ก็มีรถตุ๊กตุ๊กมาโบกว่าจะไปไหม เราก็บอกไม่ไป


    เดินข้ามมาฝั่งตรงข้ามก็เจอกลุ่มคน 4 - 5 คนล้อมวงคุยกินอะไรกันอยู่ เลยเข้าไปถามทาง เขาก็บอกให้เดินตรงไปเลยสุดทางเลี้ยวขวาก็จะเจอ แล้วพวกที่เที่ยวก็อยู่แถวนั้นเยอะแยะ เราก็ขอบคุณเขา พี่คนนึงก็บอกเราตอนแรกนึกว่าเราเป็นญี่ปุ่น เราก็ขำๆ แล้วเดินข้ามถนนเพื่อเดินต่อไปเรื่อยๆ


    เดินมาจุดตรงนี้คือถนนโล่งมาก แบบเอาจักรยานมาปั่นก็ได้ แต่สายไปแล้วได้แต่เดินต่อไปเรื่อยๆ แบบไม่รู้ว่าไกลแค่ไหน แต่ระหว่างทางก็เห็นร้านบางร้านมาตั้งจองที่เตรียมขายกว่าครึ่งถนนเหมือนกัน


    เดินไปเรื่อยๆ ก็เจอ "บ้านตุ๊กตาไทย" ก็ปิดประตูเงียบ และ "พิพิธภัณฑ์เรือไทย" ซึ่งเรามองเข้าไปในซอยที่มีป้ายตั้งข้างหน้า ก็มองไม่เห็นอะไรอยู่ดีในซอยนั้น


    เดินต่อไปเรื่อยๆ ถ้าดูเวลาจาก 3 แยกที่เลี้ยวมาจนมาเห็นโบราณสถานอยู่ฝั่งตรงข้ามก็เดินมา 20 นาทีซึ่งตอนเดินเหมือนไกลเพราะไม่รู้ว่าจุดหมายอยู่ตรงไหน แต่มาดูเวลาแค่ 20 นาทีถือว่าไม่ไกลเพราะเดินมายังใช้เวลาแค่ 20 นาที 


    ข้ามถนนไปก็เจอสิ่งก่อสร้างโบราณจุดแรกแต่ก็ไม่รู้ที่ไหนอยู่ดี เปิดแผนที่ดูก็ไม่รู้เหมือนกันว่าที่ไหน


    เดินต่อไปเรื่อยๆ ไม่ไกลก็เจอป้ายบอกว่าที่นี่คือ "วัดมหาธาตุ"


    ตอนแรกก็ไม่รู้ทางเข้าอยู่ตรงไหน แต่นักท่องเที่ยวก็เยอะ เลยตัดสินใจเดินไปด้านหน้าก่อนเผื่อมีทางเข้าจากด้านหน้า


    แต่พอเดินไปถึงทางเข้าก็มีประตูปิดอยู่ เดินเลยไปอีกทางเข้าก็มีประตูปิดอยู่เหมือนกัน


    เมื่อหาทางเข้าไม่เจอก็คิดว่าหรือด้านข้างที่เดินผ่านมาแล้วมีนักท่องเที่ยวเยอะๆ เมื่อกี้ เลยตัดสินใจถามคนขับตุ๊กตุ๊ก (มั้ง) เห็นยืนเรียกลูกค้าอยู่ เขาก็บอกให้เดินไปด้านข้างที่เราเดินผ่านมา เราก็ขอบคุณเขา


    พอเดินมาด้านข้างที่เดินผ่านมาเมื่อกี้ก็ต้องเดินเข้าไปอีก แต่ระหว่างทางที่เดินผ่านก็แวะถ่ายภาพโบราณสถานไปเรื่อยๆ คือแค่เห็นจากตรงนี้ที่ก็เห็นถึงความสวยงามและร่องรอยการก่อสร้างแกะสลักอย่างตั้งใจ


    ด้านตรงข้ามของโบราณสถานก็มีที่ให้จอดจักรยานก็เห็นมีคนเอาจักรยานมาจอดเยอะอยู่


    ค่าเข้าสถานที่ถ้าเป็นคนไทยก็ 10 บาท ถ้าต่างชาติ 50 บาท เวลาเปิด - ปิดคือ 8.00  - 18.30 น. และห้ามคนใส่ขาสั้น แขนสั้นเข้า ซึ่งเราใส่ขาสั้นเลยเข้าไม่ได้ ซึ่งก็เพิ่งทราบว่าต่อให้เป็นโบราณสถานแต่เป็นวัดโบราณ ใส่ขาสั้นห้ามเข้าแต่ให้ใส่ขายาวมาก็ร้อน นอกจากจะแบกกางเกงขายาวเอามาเปลี่ยนที่นี่


    เมื่อเข้าวัดไม่ได้ก็เลยถ่ายภาพแต่แค่ด้านนอกแล้วกันเพราะไหนๆ ก็มาถึงที่แล้ว


    ตอนแรกก็คิดว่าเดี๋ยวเดินออกด้านหน้าแล้วเดินไปที่อื่น แต่เห็นสิ่งก่อสร้างโบราณลิบๆ กระจัดกระจายด้านหลัง เลยตัดสินใจเดินเข้าไปดูหน่อยแล้วกัน


    ตอนแรกคิดว่าสิ่งก่อสร้างด้านหลังเป็นส่วนหนึ่งของ "วัดมหาธาตุ" แต่พอเดินไปเจอป้ายเลยรู้ว่าเป็นอีกวัดหนึ่งชื่อ "วัดนก" คืออยุธยาสมัยเก่า วัดคงเยอะมาก เพราะจากที่ตั้งอยู่ไม่ไกลกันแต่อาจแค่มีขนาดแตกต่างกันเท่านั้น

    ส่วนสิ่งก่อสร้างที่เห็นเหมือนเจดีย์หลายองค์ก็น่าจะยังอยู่ในเขต "วัดมหาธาตุ" เพราะมีกำแพงกั้นเอาไว้อยู่


    ส่วน "วัดนก" เราไม่ได้เดินขึ้นไปดู แต่คิดว่าจากสิ่งที่เหลืออยู่ก็มีความสวยงามและน่าสนใจ อยากย้อนเวลาไปดูว่าตอนที่ยังสมบูรณ์จะมีความสวยงามขนาดไหน แต่ก็คงย้อนเวลากลับไปดูไม่ได้


    เดินออกจากวัดนกก็ต้องเดินตรงเข้าไปอีกเพราะจากจุดที่ยืนอยู่ยังมองเห็นสิ่งก่อสร้างแบบโบราณอยู่กระจัดกระจายออกไปไกลๆ



    ความจริงไม่แน่ใจว่า "วัดนก" นี่ตั้งอยู่ตรงส่วนท้ายๆ ของ "วัดมหาธาตุ" หรือเปล่า แต่ถ้าดูจากรูปและเวลาที่ถ่ายภาพมาน่าจะอยู่บริเวณเดียวกัน


    ภาพ "วัดมหาธาตุ" ก็ได้แต่ถ่ายจากด้านนอกกำแพงเพราะเข้าไปด้านในไม่ได้  แต่ถึงมองจากด้านนอกก็รับรู้ถึงความสวยงามแม้แต่เหลือแต่ซากสิ่งก่อสร้างเป็นส่วนใหญ่


    เดินออกจากบริเวณ "วัดมหาธาตุ" ก็เดินตรงเข้าไปอีก เห็นซากสิ่งก่อสร้างโบราณไม่ไกลแต่อยู่ฝั่งตรงข้ามซึ่งต้องข้ามสะพานไป ตอนแรกก็ไม่อยากข้ามเพราะเหนื่อย เดินมาไกลและเดินตลอด เลยแค่ถ่ายภาพจากฝั่งที่มองเห็นไว้แค่นั้น


    เดินต่อไปไม่ไกลมากก็มาเจอสะพานข้ามไปฝั่งตรงข้ามทางฝั่งซ้ายมือ และเจดีย์ลิบๆ ซึ่งตอนแรกจะเดินเข้ามานิดนึงเพื่อถ่ายภาพ เพราะเข้า "วัดมหาธาตุ" ไม่ได้ก็จริงแต่ก็ไม่อยากเสียเที่ยว ก็เลยไม่แน่ใจว่าจะเดินต่อไปแล้ววกเลี้ยวขวาไปยังจุดหมายต่อไปที่ต้องการไปตั้งแต่เมื่อกี้ดี (วัดโบราณใกล้ๆ "วัดมหาธาตุ") หรือเดินย้อนกลับไปวัดโบราณใกล้ๆ "วัดมหาธาตุ" ที่หมายตาไว้ตั้งแต่เมื่อกี้เลย


    ส่วนทางฝั่งขวาที่อยู่ตรงข้ามสะพานจะมีป้ายเล็กๆ บอกทางไปสถานที่อื่นๆ และซากสิ่งก่อสร้างอีกแห่ง ซึ่งถ้าอยากรู้ว่าคืออะไรต้องเดินเข้าไปดูป้ายด้านหน้า


    และสิ่งก่อสร้างที่เห็นนั่นก็คือ "วัดหลังคาดำ" ซึ่งมีคน 2 คนไปนั่งคุยกันด้านใน ดังนั้นตอนถ่ายภาพเลยติดพวกเขามาด้วย


    เวลาเดินรอบๆ ที่นี่ ชอบเอาแผนที่ออกมาดูบ่อยๆ ซึ่งถ้าเป็นวัดเล็กๆ จะไม่ปรากฏในแผนที่ แต่ก็ดูว่าเราอยู่ประมาณตรงนี้มีอะไรใกล้ๆ บ้างที่ปรากฏในแผนที่


    ในเมื่อเดินมาถึงตรงนี้แล้วก็ตัดสินใจไม่เดินย้อนกลับ เดินข้ามสะพานไปฝั่งตรงข้ามเลยแล้วกันและจะเดินต่อไปถึงเจดีย์ที่เห็นลิบๆ แล้วค่อยเดินย้อนวกขวาไปจุดหมายวัดโบราณที่อยู่ใกล้ๆ "วัดมหาธาตุ" 


    ส่วนวัดที่เห็นเป็นซากสิ่งก่อสร้างโบราณที่เห็นจากฝั่งตรงข้ามเมื่อกี้คือ "วัดสังขปัต" คือรอบๆ นี้วัดเยอะมาก ไม่แน่ใจอยุธยาสมัยก่อนจัดเป็นโซนหรือเปล่าว่าบริเวณนี้คือเขตวัดเลยมีวัดเยอะ กรุงเทพฯ ก็วัดเยอะ แต่ถึงมีใกล้ๆ กันอย่างแถว "วัดพระแก้ว" ก็ไม่ได้มีเยอะแบบที่เห็นตอนนี้ และนี่คือตั้งใกล้ๆ กันไม่ห่างกันมากเท่าไหร่เลย


    เดินจาก "วัดสังขปัต" ก็เดินต่อไปก็จะเจอ "แนวคลองโบราณ" และมีพระพุทธรูปกลางแจ้งตั้งอยู่ไม่ไกล


    จุดหมายต่อไปคือเดินข้ามสะพานไปฝั่งตรงข้ามอีกฝั่งซึ่งเห็นซากสิ่งก่อสร้างโบราณตั้งอยู่ไม่ไกล แต่ตอนเดินข้ามสะพาน มีน้อง 2 คนเดินนำหน้า แล้วอยู่ๆ เขาก็หันมามองไรในน้ำแบบตื่นเต้น เลยหยุดมองบ้าง อ้อ... "ตัวเงินตัวทอง"...คิดในใจที่สวนรถไฟมีเพียบเลยน้อง แต่ก็ไม่รู้น้องเขามาจากจังหวัดไหนกันหรืออาจอยู่อยุธยาก็ได้


    วัดที่เห็นอยู่ฝั่งตรงข้ามเมื่อกี้คือ "วัดโพง" 


    เมื่อเดินจาก "วัดโพง" ก็เดินต่อไป ข้ามสะพานไปทางเดินที่ออกสู่บริเวณด้านหลังพื้นที่ "วัดมหาธาตุ" และเห็นเจดีย์อยู่ลิบๆ เมื่อกี้


    เมื่อลงสะพาน ด้านข้างฝั่งซ้ายจะมีบึงขนาดปานกลางอยู่ แต่ดอกบัวแห้งเหี่ยวหมดแล้ว ตอนที่เห็นครั้งแรกก็ยังไม่รู้ว่าบึงอะไรเหมือนกัน ก็คิดก็แค่บึงทั่วไปนั่นแหละ


    เดินต่อไปตามทางเดินที่ร่มรื่นแม้ร้อน หยิบแผนที่ขึ้นมาส่องอีกครั้งว่าน่าจะอยู่แถวไหน..บอกตรงๆ แผนที่นี่นอกจากใช้ดูว่ามีอะไรบริเวณนี้บ้าง ยังใช้บังแดดและเอามาพัดไล่อากาศร้อนได้แม้ช่วยนิดเดียว แต่ร้อนจริงๆ วันที่ไป ดีที่ตอนที่เดินๆ รอบๆ ตรงนี้ มีต้นไม้บ้างระหว่างทางเดิน


    เดินต่อไปก็เจอ "พระที่นั่งเย็น" ซึ่งเห็นอยู่ลิบๆ ตั้งแต่ก่อนเดินขึ้นสะพานเมื่อกี้ ตอนเดินจะเข้ามาถ่ายภาพ มีรถกระบะวิ่งมาและเลี้ยว ในใจภาวนาอย่ามาจอดบังอาคารหรือป้ายบอกสถานที่เพราะว่าเราจะถ่ายภาพ อุตส่าห์เดินมาถึงนี่แล้ว


    เดินออกจาก "พระที่นั่งเย็น" ก็เดินตรงต่อไปทางเดิมก็เจอเจดีย์วัดโบราณอยู่ข้างหน้า แต่ยังไม่รู้ว่าวัดอะไรเพราะไม่เห็นป้ายชื่อตั้งอยู่แถวนั้น


    เดินไปถึงด้านหน้าก็ได้รู้บึงใกล้ๆ คือ "บึงพระราม" ที่ดอกบัวแห้งแล้งและตายไปหมดแล้ว



    ความจริงแถวนี้มีคนปั่นจักรยานเยอะโดยเฉพาะคนต่างชาติและตรงนี้ก็มีเลนจักรยานแบบพื้นที่สีเขียวด้วย


    ส่วนวัดที่เรามาอยู่ด้านหน้าที่ยังไม่ทราบชื่อ ปิดประตูไว้ และไม่มีวี่แววนักกท่องเที่ยวเดินข้างในที่แบบอาจเข้าประตูด้านอื่น แต่ถ้าดูจากแผนที่และไม่ไกล "บึงพระราม" น่าจะมีความเป็นไปได้ว่าคือ "วัดพระราม" แต่ถ้ายังไม่เจอป้ายชื่อวัดหรือคนยืนยันก็ยังปักใจเชื่อ 100% ไม่ได้


    เดินออกจากบริเวณนี้ก็เดินตรงสู่ถนนใหญ่ ความจริงด้านซ้ายมือจะมีซากสิ่งก่อสร้างโบราณอีกแห่ง ส่วนฝั่งขวามือ เราเห็นมีนักท่องเที่ยวนั่งช้างลิบๆ แต่ถ้ามองข้างหน้าจะมีป้ายบอกสถานที่ 3 แห่ง แต่เราเลือก "คุ้มขุนแผน" เพราะลูกศรมันชี้ไปทางที่เราต้องการจะเดินวกกลับไปยังทางที่ไปวัดใกล้ๆ "วัดมหาธาตุ" ที่เรากะเป็นจุดหมายต่อไปหลังออกจาก "วัดมหาธาตุ" ตั้งแต่เมื่อกี้


    ตอนยืนรีรออยู่ว่าเอาไงดี คนขับตุ๊กตุ๊กที่จอดนอนอยู่ก็ลุกขึ้นมามองเราแบบจะไปไหนไหม? เราเลยเดินเข้าไปถามทางเขาว่า "คุ้มขุนแผน" ไปทางไหน เขาก็ชี้ไปทางที่เราเห็นช้างเดินนั่นแหละ เราก็ขอบคุณในการช่วยเหลือของเขา


    แต่ก่อนเดินไปตามทางที่เขาบอก เรายังติดใจซากสิ่งก่อสร้างโบราณด้านซ้ายมือเลยตัดสินใจเดินเข้าไปถ่ายภาพและอยากรู้คือสถานที่อะไร ซึ่งก็คือ "วัดไตรตรึง" 


    แล้วเราก็เดินย้อนกลับไปทางเดิมที่จะตรงไปทางที่ช้างเดินและสู่ "คุ้มขุนแผน" 


    ตอนแรกเดินเลียบถนนใหญ่ไปเรื่อยๆ แต่ก็เห็นคนเดินด้านในสนาม ก็เลยเดินเข้าไปบ้างเผื่อจะลัดทางให้เร็วขึ้น แต่เดินเข้าไปได้นิดเดียวเจอฝูงหมาเห่าหลายตัว ฝรั่ง 2 คนที่เดินด้านในเมื่อกี้ก็ออกมาเดินด้านนอก เราเลยเลี้ยวกลับออกไปริมถนนเหมือนเดิม ส่วนลิบๆ คือช้างที่หยุดยืนใกล้ถังน้ำ


    เดินต่อมาไม่ไกลก็มาถึง 4 แยก ลิบๆ ฝั่งด้านซ้ายตรงข้ามเห็นเป็นอาคารสีขาวแต่ยังไม่แน่ชัดคือที่ไหน ส่วนด้านตรงข้ามเราคือ "วังช้างอยุธยา" 


    เส้นทางด้านขวามือเรามีช้างเดินมาเยอะมาก และเดินข้ามถนนกลับ "วังช้างอยุธยา" 



    เดินข้ามไปฝั่งถนนตรงข้าม ความจริงมีขี้ช้างอยู่กลางถนนก็มีคนมาเก็บกวาดและมีช้างอยู่บนรถบรรทุก ตอนแรกอยู่อีกฝั่งไม่เห็น พอข้ามถนนมาเดินผ่านเลยเห็น


    ใกล้ๆ ที่เรายืนตรงรถบรรทุกนี้จะเป็นเจดีย์อีกแห่งแต่ดูป้ายไม่เจอว่าที่นี่คือที่ไหน หรือวัดอะไร แต่ตรงนี้มีป้ายบอกว่า "ถนนศรีสรรเพชญ์" 


    เราไม่ได้เดินไป "วังช้างอยุธยา" แต่เดินข้ามไปอีกฝั่งที่มีอาคารสีขาวๆ แต่ถ้ามายืนมองตรงข้ามฝั่งถนนจะเห็นป้ายเล็กๆ ว่า "ศาลหลักเมือง" 


    สถานที่ไหว้คือชั้นล่าง ไหนๆ คือมาแล้วและผ่านมาเจอก็เลยเดินแวะเข้าไปไหว้ ตอนแรกจะจุดธูป-ถวายดอกไม้ นึกว่า 20 บาทจะได้ทั้ง 2 อย่าง ส่วนเทียนไม่มี แต่ดอกไม้ขายแยก 20 บาท เลยมายกมือไหว้เฉยๆ ก็สวดจบตามป้าย ขอพร แต่มานึกถึงศาลหลักเมืองกรุงเทพฯ ที่ขอเรื่องงาน (ความจริงเคยไปขอนี่แหละแต่ไม่ได้ ก็ความเชื่อแหละ บางคนก็ได้) ก็เลยเปลี่ยนใจ ไหนๆ ก็มาแล้ว ไม่รู้ได้อีกมาเมื่อไหร่ เลยไปซื้อพวงดอกดาวเรืองและธูปมาไหว้ขอพร ก็ 30 บาท ธูปก็แล้วแต่เราจะหยอดตู้ันั่นแหละ


    ออกจาก "ศาลหลักเมือง" ก็กลับไปที่สี่แยก ตอนแรกจะหาห้องน้ำเข้า ถามคนขายของบูชา เขาบอกให้ไป "วังช้างอยุธยา" แต่ไม่ไป ก็กะไป "คุ้มขุนแผน" แล้วหาเอาข้างหน้าแทนแล้วกัน แต่เดินมาตลอดทางคืออาจไม่สังเกตเองเลยเหมือนไม่เห็น 7/11 เพราะหิวน้ำมาก คือดูเวลา 16.20 น. แล้ว ตั้งแต่ชาร์จแบตที่สถานีรถไฟ น้ำก็ไม่ได้กิน ข้าวก็ยังไม่ได้กินตั้งแต่เช้า แต่ไม่มีเวลาหาข้าวกินแล้ว ต้องทำเวลาเดินต่อ เพราะยังเหมือนมาไม่กี่ที่ เสียเวลาชาร์จแบตไปเป็นชั่วโมงที่สถานีรถไฟ


    ความจริงเดินไปไม่ไกล ฝั่งตรงข้ามที่ช้างมายืนใกล้ถังน้ำเมื่อกี้ ก็จะเจอเรือนไทยอยู่ข้างหน้า ตั้งโดดเด่นแบบนี้มีความเป็นไปได้ว่าคือ "คุ้มขุนแผน" แต่เพื่อความแน่ใจก่อนเดินเข้าไปก็ถามคนขับตุ๊กตุ๊กที่อยู่ตรงศาลาด้านหน้า เขาก็บอกว่าใช่ เดินเข้าไปถ่ายรูปได้ และบอกว่าถ้าจะกลับให้ย้อนกลับมา เราก็แค่ขอบคุณแต่คงไม่ย้อนกลับมา ตุ๊กตุ๊กแพงแม้ไม่เคยขึ้น แต่ที่เราเดินมาคือยังเป็นรอบๆ "วัดมหาธาตุ" ดังนั้นเดินกลับได้อยู่แล้ว แต่ตอนนั้นมีผู้หญิงญี่ปุ่นเดินสวนเราออกไป 2 คน คนขับตุ๊กตุ๊กก็ทักหาลูกค้าเหมือนกัน แต่เราหันไป ผู้หญิง 2 คนนั้นก็เดินผ่านคนขับตุ๊กตุ๊กไป


    เราก็เดินต่อไปยังเรือนไทย "คุ้มขุนแผน" แต่ประตูปิดหมด ไม่เหมือนที่คนขับตุ๊กตุ๊กบอกขึ้นไปถ่ายภาพได้ และการตกแต่งเหมือนใช้เป็นสถานที่แต่งงานหรือเปล่าไม่แน่ใจ แต่อาจจะใช่เพราะเดินไปด้านหน้าจะเห็นเหมือนชื่อย่อที่เขาไว้ประดับงานแต่งงานแปะอยู่บนหน้าต่างของเรือนไทย


    คิดว่าเป็นสถานที่จัดงานแต่งงานแหละ เพราะชื่อย่อ ให้คิดถึงชื่อขุนแผนก็ไม่ได้ขึ้นต้นด้วยตัวอักษรเหล่านี้ "ขุนแผน" ก็น่าจะ "K" ส่วน "พลายแก้ว" ก็น่าจะ "P"


    เดินอ้อมมาด้านข้างและด้านหลังเรือนไทยก็เห็นประตูทางเข้าปิดหมด แต่ด้านข้างก็มีสะพานยาวทอดข้ามน้ำไปฝั่งตรงข้าม


    ด้านหลังเรือนไทยจะมีห้องน้ำให้บริการเสีย 5 บาทค่าเข้า และมีเครื่องดื่มขาย ซื้อ COKE มาขวดก็ 20 บาท จากราคาข้างขวด 15 บาท ตอนแรกไม่เอาดีกว่าเพราะแพง แต่เพราะหา 7/11 คงไม่เจออีกแล้วมั้งเลยซื้อมาขวดนึง 


    แล้วก็เดินข้ามสะพานไปฝั่งตรงข้ามว่าสถานที่ต่อไปคือที่ไหน


    เดินข้ามไปถึงฝั่งตรงข้ามก็ผ่านบ่อน้ำเล็กๆ เหมือนเห็นหัวอะไรโผล่ออกมา หันไปมอง อ้อ "เต่า" นี่เอง


    เดินตรงไปตามทางจะเห็นยอดเจดีย์ลิบๆ อยู่ตรงหน้าแต่ไม่รู้คือสถานที่ไหน แผนที่ก็เลิกดูแล้ว คือเดินเจอก็มีป้ายบอกสถานที่ข้างหน้าอยู่แล้ว ไม่มีแพลนอะไร เดินผ่านที่ไหนถ้าสนใจก็แวะแค่นั้น แต่ด้านหน้าสถานที่โบราณมีคำว่า "มรดกโลก" อยู่ ก็น่าสนใจว่าคือที่ไหนเหมือนกัน


    ส่วนทางซ้ายมือเราเป็นวิหารชื่อ "วิหารพระมหามงคลบพิตร" ความจริงมีป้ายบอกใส่ขาสั้นห้ามเข้า แต่เราอยากเข้าไปไหว้ เลยเดินไปหาลุงที่เหมือนเป็นคนดูแลแถวนั้นว่าใส่ขาสั้นเข้าไปได้ไหม เขาก็บอกเข้าไปเถอะเพราะตอนนั้นก็เย็นแล้ว วิหารอาจใกล้จะปิดแล้วเหมือนกัน 16.40 น.


    เดินเข้าไปไหว้ ความจริงมีดอกบัว ธูป-เทียนอยู่ด้านหน้า แต่รู้สึกไม่ค่อยมีเงินเลยเข้าไปไหว้มือก็พอ ก็ขอพรเรื่องงาน - เงิน - ความรัก และขอให้ชนะศัตรู ชนะอุปสรรค ชนะคนที่นินทาว่าร้ายใส่ร้ายใส่ความหรือทำให้เราคิดมาก ทุกข์ใจ 


    ไหว้พระ-ขอพร แล้วก็มาเสี่ยงเซียมซี ก็ตั้งจิตอธิษฐานว่าถ้าได้คำทำนายดีดีก็จะออกไปไหว้ดอกบัว ธูป-เทียนเพื่อแสดงการขอบคุณ แต่ตอนแรกเห็นแค่กระบอกเซียมซี ไม่เห็นคำทำนาย ไปถามคนขายพระในวิหาร เขาก็ชี้ไปด้านหลัง เราก็มองตาม ก็คิด อ้อ...ด้านหลังมั้งเพราะมองจากตรงนี้ไม่เห็น เลยไปตั้งจิตอธิษฐานเสี่ยงเซียมซี มองดูเลข 10 หรือ 13 เหมือนแข่งกันจะหล่น สุดท้ายเลข 10 หล่นออกมา เราก็เดินไปตามหาคำทำนายถึงด้านหลังวิหารแต่ไม่เจออะไร เลยเดินย้อนกลับมาก็ไม่เห็น จนมาเจอคือที่นี่ไม่เหมือนที่ที่เราเคยเจอที่หยิบเองได้ คือบางทีก็มีให้คนดูแลศาลหยิบให้แหละ แต่ที่นี่บังคับให้หยอดเงินใส่ตู้ด้วย เขาถึงหยิบให้


    ความจริงเราได้เลข 10 แต่ติดใจเลข 13 ที่แข่งกันจะหล่นเมื่อกี้ เลยขอคนดูแลดูใบ 13 เขาก็หยิบให้ อ่านดูก็โอเคนะก็ถือว่าดีเหมือนกัน ก็เดินไปขอบคุณองค์พระประธานด้านหน้าอีกรอบ คนที่ดูแลส่วนเซียมซีก็มาเก็บเซียมซีแล้ว คงใกล้ปิดมั้งหรือถึงเวลาเลิกงาน 5 โมงเย็นแบบนี้ ก็ดีที่เราไปเสี่ยงเซียมซีทันก่อนเขาเก็บ และก็ทำตามสัญญาออกไปจุดธูป-เทียน ถวายดอกบัว แต่ก่อนไหว้ก็เอาพวกธูป-เทียน ดอกบัวมาตรงหน้าประตูองค์พระประธานว่าเซียมซีออกมาดี เราก็ทำตามสัญญาแล้วนะคะ


    ออกจาก "วิหารพระมหามงคลบพิตร" เราก็เดินไปแหล่งโบราณสถานด้านข้าง ซึ่งแถวด้านหน้ามีป้ายบอกว่าที่นี่คือ "วัดพระศรีสรรเพชญ" และก็มีป้ายใส่กางเกงขาสั้นห้ามเข้า เราก็เลยเข้าไปไม่ได้ แต่ก็ขอคนเฝ้าประตู ถ่ายภาพด้านหน้าเอาแล้วกัน ส่วนค่าเข้าถ้าคนไทยน่าจะ 10 บาท ถ้าต่างชาติน่าจะ 50 บาท เวลาเปิด - ปิด 8.00 - 18.30 น. 


    ออกจากด้านหน้า "วัดพระศรีสรรเพชญ" ก็เดินไปส่วนจัดแสดงด้านข้างซึ่งจะมีแบบบ้านเมืองจำลองตั้งอยู่แต่เราก็ไม่รู้คือส่วนไหนอะไรยังไงเหมือนกัน


    คือไหนๆ ก็มาถึงแล้วจะถ่ายภาพแค่ด้านหน้าคงไม่ได้ เลยไปด้านข้างแล้วถ่ายภาพส่วนที่เห็นจากด้านนอกกำแพงแล้วกัน



    ออกจาก "วัดพระศรีสรรเพชญ" ก็ออกเดินทางต่อไปตามทาง แต่เราก็เห็นจากฝั่งซ้ายมือเราว่ามีอาณาเขตวัดโบราณอยู่ ตอนแรกคิดจะเดินผ่านไป แต่ไหนๆ ก็มาแล้วเลยเดินกลับเข้าไปเลียบกำแพงเพื่อถ่ายภาพอีกครั้ง


    พอเดินเข้าไปเพื่อถ่ายภาพจริงๆ กำแพงสูงเกินไปถึงถ่ายภาพก็ไม่เห็นอะไรเท่าไหร่


    ออกเดินทางต่อไป จากตรงนี้เห็นยอดเจดีย์โบราณไกลๆ แต่ไม่แน่ใจว่าใช่วัดที่เราไม่รู้ชื่อหรือเปล่า แต่เป้าหมายในตอนนั้นคือเดินไปตามทางเรื่อยๆ แค่นั้น เจออะไรน่าสนใจก็แวะ


    พอเดินออกมาทางด้านหน้า ทางฝั่งซ้ายมือก็จะเจอประตูทางเข้าโบราณสถานแห่งหนึ่ง มีป้ายบอกค่าเข้าคนไทย 10 บาท ต่างชาติ 50 บาท แต่ไม่มีคนเฝ้าป้อมแล้ว มีอีกคนตรงม้าหินแต่หลับ เราก็ไม่กล้าเดินเข้าไปตอนแรก แต่มีฝรั่งคู่นึงเดินมาแล้วเดินเข้าไป เราเลยเดินตาม แต่ก็คงเข้าได้แหละเพราะความจริงประตูทางเข้ามันปิด เราก็เลยได้แต่ถ่ายภาพด้านนอกอย่างเดียว



    มีป้ายด้านหน้าบอกว่าที่นี่ก็ "วัดพระศรีสรรเพชญ" นั่นแหละ ก็ได้แต่ถ่ายภาพแต่แค่ด้านนอกเหมือนเดิม


    ฝั่งด้านตรงข้ามของ "วัดพระศรีสรรเพชญ" ก็คือ "พระบรมราชานุสาวรีย์พระเจ้าอู่ทอง"


    ความจริงด้านข้างฝั่งซ้ายมือของ "พระบรมราชานุสาวรีย์พระเจ้าอู่ทอง" มีศาลาอีกหลังและเหมือนมีสิ่งที่น่าสนใจอยู่ด้านใน ตอนแรกเราจะเดินเข้าไปดูแต่เพราะหมาเห่าหลายตัวบริเวณนั้น และความจริงตอนเดินเข้าไปยังมีหมาตัวหนึ่งเห่าและหันมามองเรา คือถ้าดูจริงๆ พวกมันไม่ได้เห่าเรา แต่วิ่งไปเห่าไล่คนที่เดินผ่านอีกด้าน เราเลยตัดสินใจไม่เดินไปที่ศาลานั้นเพราะกลัวโดนหมากัด และคงไม่มีใครช่วย และไม่อยากเสียเงินไปฉีดยาแก้พิษสุนัขบ้า ไม่มีเงินตกงาน เคยรู้จากพี่คนหนึ่งที่โดนหนูในตลาดกัดและบอกไปฉีดยาหลายเข็มหมดเป็นพัน ดังนั้นไม่เสี่ยงเดินไปทางนั้นและเดินขึ้นไปบน "พระบรมราชานุสาวรีย์พระเจ้าอู่ทอง" เลยดีกว่า


    หมาเยอะทีเดียวรอบๆ บริเวณนี้ แต่ดีที่ไปกระจุกกันด้านนู้น ก็หวังว่าตอนเราออกจาก "พระบรมราชานุสาวรีย์พระเจ้าอู่ทอง" พวกหมาคงยังไม่เปลี่ยนทิศมาทางที่เราจะเดินออกอ่ะนะ


    เดินขึ้นไปไหว้ "พระเจ้าอู่ทอง" เพราะไม่รู้ว่าจะได้มาอยุธยาอีกเมื่อใดและจะผ่านมาตรงนี้อีกไหม


    ตอนเดินลงจาก "พระบรมราชานุสาวรีย์พระเจ้าอู่ทอง" ก็มองหมาว่าจะมาทางนี้ไหม แต่ไม่มีก็เลยรีบเดินออกจากบริเวณนี้เพื่อเดินออกทางเดิมและข้ามถนนไปอีกฝั่งที่เราเห็นยอดเจดีย์โบราณอยู่ลิบๆ เมื่อกี้


    ความจริงก็ไม่รู้ว่าวัดโบราณนี้คือวัดอะไร ก็หวังว่าเดินไปทางด้านหน้าอาจจะมีป้ายบอกว่าวัดนี้ชื่อว่าวัดอะไร


    เดินมาถึงบริเวณทางเข้าของเจดีย์โบราณก็เจอป้ายตุ๊กตุ๊กไหว้พระ 9 วัด ก็เลยยืนดูว่ามีวัดอะไรบ้างแต่ที่เราสนใจคือเศียรพระในต้นไม้ที่บอกอยู่ที่ "วัดมหาธาตุ" ที่เราเข้าไปไม่ได้ และเราอยากมาเห็นของจริงมากแม้ตอนแรกไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ก็หวังว่าสักวันคงได้กลับมาอีกพร้อมกางเกงขายาวจะได้เข้าไปเห็นของจริงและถ่ายภาพได้

    เดินเข้าไปถึงองค์เจดีย์โบราณ แต่ประตูก็ปิดอยู่เลยเข้าไม่ได้ก็เลยได้แต่ถ่ายภาพด้านนอกเหมือนเดิม


    ก็เดินต่อไปด้านหน้าเผื่อมีป้ายบอกว่าวัดอะไรแต่ไม่น่าจะเข้าไปได้เพราะไม่มีวี่แววคนเดินด้านใน ดังนั้นคงจะปิดนั่นแหละ ก็ถ่ายภาพแต่แค่ด้านนอกกำแพงเหมือนเดิม


    มองหายังไงก็ไม่เจอป้ายบอกชื่อวัดอยู่ดีทั้งที่หลายวัดแม้แต่มีแค่เจดีย์โบราณอันเดียวก็ยังมาป้ายชื่อบอกว่าวัดอะไร ก็ออกเดินต่อ ตอนแรกไม่รู้เดินไปทางไหน แต่เราต้องการกลับไปทาง "วัดมหาธาตุ" เพราะเราต้องการเดินไปที่วัดที่อยู่ใกล้ๆ "วัดมหาธาตุ" ที่เราหมายตาว่าต้องไปตั้งแต่แรก และเราอยากไปที่นั่นก่อนเราเดินทางกลับ ตอนนั้น 5 โมงครึ่งแล้ว เวลาผ่านไปเร็วมาก 

    เราเลยตัดสินใจเดินไปทางที่อยู่ฝั่งตรงข้ามวัดโบราณที่เรายืนอยู่ ก็เจอคนขับตุ๊กตุ๊ก เขาก็คงนึกว่าเราเป็นคนต่างชาติแบบจีน - ญี่ปุ่น เลยทักเป็นภาษาอังกฤษแบบเราจะไปมั้ย แต่เราโบกมือยิ้มว่าไม่ไป 


    ตอนนั้นก็ยังไม่แน่ใจว่าควรเดินไปทางไหนดี แต่เห็นมีป้าย "บึงพระราม" เราก็คงกลับมาที่เดิมแล้วแหละแต่แค่ไม่รู้เส้นทาง เราก็มองทางรอบๆ ดูว่าทางไหนเราควรเดินไปดีที่จะออกจากบริเวณนี้แล้วกลับไปจุดเริ่มต้นของเราได้

    เราเดินมาทางแยกก็เห็นว่ามันจะกลับไป "วิหารพระมหามงคลบพิตร" ซึ่งเป็นทางที่เราเพิ่งเดินมา ดังนั้นไม่ใช่ทางนี้


    ส่วนอีกด้าน เราเห็นอาคารสีขาวลิบๆ ไม่แน่ใจว่าใช่ "พระที่นั่งเย็น" หรือเปล่า แต่เป็นไปได้ว่าใช่ แปลว่าไม่น่าใช่ทางนั้น เพราะตอนเดินมาจาก "วัดมหาธาตุ" เราเดินเบี่ยงไปทางซ้ายมือของเรา แต่วัดที่เราต้องการไปต่อจาก "วัดมหาธาตุ" มันต้องไปทางด้านขวามือ 


    เราเลยตัดสินใจเดินตรงไปทางฝั่งตรงข้ามวัดโบราณที่เราไม่รู้ชื่อ เราก็เห็นตุ๊กตุ๊กเหมือนสตาร์ทเครื่อง เราเดินผ่านก็เหมือนเขามองเรานะว่าไปไหม แต่เราไม่ไปไง 

    เดินต่อมาอีกหน่อย เราก็ยังอยากรู้ว่าวัดโบราณนี้ใช่วัดที่เราคิดใช่ไหม คือ "วัดพระราม" เพราะอยู่ใกล้ "บึงพระราม"  ถ้าในแผ่นที่คือตรงกันข้ามแค่ถนนเส้นเล็กๆ กั้น เราเห็นพี่ผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งผ่านมาเราเลยเข้าไปถาม เขาก็ถามว่าเราจะไปวัดไหนคะ...เราก็ถามเขาว่ารู้ไหมคะว่าวัดนี้ชื่ออะไร...พี่เขาก็บอกให้ดูป้าย...แต่เราบอกไม่เห็นมี...พี่เขาก็บอกไม่ทราบเหมือนกัน...เราเลยขอบคุณเขาแล้วเดินจากไป...


    พอเดินมาอีกหน่อยเราก็เจอคนที่เดินออกกำลังกายอีกคน เลยเข้าไปถามเขาว่ารู้ไหมว่าวัดนี้ชื่อว่าอะไร...พี่เขาก็บอกว่าจำไม่ได้แต่วัดดัง...เราเลยกางแผนที่ให้เขาดู...เขาก็บอกจะช่วยดูให้ว่าชื่อวัดอะไร...แต่เหมือนเขายังอาจไม่แน่ใจหรือหาชื่อในแผนที่ไม่เจอ...เราเลยบอกชื่อวัดในใจเราว่าใช่ "วัดพระราม" หรือเปล่า...พี่เขาก็บอกว่าใช่...เราเลยขอบคุณเขาและเดินจากมา..ก็เคลียร์ว่าเราเข้าใจถูกต้องว่าวัดนี้คือ "วัดพระราม"

    เราเดินตรงต่อไปให้สุดทางก็มาถึงทางแยกแต่มีป้ายชื่อ "วัดธรรมิกราช" อยู่ด้านหน้า เราเลยเลี้ยวขวาเดินต่อไปตามทาง


    พอเดินไปถึงหน้าวัดปรากฏประตูปิด ด้านหน้าบอกปิดเวลา 5 โมงเย็น ตอนนั้น 17.40 น. แล้ว (เวลาจากภาพ) คือถ้าไม่เสียเวลาชาร์จแบตเป็นชั่วโมงอาจมาทันก็ได้ก็เลยถ่ายภาพแค่หน้าประตูก็พอว่าเคยเดินผ่านมาแล้ว


    ออกเดินทางต่อไปตามทาง เย็นๆ แบบนี้ คนมาออกกำลังกายเยอะเหมือนกัน ทั้งวิ่ง ทั้งปั่นจักรยาน หรือมาเตะบอลกัน เรามองไปฝั่งตรงข้ามมีป้าย "อยุธยามหาปราสาท" แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าปราสาทอยู่ตรงไหน ไม่ได้ข้ามไปดูอะไร


    ความจริงพื้นสีเขียวคือเลนจักรยาน ก็มีนักท่องเที่ยวมาปั่นจักรยานเยอะ แต่การเดินก็ได้ถ่ายภาพไปตามทางเรื่อยๆ และไม่ต้องกังวลเรื่องรถ เพราะถึงเป็นเลนจักรยาน รถก็วิ่งสวนผ่านไปมาได้ปกตินั่นแหละ


    ส่วนฝั่งตรงข้ามที่เราเดินผ่าน เราก็เห็นซากเจดีย์โบราณอยู่เหมือนกันแต่ไม่ได้ข้ามไปดู


    เดินไปเรื่อยๆ เราก็เห็นซากเจดีย์โบราณอีกแห่งทางฝั่งที่เราเดิน และมีคนมาปูผ้าเหมือนนั่งพักผ่อนกัน เราก็ถ่ายภาพไว้ ถ้าชีวิตไม่มีไรหรือคิดไรมาก ก็สงบดีเหมือนกันแหละ 

    วัดที่เราเดินผ่านตรงนี้คือ "วัดชุมแสง" 


    ความจริงเดินผ่านรอบๆ บริเวณนี้ก็มีป้ายชี้แหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ว่ามีอะไรแถวนี้บ้างแล้วต้องไปทางไหน


    เดินต่อมาเราก็เจอซากเจดีย์โบราณอีกแห่งแต่อยู่ฝั่งตรงข้าม ความจริงก่อนเจอ "วัดหลังคาดำ" เราเจอป้าย "วัดหลังคาขาว" ก่อน แต่ต้องเดินฝั่งขวาเข้าไปอีก ซึ่งตอนนั้นเราตัดสินใจเดินข้ามสะพานไปฝั่งซ้ายเพื่อไปตามทางหาเจดีย์โบราณที่สูงลิบๆ อยู่ด้านหลังเยื้องไปทางซ้าย เราเลยไม่อยากพลาดเลยเดินข้ามถนนไปถ่ายภาพเพราะไหนๆ ก็เดินผ่านมาเจอแล้ว


    ตรงจุดนี้ตอนเย็นๆ คนมาออกกำลังกายเยอะ ฝั่งตรงข้ามของ "วัดหลังคาขาว" ก็มีคนมาเล่นฟุตบอลกันเพราะสนามกว้างมาก


    ออกจาก "วัดหลังคาขาว" ก็ข้ามฝั่งกลับมาฝั่งเดิม ออกเดินต่อไปก็เจอป้ายบอกสถานที่ด้านหน้า ที่สนใจคือ "หมู่บ้านญี่ปุ่น" แต่ก็ไม่ทราบว่าอยู่ตรงไหนและวันนี้คงไปไม่ได้อยู่ดี


    ตอนเดินก็เห็นฝั่งตรงข้ามมีซากสิ่งก่อสร้างโบราณพื้นที่ขนาดใหญ่ ก็เลยถ่ายภาพจากฝั่งตรงข้าม เดาเอาว่าอาจเป็น "วัดมหาธาตุ" ก็ได้


    เดินต่อมาเรื่อยๆ ก็ถึง 3 แยกและเห็นเจดีย์โบราณสีขาวก็คิดว่าน่าจะถึงจุดหมายที่เราตั้งใจมาตั้งแต่แรกแล้วก็ได้ วัดที่อยู่ถัดไปจาก "วัดมหาธาตุ"


    เราก็เดินข้ามถนนเลี้ยวไปแถวหน้าวัดแต่เข้าไม่ได้แหละเพราะประตูปิด


    ตอนเดินเข้ามาทางถนนเส้นนี้ ฝั่งขวามือเราคือวัดโบราณที่ไม่มีป้ายบอก แต่เพราะอาจเป็นด้านหลัง แต่อีกฝั่งทางซ้ายมือ เรามองเห็นยอดเจดีย์อยู่ลิบๆ ตอนแรกไม่คิดจะข้ามถนนไปดู แต่ไหนๆ ก็มาแล้ว เสียเวลาข้ามไปหน่อยก็ได้ ความจริงก็คิดอยู่เพราะตอนมาเรานั่งเรือข้ามฟากมา แต่เราไม่รู้ไงว่าจะมาอยู่บริเวณนี้นานแค่ไหนเลยไม่ได้ดูเวลาเรือหมด ตอนนี้ฟ้าก็เริ่มมืดและเกือบ 6 โมงเย็นแล้ว แต่ก็แค่ข้ามถนนไปนิดเดียวเพื่อถ่ายภาพก็เลยตัดสินใจจะข้ามถนนไปยังเจดีย์โบราณที่เราเห็นอีกฝั่ง


    เจดีย์โบราณนี้คือ "โบราณสถาน วัดสุวรรณเจดีย์" และดูมีความสำคัญน่าสนใจเพราะป้ายบอกเราว่าเป็น "พระอารามที่สถิตของสมเด็จพระสังฆราชพระองค์สุดท้ายแห่งกรุงศรีอยุธยา"



    ออกจาก "โบราณสถาน วัดสุวรรณเจดีย์" เราก็เดินข้ามฝั่งกลับไปยังวัดโบราณเมื่อกี้เพราะต้องเดินออกผ่านถนนตรงนั้น


    ออกเดินเลี้ยวไปทางเลียบวัดโบราณแห่งนี้เรื่อยๆ เพื่อหาทางกลับไปยังท่าเรือข้ามฟาก ความจริงเราก็คิดแหละว่าวัดนี้คือ "วัดราชบูรณะ" และฝั่งตรงข้ามคือ "วัดมหาธาตุ" แม้ไม่แน่ใจเพราะยังไม่เห็นป้ายชื่อวัดก็ไม่อาจแน่ใจได้ 100% 


    เดินมาถึง 4 แยกก็ไม่เจอป้ายบอกว่าวัดฝั่งซ้ายมือเราคือวัดอะไร ตอนนั้น 6 โมงเย็นแล้วและต้องเดินกลับไปท่าเรือข้ามฟากอีก เราก็ไม่แน่ใจว่าเรือหมดกี่โมงก็หวังว่าไม่ใช่ 6 โมงเย็น คือก็ขออย่างน้อยรอบสุดท้าย 6 โมงครึ่งแล้วกันอ่ะนะเพราะครึ่งชั่วโมง เราน่าจะเดินกลับไปทัน เลยไม่ได้เดินไปข้างหน้าวัดโบราณเพื่อหาป้ายชื่อวัดและเราก็เหนื่อยแล้วด้วยเพราะเดินมาตลอดแทบไม่ได้พัก ก็เลยเดินข้ามฝั่งไปแถวหน้าวัดโบราณฝั่งตรงข้าม แต่ยังไงก็อยากรู้ให้แน่ชัดว่าใช่ "วัดราชบูรณะ" จริงๆ ใช่ไหม เลยมองหาคนที่พอจะถามเพื่อความแน่ใจ 100% ได้ แต่ไม่มี มีแต่รถวิ่งผ่านไปมา แล้วเราก็เห็นผู้ชายมีอายุ 2 คนเดินมาลิบๆ เหมือนเดินออกกำลังกาย เราเลยยืนหยุดรอ จนเขาเข้ามาใกล้ ตอนแรกเราจะถามว่าวัดฝั่งตรงข้ามชื่อวัดอะไร แต่กลัวยืดเยื้อและรบกวนเขา เลยตัดบทสั้นๆ โดยชี้ไปที่เจดีย์วัดสีขาวสูงๆ ว่าใช่"วัดราชบูรณะ" ไหม คนแก่ๆ ใส่แว่นมองหน้าเราแล้วเงียบ แต่ผู้ชายแก้มตอบๆ กลับตะคอกใส่เราเสียงดังและชี้ไปวัดฝั่งตรงข้ามว่านั่น "วัดราชบูรณะ" และชี้ไปวัดที่เรายืนกันอยู่ว่า "วัดมหาธาตุ" ผู้ชายใส่แว่นก็ยืนมองหน้าเราอยู่เฉยๆ เราก็ได้แต่ทำหน้าเฉยๆ ตาไม่พอใจเงียบๆ เหมือนกันแล้วเดินหันหลังจากมา คือคนเราร้อยพ่อพันแม่ เจอคนที่ดี อัธยาศัยดีก็ดี เจอแบบไม่ดีก็โชคร้ายไปแล้วกัน แต่เราถามดีดี และเพื่อตัดบทสนทนาให้สั้น เราเลยต้องชี้ไปที่ยอดเจดีย์ทั้งๆ ที่ถ้าเป็นวัด เราจะไม่ชี้ไรมั่วๆ เด็ดขาด ก็เลยได้แค่นึกถึงและขอโทษองค์เจดีย์อยู่ในใจที่เราชี้ไปแบบนั้น และที่เราถามว่าใช่  "วัดราชบูรณะ" มั้ยเพื่อให้เขาแค่ตอบ "ใช่" หรือ "ไม่ใช่" ก็จบแค่นั้น คือบางทีเราแอบคิดในทางไม่ดี แบบพวกเขาคิดว่าตัวเองหน้าตาดี เราเลยหยุดรอเพื่อถามเขาไหม? แบบแกล้งถามทั้งที่เราทราบอยู่แล้ว...แต่คิดแบบนั้นอาจแง่ลบเกินไป แต่เราก็ไม่พอใจจริงๆ เพราะเราไม่เคยมาที่นี่ และดูจากแผนที่ว่าวัดไหนใกล้วัดไหน เราก็ไม่ได้รู้แน่ชัด และ "วัดมหาธาตุ"  ที่เรามาตอนบ่าย เราก็ไม่ได้เดินมาสุดทาง เพราะว่าเราเดินผ่านมา ประตูปิดหมด เราเลยเดินย้อนกลับไปทางด้านข้างเพื่อหาประตูทางเข้าแทน ดังนั้นเราเลยไม่รู้แน่ชัดจริงๆ และเราไม่อยากเดินไปหาป้ายชื่อหน้าวัดโบราณซึ่งมันคงอยู่ด้านหน้า เพราะเราเหนื่อยและอยากรีบไปท่าเรือข้ามฟากเพราะไม่รู้หมดกี่โมงจริงๆ ก็คิดว่าเราเจอคนไม่ดี โชคไม่ดีที่เจอคนแบบนี้แล้วกัน 


    เดินมาสุดทาง "วัดมหาธาตุ" ก็เจอแยกให้ข้ามไปเพื่อเดินต่อสู่ท่าเรือข้ามฟาก ก็จะเจอตลาดนัดกลางคืนที่เราเห็นบางร้านมาจับจองพื้นที่ตั้งแต่บ่าย คนเยอะ รถเยอะมาก 


    เมื่อมาถึงเส้นทางนี้ เราก็แค่เดินไปให้สุดทางแบบทางตรงเลยแล้วกลับ 3 แยกที่เดิมที่เป็นตลาดแล้วเลี้ยวซ้ายไปท่าเรือเท่านั้น ก็เดินๆ ต่อไปตามทางเรื่อยๆ แต่ก็ต้องคอยหลบรถเพราะรถเยอะมากที่มาตลาดกลางคืนกัน

    พอพ้นช่วงตลาด ถนนก็โล่งแล้ว เดินต่อไปได้สบายๆ ไม่ต้องคอยหลบรถมาก 


    ตอนนั้น 18.15 น. (เวลาจากภาพถ่าย) ก็คิดๆ ว่าจะทันเรือเที่ยวสุดท้ายไหม แต่อีกไม่ไกลแล้วก็หวังว่าขอให้เรือเที่ยวสุดท้ายหมด 18.30 น. แล้วกันเพราะอีก 15 นาทีน่าจะเดินไปถึงทัน

    ระหว่างทางเจอลูกหมา 3 ตัวเลยถ่ายภาพมา แต่กล้องมือถือก็ห่วยหรือเราถ่ายภาพไม่ดีเอง ก็เบลอไป


    18.22 น. ก็เดินมาถึง 3 แยกก่อนเลี้ยวซ้ายเดินไปท่าเรือ มีร้านขายกรอบรูปอยู่ตรงหัวมุมถนน


    เลี้ยวซ้ายเดินต่อไป ผ่านร้านหนึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ตกแต่งร้านสวยดี แต่น่าจะแพงและไม่มีปัญญาไปทาน
    ได้แต่ถ่ายภาพไว้ด้านหน้าร้านเพราะสวยดี


    18.25 น. ก็เดินมาถึงปากซอยไปท่าเรือข้ามฟาก ก็หวังให้เรือรอบสุดท้ายหมด 18.30 น. ทีเถอะ ไม่งั้นก็ต้องหาทางอื่นเดินไป เพราะไม่อยากเสียเงินค่ารถแน่นอน และรถไฟไปกรุงเทพฯ มีหลายรอบและมีถึงดึกๆ เลย ดังนั้นยังมีเวลาอีก


    เดินไปถึงท่าเรือก็ลุ้นว่ามีเรือมั้ย ปรากฏมีเรือจอดอยู่ก็รีบลงบันไดไปว่าถ้าเรือรอบสุดท้ายขอให้รอก่อน แต่ก็มาเจอป้ายบอกเรือรอบสุดท้ายคือ 20.00 น. ก็โล่งไปแปลว่ามีเวลา แต่ก็จะลงเรือรอบนี้นั่นแหละ


    บนเรือก็มีคนนั่งอยู่หลายคนรอเวลาเรือออก ส่วนเรือข้างๆ ก็มีคนนั่งก๊งสังสรรค์กันอยู่


    เรือออกประมาณ 18.26 น. ก็ขอบคุณเจ้า "แผนที่" ที่อยู่กับเรามาตลอดการเดินทาง และใช้เป็นที่บังแดดเวลาเดินเพราะแดดร้อนมาก และไว้พัดเวลาร้อนๆ เหงื่อแตกตอนเดินไปมานะคะ



    เรือเทียบท่าก็ขึ้นไปจ่ายเงิน 5 บาทค่าโดยสาร แล้วเราก็แวะไปไหว้ "ศาลปึงเถ่ากงม่า" เพื่อขอบคุณที่การเดินทางของเราวันนี้ราบรื่นและกลับมาทัน แต่ก็ยังแอบโมโหผู้ชายแก่ 2 คนที่เราถามเรื่อง "วัดราชบูรณะ" อยู่เลยแอบแช่งขอให้ตาย แม้ไม่ดีเลยก็ตามแต่ตอนนั้นโมโหจริงๆ เพราะเราถามดีดี และเราไม่ควรแช่งใครต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เราขอพรเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริงเราคงไม่ดีในสายตาท่านมากๆ อ่ะที่ไปแช่งคนอื่นแบบนั้น


    เดินออกไปจากซอย ตอนนั้น 18.32 น. เราอยากตัดผมหน้าม้าเรามากเพราะยาวเกินไปแหละ แต่ที่กรุงเทพฯ 50 บาทกะอีแค่ผมข้างหน้า ที่นี่อาจถูกกว่าก็ได้ อยากได้แบบ 20 บาท แต่ไม่ได้แวะถามแม้เห็นมีร้านเปิดอยู่ ตั้งใจไปซื้อตั๋วรถไฟกลับกรุงเทพฯ ก่อน ถ้ามีเวลาค่อยมาตัดผมก็ได้


    เดินเข้าไปในสถานีตอนนั้น 18.35 น.แล้ว เราดูเวลารถไฟออก แบบบังเอิญมากที่ขบวนที่จะออกเร็วสุดเป็นขบวนธรรมดาเวลา 18.48 น. เราก็ไม่ได้เช็คเวลาเพราะไม่รู้จะได้กลับมากี่โมงเหมือนกัน


    ราคาตั๋วคือ 15 บาท สรุปไป - กลับ รวม 30 บาท แต่ต่างกันที่รถไฟมาจากที่อื่นไม่เหมือนกรุงเทพฯ ที่ได้นั่งแน่นอน ก็หวังว่าจะได้นั่งเพราะเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง แต่เพราะอีก 10 นาทีรถไฟจะมา แบตมือถือเราเหลือ 9% ที่เราตั้งใจจะชาร์จแบตคือไม่ทันแน่นอน แต่ห้องน้ำไม่แน่ และเราต้องการเข้ามากๆ ก่อนออกเดินทาง เลยรีบเดินไปที่ห้องน้ำ แต่ปรากฏไม่ว่างสักห้อง ห้องที่ว่างคือเสีย ร้อนใจมากเพราะกลัวไปขึ้นรถไฟไม่ทัน ก็เดินออกมาดูว่าห้องน้ำคนพิการได้มั้ย คือขอเข้าหน่อยเถอะ รอนานไม่ได้จริงๆ กลัวพลาดขบวนรถไฟ แต่ตอนเดินออกมาได้ยินเสียงกลอนประตูห้องน้ำเหมือนกำลังจะถูกเปิด และเราหันไปทางที่จะเดินเข้าห้องน้ำเห็นผู้หญิงลากกระเป๋ามา เราเลยรีบกลับไปห้องน้ำที่ได้ยินเสียงกลอนเหมือนถูกเปิดเมื่อกี้ ผู้หญิงคนหนึ่งก็เปิดออกมา เราเลยรีบเข้าและคิดว่าน่าจะทันเวลาอยู่

    ออกมาแถวหน้าสถานีก็ไม่แน่ใจชานชาลาที่เท่าไหร่เพราะในตั๋วไม่มีบอก แต่เห็นคนรอที่ชานชาลาตรงนู้นเยอะเลยคิดว่าอาจจะใช่ แบบชานชาลาใกล้สถานีน่าจะขาออกจากกรุงเทพฯ เลยเดินข้ามไปตรงที่เขารอกันเยอะๆ 


    ข้ามไปถึงชานชาลา 3 ก็มองหาคนที่จะถามได้ก็เจอคุณป้านั่งอยู่เลยถามว่าไปกรุงเทพฯ รอตรงนี้ใช่ไหม เขาก็บอกใช่ เลยนั่งรอแถวนั้น คนก็รออยู่เยอะเหมือนกัน ตอนนั้น 18.42 น. แล้ว

    รอแป๊ปเดียวก็มีนายสถานีเดินมาเหมือนรถไฟกำลังจะเข้าสถานี และมีคนข้ามไปฝั่งตรงข้าม เราก็ไม่แน่ใจว่าขึ้นด้านนี้หรือต้องไปขึ้นด้านนั้น แต่เราต้องได้ขึ้นไม่งั้นเสียเงินฟรีและเสียเงินเพิ่มอีกถ้าซื้อตั๋วใหม่ แถมต้องรออีกชั่วโมง เลยข้ามไปอีกฝั่งบ้าง


    นายสถานีก็มาบอกให้คนที่ยืนรอทั้ง 2 ฝั่งยืนหลังเส้นเหลือง เราก็มองดูรถไฟว่ามาหรือยังก็เห็นแสงไฟแล่นมาลิบๆ 



    ตอนรถไฟแล่นเข้ามาก็ดูว่าขบวนรถเต็มไหม? มีคนลงเยอะไหม เพราะอยากนั่ง ก็ขึ้นกับดวงด้วยว่าประตูรถไฟจะมาจอดอยู่ตรงไหน ก็มีขยับไปมาเพราะอยากรีบขึ้นเป็นคนแรกๆ


    ดวงจริงๆ ขยับไปมาและมองรถไฟจะจอดตรงไหน ปรากฏประตูรถไฟมาอยู่ตรงหน้าเราพอดี แต่มีผู้หญิงจีนคนนึงมาแทรกหน้าเรา เราชินกับแบบประตูรถไฟเปิดปิดเองแบบที่ญี่ปุ่นหรือตาม BTS, MRT เลยคิดว่ามันจะเปิดเองก็งงว่าทำไมไม่เปิดซักที นายสถานีที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ก็บอกให้กดปุ่ม เราก็งงปุ่มไหน แต่เราก็ไม่ใช่คนกด ผู้หญิงจีนข้างหน้าเราเป็นคนเอื้อมไปกดหรือใครสักคนนี่แหละกด ประตูรถไฟเลยเปิด 


    มีที่นั่งว่างอยู่ ฝั่งซ้ายมือคือว่าง 4 ที่เลย ผู้หญิงจีนก็รีบไปจองตะโกนเรียกเพื่อน เราเลยไปฝั่งขวาที่ว่าง 3 ที่ มีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่และมีของวางบนพื้นขัดขวางการวางขาคนนั่งตรงข้าม แต่เราอยากนั่งข้างหน้าต่าง พอเพื่อนผู้หญิงจีนไปที่อื่น ผู้หญิงจีนเลยตามไป เราเลยรีบย้ายตัวเองไปฝั่งตรงข้ามพร้อมๆ กับผัวเมียฝรั่งคู่นึง ความจริงเราอยากนั่งอีกด้าน แต่ได้แค่ด้านนี้ก็นั่งไป ติดหน้าต่างพอ คนก็ขึ้นมาเต็มรถไฟ 



    รถไฟก็ออกเดินทางแล่นไปเรื่อยๆ ตอนแรกๆ เราก็มองไปตามสถานีต่างๆ ที่รถหยุด จนมาถึง "คลองพุทรา" ซึ่งก็ไม่ได้มีไร แต่ก็มีสิ่งน่าสนใจเล็กๆ คือมีผู้หญิงวิ่งขึ้นบันไดมาเหมือนจะมาขึ้นรถไฟ แต่รถไฟกำลังจะออก ผู้หญิงคนนั้นเลยหยุดแล้วจะเข้าไปซื้อตั๋วรถไฟใหม่ (มั้ง) แต่นายสถานีเหมือนให้รถไฟหยุดแล้วนำผู้หญิงคนนึงมาขึ้นรถไฟขบวนนี้จนทัน


    รถไฟก็แล่นไปเรื่อยๆ เราก็มองวิวข้างทางไป และคิดเรื่องราวต่างๆ ที่อยู่ในใจทั้งเรื่องงานและเรื่องอื่นๆ ที่คิดถึงและคิดไม่ตก หาทางออกไม่ได้ ฝรั่งผัวเมียฝั่งตรงข้ามก็หันมาจูบกันบ่อยมา เราเลยมองวิวด้านนอกไปเรื่อยๆ และก็คิดว่าทำไมมีแต่สายไหมมาขายแต่ไม่มีน้ำมาขายบ้าง ตั้งแต่ซื้อ COKE แถว "คุ้มขุนแผน" ก็ไม่ได้กินน้ำอีกเลย เพราะรีบกับการเดินไปเรื่อยๆ เพื่อเก็บสถานที่เที่ยวต่างๆ ให้เยอะที่สุด


    อีกอย่างผู้หญิงฝรั่งที่นั่งตรงข้ามเราไม่รู้ว่ารู้ตัวไหมเหยียบเท้าเราบ่อยมาก ไม่ว่าเธอจะหลับหรือตื่น จนเรานั่งแยกขาออกหน่อย เธอก็ยืดขาเลย แต่ทำไรไม่ได้ ช่างหล่อน


    ระหว่างทางก็มีนายตรวจมาตรวจตั๋ว เราก็เตรียมตั๋วให้ตรวจแต่ก็เดินผ่านไปไม่ตรวจใครสักคนที่นั่งอยู่ด้านเรา 4 คน เราเลยเก็บตั๋ว แต่พอนายตรวจเดินกลับมา ฝรั่งตรงข้ามเราก็ยื่นตั๋วให้ตรวจ แต่เราเฉยๆ นายตรวจก็ไม่ได้สนใจเรา

    สุดท้ายรถไฟก็แล่นสู่เขตกรุงเทพฯ (มั้ง) ตอนที่เราได้ COKE ก็ราคา 20 บาทจากบนขวด 15 บาท แต่ก็ถือว่าคนขายต้องได้กำไรนั่นแหละ 

    ระหว่างทางเราก็เห็นรถไฟขบวนนึงที่แล่นสวนขบวนเราไป ก็คงแบบขบวนแพงแหละ เห็นมีฝรั่งนั่งโต๊ะทานอาหารและมีเหมือนส่วนทำเครื่องดื่ม - อาหารด้วยมั้ง เก้าอี้ก็อย่างดี แต่แบบขบวนพิเศษแพงๆ แน่ๆ


    สุดท้ายเราก็มาถึงสถานีหัวลำโพงตอน 20.40 น. แต่แบตมือถือหมดไปนานแล้วและที่นี่ไม่มีที่ให้ชาร์จแบต ลองถามนายสถานีนั่งโต๊ะแถวทางออกชานชาลา เขาก็บอกมีให้ชาร์จแบบเสียเงินด้านนอกแต่เดินไปก็ปิดแล้วเหมือนกัน 

    กรุงเทพฯ ก็รถติดเหมือนเดิม และตอนแรกไปรอ 113 แต่ดึกป่านนี้ไม่มี เดินไปรอแถวหน้า MRT ก็รอนานมาก เจอพี่ผู้หญิงคนหนึ่งถามว่ารอรถเมล์สายไร....เขารอ 25...แบบจะขึ้นทางด่วน..แต่สุดท้ายก็ได้รถธรรมดาไม่ได้ขึ้นทางด่วนไป...ตอนขึ้นเห็นเขาลังเล..เราก็คิดในใจ..ขึ้นไปเถอะ...รอรถทางด่วนไม่รู้จะมีมาไหมหรือจะมาเมื่อไหร่....ที่ยืนรอคือรอกันเป็นชาติ แต่เราไม่ไป MRT เพื่อไปสู่แถวรถเมล์น่าจะเยอะกว่านี้เพราะไม่มีเงิน เจอ 73 ก็ขึ้น แต่มหาโหดเพราะไปผ่านสยามและประตูน้ำ และไม่เข้าใจทำไมบีบทางที่ไปสยาม - ชิดลมเหลือเลนเดียว แต่อีกทางที่ไปด้านมาบุญครอง ได้เลนไป 3 เลน กว่าจะถึงบ้านคือเที่ยงคืน และตั้งแต่ตื่นนอนจนเที่ยงคืนไม่ได้กินข้าวเลยแม้แต่มื้อเดียว นอกจากน้ำเปล่า 1 ขวด และ COKE ไป 2 ขวดแต่ก็อยู่ได้ไม่ได้เป็นไร..จบทริปอยุธยาสั้นๆ ในเวลาครึ่งวัน..ก็ได้ไปหลายที่อยู่...เดินคนเดียว...ท่องเที่ยวคนเดียว...หมดไปอีก 1 วันกับชีวิตน่าเบื่อ ไม่เหลืออะไรสักอย่างในชีวิต
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in