เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
บ๊อก บ๊อกtofuu_bear
บ๊อก บ๊อก บ๊อก
  •          จากความเดิมตอนที่แล้ว เราได้รับมอบหมายให้ทำความรู้จักวีทูปเบอร์ เรากับเพื่อนก็ได้คุยงานกับพี่เลี้ยงอีกครั้งค่ะ คราวนี้พี่เลี้ยงได้สอบถามวิธีการศึกษางาน โดยมีตัวเลือกมาให้ ซึ่งเรากับเพื่อนเลือกการทำงานผสมกับการจดเลคเชอร์ค่ะ


              พอตกลงกันเป็นที่เรียบร้อย พวกเราก็ได้รับมอบหมายให้ทำบท Voice Drama เป็นการพูดสนทนา ซึ่งคล้ายกับการเขียนบทละครที่เราเคยเรียนในเอกค่ะ โดยบทนี้จะนำไปให้วีทูปเบอร์ใช้ต่อไป 


    การทำงานจะเริ่มจากการวางโครงเรื่องบทก่อนค่ะ เรากับเพื่อนได้แยกย้ายเขียนบทของตัวเองและค่อยมาเลือกเรื่องที่คิดว่าเหมาะสม


       สำหรับการเขียนบทครั้งนี้นับว่าเป็นเรื่องที่เราคิดมากอีกเรื่องค่ะ เพราะไม่ได้เขียนภายใต้ชื่อเราเท่านั้น แต่บทนี้จะถูกนำไปใช้ต่อและมีชื่อของคนอื่น ๆ เกี่ยวข้องรวมถึงวีทูปเบอร์ ปกติแล้วเราเขียนเพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเองเป็นหลัก พอมาเขียนเพื่อวีทูปเบอร์กับแฟนคลับของวี (ถึงแม้พี่เลี้ยงจะให้เราเขียนตามที่เราชอบก็ตาม) ทำให้เราต้องทำการบ้านหนักกว่าเก่าค่ะ


            นอกจากต้องสืบค้นข้อมูลเพื่อซัพพอร์ทเรื่องราว เราได้ลองฟัง Voice Drama ที่ทางค่ายเคยทำ จดบันทึกประเภทเสียงของวี ที่วีทำได้ จุดเด่นใน Voice Drama ที่เราชอบและแฟนคลับชอบ ลองดูความเคลื่อนไหวในทวิตเตอร์ว่าแฟนคลับพูดถึงวีทูปเบอร์เรื่องไหนบ้าง วีทูปเบอร์ชอบทวิตและโต้ตอบกับแฟนคลับเรื่องอะไร ทั้งที่เกี่ยว Voice Drama หรือเรื่องอื่น ๆ


              สิ่งเหล่านี้เราคิดว่าจำเป็นมาก ๆ กับการทำ Voice Drama ค่ะ เพราะค่ายและวีทูปเบอร์ที่เป็นผู้พูดต้องชอบบทของตัวเอง ผู้ฟังอย่างแฟนคลับต้องเข้าใจเนื้อเรื่องและสนุกไปกับบทสนทนา ดังนั้นเราจะคำนึงถึงความชอบของตัวเองฝ่ายเดียวไม่ได้ (แต่เรายังคงกลิ่นอายงานเขียนที่เราชอบเขียนไว้อยู่ค่ะ)




    วิดีโอ Voice Drama จากทางค่าย

              หลังจากที่เขียนเรื่องของตัวเองเสร็จ เรากับเพื่อนแบ่งปันเรื่องราวที่ไปคิดกันมา และตัดสินใจใช้เรื่องของเราเป็นหลักค่ะ แต่เรื่องของเราก็ยังคงมีช่องโหว่งบางแห่ง เพื่อนก็ช่วยเราอุดช่องโหว่นั้น ซึ่งเรารู้สึกสนุกไปกับมันมากขึ้นเมื่อได้ทำงานร่วมกับเพื่อนค่ะ ความกลัวในการนำเสนอผลงานน้อยลง


            และโครงเรื่องของพวกเราก็ผ่านค่ะ สามารถนำไปเขียนบทละครได้ ซึ่งเราไม่ค่อยมั่นใจในการเขียนบทพูดแต่โชคดีที่เรามีเพื่อน (เพื่อนเรียนเขียนบทละครเหมือนกันค่ะ) งานที่คิดว่าหนักมากก็เบาลงเพราะมีเพื่อนสารพัดประโยชน์ช่วยค่ะ


                บทละคร (บทพูด) ของพวกเราที่ส่งให้ทางพี่เลี้ยงถือว่าดีระดับหนึ่งค่ะ มีต้องกลับไปแก้ไขบ้าง


    ***


              ในช่วงที่เราต้องทำ Voice Drama ก็จะมีการฟังเลคเชอร์ค่ะ ซึ่งเราได้ฟังและจดไว้ส่วนหนึ่ง


    เราจะมาแบ่งปันข้อมูลในส่วนที่เผยแพร่ได้และองค์ความรู้ที่เรานำมาคิดวิเคราะห์ ที่เห็นว่าเป็นประเด็นที่น่าสนใจมาเสนอในตอนต่อไปค่ะ สำหรับตอนนี้สิ่งที่เราสนใจคือคำว่า โอตาคุ หรือที่รู้จักกันว่าเป็นผู้ที่ชื่นชอบในบางสิ่งมาก ๆ ไม่ใช่แค่บุคคลที่ชอบในวัฒนธรรมญี่ปุ่นเท่านั้น (แต่เพราะเป็นคำศัพท์ญี่ปุ่น ทำให้มักใช้กับผู้ที่ชื่นชอบในวัฒนธรรมญี่ปุ่น เช่น อนิเมะ ไอดอล) 


    ความชอบนี้ (วีทูปเบอร์) คนที่ชอบก็มองว่าปกติ แต่คนที่ไม่รู้จักอาจไม่เข้าใจ ตอนที่เราฟังเลคเชอร์มาถึงตรงนี้ให้นึกถึงสมัยที่อยู่มัธยมต้นค่ะ เราไม่กล้าบอกเพื่อนหรือคุณพ่อคุณแม่ว่าชอบ เพราะอาจถูกมองไม่ดี ทำให้ต้องเก็บเป็นความลับอยู่นานถึงกล้าเปิดเผย โชคดีที่เพื่อนรอบตัวเรามีบางคนที่ชอบหรือหากไม่สนใจก็ไม่ได้เหยียดความชอบค่ะ


    แต่ว่าก็มีบางอย่างที่ไม่เป็นที่ยอมรับค่ะ เช่น เพื่อนผู้ชายคนหนึ่งที่ชอบคอสเพลย์ (การแต่งตัวเลียนแบบตัวละครที่ชอบ) เป็นตัวละครผู้หญิงค่ะ เพื่อนร่วมห้องมองว่าเขาแปลก ซึ่งเราไม่เข้าใจว่าแปลกตรงไหน แต่ด้วยความเป็นเด็กค่ะ หากเพื่อนส่วนมากคิดแบบนั้น เราในตอนนั้นเลยต้องมองว่าแปลกไปด้วย



    สำหรับปัจจุบันแล้วเรื่องพวกนี้ไม่แปลกเท่าสมัยก่อน เพราะสังคมที่เริ่มไตร่ตรองความคิดของตัวเองมากขึ้น รวมถึงกระแส LGBTQ+ การก้าวข้ามผ่านอัตลักษณ์ทางเพศ ทำให้สังคมยอมรับความแตกต่างของกันและกันมากขึ้น การที่ผู้ชายอยากใส่กระโปรงหรือผู้หญิงตัดผมสั้น หรืออย่างเราที่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย (Queer) เป็นเรื่องปกติไปแล้ว


    นอกจากนี้การชื่นชอบอนิเมะหรือประกาศว่าตนเองเป็นโอตาคุก็ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว ปัจจุบันคนดูอนิเมะมากขึ้น ซึ่งเราคิดว่ามากจากการที่ Netflix นำอนิเมะมาลงและเป็นแอพพลิเคชั่นที่คนทั่วไปใช้รับชมภาพยนตร์ ซีรีส์ ถือเป็นการเปิดโอกาสให้คนที่ไม่รู้จักวัฒนธรรมญี่ปุ่นได้ทำความเข้าใจผู้ที่ชื่นชอบสิ่งเหล่านี้มากขึ้น


    เราจึงคิดว่าหากทำให้คนที่ไม่รู้จักวีทูปเบอร์ สามารถเข้าใจความชอบของคนอื่นได้แม้ตัวเองจะไม่สนใจ อาจทำให้ผู้ที่ชื่นชอบไม่เจ็บปวดจากการถูกเหยียดอีก ถือเป็นเรื่องที่ดีเลยค่ะ เพราะไม่ใช่แค่ครอบครัวเท่านั้นที่มีผลต่อความรู้สึกของเด็ก สังคมรอบตัวเองก็มีผลเช่นกัน 


    บางทีการยอบรับความชอบวีทูปเบอร์อาจส่งผลต่อการยอมรับความชอบอื่น ๆ ด้วยก็ได้ (แต่ความชอบนั้นต้องไม่เดือดร้อนคนอื่นหรือผิดศีลธรรมนะคะ)










    。:゚૮ ˶ˆ ﻌ ˆ˶ ა ゚:。


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in