เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
สาระนะเออชีสตัวน้อยตัวนิด
เคล็บลับหุ่นบางของเหล่าแม่นาง ฉบับจีนโบราณ
  •        สมัยนี้ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนก็ล้วนอยากมีรูปร่างสัดส่วนที่ดีกันทั้งนั้น โดยเฉพาะหุ่นลีนๆ เอวบางๆ เรียวขายาวสวยๆ นี่คือรูปร่างในฝันเลยล่ะค่ะ><  สาวๆในแดนมังกรอย่างประเทศจีนนี่ก็กำลังนิยมและให้ความสำคัญกับรูปร่างมาก ถ้าเราเปิดคลิปจากในแอพTiktok ละคร ซีรีย์ ภาพยนต์ต่างๆ เราก็จะสังเกตเห็นว่า เซเลป ดาราหญิงชื่อดังระดับชั้นแนวหน้าของประเทศจีนนี่นอกจากจะมีใบหน้าที่สวยพิฆาตอย่างหาตัวจับได้ยากแล้ว ทรวดทรงองค์เอวของพวกเธอก็เพรียวระหงกันสุดๆไปเลย ไม่ว่าจะส่วนสูงเท่าไหร่ก็มีน้ำหนักนำหน้าแค่เลขสี่เท่านั้น!!

    จ้าวลู่ซือ ส่วนสู่ง: 161 เซนติเมตร น้ำหนัก: 39 .5 - 41 .5 กิโลกรัม
    จวีจิ้งอี้ ส่วนสูง: 159 เซนติเมตร น้้ำหนัก: 38-40 กิโลกรัม

          ซึ่งกว่าจะได้รูปร่างในอุดมคติแบบนี้ คงไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถทำตามกันได้ง่ายแน่ๆ จะต้องอาศัยความอดทน มีวินัยในการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและจำเป็นต้องควบคุมอาหารกันน่าดูเลยล่ะ แต่สาวๆจีนในสมัยโบราณก็ให้ความสำคัญกับรูปร่างไม่ต่างกับยุคปัจจุบันเหมือนกันนะ ไม่ว่าจะราชวงศ์ไหนๆก็นิยมสาวรูปร่างบอบบางน่าทะนุถนอมกันทั้งนั้น (ยกเว้นในช่วงราชวงศ์ถัง ที่จะนิยมสาวอวบหน่อยๆมีน้ำมีนวล และ ในราชวงศ์ที่ปกครองโดยชาวมองโกลจะชอบสาวบึกบึนแข็งแรงดูแล้วสุขภาพดีค่ะ)

    สาวรูปร่างอวบอัดป็อบปูล่าร์สุดๆในสมัยราชวงศ์ถังที่ร่ำรวยและรุ่งเรื่อง แสดงให้เห็นถึงความมีอันจะกิน

          ดังนั้นแม่นางน้อยทั้งหลายจึงมีวิธีควบคุมหุ่นของพวกเธอให้ดูผอมเพรียวไร้ซึ่งไขมันส่วนเกินอยู่ตลอดเวลาค่ะ จะมีวิธีอะไรบ้างนั้นเราไปดูกันเลย

    1. กินข้าวเพียงวันละมื้อ!!

           เพื่อให้ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ เหล่าพระสนมนางกำนัลมากมายจึงพยายามควบคุมรูปร่างโดยกินข้าวให้น้อยที่สุดหรือกินเพียงวันละหนึ่งมื้อเท่านั้น จนมีคำพูดที่ว่า ''กษัตริย์ฉู่ชอบคนเอวบาง ในวังหลวงล้วนมากด้วยคนท้องหิว''  ซึ่งไม่ใช่แค่พวกผู้หญิงหรอกที่เป็น แต่ขุนนางข้าราชการในท้องพระโรงก็เป็นไปกับเขาด้วย! เพราะต่างก็อยากจะได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้ เพื่อที่จะได้มีโอกาสเลื่อนขั้นในหน้าที่การงานเร็วๆ จึงต่างพากันกินน้อยๆเพื่อเอาใจฮ่องเต้กันสุดฤทธิ์ บางคนอดจนตายก็มี บ้างก็มีอาการขาดสารอาหารขั้นรุนแรงซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่อันตรายมากๆ เรียกได้ว่าสมัยนั้นพวกหมอหลวงคงวิ่งเข้าวิ่งออกตำหนักนั้นวังหลังนี้กันให้วุ่นน่าดูเลยค่ะ (วิธีนี้ไม่แนะนำอย่างแรงเลย นอกจากจะอดจนขาดสารอาหารแล้วผิวพรรณก็ซูบซีดหมองมัวดูไม่น่ามองเลยค่ะ เผลอๆร่างกายจะเครียดจนไม่ยอมลดให้ด้วย- -)

    2. เมนูลดน้ำหนัก

           เมื่อเห็นว่าการอดข้าวอย่างเดียวคงไม่รุ่งแน่ จึงพยายามใช้อาหารที่มีสรรพคุณเป็นยาสมุนไพรเข้ามาช่วยในการลดน้ำหนัก มีฤทธิ์ในการบำรุงอวัยวะภายใน ขับปัสสาวะและลดอาการตัวบวม เช่น รับประทานกระบองเพชร ฟักเขียว ผลซานจา โจ๊กใบบัว โจ๊กแตงโม โจ๊กลูกเดือย ซุปปลาคาร์พ เป็นต้น

    ซุปปลาคาร์พ

    3. ลดน้ำหนักฉบับชาวพุทธ

           ฮ่องเต้หวู่ แห่งราชวงศ์เหนือและใต้ ทรงเป็นแบบอย่างในการลดน้ำหนักที่ค่อนข้างมีประสิทธิภาพในยุคสมัยหนึ่ง ด้วยความที่พระองค์เลื่อมใสในศาสนาพุทธมากจึงมักจะรับประทานอาหารเจในปริมาณที่พอดีต่อความต้องการของร่างกาย นอกจากนั้นยังโปรดการเสวยผักมากๆ บ้างก็นั่งสมาธิกำหนดลมหายใจ พอราตรีมาเยือนก็บรรทมแต่หัวค่ำ ซึ่งแน่นอนค่ะว่าอาหารดี พักผ่อนดีแบบนี้ทำให้ฮ่องเต้หวู่มีรูปร่างหน้าตาที่อ่อนเยาว์ดูดีและอายุยืนค่ะ

    4. จิบชาร้อนๆ

           อีกชาที่ถูกคิดค้นเพื่อการลดน้ำหนักหนึ่งในนั้นก็คือ 'ชาดอกท้อ' ที่ ชุนเหยาซือ ราชาแห่งการแพทย์แผนจีนเป็นผู้คิดสูตรขึ้น โดยนำเอาดอกท้อสามดอกมาต้มเป็นชาแล้วดื่มในขณะที่ท้องว่าง

    5. สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วเอาผ้ามารัดเอวให้แน่นๆ

           การเอาแถบผ้ามารัดเอวให้แน่นๆแบบนี้ ก็คล้ายๆกับการรัดเอวด้วยคอร์เซ็ตของยุโรปนั่นแหละค่ะ มันจะให้ผลอ้อมๆคืออาจทำให้สาวๆกินได้น้อยลง มองเผินๆก็ดูทำให้เอวบางลงด้วย แต่นานๆไปอาจทำให้ปวดหลังและหายใจไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่นัก


    6. แช่ตัวในน้ำอุ่น

           พระสนมหยางกุ้ยเฟย หนึ่งในสี่ยอดพธูของประวัติศาสตร์จีนนั้น เวลานางอาบน้ำก็มักจะลงไปแช่ตัวในถังไม้ที่ข้างในเต็มไปด้วยน้ำอุ่นผสมกับสมุนไพรนานาชนิดทั้ง กลีบกุหลาบ ใบบัว ตะกรันภูเขา ดอกเบญมาศ เมล็ดขี้เหล็ก โดยน้ำอุ่นและสมุนไพรเหล่านี้มีสรรพคุณในการช่วยลดไขมัน บำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งงดงาม นอกจากนั้นยังทำให้หยางกุ้ยเฟยมีกลิ่นกายที่หอมอบอวลสมฉายา 'มวลผกาละอายนาง' อีกด้วย

    7. ออกกำลังกายสิจ๊ะ รออะไร!

           วิธีที่ผู้หญิงออกกำลังกายนั้นแตกต่างกันไปตามแต่ละยุค เช่นสมัยราชวงศ์ฉินผู้หญิงสามารถฝึกดาบ ขี่ม้า ยิงธนูได้ ส่วนในราชวงศ์ถังเป็นยุคเปิดเช่นกันจึงนิยมเล่นโปโล เตะลูกหนัง ร่ายรำ เป็นต้น

    ส่วนในราชวงศ์หมิงและชิง ผู้หญิงจะนิยมมัดเท้าดอกบัวกัน จึงเหลือกีฬาให้เล่นออกกำลังกายอยู่ไม่กี่อย่างเช่น การไกวชิงช้าไปมา







     

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in