SPOILER ALERT
***ต่อไปนี้ เป็นเนื้อหาที่เปิดเผยส่วนสำคัญของเนื้อเรื่อง***
โลกนี้ทันสมัยจริงหรือ?
เนื้อเรื่องเริ่มต้นแนะนำ grain ว่ามันสามารถ อัดความทรงจำของเราได้ ย้อนความดูความทรงจำตอนไหน เมื่อไหร่ก็ได้ (เรียกว่า การ re-do) และสามารถลบมันได้ ถ้าอยากทำ, ฉายขึ้นบนโทรทัศน์ได้ (เหมือนการ casting ขึ้น smart TV ในปัจจุบัน) สิ่งที่ทำได้เหนือกว่ากล้องวงจรปิดในปัจจุบันก็คือ การซูมเข้าไปดูเนื้อหาใกล้ๆ ได้อย่างละเอียดยิบ หรือแม้กระทั่ง ใช้โปรแกรมถอดคำพูดจากการอ่านปาก
ในเรื่องของเทคโนโลยี เรื่องนี้ทำได้รอบคอบ ส่วนที่ผมติดมีอยู่เรื่องเดียวคือ ตอนต้นเรื่อง [2:24 บน Netflix] พระเอกขึ้นรถแท็กซี่ที่มีการจ่ายเงินด้วยการแสกนรีโมท grain (เป็นเหมือนเครื่องยืนยันตัวตน) เข้าใจว่า เราสามารถเก็บค่าโดยสารผ่านรีโมทได้เลย เมื่อแสกนจ่ายเงินแล้ว ก็มีโฆษณาแนะนำ grain ว่า เป็นเครื่องที่ฝังอยู่หลังหัว ถ้ามองในแง่ storytelling ผู้กำกับคงอยากจะแนะนำสินค้า grain ตัวนี้ให้คนดู แต่สิ่งที่ขัดความรู้สึกคือ ในโลกที่เทคโนโลยีไปได้ไกล โฆษณาแต่ละตัวที่ป้อนให้กับผู้บริโภค ควรเป็นโฆษณาที่ผ่านการคัดเลือก (ที่เรียกว่า personalization) ที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายจริงๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการโฆษณา กล่าวคือ เมื่อเราสามารถใช้รีโมท grain ในการจ่ายเงิน แปลว่า ผู้ใช้รายนี้ ใช้บริการ grain อยู่แล้ว เหตุใดจึงต้องยิงโฆษณา grain ให้ผู้ใช้รายนี้อีก?
ปุ่มที่ให้นำรีโมทมาแสกนเพื่อจ่ายเงิน
โฆษณา grain บนรถแท็กซี่
นอกจากนั้น คำถามสำคัญที่เรื่องนี้พยายามตั้งกับสังคมคือ การเซฟเมมโมรี่ทุกวินาทีไว้ มันดีหรือไม่ดีกันแน่?
แต่ผมอาจจะคิดมากเกินไป เพราะไม่ใช่ผู้ประกอบการทุกคนที่จะมีแผนการปังๆ ทุกวันนี้บริษัทใหญ่ๆ ออกแคมเปญแป้กๆ ก็มีให้เห็นทั่วไป
ข้อดี-ข้อเสีย
ข้อดีด้านสังคม คือ เรามีหลักฐานยืนยันเหตุการณ์ตลอดเวลา หมดปัญหาเมื่อถูกสอบสวนแล้วไม่มีพยานยืนยันตัวตน (alibi) เหมือนตอนก่อนจะบิน รปภ. ขอเช็คประวัติ re-do ย้อนหลัง คิดว่าเป็นข้อดีในการตรวจดูว่าทำอะไรผิดกฎหมายมาหรือเปล่า หรือไปพบกับผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับหรือเปล่า โอกาสในการแอบทำผิดมีน้อยลง
รปภ. เช็คประวัติจาก grain ได้โดยตรง
ข้อเสียด้านสังคม แน่นอนว่า ถ้ารัฐหรือผู้มีอำนาจใช้อำนาจในทางมิชอบ ผู้คนจะถูกรุกล้ำความเป็นส่วนตัว (privacy) ถึงแม้ว่า จะไม่ได้ถูกขโมยข้อมูลโดยตรง แต่อาจจะเกิดความกระอักกระอ่วนให้ต้องเปิดเผยข้อมูลที่ไม่อยากเปิด (ก็ทุกคนรู้อยู่แล้วนี่ ว่าคุณมีหลักฐานเป็นวีดีโอ ไหนลอง re-do ให้ดูหน่อยสิว่าเกิดอะไรขึ้น) อย่างเช่นตอนที่เพื่อนของให้พระเอกโชว์ภาพตอนสัมภาษณ์งาน หรือตอนพระเอกขอให้ภรรยาฉายภาพตอนที่ชู้ใส่ถุงยางตอนมีเซ็กซ์
เพื่อนขอดู re-do แต่พระเอกรู้สึกอึดอัด
ข้อดีสำหรับตัวเอง อันนี้เห็นได้ชัดจากตอนที่พระเอกแอบกรอดูภาพงานเลี้ยงเก่าก่อน เพื่อทวนว่า เราเคยเจอคนนี้ที่ไหนนะ คนๆ นี้ชื่ออะไรนะ ทำเป็นเหมือนว่าเราจำเขาได้ เป็นข้อดีในการเข้าสังคม
นอกจากนั้น พระเอกได้ทบทวนเหตุการณ์ตอนสัมภาษณ์ เพื่อดูรายละเอียดการสัมภาษณ์ สังเกตสีหน้าของผู้สัมภาษณ์แต่ละคนระหว่างการสัมภาษณ์ เผื่อใครอยากทบทวนข้อผิดพลาดของตัวเอง ใช้ในการปรับปรุงเหตุการณ์
ข้อดีต่อไปนี้ไม่ได้ระบุในซีรีส์ แต่ขอเสริมเองว่า ในปัจจุบันนี้ เราก็ยกกล้องขึ้นมาถ่ายภาพ/วีดีโอโมเมนต์ที่น่าจดจำกันอยู่แล้ว คงจะดีไม่น้อย ถ้าเราได้ใช้สายตาดื่มด่ำเหตุการณ์กับนั้นให้เต็มที่ ในขณะเดียวกัน ดวงตาของเราก็บันทึกให้เราได้ดูซ้ำได้ทุกเมื่อที่เราอยากย้อนมาดู
ข้อเสียสำหรับตัวเอง การ re-do บ่อยๆ อาจทำให้เสพติด และจมปลักอยู่กับอดีตมากเกินไป ไม่สามารถปล่อยผ่านเรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ ได้ ซึ่งสิ่งนี้เป็นบ่อเกิดแห่งเรื่องราวทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหึงหวงแฟนด้วยท่าทีเพียงเล็กน้อย เรื่องคำพูดที่เคยโกหกในอดีต ซึ่งอาจเกิดจากความตั้งใจปกปิด หรือการจำพลาดของมนุษย์เอง เราจะไม่สามารถปล่อยผ่านไปได้เลย ในชีิวิตก็จะไม่รู้จักประนีประนอมกันอีกต่อไป มีอะไรที่ไม่แน่ใจก็ขุดเอามาเถียงกันให้อีกฝ่ายผิดให้ได้ และที่สำคัญ ส่วนตัวผมคิดว่า การที่เราปล่อยให้อีกฝ่ายได้ผิดพลาด เป็นเรื่องของความไว้เนื้อเชื่อใจ และเคารพข้อผิดพลาดซึ่งกันและกัน
อนาคตของ grain
สำหรับผม มองว่าทุกอย่างมีขาขึ้นและขาลง เทคโนโลยีปัจจุบันเราอาจจะยังไม่เห็นขาลง เนื่องจากเรายังไม่เห็นอะไรที่มันทดแทนได้ หรือสิ่งๆ นั้นยังมีข้อดีมากๆ อยู่ แต่เชื่อว่าวันนึง มีสิ่งที่ดีกว่า ก็จะถูกแทนที่ (อย่างเช่น flash drive ที่เมื่อก่อนผมคิดว่าไฮเทคมากๆ ปัจจุบันก็ใช้ cloud storage เก็บไฟล์ออนไลน์อย่าง Google drive กันแล้ว ไม่ต้องพก flash drive อีกต่อไป) หรือเห็นข้อเสียมากๆ จนถูกยกเลิกไป สำหรับ grain ผมเห็นวี่แววว่าจะเป็นอย่างหลัง จากสถานการณ์นเรื่องทำให้เข้าใจว่า ผู้คนต่างยอมรับ grain อย่างแพร่หลาย จนแทบจะมีกฎหมายให้ทุกคนติดตั้งก็ตาม แต่ก็มีบางคนที่เลือกที่จะถอดออก (รวมถึงพระเอกในตอนท้ายด้วย) ในอนาคตคิดว่ามีคนคิดจะถอดอีกมากขึ้นเรื่อยๆ จนอาจเป็นกระแส แต่ก็คงไม่ใช่ทุกคน เหมือนในหลายๆ เรื่องที่ต้องเกิดการถกกันทั่วไป...
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in