เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
มะระเล่าเรื่องether srikulwong
พรุ่งนี้กุจะเข้าป่า สนใจไปก่ะกูหมายยย
  • สวัสดีครับ หลังจากไปทำวิจัยที่พงสาลีได้ไม่นาน การเดินทางก็ไม่ยอมปล่อยให้เราว่างจนเกินไป และการเดินทาง มันก็ตามมาด้วยเรื่องราวเสมอ

    วันหนึ่งช่วงต้นเดือนสิงหาคม มีข้อความจากรุ่นพี่ของผมคนหนึ่งส่งมาหาผมว่า "พรุ่งนี้กุจะเข้าป่า สนใจไปก่ะกูหมายยย" ผมแน่ใจว่าเขาส่งมาแบบนี้จริงๆ เพราะผมก๊อปข้อความมาวาง เราคุยกันค่อนข้างยาว แต่สรุปได้สั้นๆว่า รุ่นพี่ของผม รับงานถ่ายภาพงานหนึ่งมา ซึ่งจะต้องเข้าไปถ่ายภาพน้ำตกแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ เราก็เป็นสายลุยอยู่แล้ว ได้ประสบการณ์ด้วย แนวที่เราชอบที่สุดคือเราชอบเดินทางและเรียนรู้วัฒนธรรม แต่สำหรับการเดินทางครั้งนี้ เราจะเข้าสู่ความเป็นธรรมชาติอย่างแท้จริง ดังนั้นจะไม่ค่อยมีเกร็ดเล็กๆน้อยๆทางวัฒนธรรมที่เรียนรู้ได้ระหว่างทาง แต่จะเน้นไปที่แนวคิดและสุนทรียศาสตร์มากกว่า (รู้สึกใช้คำเหมือนตอนเขียนรายงานส่งอจารย์เลย)(การเดินทางของผมไม่เน้นรูปนะครับ ผมชอบมองสิ่งสวยงามด้วยสองตา และบันทึกมันด้วยการจดจำมากกว่า) อะ เข้าเรื่องเลยละกัน ผมกับรุ่นพี่สรุปกันว่า จะเดินทางในวันที่ 13 สิงหา เพราะก่อนหน้านั้นติดธุระ ถ้าใครเป็นคนที่ชอบเรื่องเกี่ยวกับธรรมชาติ ก็คงจะรู้ว่า ในคืนวันที่12 มีฝนดาวตกครับ แถมยังเป็นฝนดาวตกครั้งใหญ่ของปี 59 นี่ด้วย แต่ที่เชียงใหม่ฝนตกครับ จบสิ้นทุกอย่าง ในเช้ามืดของวันที่13 ผมนัดเจอกับรุ่นพี่ที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง เป็นเวลาราวๆตี5 เรานัดกันตั้งแต่ตี5เพื่อออกมากินข้าว หลังจากนั้นจึงขี่มอเตอไซค์กันไป รถของรุ่นพี่ผมค่อนข้างจะโอเคเลยสำหรับงานนี้ เครื่องแรง ประหยัดน้ำมัน สามารถขี่ลุยในสภาพภูมิประเทศที่ยากลำบาก ส่วนรถของผมน่ะหรอ เป็นเวฟ125 เก่าๆคันหนึ่ง ซึ่งเสียหลายจุดมาก แต่ก็ยังใช้อยู่ จุดที่เสียมากที่สุดคือตรงแผงหน้ารถครับ รถของผมไม่รับรู้ถึงการสตาร์ท ไม่สามารถบอกความเร็วปัจจุบัน และไม่สามารถวัดปริมาณน้ำมันของตัวเองได้ เอาง่ายๆคือแผงด้านหน้าทั้งหมดตายไปแล้ว ยังไม่รวมไฟหน้าที่กำลังจะตายตามไป ฮ่าๆ เนื่องจากคืนนั้นฝนตก เราจึงขี่รถด้วยความปลอดภัย ไม่เร็วมาก ไปตามถนน ออกจากเมืองเชียงใหม่ ระหว่างทาง มีครั้งหนึ่งที่เราจอดติดไฟแดงและกำลังคุยกันฆ่าเวลา ก็มีรถเก๋งคันหนึ่งมาจอดข้างๆ เขาจอดอยู่ราวๆ3วินาทีเพื่อดูรถ และขับตรงออกไปทั้งๆที่ไฟยังคงเป็นสีแดง อืมมม เรา2คนมองหน้ากันแล้วยกนิ้วให้กัน โอ้โห ยอดเยี่ยมไปเลย อีกราวๆ10วินาทีต่อมาไฟจึงเปลี่ยนเป็นสีเขียว และเราก็ออกตัวตามรถคันนั้นไป ไม่รู้ว่าพี่แกรีบไปรับเมียที่ประสบอุบัติเหตุหรืออะไร ทำไมรีบขนาดนั้น เราขี่ไปทางอำเภอจอมทอง และต่อไปยังอำเภอฮอดครับ เราแวะจอดพักครั้งแรกที่ปั๊มน้ำมันของอำเภอฮอด ซึ่งคำนวณระยะทางจากระบบแผนที่ของกูเกิลได้ 130 กิโลเมตร เราแวะจอดเข้าห้องน้ำ ซื้อของใช้นิดหน่อย ต่อจากนี้ จะแทบไม่มีแหล่งอำนวยความสะดวกแล้ว จากฮอด จะมีเส้นทางตัดขึ้นเขาตรงไปยัง อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอนครับ ระหว่างทางเป็นภูเขาและธารน้ำ มีสถานที่ท่องเที่ยวน่าแวะมากมายข้างทาง ซึ่งคุณสามารถหาได้จากรีวิวท่องเที่ยวทั่วไปครับ ตอนนั้นยังเช้าอยู่เลย อากาศหลังฝนตก สดชื่นมากๆ สองข้างทางจะมีพืชขนาดใหญ่ที่มักพบตามภูเขา โดยเฉพาะต้นสนต่างๆ ซึ่งสิ่งที่เจ๋งที่สุดของป่าสนไม่ใช่ภาพลักษณ์ของมัน แต่เป็นเสียงครับ ใครเคยกางเต้นนอนในป่าสนและฟังเสียงลม จะเข้าใจสิ่งที่ผมพูดดี เป็นอะไรที่จรรโลงใจกว่าไปถ่ายรูปกับต้นสนเยอะ เราขี่ตรงยาวไปเรื่อยๆตามทิวเขา เมื่อขี่ไปเรื่อยๆ จะมีทางแยกทางขวามือเพื่อไป แม่แอบ แม่แจ่มครับ ซึ่งนั้นแหละคือเส้นทางของเรา สองข้างทางเริ่มเปิดกว้าง และเห็นเทือกเขาไกลสุดลูกหูลูกตา ภูเขาแถวนี้ถูกเปลี่ยนเป็นพื้นที่ทำการเกษตร ทำให้ข้างทางเป็นไร่ ไม่มีอะไรมาบังเราจากวิวสวยๆพวกนี้ ผมกับรุ่นพี่มีจอดแวะดูวิวนิดหน่อย เอาจริงๆคือนั่งรถนาน ปวดตูด เราขี่ตรงเข้าไปเรื่อยๆ ผ่านอุทยานแห่งชาติแม่โถไปอีก เมื่อตรงไปเรื่อยๆจนสุด(ไกลชิบหาย) เราจะเจอหมู่บ้านชาวกะเหรี่ยงครับ ชนบทแบบชาวเขาเลยแหละ คิดถึงพงสาลีชะมัด เมื่อขี่เข้าไปจนสุดหมู่บ้าน สุดถนน เราก็ต้องขี่ลุยต่อไปตามถนนปลอมๆที่ความจริง เป็นดินและโคลนตม บวกกับเส้นทางที่ชันมาก และฝนที่เพิ่งตกไปเมื่อคืน รถผมแทบจะไปต่อไม่ไหว เราลงไปเรื่อยๆจนเจอทางแยก รุ่นพี่ผมให้เราจอดรถและเล่าว่า หากไปทางขวา จะลงไปที่นาของลุงแก่ๆคนหนึ่ง เเต่ไม่ไปหรอก เราอาจจะโดนลุงแกไล่ตีเพราะคิดว่าจะมายึดยิมลุงแก(เป็นมุกนะครับ แถวนี้ไม่มีสัญญาณมือถือครับ) หากตรงไป เราจะได้ขึ้นเขาไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่ง ซึ่งถนนเป็นดินเละๆแบบทางที่เพิ่งผ่านกันมา ผมสงสารรถผมชะมัด ตอนแม่ใช่ แม่ใช้แค่ไปตลาด พอตกมาถึงมือผม เอามันมาทรมาน ฮ่าๆ คุณคิดว่าผมจะไปทางไหนล่ะ คำตอบคือผมไปทางซ้ายครับ เข้าไปจะเจอธารน้ำสายหนึ่ง(เอ๋า นี่ผมลืมบอกหรอว่ามันมีทางซ้ายด้วย) เราจอดรถไว้ที่ใต้ต้นไม้ ยังครับ ยังไม่ถึง ผมไม่ได้มาดูแม่น้ำไหลจ๊อกๆ เส้นทางต่อจากนี้ ต้องเดินเท้าเข้าไปครับ เข้าป่าแบบจริงๆ ไม่มีป้ายบอกทาง ไม่มีทางเดิน ไม่มีราวจับ เส้นทางหลักๆที่จะเข้าไปถึงน้ำตกแม่แอบ มี2เส้นทาง เส้นทางแรกคือเดินป่าเข้าไป ซึ่งยากมาก เพราะเราไม่รู้ทางครับ และในป่าก็เต็มไปด้วยพืชมีหนามและแมลงมีพิษ เส้นทางที่สองคือลุยน้ำไปครับ ธารน้ำนี้ไม่ลึกมาก สามารถเดินลุยไปได้ การเดินไปตามธารน้ำ ยังทำให้เราไม่มีทางหลง แต่ข้อเสียคือ พื้นที่เป็นหินทำให้เดินได้ลำบาก และบางช่วงของธารน้ำ น้ำก็ลึกเกินกว่าที่จะผ่านไปได้โดยไม่ให้กล้องในกระเป๋าเปียก(อย่าลืมว่าเรารับจ๊อบถ่ายภาพมาครับ ผมโดนชวนมาแบกของนี่แหละ พวกชุดอุปกรณ์ขาตั้งกล้องต่างๆ) คุณคิดว่าเราจะเลือกเส้นทางไหนล่ะ คำตอบคือ เราเลือกที่จะเอาสองเส้นทางรวมกันครับ ตรงไหนน้ำตื้น ก็จะเดินลุยน้ำไป ตรงไหนน้ำลึก เราก็จะขึ้นฝั่งไปเดินในป่า ฮ่าๆ เราเดินลุยเข้าไปเรื่อยๆ สิ่งที่น่ากลัวคือน้ำขุ่นมาก(เพราะน้ำไหลเชี่ยว) เราไม่เห็นพื้นเลย เวลาเดินในน้ำ ก้าวต่อไป น้ำอาจจะลึกกว่าหัวเราก็ได้ ส่วนสิ่งที่น่ากลัวของการเดินบนป่าคือไม้มีหนามและแมลงมีพิษนั่นแหละ ป่าแถวนี้เพิ่งจะทำพิธีบวชป่าไป(ป่าบริสุทธิ์ มนุษย์จะไม่ทำอะไรกับป่านี้แล้ว)ทำให้ป่ารกมากๆ ผมไม่รู้ว่าจะเขียนยังไงให้คุณเข้าใจว่ามันยากลำบากขนาดไหน เอาเป็นว่าลัดไปเลยละกัน เมื่อเรามาถึงน้ำตก วินาทีนั้นคือ โอ้ หายเหนื่อยเลยว่ะ มาถึงหน้าน้ำตกแม่แอบตอนราวๆ 10โมงกว่า แสงกำลังดี ได้เวลาทำงาน(ไอ้คนท่าทางโง่ๆ ใส่ชุดสีกรมทั้งตัว สะพายกระเป๋าสีแดงนั่นคือผมเองครับ รุ่นพี่ที่ไปด้วยถ่ายให้ครับ)
    หลังจากนั้นจะเป็นเรื่องของการตั้งกล้อง รอแสง อะไรก็ว่าไป ถ้าอธิบาย มันจะเป็นการเปลี่ยนโพสต์นี้ให้เป็นหนังสือคู่มือการใช้กล้องไปน่ะสิ ขากลับ เราก็เดินลุยน้ำบุกป่าออกมานั่นแหละ ไม่มีฉากเฮลิค็อปเตอร์มารับพระเอกหนีจากหน้าผาที่กำลังจะถล่ม เราใช้เวลาขากลับในการซึมซับสายลม ป่าไม้ และธรรมชาติ และแวะถ่ายภาพนิดหน่อย วันนั้นอากาศดีครับ เมฆเยอะมาก ไม่มีแดดเลย เเล้วเราก็กลับมาเชียงใหม่อย่างแฮปปี้เอน ได้ตังค่าจ้างไปกินหมูกระทะ ถ้าคุณคิดแบบนั้น คุณคิดผิดแล้วครับ ขอออกตัวไว้เลยว่า เดินทางกับผม ต้องมีเรื่องอะไรซักอย่างเกิดขึ้นครับ จำที่ผมบอกได้ไหมครับ ว่ารถของผม ไม่สามารถรับรู้ถึงปริมาณน้ำมันในถัง รถผมน้ำมันหมดกลางทางครับ ระหว่างทางกลับไปฮอด ต้องผ่านเขาหลายลูก ผมน้ำมันหมดตรงช่วงยอดเขาลูกรองสุดท้ายก่อนจะกลับสู่ตัวเมือง ซึ่งผมสามารถดับเครื่องให้รถไหลลงได้ไม่ยาก(ไปดับเครื่องลงดอยสุเทพบ่อยๆ) ผมไปได้อีกราวๆ 10กิโล แต่จริงๆไม่น่าทำแบบนั้นเลย เพราะเมื่อลงมาอีก10กิโล ตรงนั้นเป็นจุดอับสัญญาณครับ ผมไม่สามารถโทรบอกร้านรับปะยางให้เอาน้ำมันใส่แกลลอนมาให้ได้ แต่ผมเป็นคนรอบคอบครับ ผมรู้ดีว่ารถผมเป็นแบบนี้ ใต้เบาะผมจึงมีสายดูดน้ำราคา 20 บาทจากร้านขายของชำอยู่เสมอ เท่านี้ ผมก็สามารถแบ่งน้ำมันจากรถพี่เขามาใส่รถผมได้ และเราจะได้ไปกันต่อ ปั้มที่ใกล้ที่สุดห่างไปอีก20กิโล เอาล่ะ รีบถ่ายน้ำมัน รีบไปต่อ แต่ความซวยของผมชนะทุกอย่างอยู่ดี จู่ๆ ท่อดูดน้ำของผมกลับมีรูรั่วๆเล็กๆ ทำให้ดูดน้ำมันไม่ขึ้น ผมจึงเปลี่ยนมาใช้วิธีกาลักน้ำแทน ซึ่งเป็นเรื่องของแรงดันน้ำครับ เริ่มต้นเราต้องใช้ปากดูดให้น้ำไหลเชื่อมปลายทั้ง2ฝั่งก่อน ผมก็ลุยอย่างไม่รอช้า แหวะ น้ำมัน95นี่ไม่อร่อยเลย รู้รั่วของท่อทำให้ใช้หลักแรงดันก็ไม่ได้ ผมกับรุ่นพี่เริ่มเดินหาอุปกรณ์รอบๆที่จะใช้ได้ ลองกันอยู่นานมาก และในตอนนั้นแหละ ที่ความซวยของผมโชวความสามารถอีกครั้ง ฝนตกครับ ไอ้ที่บอกว่าวันนั้นอากาศดีมากเลย เย็นสบาย ไม่มีแดด สรุปคือตอนบ่าย ฝนตกครับ เราเข็นรถไปหาที่หลบฝน ยังดีที่ใกล้ๆมีศาลาเล็กๆ พอให้หลับฝนได้นิดหน่อย สุดท้ายรุ่นพี่ของผมก็ระลึกชาติได้ว่า หมูบ้านที่ผ่านมา เหมือนเห็นปั๊มน้ำมันหยอดเหรียญ พี่เขาจึงจะเอาขวดน้ำที่เก็บมาจากพื้นแถวนั้นแหละ ไปเติมน้ำมันมาให้ ไม่เคยคิดถึงข้อดีของการทิ้งขยะไม่เป็นที่ในกรณีนี้เลย พี่เขาก็ใส่เสื้อกันฝนขี่รถออกไป ส่วนผมก็นั่งเหงาๆหลบฝนใต้ศาลาแบบหนังหว่องกาไหว่ ทำหน้าเศร้าประชดรถตัวเอง แต่ก็ทำได้ไม่นานหรอก เพราะมันไม่ช่วยอะไรเท่าไหร่  ตอนนั้นสิ่งที่ผมทำเพื่อฆ่าเวลาคือ นั่งร้องเพลงครับ รถของนักท่องเที่ยวและชาวเขาที่ผ่านมาเขาคงจะงง ใครวะ บ้ามาร้องเพลงใต้ศาลา รุ่นพี่ผมเป็นคนดีครับ เขาไม่ปล่อยให้ผมรอนาน ยังร้องไม่จบอัลบัมที่2 พี่ผมก็กลับมาพร้อมกับบอกว่า เห้ย กูเข้าใจผิดว่ะ ที่กูเห็นมันคือตู้เติมเงินหยอดเหรียญ เดี๋ยวกูขี่ไปปั๊มอยุฮอดให้ ไปกลับ45โลอะ มึงรอแปปนึงนะ แล้วพี่ก็จากไป ปล่อยให้ผมนั่งเหงาต่อ ฮ่าๆๆๆ สรุป ผมก็ได้น้ำมันจากปั๊มที่อยู่ห่างไป20กิโล ในเวลาประมาณ 4โมงเย็น ขากลับ เราขี่รถตากฝนยิงยาวกลับเชียงใหม่แบบไม่มีจอดพัก ปวดตูดสุดๆไปเลย มันเป็นการเดินทางแบบรีบๆ ตั้งใจไปสด แล้วก็ได้ความสดกลับมา เราตั้งใตไปดูธรรมชาติ ไปเดินป่า และเราก็ได้อย่างที่ตั้งใจ เย็นวันนั้นผมเหนื่อยมาก แต่กลับมาตอนค่ำก็มีกิจกรรมต้องไปทำต่อ แต่โดยรวม เรามีความสุขมาก ผมกับพี่ๆ มีแผนจะไปทริปแบบนี้อีกเร็วๆนี้ และอาจารย์ก็มาแอบบอกแล้วว่า หลังสอบอาจารย์จะไปพม่า คิดว่าเร็วๆนี้จะมีเรื่องมาให้อ่านกันแน่นอนครับ ความซวยของผมมันพร้อมทำงานเสมอ

    ขอฝากอีกนิดนึงนะครับ นี่คือคลิปวีดีโอที่รุ่นพี่ที่ชวนผมไปคราวนี้ถ่ายไว้ คิดว่าน่าจะทำให้เห็นภาพมากขึ้นครับ พบกันคราวหน้านะครับ

    ปล. ผมโยนท่อสูบน้ำอันละ20บาทนั่นทิ้งไปแล้วนะ


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in