1.
ผมมารู้ว่าความเศร้าเป็นโรคเอาก็ตอนเรียนมหาวิทยาลัย ตำราและอาจารย์พร่ำสอนเกณฑ์วินิจฉัยของโรคที่ว่า และไม่ต่างจากที่เบ็ดที่หย่อนลงน้ำมาล่อเหยื่อ ผมหย่อนไม้บรรทัดลงไปวัดความเศร้าของตัวเอง เผยอดูทุกปริมณฑลภายใน ตรวจจับอาการราวกับตนเป็นนายแพทย์มือสมัครเล่น ผมอวดอ้างอย่างผยองในความรู้อันน้อยนิดของตน ความเศร้าจึงสนองกลับ -ดั่งหลุมอันดำมืดซึ่งดึงตะครุบกินทันทีที่คุณจดจ้องลงไปในมัน- ด้วยการกัดกินไม้บรรทัดและทุกกฎเกณฑ์ที่ผมได้เคยเรียนรู้มา
ความเศร้าอาจถูกบรรเทาเยียวยาลง นั่นหรือไม่คือเหตุผลที่มันถูกยกให้เป็นโรค? หรือเป็นเพราะมันบ่อนทำลายหัวใจของคุณจนไม่เป็นอันทำอะไรได้อีก? หากเปรียบความเศร้าเป็นเนื้อร้ายที่เข้าบดบี้จิตวิญญาณ มันเป็นความแปลกแยก เป็นสิ่งที่อยู่นอกความเป็นเรา เป็นส่วนเกินนอกระบบที่เข้ามารวนระบบภายในใช่หรือไม่? กระนั้น ผมมักจะคิดว่าความเศร้าหาใช่ความแปลกแยกใดดั่งที่ใครพยายามบอก มันอาจเป็นปิศาจร้ายที่เกาะกินแต่ก็เป็นเพื่อนสนิทที่สุดเท่าที่เราจะพานพบได้ในชีวิตอันแสนสั้นนี้ นั่นเองมันจึงกลายมาเป็นตัวผมได้อย่างแนบสนิท
ผม, ปิศาจ, ความเศร้า และคุณ ไม่อาจแยกจาก ผมไม่อาจมองเห็นเส้นใดมาขีดแบ่งความแตกต่าง
2.
คุณตื่นขึ้นมาในเช้าวันหนึ่ง ดวงตาว่างเปล่าของคุณจดจ้องไปยังเพดานอันว่างเปล่าของห้องนอน ไฟยังปิดอยู่ คุณสงสัยว่าเมื่อใดสวิตช์ไฟจะถูกเปิดจึงพยายามเอื้อมมือออกไปแต่กลับไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะกระดิกนิ้ว ฝันร้ายที่เกาะกินคุณตั้งแต่ก่อนผล็อยหลับไปคืนก่อนหวนกลับเข้าจู่โจม ราวก้อนความเศร้าที่เข้ามาบดขยี้ร่างคุณซ้ำแล้วซ้ำอีกจนไม่อาจเคลื่อนไหว ไม่แม้แต่จะอยากสูดลมหายใจเข้าไปอีก ความหวังริบหรี่ที่คุณพอจะฉวยคว้าได้คือความปรารถนาที่จะสูญสลาย หายตัวไปจากพื้นผิวของการดำรงอยู่ตลอดกาล
3.
แต่ละวันที่ผันผ่าน ผมอาจจดจ่ออยู่กับหน้าจอที่เป็นดั่งหน้าต่างซึ่งแง้มสู่โลกอีกใบ โลกเสมือนจริงที่รอให้คุณเติมเต็มมันด้วยความเศร้าเสมือนจริง ผมปล่อยให้คุณจรดนิ้วลง อรรถาธิบายตนเอง บรรจุทุกแก่นสารที่เป็นคุณลงไปในถ้อยคำ
หากเราดิจิตอลไลซ์ความเศร้า -ทำให้ความเศร้าเป็นดิจิตอล- ความเศร้าคงถูกถ่ายโอนให้ไปอยู่ในโลกเสมือนจริงแทนที่จะกลืนกินพื้นที่ภายในลานประสบการณ์ทางกายที่ใครๆ ก็เรียกว่าความเป็นจริงทางอารมณ์อยู่เช่นนี้ -- คุณเกลี้ยกล่อมแม้คุณจะไม่จำเป็นต้องเกลี้ยกล่อมเลยก็ตาม
ผมรู้อยู่แก่ใจว่าถ้อยคำใดที่ถูกปั้นแต่งออกไปจะกลายไปเป็นสิ่งแปลกปลอม, คนแปลกหน้าต่อตัวผู้เขียนเสียเอง ในชั่ววินาทีที่เขาหรือเธอจรดนิ้วลงคีย์บอร์ดหรือปากกาจรดลงบนแผ่นกระดาษเลยนั่นแหละ นั่นอย่างไรที่ผมเลิกไขว่คว้าความสมบูรณ์ในถ้อยคำ เลิกศรัทธาในการเป็นเจ้าเข้าเจ้าของของตัวอักษร และนั่นอย่างไรที่ความเศร้าซึ่งถูกคุณแปลงเป็นตัวอักษร หาได้มีความหมายใดต่อใครแม้แต่ต่อตัวคุณเอง
4.
ฝนตกลงมา ผ้าตากอยู่บนราวตากผ้า ผมนั่งอยู่บนเก้าอี้ม้าหิน
ไม่นานผมก็เปียกชุ่มไปทั่วร่าง ผมจำไม่ได้แล้วว่าทำไมผมจึงควรต้องวิ่งเข้าบ้านไปหลบฝน ผมไม่รู้เหตุผลของการเก็บผ้าลงมาจากราวตาก ผมไม่รู้วิธีลุกขึ้นยืน อาจะเป็นเพราะลึกๆ คุณ -หรือผม- กำลังหวังอย่างไร้ผลว่าฝนจะซัดสาดลงมาอย่างหนักหน่วง... หนักหน่วงเสียจนการดำรงอยู่อย่างแน่แท้ของตัวผม -หรือคุณ- จะถูกชำระล้างให้เลือนรางและจางหายไปในที่สุด ไม่ต่างจากสีน้ำที่ถูกขูดเซาะและล้างทิ้งจากภาพชั้นเลวของจิตรกรนิรนาม
คุณจึงหลับตาลงบนเตียงนอน รอเวลาให้เวลาไหลผ่าน ไหลผ่านจนร่างของคุณแหลกสลาย, ใช่- คุณเศร้า, ไม่- ผมไม่หลั่งน้ำตา, ใช่- คุณป่วยเป็นโรค... ไม่ใช่โรคที่เขาเรียกกันด้วยชื่อประดิดประดอยแปลกหู แต่เป็นโรคที่ไม่อาจถูกทำให้เป็นโรค คุณรู้ดีกว่าความเศร้าของคุณมิอาจได้รับการเยียวยา คุณรู้ดีเพราะคุณคือความเศร้าและเพราะความเศร้าคือคุณ หนทางเดียวที่จบความเศร้าของคุณลงเห็นจะหนีไม่พ้นการจบสิ้นความเป็นคุณไปอย่างเงียบงันเสียอย่างนั้นเอง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in