เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Thor x Loki fanfictionsTippuri~ii*
In the Embrace of the Eternal Summer
  • In the Embrace of the Eternal Summer 

    The Avengers + Thor fanfiction by Tippuri~ii *

    Pairing: Thor x Loki a.k.a. Thunderfrost

    * แฟนฟิคชั่นเรื่องนี้เป็นเพียงจินตนาการของไรเตอร์และแต่งขึ้นเพื่อความบัง เทิง ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ ทั้งสิ้น และแฟนฟิคชั่นเรื่องนี้เป็นแฟนฟิคชั่น boy’s love…ถ้าใครไม่ชอบแนะนำให้ปิดค่ะ *

    ***************************************

    Shall I compare thee to a summer’s day?
    Thou art more lovely and more temperate.
    Rough winds do shake the darling buds of May,
    And summer’s lease hath all too short a date.
    Sometime too hot the eye of heaven shines,
    And often is his gold complexion dimmed;
    And every fair from fair sometime declines,
    By chance, or nature’s changing course untrimmed.
    But thy eternal summer shall not fade
    Nor lose possession of that fair thou ow’st;
    Nor shall death brag thou wand’rest in his shade,
    When in eternal lines to time thou grow’st,
    So long as men can breathe or eyes can see,
    So long lives this, and this gives life to thee.

    — Sonnet 18, William Shakespeare

    *****

    อุทยานสีเขียวสดเงียบสงบ…มีเพียงเสียงน้ำพุและนกร้องเบาๆ เท่านั้น

    ร่างเพรียวบางขององค์ชายคนเล็กแห่งแอสการ์ดนอนเอกเขนกอยู่บนม้าหิน…มือเรียวพลิกหน้าหนังสือบนตักอย่างเอื่อยเฉื่อยสบายใจ โลกิชอบอุทยานของวังในเวลาบ่ายแบบนี้…มันร่มรื่นไร้ผู้คน แถมม้านั่งที่จัดไว้ชิดมุมนี้ก็โดนบดบังจากสายตาด้านนอกด้วยเถาไม้สีเขียวเย็นตา…เหมาะแก่การอ่านหนังสือเงียบๆ คนเดียวเป็นที่สุด

    เด็กหนุ่มผมดำถอนหายใจเบาๆ…ซึมซาบบรรยากาศชวนสบายใจเข้าไป ไถลลงนอนหงายเต็มที่…วางหนังสือแปะลงบนหน้าท้องตัวเอง นึกตัดสินใจอย่างง่วงงุน

    นอนสักหน่อยดีไหมนะ…แต่หนังสือก็สนุกเกินจะหยุดอ่านเสียด้วยสิ…

    ความคิดของเขาเหมือนลำธารใสสะอาดที่ไหลเอื่อยๆ…แต่แล้วกระแสน้ำเรียบนิ่งก็เหมือนโดนหินก้อนเขื่องขว้างโครมใส่เมื่อเสียงโหวกเหวกดังลั่นขึ้นเหนือศีรษะ

    “โลกิ!! มาอยู่ตรงนี้อีกแล้วหรือ…พี่ตามหาเจ้าอยู่ตั้งนานนะรู้ไหม?!!”

    เจ้าของชื่อเบ้หน้ากับเสียงรบกวน รู้ก่อนจะลืมตาเสียอีกว่าเป็นใคร…เจ้าชายองค์โตแห่งแอสการ์ดยิ้มร่ามาให้ นัยน์ตาสีฟ้าพราวเหมือนเกลียวคลื่น เส้นผมสีทองเปล่งประกายแข่งกับแสงแดด

    โลกิเหม่อมองภาพตรงหน้า อดรำพึงในใจไม่ได้

    พี่ชายของเขา…สง่างามและอบอุ่นเหมือนฤดูร้อนเสียจริง

    “มีอะไรหรือท่านพี่?” เขายอมหยัดตัวขึ้นลุกนิดเดียวเท่านั้น…ไม่อยู่ในอารมณ์จะร่วมผจญภัยกับเด็กหนุ่มผมทองสักนิด “น้องกำลัง…ยุ่ง”

    “ยุ่งอะไรกัน? เจ้าเอาแต่อ่านหนังสือแล้วก็นอน…พี่เห็นอยู่แค่นั้น” ธอร์ส่ายหน้าอย่างระอาปนเอ็นดู ก่อนจะดึงให้ร่างบางลุกพรวดขึ้นมา โลกิขยับจะขัดขืนแต่ก็ช้าไป…ท่อนแขนแข็งแรงตวัดอุ้มเขาขึ้นก่อนที่จะเริ่มออกเดิน เด็กหนุ่มผมดำได้แต่สบถพร้อมดิ้น…การที่เขาไม่อาจสู้แรงของพี่ชายได้สักครั้งก็น่าอายพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องเพิ่มการโดนอุ้มท่าเจ้าหญิงแบบนี้เข้ามาให้น่าอายกว่าเดิม

    “ท่านพี่!! จะทำอะไรน่ะ?!! ปล่อยน้องเดี๋ยวนี้นะ!!”

    “น้องชายของพี่ไม่ยอมทำอะไรนอกจากอ่านหนังสือ…แล้วจะไปสู้กับใครได้?” ธอร์หัวเราะรื่นเริง น้ำหนักของร่างในอ้อมแขนดูจะไม่มีผลอะไรกับเจ้าตัวเลย “เด็กแข็งแรงคือเด็กที่ออกไปเล่นสนุกนะโลกิ”

    “เล่นสนุกไปวันๆ มันก็เท่านั้น…ไม่เห็นจะมีค่าอะไร” โลกิจิกกลับไปบ้าง จำใจโอบแขนรอบคออีกฝ่ายโดยดีเพราะกลัวตก…แม้จะรู้ดีว่าพี่ชายไม่มีวันปล่อยให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น “น้องอ่านหนังสือเพราะน้องอยากจะฉลาด…น้องไม่อยากจะสักแต่แข็งแรงเหมือนท่านพี่หรอกนะ!”

    ธอร์ระเบิดหัวเราะกับน้ำเสียงค่อนขอดและสีหน้าบึ้งตึงของน้องชาย “พูดจาแบบนี้กับพี่เหรอโลกิ?…ดูหมิ่นรัชทายาทมีโทษประหารได้เลยนะ”

    “ก็ลองสิ…แน่จริงก็สั่งประหารน้องเลย!” เสียงทุ้มหวานขู่ฟ่อเหมือนลูกแมวโกรธจัด มือที่กอดรอบคอพี่ชายทวีแรงยึด “…ถ้าท่านพี่หาทางสลัดน้องหลุดได้น่ะนะ”

    “เด็กชอบเอาชนะอย่างเจ้านี่มันน่าตีจริงๆ” เด็กหนุ่มผมทองพูดอย่างหมั่นเขี้ยว…ร่างสูงก้าวมาถึงลานหน้าวังพอดี เสียงผิวปากของพี่ชายและเสียงกีบเหล็กกุบกับทำให้โลกิหันมองตาม ม้าขาวแสนสง่างามเหยาะย่างเข้ามาตามเสียงเรียก…สีขาวของมันเหมือนกับสีเมฆในฤดูร้อน นัยน์ตากลมโตดำสนิทวาววับเหมือนนิลเนื้อดี

    “สวยมั้ย? ของขวัญจากท่านพ่อเชียวนะ” พี่ชายพูด…ความภาคภูมิใจฉายชัดในน้ำเสียง

    โลกิทำหน้าบึ้ง บ่นอย่างน้อยใจ “ท่านพี่ได้นั่นได้นี่ตลอด…ท่านพ่อไม่เห็นจะให้น้องบ้างเลย”

    “ก็เพราะว่าเจ้ายังเด็กอยู่น่ะสิ…น้องชาย” ธอร์สบตากับเขาแล้วยิ้ม “แต่พี่ไม่ใช่คนใจร้ายที่คิดจะเก็บของขวัญไว้กับตัวเองคนเดียวหรอกนะ”

    มือแข็งแรงเหวี่ยงร่างเขาให้ขึ้นไปนั่งบนอานม้า…การกระทำที่ดูน่ากลัว แต่เด็กหนุ่มผมดำพบว่ามันตรงกันข้าม…ไม่น่าเชื่อว่ามือของนักรบอันดับหนึ่งแห่งแอสการ์ดจะสามารถเคลื่อนไหวได้นุ่มนวลถึงเพียงนี้

    โลกิเอื้อมไปลูบแผงคอสีขาวตรงหน้าเบาๆ ก่อนจะมองกลับไปหาพี่ชาย…ไม่อยากจะยอมรับว่าไม่ค่อยชอบการที่ตนนั่งอยู่บนหลังม้าที่สูงแบบนี้คนเดียวเลย

    ตอนแรกที่มอง…มันไม่เห็นจะสูงแบบนี้เลยนี่

    เหมือนพี่ชายจะรับรู้ได้ถึงความหวั่นใจที่เริ่มก่อตัว…ร่างสูงจึงตวัดร่างขึ้นมานั่งด้านหลัง มือใหญ่ที่เอื้อมมาคว้าบังเหียนทำให้โลกิรู้สึกอุ่นใจขึ้น…เพราะมันโอบประคองให้มั่นใจว่าเขาจะไม่มีทางตกลงไป

    เขารู้ดี…ว่าพี่ชายจะปกป้องตนเสมอไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

    “ท่านพ่อไม่ยอมให้ม้าเจ้าก็เพราะเจ้าขาสั้นเกินล่ะมั้ง” ธอร์เย้าก่อนจะระเบิดหัวเราะ “จับพี่ไว้ดีๆ นะ…เดี๋ยวตกไปไม่รู้ด้วย”

    โลกิหน้างอกับคำปรามาสความสูงของตน…เขาเรียกได้ว่าตัวเล็กผอมบางไปเลยถ้าเทียบกับพี่ชายที่ทั้งตัวสูงและร่างกายกำยำจากการฝึกอาวุธ เด็กหนุ่มผมดำแสดงการต่อต้านด้วยการกอดอกแน่น…ไม่ยอมทำตามคำบอกของคนตรงหน้า

    ธอร์มองท่าทางดื้อรั้นของน้องชายด้วยสายตาอ่อนใจปนเอ็นดู ก่อนจะแกล้งสะบัดบังเหียนโดยไม่บอกกล่าว…โลกิสะดุ้งอย่างลืมตัวเมื่อม้าขาวทะยานออกวิ่ง ร่างบางหันเข้ากอดคนเป็นพี่ไว้แน่น…ซุกหน้าเข้ากับแผงอกกำยำเพื่อหลบสายลมหวีดหวิวที่พัดกรูใส่จนแสบตา

    ร่างสูงยอมลดความเร็วเมื่อเห็นว่าน้องชายตัวสั่น เสียงทุ้มพูดข้างหู “บอกแล้วใช่ไหมให้จับดีๆ?”

    เมื่อพบว่าฝีเท้าของม้าลดลง…โลกิก็กล้าพูดจาเสียงหาเรื่องเหมือนเดิม เพียงแต่คราวนี้มันเจือกระแสตัดพ้อนิดๆ

    “แต่ท่านพี่ก็ไม่เห็นต้องแกล้งน้องแบบนี้เลยนี่!”

    “โลกิ…” นัยน์ตาสีเขียววูบไหวบอกชัดว่าคนพูดกลัวจริงๆ…ธอร์จึงใจอ่อนยวบ รั้งบังเหียนให้ม้าหยุดนิ่ง ก่อนจะรวบตัวน้องเข้ามากอด…โยกร่างบางในอ้อมแขนไปมาอย่างที่ชอบทำเสมอ

    “พี่ขอโทษ…พี่จะไม่ทำแล้ว พี่สัญญาเลย…อย่าโกรธนะ”

    เด็กหนุ่มผมดำถอนหายใจ เสเปลี่ยนเรื่องคุยเพราะไม่อยากยอมรับให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาไม่เคยโกรธเจ้าตัวจริงจังได้สักทีก็เพราะการง้อแบบนี้ “แล้วนี่ท่านพี่จะพาน้องไปไหนกันล่ะ?”

    โลกิมองไปรอบตัว…ทิวทัศน์ที่ล้อมรอบบอกว่าไม่ใช่ทางที่จะเข้าไปสู่ตัวเมืองหรือไบฟรอสต์ ธอร์ยิ้มกับคำถาม…ก่อนจะตอบอย่างดีอกดีใจราวกับรอให้เขาถามมานานแล้ว

    “พี่จะพาเจ้าไปดูอะไรที่สวยมากๆ…” นัยน์ตาสีฟ้าพราวระยับ “แต่ถ้ายังไม่ถึงเวลา…พี่จะไม่บอกหรอกนะว่ามันคืออะไร”

    โลกินึกอยากถอนหายใจกับมุขนี้…ประโยคตายตัวที่พี่ชายไม่เคยจะรู้เลยว่ามันเลิกทำให้เขาตื่นเต้นมานานหลายปีแล้ว แต่ก็ไม่อยากทำให้คนฟังต้องเสียน้ำใจกับการบอกความจริง…จึงยอมทำหน้าออดอ้อนแล้วพูดขอร้อง

    “ไม่เอาสิท่านพี่…บอกน้องมาเถอะ” มือบางเขย่าแขนพี่ชาย “นะ…บอกน้องเถอะนะ”

    โลกิแอบทำหน้าเซ็งตอนที่พี่ชายรวบร่างตนเข้าไปกอดแน่นอีกครั้ง เสียงทุ้มหัวเราะฮุฮิอย่างที่โลกิรู้ดีว่าเจ้าตัวกำลังปลื้มใจไปเองว่าตนช่างเป็นพี่ชายที่ดีและมีน้องชายขี้อ้อนน่ารักแค่ไหน…นึกสงสัยว่าชาวแอสการ์เดียนจะรู้สึกอย่างไรถ้าได้มาเห็นสภาพตอนนี้ของเด็กหนุ่มที่เป็นทั้งองค์รัชทายาทและนักรบอันดับหนึ่ง

    “พี่ยังบอกตอนนี้ไม่ได้จริงๆ” ธอร์พูดหลังปล่อยตัวเขาแล้ว รอยยิ้มยังไม่หายจากริมฝีปาก “น้องจะได้ประหลาดใจไง…ดีไหม?”

    โลกิพึมพำอย่างเบื่อๆ “จะอะไรก็ช่างเถอะ…”

    “หือม์? เจ้าว่าไงนะ” เด็กหนุ่มผมทองเลิกคิ้วเพราะฟังไม่ทัน คำถามที่ทำให้คนพูดรู้สึกตัวว่าพูดอะไรออกไป…รอยยิ้มใสซื่อจึงแย้มพรายอีกครั้ง

    “น้องบอกว่า…งั้นไปต่อเร็วๆ เถอะ”

    ธอร์พยักหน้ารับรู้ รั้งบังเหียนให้ม้าขาวออกเดินอีกครั้ง…ส่วนโลกิก็ทิ้งตัวพิงแผงอกพี่ชาย นึกหวังให้เรื่องประหลาดใจที่อีกฝ่ายอยากจะอวดตนไม่ใช่อะไรไร้สาระอย่างที่มักจะพึงเป็น

    แต่ถึงจะเป็นยังไง…

    เรียวปากสีเรื่อเม้มนิดๆ…สีหน้าครึ่งยิ้มครึ่งบึ้งเมื่อคิดถึงตรงนี้

    จะน่าเบื่อหรือไม่…เขาก็รู้ดีที่สุดว่ามันก็จะดีขึ้นมาได้เสมอแค่มีพี่ชายอยู่ข้างๆ

    *****

    ธอร์บังคับให้ม้าหยุดลงตรงมุมหนึ่งของทุ่งดอกไม้กว้างใหญ่

    โลกิมอบไปรอบๆ… ทุกอย่างเงียบสงบเพราะตัวเมืองโดนทิ้งไว้เบื้องหลัง มีเพียงเสียงใบหญ้าเสียดสีกันดังแผ่วเท่านั้น ดอกไม้ดอกน้อยที่บานเต็มทุ่งเป็นสีขาวอมชมพู…กลีบของมันโดนพัดพรูอยู่ในสายลม ท้องฟ้าเริ่มเป็นสีของอาทิตย์อัสดงแล้วตามเวลาที่ล่วงเลย…ภาพที่เห็นจึงโดนฉาบย้อมด้วยแสงสว่างสีส้มอมทองละมุนตา

    …หากสิ่งที่เปล่งประกายที่สุดไม่ใช่ความงามของธรรมชาติที่เขาเห็น

    พี่ชายส่งยิ้มมาให้ เส้นผมสีทองยุ่งนิดๆ…ในสายตาของเขา มันดูสุกปลั่งเหมือนแสงแดดยามเช้า นัยน์ตาสีฟ้าพริบพราว…เหมือนท้องฟ้าสดใสไร้เมฆบดบัง…เหมือนเกลียวคลื่นซัดแผ่วของทะเล…สีฟ้าแสนสวยที่ทำให้ใจอบอุ่นได้เพียงแค่สบมอง

    เป็นอีกครั้งที่โลกิตระหนักได้ถึงสิ่งเดิม

    พี่ชายของเขา…สง่างามและอบอุ่นเหมือนฤดูร้อนเสียจริง

    “สวยใช่ไหม?” คำถามบอกชัดว่าธอร์ไม่รู้สาเหตุที่ทำให้เขานิ่งไป…เจ้าตัวจึงเดาเอาว่าเป็นเพราะภาพตรงหน้า “พี่บอกแล้วใช่ไหมล่ะว่าเจ้าจะต้องชอบ”

    โลกิพยักหน้าเงียบๆ…เพราะภาพตรงหน้าก็งดงามจริงๆ ดังที่อีกฝ่ายว่า นั่นจึงทำให้รอยยิ้มพอใจของเด็กหนุ่มผมทองกว้างขึ้น เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าก่อนจะดึงบังเหียนให้พวกเขาหลบมาอยู่หลังแนวต้นไม้

    “น่าจะได้เวลาแล้วล่ะ…” เสียงทุ้มกระซิบเบาๆ “ดูเงียบๆ นะโลกิ…เดี๋ยวพวกเขาจะหนีไปถ้ารู้ว่าเราอยู่ตรงนี้”

    โลกิไม่ทันได้ถามว่า ‘พวกเขา’ ในที่นี้คือใคร แต่ภาพตรงหน้าก็เป็นคำตอบให้…แสงสว่างหลายสิบดวงจุดวาบขึ้นกลางอากาศ เด็กหนุ่มมองเห็นรูปร่างในแสงเหล่านั้น…แขนขาเรียวบางและทรงปีกเหมือนผีเสื้อ เสียงทุ้มหวานพึมพำออกมาเบาๆ อย่างเหลือเชื่อ…ไม่คิดว่าตนจะมีโอกาสได้เห็นสิ่งมีชีวิตที่เคยแค่อ่านเจอในเทพนิยายแบบนี้

    “ดิซิร์…”

    ภูตตัวจิ๋วบินกระจายตัวออกจากกลุ่ม…เกล็ดแสงสีขาวพร่างพรูตามจังหวะการขยับปีก เพียงไม่นาน…ดวงไฟวิบวับก็ฉายทั่วทุกมุมทุ่ง ชั่วครู่ผ่านไปราวกับดิซิร์กำลังรอเวลา

    …และโลกิก็ต้องลืมหายใจกับความงามของสิ่งที่เกิดขึ้น

    ดอกไม้ทุกดอกเปล่งแสงละมุนตาออกมา…ทำให้ทั้งทุ่งถูกโอบล้อมไว้ด้วยแสงสีชมพูอมทองนุ่มนวล ประกายแสงทั้งหมดผสมผสานรวมกัน…สดใสเหมือนไอแดดหากก็อ่อนโยนเหมือนแสงจันทร์ ประดับด้วยเหล่าดิซิร์ตัวจิ๋วมากมายที่พริบพราวเหมือนดวงดาว เมื่อรวมกับท้องฟ้าด้านหลังที่เริ่มเป็นสีครามครึ้มแล้ว…คงไม่มีคำใดจะบอกถึงความงามของยามแรกรัตติกาลตอนนี้ได้นอกจากคำว่าภาพฝัน

    เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าเขากำลังทำหน้าประหลาดใจแค่ไหน…แต่มันคงมากพอเท่าที่พี่ชายต้องการ เพราะเสียงทุ้มพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ข้างหู

    “อย่าเพิ่งประหลาดใจขนาดนั้นโลกิ…” มือใหญ่โอบให้เขามองตาม “…ดูนั่นสิ”

    เหล่าดิซิร์เริ่มต้นร่ายรำ ถึงจะมองออกเพียงแค่เป็นประกายแสงที่เคลื่อนตัวไปมาเป็นจังหวะ…แต่มันก็น่าพิศวงจนไม่อยากละสายตา ภาพต่อมาทำให้เสียงลมหายใจติดขัดของเขาดังชัด แต่โชคดีที่ไม่มากพอจะทำให้บรรดาภูตจิ๋วรู้ตัว…ยิ่งจังหวะการร่ายรำรวดเร็วขึ้น แสงของดอกไม้ก็ดูจะส่องสว่างขึ้นตามไปด้วย ก่อนที่สุดท้าย…กลีบดอกไม้มากมายจะปลิดปลิว หากยังหมุนวนอยู่ในกระแสลม…ย้อมให้บรรยากาศกลายเป็นสีชมพูอมทองเรืองรองละมุนตา

    เหล่าดิซิร์หยุดการร่ายรำ…ก่อนที่จะเริ่มบินขึ้นสูง กลีบดอกไม้ทั้งหมดลอยขึ้นตามไปด้วย…สายลมทวีความรุนแรงจนต้องหลับตา และเมื่อโลกิลืมตาขึ้นอีกครั้ง…ภูตจิ๋วทั้งหมดและกลีบดอกไม้เปล่งประกายสีชมพูอมทองก็หายวับไปราวกับไม่เคยมี เด็กหนุ่มผมดำพูดอะไรไม่ออก… กวาดตามองทุ่งที่ตอนนี้สงบไร้สิ่งใดนอกจากดอกไม้และใบหญ้าอย่างไม่อยากเชื่อ

    ทุกอย่างดูยาวนานหากก็จบลงในวินาทีสั้นๆ…เหมือนภาพฝันลวงตาในค่ำคืนฤดูร้อน

    จริงสิ…

    โลกินึกได้เมื่อคิดมาถึงตรงนี้…เขาลืมไปเสียสนิทว่าดิซิร์จะออกมาร่ายรำในคืนแรกของฤดูร้อนเพื่อเป็นการต้อนรับฤดูใหม่ที่มาถึงและบอกลาฤดูใบไม้ผลิที่กำลังจะจากไป นัยน์ตาสีเขียวมองไปที่กลุ่มดอกไม้…กลีบของมันน้อยลง หากลำต้นดูจะเป็นสีเข้มมากขึ้น…บ่งบอกให้รู้ว่าพร้อมจะให้ผลในฤดูร้อนแล้ว

    ธอร์สังเกตได้ถึงสายตาของเขาที่เพ่งมองดอกไม้ เสียงทุ้มหัวเราะแผ่วๆ “เจ้าอ่านหนังสือเยอะแยะขนาดนั้นแท้ๆ…ลืมเรื่องดิซิร์กับคืนแรกของฤดูร้อนได้ยังไงกัน?”

    “น้องไม่ได้ลืม…” ความสวยงามที่เพิ่งได้เห็นทำให้เขาไม่คิดจะดื้อรั้นกับพี่ชาย “เพียงแต่มันสวย…สวยมาก…”

    ร่างสูงลอบมองคนในอ้อมแขนเงียบๆ…ทั้งๆ ที่ความประหลาดใจระบายในสีหน้า โลกิกลับดูสงบนิ่งอย่างประหลาด ผิวขาวดูขาวจัดกว่าเดิมในแสงสลัวของค่ำคืนที่เริ่มโรยตัวกับนัยน์ตาสีเขียวจ้องไปข้างหน้าแบบแทบไม่กระพริบ…เด็กหนุ่มผมทองเพิ่งตระหนักได้ว่าน้องชายของเขาดูเหมือนรูปสลักที่ทุกรายละเอียดอ่อนช้อยสมบูรณ์แบบ หากแก้มแดงๆ ที่เกิดจากความตื่นเต้นและสัมผัสอบอุ่นก็บอกให้รู้ว่าคนในอ้อมแขนมีตัวตนจริงๆ

    “ท่านพี่…”

    เสียงเรียกทำให้ธอร์ตื่นจากภวังค์…รีบไล่ความคิดแปลกประหลาดที่ทำให้ใจเต้นออกไป แต่ก็พบว่ามันเหมือนจะไม่สร้างความแตกต่างอะไร ความคิดเดิมจากไปเพียงเพื่อจะให้ได้พบกับความคิดใหม่เท่านั้น…เมื่อร่างบางของน้องชายเอนหลังเข้ามาแนบชิดกับแผ่นอกของเขา เสียงพูดไม่เจือกระแสดื้อรั้นทุกที…มันออกจะออดอ้อนและอ่อนหวานเสียด้วยซ้ำ

    ธอร์เตือนให้ตัวเองส่งเสียงตอบรับในลำคอออกไป…หัวใจยังคงเต้นแรงเมื่อได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากเรือนผมนุ่มสีราตรี

    “น้องอยากบอกว่า…” เสียงพูดแผ่ว…ทั้งชวนให้รู้สึกหวานไหวและเอ็นดู เพราะความงัวเงียเจือชัดอยู่ในนั้น “ขอบคุณที่ท่านพี่พาน้องมาดู…ดิซิร์กับดอกไม้สวยมาก แล้วน้องก็ดีใจที่ได้มาดูกับท่านพี่”

    “อืม…” ธอร์รับคำสั้นๆ…พยายามคิดหาคำพูด “พี่ก็…พี่คิดว่า…ไหนๆ คืนแรกของฤดูร้อนมันก็มีแค่ครั้งเดียวในรอบปีนี่นะ…แล้วเจ้าก็ชอบอ่านพวกเทพนิยายอยู่แล้วด้วย…”

    ประโยคสับสนหายไปดื้อๆ เมื่อน้องชายหยัดตัวขึ้น…มือบางแตะที่ข้างแก้มของเขา ก่อนที่จะประทับริมฝีปากเบาๆ…สัมผัสนุ่มนวลไร้เดียงสา หากทำให้ใจเต้นแรงมากเกินไปอย่างไม่น่าจะเป็น

    “ไม่ใช่หรอก…” ปลายนิ้วเย็นๆ นั้นยังคงแตะไล้อยู่ที่ข้างแก้มแม้เจ้าตัวจะถอนริมฝีปากไปแล้ว…นัยน์ตาสีเขียวพราวระริกเหมือนหยกเนื้อดียามกระซิบคำ “…ฤดูร้อนของน้อง…อยู่กับน้องมาตั้งนานแล้ว”

    โลกิหายใจยาวๆ ออกมาเมื่อสัมผัสได้ถึงจุมพิตของพี่ชายที่ประทับตรงหน้าผาก…กระแสลมยามดึกไม่ทำให้รู้สึกหนาวเย็นเพราะมีท่อนแขนอบอุ่นโอบรอบ จังหวะการเหยาะย่างแผ่วเบาของม้าซ้ำไปซ้ำมาจนชวนให้ง่วงงุน ร่างบางทิ้งตัวตามสบายในอ้อมอกของพี่ชาย…เชื่อใจว่าคนคนนี้จะไม่มีวันปล่อยให้ตนได้รับอันตรายใดๆ

    ดวงตาสีน้ำทะเลค่อยๆ หลับลงเมื่อฝืนไม่ไหว…ก่อนจะปล่อยให้ตัวเองจมลงสู่ความฝันอบอุ่นสดใสเหมือนฤดูร้อนสีทอง

    Fin.

    ***************************************

    29.05.2012

    REMARKS

    1. กลอนที่ใช้ตอนเปิดเรื่อง เป็นซอนเนตลำดับที่สิบแปดของท่านเขย่าหอก(เชคสเปียร์)ค่ะ

    อ่านอีกสักรอบก่อนถอดความ

    Shall I compare thee to a summer’s day?
    Thou art more lovely and more temperate.
    Rough winds do shake the darling buds of May,
    And summer’s lease hath all too short a date.
    Sometime too hot the eye of heaven shines,
    And often is his gold complexion dimmed;
    And every fair from fair sometime declines,
    By chance, or nature’s changing course untrimmed.
    But thy eternal summer shall not fade
    Nor lose possession of that fair thou ow’st;
    Nor shall death brag thou wand’rest in his shade,
    When in eternal lines to time thou grow’st,
    So long as men can breathe or eyes can see,
    So long lives this, and this gives life to thee.

    ควรไหมที่ข้าจะเปรียบเจ้ากับวันในฤดูร้อน?

    เจ้าสวยงามและสงบนิ่งกว่านั้น

    เพราะสายลมโหมกระหน่ำทำลายยอดอ่อนในเดือนพฤษภาคม

    และฤดูร้อนนั้นก็แสนสั้น จากไปอย่างรวดเร็ว

    บางเวลา…ดวงอาทิตย์ก็ฉายฉานเกินพอดี

    หากบางที…กลุ่มเมฆก็บดบังแสงแดดเสียสิ้น

    และความงามของทุกสิ่งย่อมหมดไปเมื่อถึงเวลา

    ตามครรลองของธรรมชาติที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลง

    แต่ฤดูร้อนอันเป็นนิรันดร์ของเจ้าจะไม่มีวันเลือนจาก

    ไม่สูญสลายความงามที่มี

    หรือโดนความตายครอบครอง

    เพราะเจ้าจะเป็นอมตะในถ้อยกวีของข้า

    ตราบเท่าที่ผู้คนยังคงอยู่และรับรู้

    ตราบเท่านั้นที่บทกวีจะยืนยาว…และเจ้าที่จะเป็นนิรันดร์

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in