หลังจากพวกเรา (ผม,แมน,จั้ม) 3 คนไปพิชิตยอดภูเขาไฟฟูจิมา ในปลายปีเดียวกัน ผมบังเอิญเปิดเว็บไซต์ๆ หนึ่งขึ้นมาเกี่ยวกับการปีนเขา ได้เจอภาพๆ หนึ่งที่ทำเป็น infographic ไว้เกี่ยวกับเส้นทางการเดินป่าของเมืองไทย
credit: thenorthface
จากนั้นได้คุยกันเพื่อตกลงว่าเราจะไปเดินป่าที่ไหน ตามลิสต์ทั้ง 12 นี้ ผมอยากไปดอยหลวงเชียงดาว ซึ่งเคยได้เห็นภาพจาก facebook และ ig มันเป็นยอดเขาที่สวยงามมาก ผมจึงเสนอว่าเราไปดอยหลวงเชียงดาวกัน แต่เมื่อได้คุยกันทั้ง 3 คน คุยกันไปคุยกันมา จนสุดท้ายตกลงกันว่าเราจะไปเดินป่าที่สูงลำดับที่ 3 ของเมืองไทย คือภูสอยดาวที่มีระดับความสูง 2,102 เมตร ไม่น่าจะยากเพราะพวกเราผ่านยอดเขาที่ 3,000 กว่าเมตรมาแล้ว ณ ตอนนั้นหึกเหิมกันมาก
เมื่อตกลงพร้อมใจกันเรียบร้อย ก็หาวันที่เราสะดวกจะเดินทางกัน ถ้าจำไม่ผิดเป็นวันที่ 29-30 ธันวาคม ปลายปี อากาศน่าจะกำลังหนาวเย็น เห็นทะเลหมอกล่องลอยตัดผ่านทิวเขาอย่างสวยงาม (นี่คือจินตนาการที่คิดไว้ก่อนเดินทาง) ขอเพิ่มสาระนิดหนึ่งครับ *อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว มีพื้นที่ครอบคลุมอยู่ในท้องที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าน้ำปาด ท้องที่ตำบลม่วงเจ็ดต้น ตำบลนาขุม ตำบลบ้านโคก อำเภอบ้านโคก อำเภอห้วยมุ่น อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ ตำบลบ่อภาค อำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก เป็นพื้นที่ที่มีสภาพป่าค่อนข้างสมบูรณ์ปกคลุมไปด้วยป่าธรรมชาติที่สวยงาม เป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร มีจุดเด่นที่น่าสนใจและเป็นที่ดึงดูดใจของนักท่องเที่ยว ได้แก่ น้ำตกภูสอยดาว เป็นน้ำตก 5 ชั้น มีเนื้อที่กว้างประมาณ 1,000 ไร่ มีความสวยงามมาก มีถนนลาดยาง เข้าถึงพื้นที่ทำให้สะดวกสบายในการเดินทางพักผ่อนหย่อนใจ อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว มีเนื้อที่ประมาณ 212,633 ไร่ หรือ 340.21 ตารางกิโลเมตร credit:http://park.dnp.go.th/visitor/nationparkshow.php?PTA_CODE=9114
ผมออกเดินทางจากบ้านต่างจังหวัดก่อนวันจริง เพื่อไปรวมตัวกันที่แฟลตของเพื่อนๆ ที่ดอนเมือง เราตกลงกันว่าจะขับรถจากกรุงเทพฯ ตรงไปอุทยานแห่งชาติภูสอยดาวเอง โดยทางอุทยานแจ้งว่าควรจะมาถึงที่ทำการฯ ก่อนเวลาบ่ายสองเพราะว่าระยะทางที่เราต้องเดินจากตีนเขาไปถึงลานสนจุดที่เราต้องกางเต๊นท์กันประมาณ 5-6 กิโลเมตร หรือใช้เวลาประมาณ 4-5 ชั่วโมง ถ้าเราออกเดินช้าเกินไปจะทำให้ไม่ทันดูดวงอาทิตย์ตกดิน และอันตรายมากจะมองไม่เห็นเส้นทางเลยถ้ามืดเกินไป เราคาดการณ์เวลาขับรถจากกรุงเทพถึงอุทยานประมาณ 7-8 ชั่วโมง ถ้าเราเดินทางเวลาตีสี่ก็น่าจะถึงอุทยานประมาณเที่ยงตรง ซึ่งน่าจะเป็นเวลาที่พอเหมาะ กำลังดี ถึงวันเดินทางพวกเราออกจากรุงเทพฯ เวลาประมาณตีสี่ ท้องฟ้ามืดสนิท ล้อเริ่มหมุนจากซอยเล็กๆ ในหมู่บ้านแถวดอนเมือง ถนนยามเช้ามืดแบบนี้ขับง่ายไม่ค่อยมีรถวุ่นวาย ระหว่างทางเราได้มีการจอดแวะพักตามปั้มน้ำมันตลอดทาง นั่งรถไปเรื่อยๆ จนผมหันมาดูนาฬิกา ตอนนี้เป็นเวลาประมาณบ่ายโมงนิดๆ ผมซึ่งนั่งอยู่ข้างคนขับได้บอกเวลากับเพื่อนแมนที่ขับรถมาให้ตลอดทาง ทุกคนตอนนี้เริ่มกังวลเรื่องระยะทางกับเวลา เพราะดูจาก google map แล้วมันน่าจะถึงที่ทำการประมาณบ่ายสองพอดี ทำให้ต้องเร่งเครื่องเร็วขึ้นเพื่อให้ทันการ แต่ก็ไม่สามารถไปได้เร็วอย่างที่เราต้องการเพราะว่าเส้นทางค่อนข้างคดเคี้ยวมาก ยิ่งใกล้ที่ทำการเส้นทางยิ่งคดเคี้ยว ในที่สุดเมื่อเราถึงที่ทำการ ผมกับเพื่อนจั้มรีบออกจากรถ เพื่อวิ่งไปที่จุดลงทะเบียน เวลาประมาณบ่ายสองสิบนาที เมื่อถึงจุดลงทะเบียนเจ้าหน้าที่บอกว่า "หมดเวลาขึ้นเขาแล้วค่ะ" ผมกับจั้มหันหน้ามามองด้วยความหมดหวัง พร้อมกับความเหนื่อยล้า แต่เวลาแค่เสี้ยววินาที เราตัดสินใจไปขอร้องเจ้าหน้าที่อีกครั้ง เราบอกกับเจ้าหน้าที่ว่าสามารถขึ้นเขาได้ทันเวลาแน่นอน ชักแม่น้ำทั้งห้า ถึงขนาดต้องเอารูปที่เราไปปีนเขาที่ญี่ปุ่นขึ้นมาให้เจ้าหน้าที่ดู (นึกถึงที่ไร ขำตัวเองทุกที) "แล้วมากันกี่คน" เจ้าหน้าที่ถาม "มากัน 3 คนครับ ผู้ชายหมดเลย และมีกระเป๋าแค่คนละใบกับเต๊นท์ 1 หลังเล็ก" ผมตอบกลับ เจ้าหน้าที่หันมาตอบว่า งั้นต้องรีบขึ้นไปด่วนเลยนะ ให้ทันกลุ่มสุดท้ายด้วย แล้วต้องการลูกหาบไหม ผมตอบว่าขอคนเดียวครับ จากนั้นเมื่อทำเอกสารเสร็จเรียบร้อย เรารีบออกเดินทางและขอถ่ายภาพ ณ จุดเริ่มต้นไว้สักหน่อย
เราเริ่มเดินทางเวลาประมาณบ่ายสองครึ่ง เราทั้งสี่คน รวมลูกหาบหนึ่งคนรีบเดินอย่างรวดเร็ว เส้นทางเดินป่าของภูสอยดาวค่อนข้างเดินง่าย แต่มีสลับกับการขึ้นลงเขาอย่างต่อเนื่อง
เราต้องเร่งฝีเท้าเพื่อให้ทันกลุ่มสุดท้าย เพราะถ้าช้ากว่านี้จะทำให้ถึงยอดเขาไม่ทันดวงอาทิตย์ตกดิน และอันตราย หลังจากเดินมาเรื่อยๆ เรามาพักที่เนินส่งญาติประมาณ 5 นาที ต่อด้วยเนินปราบเซียน ตามชื่อเลยครับ เหนื่อยมากๆ
สังเกตสีหน้าเพื่อนแมน ไม่ต้องบอกกูรู้ว่าเราถูกปราบเซียนจริงๆ เราหยุดพักที่เนินปราบเซียนเพื่อมาเติมพลังงานกันสักหน่อย ใช้เวลาประมาณ 15 นาที จากเนินนี้เราเดินทางต่อไปเนินป่าก่อซึ่งระยะทางประมาณ 2,000 เมตร พวกเราเริ่มเดินช้าลงๆ ลูกหาบของเราเริ่มเดินห่างออกไปเรื่อยๆ จนมองไม่เห็น เราเดินกันไปเรื่อยๆ ตอนนี้บรรยากาศค่อนข้างเงียบ ได้ยินเสียงนกร้องตลอดทาง พวกเรารีบเดินอย่างไม่หยุดหย่อน ไม่มีใครพูดจาอะไรทั้งนั้น เพื่อให้ทันดวงอาทิตย์ก่อนจะลาลับขอบฟ้า เราผ่านเนินป่าก่อ ก็เดินมาเจอกับลูกหาบของเราที่ยืนรออยู่ เรามาหยุดพักที่เนินเสือโคร่ง
จากเนินเสือโคร่งถึงยอด ระยะทางประมาณ 2 กิโลกว่าๆ ณ ตอนนี้เราคิดว่าคงจะขึ้นถึงยอดไม่ทันดวงอาทิตย์ เมื่อมันไม่เป็นอย่างที่คาดหวัง เราก็แค่ยอมรับมันและเดินต่อไปให้ถึงจุดหมาย แต่สิ่งที่สำคัญคือเรามัวแต่เร่งฝีเท้าก้มหน้าก้มตาเดินอย่างไม่หยุดหย่อน จนลืมหันไปมองสิ่งแวดล้อม บรรยากาศที่อยู่รอบตัวเรา มันสวยงาม ธรรมชาติสร้างสรรค์สิ่งต่างด้วยความไม่ตั้งใจ มันสวยงามกว่าตึกระฟ้าที่บรรจงสร้างขึ้นมาซะอีก (นี่คิดเองนะ) จากจุดนี้เราเริ่มเดินช้าลงๆ ไม่ใช่เหตุผลเท่ห์ๆอะไรหรอก แต่เราเหนื่อยแล้ว 55 ระหว่างทางก็ขอซึมซับบรรยากาศซะหน่อย
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in