เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ครูบ้าเที่ยวBird Thanapong
ดินแดนเมืองน้ำหอม
  • การเดินทางครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อเมษายนปี 2018 พี่สาว(พี่เชอรี่) ได้ชวนผมไปเที่ยวที่ประเทศฝรั่งเศสที่ที่พี่สาวได้ทำงานอยู่ ก็เลยถือโอกาสไปเยี่ยมเยียนด้วยเลย หลังจากไม่ได้เจอกันประมาณ 2 ปี การเตรียมตัวเดินทางครั้งนี้ไม่ค่อยยากสักเท่าไหร่สำหรับการขอวีซ่าเชงเก้น สำหรับท่องเที่ยวยุโรป *สาระนิดหนึ่งวีซ่าเชงเก้น (Schengen Visa) ถือกำเนิดมาจากข้อตกลงระหว่างประเทศในทวีปยุโรปที่อนุญาตให้พลเมืองของประเทศสมาชิกสามารถเดินทางระหว่างกันได้โดยไม่ต้องถือหนังสือเดินทาง ซึ่งรวมไปถึงการอนุญาตให้เดินทางเป็นการชั่วคราวให้กับผู้ที่ถือวีซ่าเชงเก้นด้วย โดยปัจจุบันประเทศที่อยู่ในข้อตกลงเชงเก้นนั้นมี 26 ประเทศ ซึ่งมีทั้งประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป (EU) และประเทศที่ไม่ใช่สมาชิก แต่สิ่งสำคัญที่ควรทราบอย่างหนึ่งคือ วีซ่าเชงเก้นไม่สามารถใช้เข้าประเทศในกลุ่มสหราชอาณาจักร ซึ่งได้แก่ อังกฤษ สกอตแลนด์ เวลส์ และไอร์แลนด์ได้            ข้อมูลจาก https://www.skyscanner.co.th/news/how-to-apply-shengen-visa

    รายละเอียดต่างๆ ดูได้จากอินเตอร์เนต ผมขอข้ามเลยละกัน เมื่อวีซ่าผ่านเรียบร้อย พี่สาวดีใจมากเพราะวีซ่าคือด่านแรกของการได้พบกันในครั้งนี้ จากนั้นพี่สาวก็ได้ช่วยเตรียมการเรื่องสถานที่เที่ยว ซึ่งแน่นอนว่ามายุโยปทั้งทีเราต้องเดินทางข้ามประเทศในกลุ่ม EU ได้ง่ายเหมือนขับรถข้ามจังหวัด EU มันดีอย่างนี้นี่เอง (asian ก็สามารถขับรถข้ามไปมาได้นะ) พี่สาวได้ถามผมว่าอยากไปที่ไหนเป็นพิเศษ แน่นอนหลายคนอาจจะอยากไปสถานที่แลนด์มาร์ก ที่นักท่องเที่ยวในสถานที่ที่คนส่วนใหญ่ต้องไป แต่คำตอบของผมคือ อยากไปเยือนภูเขาสักลูก แน่นอนว่าขึ้นชื่อว่ายุโรป หลายคนคงเคยได้ยินเทือกเขาแอลป์ ซึ่งกินพื้นที่หลายประเทศในยุโรป และฝรั่งเศสก็เป็น 1 ในนั้น และเราสามารถไปยืนบนกระจกแบบในรูปได้เลย  


    แต่เนื่องจากสถานที่ที่ต้องขึ้นเขานั้นไกลจากรุงปารีส แล้วก็มีค่าใช้จ่ายแพงด้วย แต่พี่สาวของผมก็หาสถานที่อื่นๆ มาทดแทนได้และสวยไม่แพ้กันเลย ต้องขอบคุณมากๆ เลยครับ หลังจากที่เราคุยเรื่องสถานที่เสร็จเรียบร้อย การเดินทางมาที่ยุโรปครั้งนี้ผมใช้เวลา 2 อาทิตย์ วันแรกของการเดินทาง ผมลงมาเหยียบที่สนามบินชาร์ล เดอ โกลด์ ประเทศฝรั่งเศส เวลาประมาณ 11 โมงเช้า พี่สาวและพี่แพทริก(สามีของพี่สาว) มาต้อนรับอย่างดี เราเริ่มเดินทางกันสองคนในวันแรก เพราะพี่แพทริกติดธุระ เดี๋ยวจะตามไปตอนเย็นๆ พี่สาวถามว่าจะพักก่อนไหม เนื่องจาก jet lag ผมตอบทันทีว่าไม่ต้อง ไปเที่ยวเลย ไม่ใช่เพราะแข็งแรงนะ แต่มันอยากไปข้างนอก ไปเจอบรรยากาศที่ไม่คุ้นเคย วันนี้เราเดินทางไปที่มหาวิหารซาเคร-เกอร์(The Basilica of the Sacred Heart of Paris) 

                                  มหาวิหารซาเคร-เกอร์

                       บริเวณด้านหน้าของมหาวิหารซาเคร-เกอร์ 


    บริเวณรอบๆ ของมหาวิหารซาเคร-เกอร์ ก็มีการแสดงดนตรีเปิดหมวกเล็กๆ ผมบันทึกไว้ไม่ทันตอนเริ่ม ได้มาแค่นี้ และยังมีงานโชว์ด้านศิลปะอีกมากมาย ซึ่งผมก็เข้าไม่ค่อยถึงสักเท่าไหร่ 55

    ตลอดเวลาช่วงบ่าย เราเดินสำรวจเมืองไปเรื่อยๆ ต่อด้วย ประตูชัยฝรั่งเศส (Arc de Triomphe) นั้นถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางทางประวัติศาสตร์ในกรุงปารีส เมืองหลวงที่เเสนจะงดงามเเละมีบรรยากาศที่สุดเเสนจะโรเเมนติก เพราะมันเป็นเหมือนจุดศูนย์กลางของปารีส ที่ถนนทุกสายนั้นจะเริ่มเต้นเเละสิ้นสุดที่ประตูชัยเเห่งนี้ เเถมยังเป็นเส้นทางที่ตรงจากสวนของพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ไปยังชานกรุงปารีส อีกด้วย เเละเป็นอีกหนึ่งในเเลนด์มาร์คที่ใครมาเที่ยวปารีสเเล้วต้องไม่พลาดเเวะมาถ่ายภาพเป็นทีระลึกให้ได้เลยทีเดียว

    ยืนมองความยื่งใหญ่ ซึ่งประตูนี้เมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพนาซีนำโดยผู้นำฮิตเลอร์(แค่นี้พอ ใครสนใจไปหาเพิ่มเองนะ) 

                                        credit: https://www.instagram.com/p/Bg8WVoZnlNh/

    จนเมื่อพี่แพทริกมารับ เราเดินทางต่อไปยังสถานที่ๆ หลายคนรู้จักดี คือ “ลา ตูค์ อิฟเฟล” (La Tour Eiffel) ในภาษาฝรั่งเศส หรือ หอไอเฟล ถือเป็นสัญลักษณ์ของประเทศฝรั่งเศส ใครที่มาเที่ยวปารีสเป็นต้องไม่พลาดการถ่ายรูปคู่กับหอไอเฟล หอไอเฟลเป็นหอคอยสร้างด้วยโครงเหล็ก สูงถึง 300 เมตร ตั้งอยู่บนถนน ชองป์ เดอ มารส์ บริเวณแม่น้ำแซน ในกรุงปารีส หอคอยแห่งนี้เป็นเสมือนสัญญลักษณ์ของประเทศฝรั่งเศส ตั้งชื่อตามสถาปนิกผู้ออกแบบ คือ“กุสตาฟ ไอเฟล” เป็นวิศวกรและสถาปนิกชาวฝรั่งเศส เป็นปรมาจารย์ในด้านการก่อสร้างด้วยเหล็กและมีความสามารถในการสร้างสะพาน เป็นต้น (ข้อมูลจาก http://eurofollowme.com)


                                  พี่สาวและพี่แพทริก

    จนเมื่ออากาศเริ่มเย็นลง เราเดินทางกลับบ้าน ซึ่งบ้านที่พี่สาวและครอบครัวพักอยู่นั้น อยู่ด้านนอกของเมืองปารีส เราต้องนั่งรถไฟออกมา ซึ่งระหว่างที่นั่งรถไฟนั้น ผมได้สังเกตว่าประชากรส่วนใหญ่นั้นไม่ใช่คนฝรั่งเศส มีหลายคน หลายชาติ หลายศาสนา แต่ต้องจากบ้าน จากคนที่รัก เดินทางมาทำงานเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ตกดึกร้านค้าต่างๆ ปิดสนิท ไม่มี 7-11 เหมือนบ้านเรา นี่อาจเป็นมุมมองของผมเองคนเดียว ไม่มีถูก ไม่มีผิด เสน่ห์ของการเดินทางด้วยตัวเองคือ เราได้ไปในสถานที่ที่แปลกใหม่ ได้เห็นผู้คนในด้านที่คนอื่นมองไม่เห็น มันต่างกับการไปกับกลุ่มทัวร์ ที่ไกด์ต้องพาไปยังสถานที่ที่มีแต่นักท่องเที่ยว หรือกระทั่งมาทำงานเอง เจ้าภาพเองต้องจัดแจงพาเราไปยังสถานที่ที่เจริญๆ เท่านั้น คิดไปคิดมาพี่สาวก็เดินมาบอกว่า ถึงแล้วเตรียมลงรถไฟ จากนั้นก็นั่งรถบัสต่ออีกนิดหน่อยก็ถึงบ้าน .........to be continued


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in