เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ชีวิตวัยเด็กของเราlookputty
ครอบครัว


  • ทุกคนต่างมีครอบครัวที่แสนสุขไม่เหมือนกัน บางคนก็อบอุ่น รักใคร่กลมเกลียวกับพ่อแม่ หอมแก้มสากของผู้เป็นพ่อ หรือหอมแก้มนิ่มของผู้เป็นแม่ เอ่ยปากบอกรักกันและกัน แสดงถึงความเป็นห่วงเป็นใย


    แตกต่างจากภัทรที่โตมากับครอบครัวที่เริ่มมีการทะเลาะเบาะแว้งแทบทุกๆ วัน บางวันก็ดี บางวันก็ร้าย


    ภัทรโตมากับการเห็นภาพอุจาดตาที่เห็นผู้ใหญ่มีอะไรกัน ไม่ว่าจะเห็นจากฝ่ายข้างบ้าน หรือตอนตัวเองตื่นนอนและได้ยินเสียงอื้ออึงของพ่อกับแม่


    ใช่ ภัทรตื่นมาเห็นพ่อแม่มีอะไรกันใต้ผ้านวมอยู่บนตั่งเตียง ตอนนั้นภัทรยังอยู่วัยประถมหนึ่งหรือสองได้ นอนอยู่ที่ฟูกกับพื้นกับน้องๆ สามคน ภัทรเป็นประเภทที่ตื่นได้ง่ายมากหากได้ยินเสียงรบกวนเวลานอน แรกเริ่มภัทรงุนงงไม่ใคร่รู้เท่าไรหรอก ก่อนจะเรียกชื่อแม่เพราะได้ยินเสียงครวญครางของแม่ที่ทำให้ภัทรหวาดกลัวว่าแม่จะถูกทำร้ายจากพ่อ 


    แต่เปล่า มันก็แค่การมีเพศสัมพันธ์ของฝ่ายชายและฝ่ายหญิง เรื่องราวเหล่านี้ไม่ได้น่ารังเกียจหากทำความเข้าใจและเรียนรู้ไปกับมัน เพียงแต่วัยของภัทรเป็นช่วงที่ยังไม่ประสีประสา อีกทั้งที่เล่าอยู่นี้ภัทรก็ไม่รู้ว่าพ่อแม่จะโกรธไหม แต่ภัทรอยากบอกว่าภัทรจำได้ทุกอย่าง ภัทรไม่รู้พ่อแม่จะโกรธเกลียดที่ภัทรเอาเรื่องพวกนี้มาลงเผยแพร่สาธารณะไหม แต่พ่อแม่ เรื่องพวกนี้มันเป็นสิ่งปกติ และภัทรในตอนนี้ก็ยอมรับได้แล้ว มันใช่ที่ภัทรไม่ควรเอามาเผยแพร่ไม่ใช่เรื่องเลย แต่ในทางกลับกัน ภัทรอยากให้มองในมุมภัทร


    ภัทรอยากให้พ่อแม่ลองมุมมองของภัทรและคิดว่ามันเป็นสิทธิของภัทรที่จะได้เล่าเรื่องครอบครัวของเราเป็นอุธาหรณ์ หรือถือเสียว่าประสบการณ์ที่ภัทรเจอมาเป็นเครื่องเตือนใจทุกคนที่ได้อ่าน หรือครอบครัวอื่นๆ ได้รับรู้


    หลายสิ่งหลายอย่างภัทรไม่เคยบอกให้พ่อกับแม่ได้เข้าใจ เพราะทุกวันนี้ภัทรกลัว และภัทรก็ไม่อยากให้พ่อแม่ที่เอ็นดูเป็นห่วงเป็นใยภัทรในตอนนี้ต้องเครียดตาม แต่หากเมื่อไหร่เรื่องนี้เกิดมันดังหรือมีคนรู้เข้า ก็ถือเสียว่าภัทรได้บอกพ่อแม่ผ่านตัวอักษรกับเรื่องที่กักเก็บตลอดมาก็แล้วกัน


    ภัทรคิดมาเสมอตั้งแต่เด็กว่าพ่อแม่ควรเลิกกัน เหตุผลก็เพราะบ้านเราเริ่มใช้ความรุนแรงและการด่าทอจนภัทรจำมันได้ขึ้นใจ ครั้งหนึ่งภัทรเคยโกหกแม่ที่เครียดจัด ตอนนั้นน้องชายคนที่สามเพิ่งอายุสามสี่ขวบ พงศ์มันยังเด็กตัวเล็กๆ ณ เวลานั้นภัทรแย่งดูหนังกับหมวยเพื่อเปลี่ยนช่องการ์ตูนจนรีโมทมันกระเด็นไปตกแตก จริงๆ มันก็แค่เปิดจนถ่านหลุดออก แต่วันนั้นภัทรในตอนนี้เข้าใจแล้วว่าแม่คงเครียดจากปัจจัยหลายๆ สิ่ง ภัทรไปบอกแม่ว่ารีโมทพังด้วยความกล้าๆ กลัวๆ


    แม่จำได้ไหมว่าแม่เข้ามาด้วยสีหน้าแบบไหน และโมโหพ่อเรื่องอะไรอยู่ ตอนนั้นแม่ถามว่าใครเป็นทำ และเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ภัทรเกลียดตัวเองมากที่สุด มันเป็นการโกหกครั้งแรกของภัทรที่ชี้นิ้วไปที่น้องชายคนที่สามพร้อมกับหมวย


    เราต่างเป็นคนผิดแท้ๆ แต่กลับโบ้ยความผิดเพราะความกลัว แม่ถึงได้ทำอะไรเพื่อเตือนพวกเราหากยั่วโมโห ภัทรรู้ว่าคงเครียดอะไรมา แต่ตอนนั้นภัทรเกลียดตัวเองจนตอนนี้ยังอยากย้อนไปไปเป็นน้องแทน 


    แม่หยิบทั้งเชือกมัดแขวนกับเพดานไม้ มันเป็นห่วงและมีเก้าอี้ที่ให้น้องชายที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ขึ้นไปยืน ก่อนที่แม่จะถีบมันลงและทำให้น้องหายใจไม่ออก ภัทรจำภาพนั้นได้ติดตา สีหน้าน้องที่หายใจไม่ออก มันทรมานมากจนตอนนี้ภัทรที่พิมพ์อยู่เริ่มร้องไห้และโกรธเกลียดตัวเอง มันดีที่แม่ได้สติภายในเสี้ยววิ และรีบอุ้มน้องออกจากเชือก หลังจากนั้นก็ปล่อยให้ลูกของแม่ไปนอนดังเดิม ก่อนที่แม่จะปรับช่องให้เราที่เกี่ยงกันไปมา เหตุผลตอนนั้นเพราะภัทรอยากให้น้องชายได้ดูเรื่องที่ชอบ พอจบจากการทำร้าย และแม่เดินกลับออกไปจากห้องเพื่อทำกับข้าวต่อ ตอนนั้นภัทรกับหมวยก็รีบกอดน้องคนที่สาม พร้อมพร่ำบอกขอโทษน้องไม่หยุดปาก ภัทรไม่รู้ว่าน้องจะจำได้ไหม แต่ภัทรนั้นจำได้ดี


    แม่ มันไม่ใช่ความผิดแม่หรอกที่ทำลงไป แม่ก็แค่เครียดจากหลายๆ อย่างที่ลูกๆ ไม่เข้าใจ แถมยังสร้างปัญหา แม่ป่วยเหมือนกับภัทร เพียงแต่ ณ ตอนนั้นยังไม่ได้รักษาอาการ แม่แค่เครียดจากไมเกรนและมีเรื่องว้าวุ่นกังวลใจ


    ความผิดมันคือภัทรเองที่โกหกแม่ก่อน มันจะดีด้วยซ้ำถ้าหากภัทรโดนเชือกในตอนนั้นแทน

    รู้ไหม หลังจากที่น้องร้องไห้จนหลับไป ภัทรวันนั้นลองกดหมอนแนบกับหน้าตัวเองดู คิดดูสิเด็กคนหนึ่งที่อายุไม่กี่ขวบ แต่กลับเริ่มคิดสั้นอยากลองทรมานเหมือนที่น้องชายโดน ภัทรกดหมอนอยู่นานจนตัวเองเริ่มดีดดิ้นหายใจไม่ออก สาแก่ใจภัทรถึงจะดึงหมอนออกเพื่อสูดอากาศหายใจ


    ภัทรก็แค่อยากรู้สึกเหมือนที่น้องได้รับ ทั้งยังลองบีบคอคอตัวเองเพื่อหวังจะสร้างรอยแดง

    ภัทรที่เล่าเรื่องนี้ ก็แค่อยากบอกเพราะรู้สึกผิด


    กลับมาเรื่องเพศที่ภัทรมักจะเห็นบ่อยๆ พ่อแม่คงจำได้ว่าภัทรแทบตื่นตลอดทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเหล่านั้น สำหรับภัทรมันเป็นอะไรที่น่ารำคาญมาก ภัทรอยากให้พ่อแม่ไปทำที่อื่น ภัทรไม่ได้อยากเห็น จนวันหนึ่งภัทรเริ่มตะโกนไม่ชอบใจ ด่าทอพ่อว่าทำอะไรแม่


    ตอนนั้นพ่อจำได้ไหมว่าพ่อโมโหแค่ไหน เพียงเพราะขัดจังหวะรักเหล่านั้น พ่อลุกจากเตียงและดึงผ้าห่มที่ภัทรคลุมอยู่ คลุมโปงไปพร้อมกับพ่อ ตอนนั้นสิ่งที่ได้รับคืออะไรน่ะเหรอคะ ? ภัทรถูกพ่อตบหน้า สีหน้าพ่อภัทรจำได้ดีตอนอยู่ในผ้าห่มว่าน่ากลัวแค่ไหน พ่อทั้งทุบภัทรและต่อยที่ท้อง แม้จะไม่แรงนัก แต่สำหรับเด็กคนหนึ่งก็บอบช้ำมากเหลือเกิน จนแม่ต้องรีบดึงกระชากเพราะได้ยินเสียงภัทรร้องไห้ พลันถามพ่อว่าทำร้ายร่างกายภัทรหรือเปล่า ตอนนั้นพ่อเงียบไม่ตอบ ซ้ำยังบอกปัดเป็นการโกหกแม่ วันนั้นภัทรเกลียดพ่อมากเลยนะ ภัทรพูดตามตรง ก่อนที่พ่อจะกระแทกเท้าและกระแทกประตูเข้าห้องน้ำ แม่จึงค่อยมากอดภัทรและถามไถ่ว่าเจ็บตรงไหนหรือเปล่า


    ภัทรว่าครอบครัวเราเสพติดความรุนแรง


    มันไม่ใช่เรื่องที่ดีเลยที่เด็กบางคนจะต้องเจอกับการทำร้ายร่างกายกัน


    ครั้งหนึ่งที่เป็นเรื่องตราตรึงได้ดีไม่มีวันลืม ภัทรตื่นมาอย่างงุนงงกับเสียงทะเลาะเซ็งแซ่ของพ่อกับแม่ ตอนนั้นพ่อพูดประโยคคำหนึ่งขึ้นมาว่า


    “ความผิดกูคนเดียวใช่ไหม”


    มันน่าจะประมาณนี้เท่าที่ภัทรจำได้ ตอนนั้นภัทรทั้งมองหน้าแม่กับพ่อที่โต้เถียงกันไปมา ในขณะที่น้องๆ ต่างก็หลับไม่รู้เรื่องรู้ราว จนบางครั้งภัทรก็อยากหลับไป และหายไปจากโลกกับเสียงที่โวยวายกันตลอดเวลา จนทุกวันนี้ภัทรเกลียดเสียงเวลาคนทะเลาะกัน ทั้งรำคาญลูกตาและเบื่อหน่าย


    วันนั้นที่ภัทรตื่นมาอย่างงุนงงก็ยังอยู่แค่ประถมเหมือนเดิม มันคงเป็นเรื่องจริงที่คนเราจะจดจำเรื่องแย่ๆ ที่สุดในชีวิต มากกว่าเรื่องดีๆ ที่เคยผ่านพ้นเข้ามาในชีวิต


    ตอนนั้นพ่อมีปืน ภัทรที่พยายามเอ่ยปากเสียงสั่นไปหมดเพื่อหวังห้ามทัพพ่อกับแม่ แต่สิ่งที่ภัทรได้รับคือการที่พ่อเอาแขนมารัดคอภัทร ตามด้วยปลายประบอกปืนที่จ่อลงที่ศีรษะข้างขมับข้างขวา ภัทรจำมันได้ รับรู้ได้ถึงเสียงที่พ่อปลดล็อกอะไรบางอย่างได้ดี ความรู้สึกนั้นไม่เคยลืมเลือน พ่อทิ่มกระบอกปืนมาที่ภัทร ขณะที่แม่พยายามห้ามบอกว่าอย่าเอาลูกมาเกี่ยวข้อง


    ภัทรร้องไห้จนกลัวไปหมด รู้ไหมตอนนั้นภัทรคิดคืออะไร ภัทรคิดว่าอยากให้ตัวเองหายไปจากจุดนี้ อย่างน้อยก็ไม่อยากถูกยิงตายเหมือนในหนังสยองขวัญที่พ่อชอบเปิด 


    ภัทรไม่รู้ว่าพ่อจำได้ไหมนะคะ ว่าภัทรกลัวหนังที่มีเลือดสาดขนาดไหน ทุกครั้งภัทรจะนอนไปดิ้นและร้องไห้งอแงเพราะกลัวเลือดพวกนั้น ทั้งทุบมือกับพื้นเหมือนโมโห รำคาญเสียงยิงและฆ่าแกงกัน


    วันนั้นภัทรก็คิดแบบนั้นนั่นแหละ ภัทรไม่อยากมาจบชีวิตเหมือนในหนัง ไม่อยากถูกยิงเลือดสาดเหมือนในภาพยนตร์ที่ตนเองเคยดู


    แต่ในที่สุดภัทรก็ไม่ได้ถูกยิงจริงๆ มันก็แค่เป็นการขู่ของพ่อ กับเรื่องทะเลาะที่ภัทรไม่รับรู้


    ก็มันเรื่องของผู้ใหญ่นี่นา…


    คำเหล่านี้มักจะเคยขึ้นตลอดเพื่อไม่ให้เด็กข้องเกี่ยว


    พ่อออกไปจากบ้านก่อนที่แม่จะมาปลอบภัทรและให้ไปนอน แต่ภัทรก็นอนไม่หลับ ภัทรได้ยินเสียงพ่อแม่ทะเลาะกันข้างนอกบ้าน ตามมาด้วยเสียงปืนที่ยิงลั่นฟ้า ตอนนั้นภัทรตกใจมากจนน้องๆ สะดุ้งตื่น ก่อนที่น้าของตัวเองที่อาศัยอยู่ชั้นบนจะรีบลงมาดู ส่วนตัวภัทรเองก็ออกไปนอกบ้านเพื่อหากับแม่ ภัทรเป็นห่วงทั้งคู่แม้จะเกลียดในสิ่งที่พ่อแม่เคยทำก็ตามที 


    ผู้ใหญ่ชาวบ้านชาวช่องก็ต่างออกมาดู รีบมาห้ามพ่อกับแม่ที่ทำท่าจะทะเลาะกันอีกครั้ง ภัทรเบื่อมากจนการทะเลาะเหล่านี้เริ่มกลายเป็นเรื่องชาชินเมื่อภัทรเติบโตขึ้นมาเรื่อยๆ


    จะประถมหนึ่งถึงหก หรือมัธยมหนึ่งถึงสาม ทุกๆ ปี พ่อแม่จะทะเลาะกันสามสี่ครั้งต่อปีได้ จนภัทรได้แต่อยู่ในห้อง ไม่คิดจะลงไปห้ามแต่อย่างใด บอกน้องๆ ไม่ต้องสนใจ เพราะตัวภัทรเองก็เบื่อหน่าย และคิดเสมอว่าพ่อแม่ควรเลิกกันสักที หากยังไม่ปรับความเข้าใจกัน หรือลดความโมโหโทโสกันบ้าง


    แต่พ่อกับแม่ก็เปรียบเสมือนน้ำมันกับไฟ ไม่มีใครจะเป็นน้ำที่คอยลูบปลอบ หรือจะปลอบให้ใจเย็นลง เพียงไม่นานก็ทะเลาะตามเคย


    แต่ภัทรก็ใจอ่อนตลอด ตอนนั้นอยู่มัธยมแล้ว ภัทรลงมาจากบันไดก่อนจะได้ยิงเสียงปืนยิงมาทิศทางตนเอง มันเฉียดภัทรมาก ถ้าหากภัทรลงไปอีกไม่กี่ขั้นของสองบันได ภัทรนึกภาพตัวเองเลือดตกยางออกได้เลย แต่ภัทรก็สะบัดความคิดเหล่านั้นออกไป พยายามบอกพ่อกับแม่ให้ใจเย็นค่อยๆ คุยกัน ตอนนั้นพ่อแม่ตบตีกันแล้ว แถมมีผู้ใหญ่มาช่วยกันดึง ภัทรเองก็ช่วยดึงแม่ที่ทำท่าจะหยิบของมีดคมมาแทงพ่อ


    ภัทรไม่อยากให้ใครได้รับบาดเจ็บ


    แต่ทุกครั้งเสมอมา ภัทรก็จะเอาความเจ็บปวดเหล่านั้นมาลงที่ตัวเองตลอดทุกครั้ง


    ตั้งแต่ครั้งแรกที่ภัทรโดนพ่อกับแม่ทำร้าย ไม่ว่าจะเรื่องเกรดตกหรือใดๆ ก็ตามแต่ พ่อกับแม่มักจะเอาเข็มขัดฟาด จนภัทรเริ่มเสพติดการทำร้ายร่างกายตนเอง ภัทรรู้สึกเวลาตัวเองโดนตบหน้าด้วยน้ำมือตัวเอง หรือรู้สึกดีทุกครั้งเวลาได้ข่วยตัวเองหรือจิกจนผิวหนังจนอักเสพให้เลือดไหล 


    ภัทรแค่อยากให้พ่อแม่ใจเย็นลงและหันเก้าอี้เข้าหากัน ภัทรอยากเป็นตรงกลางที่พอจะเป็นสิ่งที่ทำให้พ่อกับแม่มาคืนดีกันได้


    ปัจจุบันพ่อกับแม่ต่างคนต่างอยู่ ภัทรก็กลับมองว่าดีแล้วที่อย่างน้อยจะได้ลดปัญหาทะเลาะเบาะแว้งลง


    แต่หากเป็นไปได้ภัทรก็อยากให้พ่อแม่คืนดีกันนะ แม้ครั้งล่าสุดที่ทะเลาะกันจนพ่อต้องย้ายไปอยู่ที่บ้านเก่าแถวประชาอุทิศ


    วันนั้นเป็นวันบ้าอะไรก็ไม่รู้ แต่ที่รู้ๆ คือพ่อแม่ทะเลาะกันตามเคย แต่หนักมากขึ้นจนภัทรต้องหลบอยู่ข้างกำแพงตรงขอบประตู พ่อปาแก้วจนภัทรต้องพยายามดันแม่ให้ออกห่างจากบ้านประตู เพราะภัทรกลัวว่าแม่จะได้รับบาดเจ็บ และภัทรก็โกรธพ่อทุกครั้งที่เวลามีปัญหาอะไรก็มักจะใช้ความรุนแรงหรือหยิบปืนมาขู่ทุกครา


    มันน่าเบื่อมากเลยนะ จนภัทรคิดภาพตัวเองอยากวิ่งไปหาพ่อและจับมือพ่อเพื่อยกปืนมาจ่อที่ศีรษะของภัทร ตามมาด้วยเสียงลั่นไกที่จะทะลุเป่ากระโหลกภัทรไป


    ภัทรคิดถึงขั้นนั้นจริง…


    เรื่องที่โกรธแม่ก็ใช่ว่าจะไม่มี…


    ไม่ว่าจะพ่อกับแม่ เหตุผลเพราะพ่อแม่ชอบเชื่อคนอื่นมากกว่าลูกของตนเอง


    วันนั้นเป็นวันที่ภัทรทะเลาะกับป้าจนถึงขั้นตบตี ภัทรอยู่ประถมห้าได้แล้ว และภัทรก็ร้ายใช่เล่น ภัทรเอาเลือดที่โดนตบจนปากแตกมาจ้องหน้ากระจก แสดงให้ผู้ใหญ่เห็นผ่านหน้าต่างตอนภัทรค่อยๆ ทาเลือดเกลี่ยไปที่แก้ม


    ภัทรเหมือนเป็นเด็กโรคจิต และป้าก็ดูเหลือเชื่อกับการกระทำของภัทรมาก


    จนภัทรมานอน แม่ที่เพิ่งกลับจากงานก็เข้ามาในบ้านด้วยความโมโห ทั้งจิกผิวหนังภัทร ยกจานไม่ต่ำกว่าห้าใบหวังจะฟาดใส่หน้าภัทร แต่ภัทรก็เอามือบังไว้ ป้าอีกคนที่ทำท่าเหมือนจะดูแลคอยเป็นที่ปกปักก็กลับไม่กล้าที่จะมากำบัง ภัทรถึงได้โดนแม่ทำร้าย และเอาหมอนกดหน้าจนเกือบขาดอากาศหายใจตาย


    ภัทรยอมรับว่าภัทรก็เกลียดแม่ไม่ต่างจากพ่อในครั้งนั้น…


    เพราะแม่เชื่อคนอื่น ฟังคนอื่นแต่ไม่รับฟังคำพูดลูกตัวเอง จู่ๆ ก็หุนหันพลันแล่นมาทำร้ายร่างกายภัทรที่ยังหลับอยู่ 


    พ่อเองก็ไม่ต่าง...ตอนนั้นมีร้านขายของชำร่วยทะเลาะกับป้าแอน ต้องนั้นเขาตีกัน ภัทรที่เป็นเด็กวัยประถมศึกษาปีที่สี่ได้ก็ตะโกนด่าว่าทำไมถึงทำแบบนี้ ด่าแม่ค้าที่ปากดีกับป้าภัทรนั่นแหละ แต่อีลุงคนหนึ่งที่ภัทรเคยเกลียดมาตลอดก็กลับไปฟ้องพ่อว่าภัทรพูดคำหยาบคาย


    ภัทรด่าอีคนคนนั้นว่า “อีเหี้ย”


    มันไม่ใช่ความจริงเลย…


    และพ่อก็ด่าว่าภัทรโดนไม่ฟังคำพูดของภัทรสักคำ ส่วนอีลุงคนนั้นก็กลับยิ้มชอบใจที่ภัทรได้รับการลงโทษ



    ภัทรมองว่าคำว่า ‘ครอบครัว’ คือสิ่งที่ทุกคนมองข้ามไป ทั้งในการแสดงความรักความอบอุ่น คำพูดที่ควรใช้กับลูกๆ ภัทรอยากให้พ่อกับแม่เข้าในข้อนี้ใหม่ แต่ว่าตอนนี้ก็เหมือนจะดีมั้งนะ เพราะเราก็ไม่ทะเลาะกันแล้ว พ่อกับแม่ก็เหมือนพยายามคุยกับภัทรมากขึ้น ทั้งที่แต่ก่อนภัทรแทบจะไม่พูดคุยกับพ่อแม่เลย


    เวลาอวยพรวันเกิด ภัทรมักจะบอกรักพ่อกับแม่ผ่านข้อความมากกว่าคำที่หลุดออกจากปาก


    ภัทรว่าการใช้การกระทำบ่งบอกถึงความรักนั่นคือสิ่งที่ควรพึงมี


    ปัจจุบันภัทรไม่ได้โกรธพ่อแม่แล้วนะ เพียงแต่ภัทรอยากระบายในสิ่งที่อัดอั้นเหลือเกินจะกล่าว ภัทรมองว่าความรุนแรงเหล่านั้น พ่อกับแม่อาจเคยได้รับมาก่อน จึงไม่มีวิธีแสดงความรักในรูปแบบที่ลูกๆ ต้องการ


    ภัทรรู้ว่าตอนนี้พ่อกับแม่รักภัทร แม้ที่ผ่านมาภัทรเคยคิดมาตลอดว่าพ่อกับแม่ไม่เคยรักภัทรเลยสักครั้ง


    แม่ชอบไล่ภัทรให้ไปตายเวลาโกรธ จนภัทรฉุกคิดอยากจะกระโดดจากเขื่อนในวัยประถมให้จมน้ำโคลนตายจริงๆ หวังให้สมใจอยาก แต่ใจมันก็กล้าๆ กลัวๆ ถึงได้หนีไปนั่งอยู่แถวเก้าอี้ชิงช้า ฝั่งตรงข้ามของบ้าน โดยมีบ้านอีกหลังบังไว้ไม่ให้เห็น ภัทรต้องรอเปื่อยจนกว่าแม่จะหายโกรธและตะโกนเรียกชื่อตามหาภัทร ภัทรถึงจะยอมเดินกลับไปที่บ้านของตนเอง


    และแม่ก็มักจะง้อภัทรด้วยของกินเสมอ มากกว่าคำพูดว่าขอโทษออกมาจากปาก


    พ่อกับแม่เป็นเหมือนกันเลย…


    มันมีหลายเรื่องที่บ้านเราทะเลาะและทำให้ภัทรเจ็บปวดสารพัด ความทรงจำหลายอย่างยังอยู่ในหัวภัทรตลอดเวลา แต่ทุกวันนี้ภัทรก็ยอมรับและให้อภัยพ่อกับแม่ และหวังว่าต่อจากนี้พ่อกับแม่จะเข้าใจ สนับสนุนในสิ่งที่ภัทรรักและอยากทำจริงๆ


    สิ่งที่เราควรทำต่อจากนี้คือการพูดจาและแสดงความรัก มากกว่าคำด่าทอและการใช้พละกำลัง


    ปัจจุบันภัทรให้อภัยทุกอย่างที่พ่อแม่เคยทำ ตัวภัทรเองก็เป็นลูกที่ไม่ได้ดีนัก ภัทรก็หวังว่าต่อจากนี้พ่อกับแม่จะให้อภัยและเปิดรับสิ่งที่ภัทรต้องการจะระบายนับต่อจากนี้ให้ดีๆ


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
Paweena Pongsavang (@fb1319015851834)
เป็นกำลังใจให้นะคะ