เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
A Little Story of My LifeSorawit Pakdeeasa
2020: 20/20 or 00/20?
  • ไม่รู้ว่าเฟซบุ๊กเอาฟังก์ชัน notes ออกไปตอนไหน รู้ตัวอีกทีก็เสิร์ชหาไม่เจอแล้ว เดาว่าคงเอาออกพร้อมการเปลี่ยนโฉมหน้าอินเทอร์เฟซใหม่ในปีนี้นี่แหละ ไม่รู้สาเหตุด้วยว่าเอาออกทำไม คนเขียนบันทึกประจำปีลงในนั้นแบบเราเลยเศร้าแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่มองอีกมุมนึงก็โชคดีที่ตัวเองเปิดแพลตฟอร์มการเขียนจิปาถะใน minimore เลยตัดสินใจย้ายสำมะโนครัวมาเขียนบันทึกปี 2020 นี้ก็แทนละกัน

    และยังดีที่อย่างน้อยเฟซบุ๊กก็ไม่ได้ลบบันทึกในปีก่อนๆ ที่พอจะตามกลับไปอ่านย้อนหลังได้

    ขอออกตัวเหมือนทุกๆ ปีที่ผ่านมาว่าเราไม่ได้เป็นคนเขียนเก่งอะไรนักหรอก และยิ่งปีนี้มีกิจกรรมอะไรหลายอย่างให้ทำ พอกลับมาเขียนก็เลยรู้สึกไม่ลื่นไหลเท่าเมื่อก่อน บวกกับเป็นคนที่นึกอะไรก็เขียน คะแนนการเรียบเรียงข้อมูลเป็นศูนย์เลยในหัว ถ้าให้ลองจินตนาการก็เหมือนมีตัวอักษรมากมายลอยเคว้งไม่เป็นระเบียบท่ามกลางจักรวาลสมองขนาดเล็กที่เมื่อนึกอะไรออกก็จะหยิบกลุ่มอักษรนั้นมาถ่ายทอดให้ได้อ่านกัน แต่ถ้าจะให้พูดแบบเข้าข้างตัวเองก็รู้สึกว่าเราก็พัฒนาฝีมือขึ้นเรื่อยๆ จากหนังสือที่ผ่านตามาในแต่ละปีเหมือนกันนะ (แหวะ)

    ปี 2020 หรือ 2563 นี้เริ่มมาด้วยโรคระบาดร้ายแรงจากเมืองอู่ฮั่น สาธารณรัฐประชาชนจีน ที่มีชื่อว่า โควิด–19 เจ้าไวรัสตัวดีนี้ได้สร้างความวุ่นวายให้กับหลายประเทศทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย และสร้างความพินาศให้ทุกแวดวงในสังคม เหตุการณ์ร้ายแรงขนาดนี้รัฐบาลก็ต้องสร้างมาตรการบางอย่างเพื่อรับมือวิกฤตดังกล่าว นั่นก็คือ การเว้นระยะห่างทางสังคม (Social distancing) ที่ (เหมือนจะ) เหมาะสมกับสังคมปัจเจกในปัจจุบัน

    social distancing ก็ได้ถูกนำมาปรับใช้กับการศึกษาเช่นกัน แทนที่นิสิตจะได้เรียนในห้องเรียนตามปกติกลับกลายเป็นว่าต้อง study from home ผ่านโปรแกรม video meeting ต่างๆ อาทิ Google Meets, Zoom, และ Skype ที่คุณภาพของการเรียนขึ้นอยู่กับความเร็วอินเทอร์เน็ตของนิสิตแต่ละคน รวมถึงความเร็วอินเทอร์เน็ตของอาจารย์ด้วย นำมาซึ่งความติดขัดในช่วงแรกๆ เหมือนกัน (แต่ตอนนี้ก็เหมือนจะยังเป็นแบบนั้นอยู่)

    ทำไมยิ่งเขียนยิ่งดูทางการนะ งั้นขอหยุดพูดถึงโควิด–19 แล้วมาพูดถึงประสบการณ์ในปีนี้ดีกว่า

    ในเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ เป็นช่วงเวลาที่รู้สึกสนุกที่สุดของปีนี้แล้วล่ะมั้ง อาจเพราะโควิดยังไม่ระบาดขนาดนั้น เราจึงมีเวลา–สถานที่–ความสัมพันธ์ไปกับการทำขบวนสะท้อนสังคม งานฟุตบอลประเพณี จุฬาฯ – ธรรมศาสตร์ ครั้งที่ 74 ณ ลานโจก้า คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่สนุกและได้พัฒนาตนเองมากพอสมควร ทั้งยังได้รู้จักกับเพื่อนจากคณะรัฐศาสตร์ (ที่สนิทกันจนถึงตอนนี้)  หรือจะเป็นเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ คณะอักษรฯ ที่ทั้งสนิทกันมากยิ่งขึ้นและรู้จักกันเพราะงานนี้ นับว่าเป็นงานที่ได้กำไรล้วนๆ แม้ว่าจะเสียน้ำตาและรับคำด่าทอด้วยก็ตาม แต่หากมองโดยรวมก็นับว่าเป็นความทรงจำที่มีคุณค่ายิ่ง

    เมื่อผ่านพ้นงานบอลมาแล้วก็เข้าสู่ช่วงกักตัวอย่างเป็นทางการ ชีวิตดำเนินต่อไปในห้องขนาด 30 ตารางเมตรเป็นระยะเวลากว่า 3 เดือน (ถ้าจำไม่ผิด) เช้าตื่นมาเรียน กลางวันทานข้าว เย็นทานข้าว สั่งแกร็บบ้าง เดินไปซื้อในตลาดบ้าง ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ โชคยังดีที่ 3 เดือนนั้นไม่ได้อยู่ห้องคนเดียว ถ้าเป็นอย่างนั้นอาจจะเบื่อตายไปแล้วก็ได้

    ข้อดีของโควิดเพียงอย่างเดียวก็อาจจะเป็นการที่เราได้หัวข้อภาคนิพนธ์วิชาสัมมนาเรื่องภาษาไทยจากมัน หัวข้อ กลวิธีการสร้างอัตลักษณ์ของรัฐบาลในช่วงสถานการณ์โควิด–19 เพราะนอกจากนี้ก็มองไม่เห็นข้อดีอีกเลย

    และแล้วเราก็จบการศึกษาในเดือนพฤษภาคม

    ถ้าถามถึงความรู้สึกของการเรียนจบก็อาจจะได้คำตอบที่มันคลีเช่ๆ อย่าง รู้สึกดีใจ ในขณะเดียวกันก็รู้สึกโหวงที่จะต้องจากคณะและมหาลัยไป หรือจะสุดโต่งอย่าง จบแล้วโว้ยยยย ไม่ต้องปั่นเปเปอร์ ไม่ต้อง one night miracle แล้วโว้ยยยย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ารู้สึกแบบนั้นจริงๆ นั่นแหละ ถ้าจะให้ตอบแบบแตกต่างก็มีเหมือนกัน สำหรับตัวเองรู้สึกงงมากกว่าว่า อ้าว จบแล้วเหรอ แล้วจะยังไงต่อ เพราะเหมือนว่าทั้งชีวิต จุดมุ่งหมายสูงสุดที่ตนเองตั้งไว้คือการเรียนจบมหาลัย พอเราเดินทางมาถึงจุดนี้แล้วเลยรู้สึกเคว้งว่าเราทำได้แล้ว เราผ่านมันมาแล้ว หลังจากนี้จุดมุ่งหมายของชีวิตจะเป็นอะไรต่อกันแน่

    ซึ่งมันก็เป็นอะไรอื่นไปไม่ได้นอกจากได้งานประจำ

    ท่ามกลางสถานการณ์บ้านเมืองระดับวิกฤตขนาดนี้ การหางานประจำสักงานได้คงเป็นเรื่องยากระดับสิบกะโหลกสำหรับ 'เด็กจบใหม่' แต่สุดท้ายก็จับพลัดจับผลูไปเป็นนักเขียนคำโฆษณา (Copywriter) ประจำอยู่คลินิกเสริมความงามแห่งหนึ่งย่านสีลม จากการเชิญชวนของเพื่อนรักที่ประจำตำแหน่งนักออกแบบกราฟิก (Graphic designer) อยู่ ชีวิตดูจะเป็นขาขึ้น แต่สุดท้ายพระเจ้าก็ลงโทษด้วยการส่งให้มาพบกับหัวหน้าที่ไม่ถูกจริตเอาซะเลย เหมือนที่มีคนกล่าวไว้ว่า "คนสมัครเพราะองค์กร แต่คนออกเพราะหัวหน้า"

    เราประจำตำแหน่งนั้นอยู่ 4 เดือน จนสุดท้ายทนไม่ไหวลาออกในเดือนตุลาคมในที่สุด แต่ระหว่างที่ทำงานก็ได้ประสบการณ์ใหม่และพัฒนาทักษะที่มีอยู่เดิมของตนเองให้สูงขึ้นอีกระดับ นอกจากนั้นยังได้รู้จักกับเพื่อนร่วมงานเก่งๆ น่ารักๆ อีกหลายคนเลย ที่ตอนนี้ก็ยังติดต่อกันอยู่ อย่างน้อยคำว่า 'เสียเวลา' ก็ดูจะใช้ไม่ได้เท่าไรนัก

    ระหว่างทำงานก็มีความทรงจำดีๆ เกิดขึ้นเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ในที่ทำงานหรอก ส่วนใหญ่จะมาจากการทำงานเป็นคณะกรรมการบัณฑิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (กบจ.) ปีการศึกษา 2562 มากกว่า ได้ทั้งเพื่อนใหม่ในกบจ. และเพื่อนใหม่จากคณะวิศวฯ ที่เรียกกลุ่มตนเองว่าเป็น 'ลูกล้อ' อาจารย์อรรถสิทธิ์ (ซึ่งก็เป็นแบบนั้นจริงๆ) คนเหล่านี้ทำให้การทำงานเป็นกบจ. ไม่น่าเบื่อเลยสักนิด เพราะมีแต่มวลความสุข สนุกสนาน และความเป็นกันเองอบอวลอยู่ทั่วพื้นที่

    ข้ามมาหลังจากออกจากงานแล้ว ในเดือนตุลาคมก็ได้งานใหม่พอดิบพอดีจากพี่สาวในคณะที่กำลังจะลาออก เรียกได้ว่าเป็นการรับช่วงต่อการเป็น freelance translator ของบริษัทช้อปปิ้งออนไลน์ชื่อดังแห่งหนึ่ง จะเรียกว่าเป็นฟรีแลนซ์ก็เรียกได้ไม่เต็มปาก ขอเรียกว่าเป็น ฟรีแลนซ์ประจำ แบบที่เขาเรียกกันก็แล้วกัน คือทำงานตามเวลาประจำ (10:00 – 19:00 น./ จ – ศ) แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจลาออกเพราะความขี้เกียจของตัวเองเป็นหลัก... จะพูดอย่างนั้นก็ดูไม่ถูกเท่าไรนัก จริงๆ อาจเป็นเพราะว่าเป็นคนทำอะไรช้า แปลได้ไม่ hit daily target และรู้สึกว่าทำแล้วไม่พัฒนาทักษะใดๆ เลยตัดสินใจแบบนั้นไป แต่พอลาออกก็ไม่ได้มีความรู้สึกเสียดายอะไรเหมือนกัน คงเป็นสัญญาณว่าเราตัดสินใจถูกแล้วล่ะมั้ง (?)

    ไม่ทันไรก็เดินทางมาถึงปลายปีจนได้ เหมือนมีคนมาวางแผนประจำปีไว้แล้วว่าภายในหนึ่งปีจะต้องเจอเรื่องดิ่งลงเหวสักเรื่องสองเรื่อง ปีนี้เรื่องที่เป็นจุดดิ่งของกราฟชีวิตก็ได้เกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายนนี้เอง เดือนที่เราชอบมากที่สุด เดือนที่รวมวันอันแสนพิเศษของเราหลายๆ วัน ในขณะเดียวกันก็เป็นเดือนที่ได้ทบทวนตัวเองในหลายๆ เรื่อง

    สรุปสั้นๆ สำหรับเดือนสุดพิเศษนี้ว่าเราได้เรียนรู้บทเรียนชีวิตที่สำคัญมากบทนึงคือ ความสัมพันธ์เหมือนอาหารชั้นเลิศสักจาน ที่ไม่ใช่ว่าจู่ๆ จะปรากฏออกมาแบบนั้นราวกับร่ายเวทมนตร์ แต่มันประกอบไปด้วยวัตถุดิบอันหลากหลาย ประกอบกันให้อาหารชนิดนั้นมีรสชาติอร่อย กลิ่นหอมหวาน รูปลักษณ์ชวนทาน ความสัมพันธ์ก็เช่นกัน หากประกอบเพียงความรักเพียงอย่างเดียวก็ดูจะไม่กลมกล่อม สิ่งที่จะขับให้ความสัมพันธ์มีรสชาติดีได้อาจต้องประกอบด้วยความเชื่อใจ ความซื่อสัตย์ การประคับประคองหัวใจของกันและกัน ฯลฯ เพียงเท่านั้นรสชาติความสัมพันธ์ก็จะกลับมาหอมหวานน่ารับประทานก็เป็นได้

    อย่างไรก็ตาม สุขสันต์วันครบรอบ 3 ปี และขอให้เรายังอยู่เติมรสชาติความสัมพันธ์ให้กลมกล่อมต่อไปเรื่อยๆ นะ

    และในเดือนธันวาคม เราได้กลับมาทบทวนว่าชีวิตตัวเองยังอยากเรียนรู้อะไรหลายอย่างต่อไปเรื่อยๆ มากกว่าการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในงานประจำอันแสนน่าเบื่อ เราอยากเรียนกีตาร์ เราอยากเรียนสเกตบอร์ด เราอยากเดินป่า เราอยากเขียนบทความ เราอยากแต่งเพลง ฯลฯ และได้ทบทวนว่าอย่างน้อยสภาวะว่างงานก็ทำให้เกิดความคิดนี้ขึ้นมา ก็ไม่ได้แย่เท่าไรนักหรอก

    ปีนี้ได้ไปงานรับปริญญามิตรสหายหลายคน และมีบางคนที่ไม่มีโอกาสได้ไป ทำให้ตระหนักรู้อีกเรื่องนึงว่าเราเริ่มแก่กันแล้วนะ ต่างคนต่างไปมีชีวิตใหม่ เราอาจจะไม่ค่อยได้เจอกันบ่อยเหมือนเมื่อก่อน ยังไงก็ขอให้ทุกคนที่ผ่านมาในชีวิตมีความสุขกับเส้นทางที่เลือกเดิน หากมีอุปสรรคบ้างก็ให้คิดว่าเป็นบทเรียนที่จะทำให้แข็งแรงขึ้นในอนาคต เราจะคอยเป็นกำลังใจให้อยู่ตรงนี้เสมอ

    สำหรับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ หลายคน ขอบคุณที่ยังร่วมเดินทางไปด้วยกันผ่านสภาพบ้านเมืองอันห่วยแตกแบบนี้ อยู่เป็นกำลังใจ (อวยยศ) กันไปเรื่อยๆ สร้างคอนเทนต์ขำขัน เมาท์มอย ทานยำ ช้อปปิ้ง ถ่ายรูป ด่าทอ แซวเล่น ฯลฯ ขอให้เป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ จนแก่เลยแล้วกัน

    สำหรับครอบครัว ต่างคนต่างเริ่มแก่ลงทุกวัน แต่ก็ยังพยายามทำให้บ้านคงสภาพเดิมมากที่สุด ยังไงก็ขอให้ทุกคนสุขภาพแข็งแรง อยู่ด้วยกันไปอีกนานๆ แบบนี้ต่อไปนะ

    สำหรับเธอ ไม่รู้จะพูดอะไรเลย เพราะปีนี้เราพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกไปเยอะมาก จนบางทีรู้สึกว่ามันมากเกินไปจนเธออาจจะเบื่อหรือเปล่า อย่างไรก็ตาม ทุกเหตุการณ์ในชีวิตถือเป็นประสบการณ์ ปัญหาความสัมพันธ์ปกติต้องประสบพบเจออยู่แล้ว แต่การแก้ปัญหาและการป้องกันการเกิดขึ้นใหม่ต้องเป็นเรื่องที่ต้องร่วมมือกัน อยากให้รู้ไว้ว่าเรายังเป็นเราอยู่ตรงนี้ข้างๆ เธอเสมอ และพร้อมก้าวไปกับเธอต่อทุกเมื่อเลย

    ถึงตัวเอง ขอบคุณที่ผ่านช่วงเวลาอันยากลำบาก มึงเก่งที่สุดเลย ชีวิตก็เป็นแบบนี้แหละ มีขึ้น มีลง แทนที่จะมานั่งเศร้าโศกจมปลักอยู่กับความเสียใจ ก็คิดซะว่าเป็นบทเรียนให้เราเรียนรู้ไปก็แล้วกัน เชื่อว่าวันนึงมึงจะแข็งแกร่งและรับมือกับทุกอย่างได้อย่างชำนาญ รอดูวันนั้นอยู่แหละ

    สุดท้ายนี้ เป้าหมายชีวิตของเราในอนาคตคืออะไรก็อาจจะต้องใช้เวลาตกตะกอนความคิดสักพัก ไม่ใช่คนที่คิดอะไรเร็วอยู่แล้ว ใครจะให้คะแนนปี 2020 นี้ 0 เต็ม 20 เราก็อาจจะต้องเห็นแย้งสักหน่อย เพราะสำหรับเราปีนี้ก็ควรค่าพอแก่การเก็บเข้า memory archive ของตัวเองเหมือนกัน :)
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in