เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
A Little Story of My LifeSorawit Pakdeeasa
2021
  • "บอกตัวเองต้องมีสักวันรักคงจะเลือนไป
    แม้ความจริงในหัวใจยังไม่รู้ว่าจะลืมเธอได้อย่างไร"

    บอกตัวเอง - Room39

    เวียนมาอีกครั้งกับการเขียนไดอารีประจำปีของเรา อันที่จริงก็ไม่ใช่คนที่เขียนอะไรเยอะแยะขนาดนั้นหรอก แต่การเขียนสิ่งนี้มันทำให้เราได้ทบทวน 12 เดือนที่ผ่านมาว่าเราประสบพบเจออะไรบ้าง (พูดเหมือนเดิม) และเราก็ค้นพบว่าปีที่ผ่านมาที่เหมือนจะราบเรียบ กลับเป็นปีที่ทำเอาเราเจียนตายได้ตั้งหลายเรื่องเหมือนกัน

    การเขียนครั้งนี้อาจจะไม่เหมือนปีก่อนๆ ที่ไล่เรียงเป็นเดือนๆ อย่างชัดเจน เพราะชีวิตในปีนี้ค่อนข้างพร่ามัวและมืดมน ความทรงจำเลยผสมปนเปกันไปหมดจนแทบจะแยกไม่ออก ฉะนั้นเลยขอแบ่งเป็นข้อๆ ตามที่หมอดูเขาชอบทำก็แล้วกัน แต่ต่างกันที่เราพูดถึงอดีต ไม่ได้จะทำนายอนาคตแค่นั้นเอง

    สุขภาพ

    เรื่องแรกที่ไม่พูดถึงไม่ได้ ช่วงต้นเดือนกันยายนชีวิตพลิกผันค่อนข้างมาก เราพบว่าตัวเองติดเชื้อโควิด-19 โดยไม่รู้ตัว อาการแรกเริ่มคือป่วย ไม่มีแรง อ่อนเพลีย แสบจมูก และไม่รับรู้รสชาติและกลิ่นตามลำดับ ตอนแรกคิดว่าไม่เป็นอะไรมากหรอก แต่ก็ตัดสินใจซื้อ ATK มาแหย่จมูกเล่น สุดท้ายเลยได้ไปนอนอยู่โฮสพิเทลแถวสนามกีฬาแห่งชาติตั้ง 14 วัน ไม่ได้รู้สึกว่าน่าเบื่อขนาดนั้น อาจเพราะว่าไม่ได้พักอยู่คนเดียวและเป็นคนติดห้องด้วย แต่ก็ทำให้รู้ว่าถึงแม้เราจะไม่รับรู้รสและกลิ่นของอาหารชั่วขณะ เราก็พอจะรู้ได้ว่าอาหารนั้นๆ อร่อยหรือไม่อร่อยจากเซนส์บางอย่าง ซึ่งเซนส์ก็แอบกระซิบว่าอาหารโฮสพิเทลนั้นทำมาเพื่อให้เรากินไปวันๆ แค่นั้นแหละ โชคดีที่ยังแอบสั่งบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจากข้างนอกเข้ามาประทังชีวิตได้

    "เธอกับเขาคงไปได้ดี และฉันนั้นเข้าใจด้วยดี
    ในวันนี้ฉันไม่ควรพูดอะไรกับเธอแล้ว"

    ไปได้ดี - WANYAi

    เราออกจากโฮสพิเทลช่วงต้นเดือนตุลาคมแล้วย้ายกลับมาอยู่บ้านเกิด ใช้เวลาอยู่กับตัวเองและอาการไอแห้งที่ตามติดมาตั้งแต่เดือนก่อน นอกจากอาการไอที่บอกไปแล้วก็ยังมีอาการอื่นๆ อย่างอาการนอนไม่หลับ อ่อนเพลีย ไม่อยากทำอะไร เหนื่อยง่าย หายใจไม่สะดวก ฯลฯ แต่เราก็ไม่แน่ใจว่าอาการอย่างหลังมาจากที่เชื้อโควิด-19 ทิ้งไว้ให้หรือว่าสภาพจิตใจอันย่ำแย่ในช่วงนั้นกันแน่ แต่ที่รู้ดีก็คือสภาวะลองโควิดเป็นสภาวะที่ไม่สนุกเลยสักนิด ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสภาวะนี้จะสิงร่างเราแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน เพราะ ณ ตอนนี้ที่บันทึกไดอารีนี้อยู่ก็ยังไออยู่บ้างแต่ก็น้อยลงแล้ว และหวังว่าสักวันในอนาคตมันจะออกจากร่างกายอันอ่อนแอและสิ้นหวังนี้ไปแบบร้อยเปอร์เซ็นต์สักทีนะ

    พอพูดถึงเรื่องสภาพจิตใจแล้ว หลายคนก็คงจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเราในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา คงเป็นเพราะว่าไม่เคยเจอเหตุการณ์นี้มาก่อนในชีวิตมั้ง พอเจอเลยรู้สึกว่าตัวเองรับมือไม่ไหวเลยสักนิดเดียว รับมือไม่ไหวขนาดที่ ณ ตอนนั้นมีความคิดที่แย่ที่สุดกับตัวเอง ช่วงแรกเรารู้สึกว่าเราท็อกซิกกับทุกคนมากเลย เราอยากจะขอโทษที่อาจจะไปสร้างความรู้สึกไม่ดีให้ใครหลายๆ คนโดยที่ไม่รู้ตัว ตอนนั้นเรารู้สึกเดียวดายมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็ทำให้รู้ว่าจริงๆ แล้วเราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว มีอีกหลายคนที่พร้อมซัพพอร์ตและอยู่เคียงข้างเราไปตลอดแม้ว่าเราจะท็อกซิกขนาดไหนก็ตาม อยากจะขอบคุณคนเหล่านี้และอยากจะบอกว่าพวกคุณเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เราอยากมีชีวิตต่อไป

    อีกเรื่องที่อยากจะพูดถึงเกี่ยวกับสภาพจิตใจคือเราไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร (เพราะยังไม่ได้ไปพบหมอ) เรามีอาการเศร้าซึมตลอดเวลาเมื่ออยู่คนเดียว ความคิดในหัวมันพุ่งเข้ามาชนโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัวแบบไม่เลือกเรื่องและเวลา เรากินข้าวน้อยลงแม้จะหิวขนาดไหนก็ตาม (น้ำหนักลดไป 5 กิโลฯ) และอาการอื่นๆ ที่มีเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร ต้องอยู่กับมันไปอีกนานแค่ไหน ทุกวันนี้พยายามถึงที่สุดที่จะยอมรับและอยู่กับมันไปพลางเพราะยังหาวิธีแก้ไม่ได้ แต่ก็สัญญากับตัวเองและคนอื่นๆ ไว้แล้วว่าจะต้องไปพบหมอให้เร็วที่สุด แต่ก็คงยังไม่ใช่ปีนี้หรอก

    สุขภาพที่จะพูดถึงเป็นเรื่องสุดท้ายคือการนอน ด้วยอะไรหลายๆ อย่างที่ประเดประดังเข้ามาในชีวิตช่วงนี้ ทั้งเรื่องโรคภัย สภาพจิตใจ และการงานที่หนักหน่วง เลยทำให้วงจรการนอนหลับของตัวเองเละตุ้มเป๊ะไปหมด จากที่เคยนอนไม่เกินตีสองกลับกลายเป็นนอนไม่ต่ำกว่าตีสี่ จากที่เคยหัวถึงหมอนและหลับปุ๋ยกลับกลายเป็นพยายามข่มตากว่าครึ่งชั่วโมง ทุกอย่างมันดูพังพินาศ ย่ำแย่ แต่ก็หวังลึกๆ ว่ามันคงจะดีขึ้นในไม่ช้าเพราะทุกวันนี้ก็เหมือนตายทั้งเป็น ถึงภายนอกจะดูไม่เป็นอะไรแต่ภายในมันอ่อนล้าไปหมด ร่างกายผอมโซจนเห็นได้ชัด แต่ก็คงจะบอกเหมือนเดิม–หวังว่าทุกอย่างจะดีขึ้นในปีหน้า

    "ฉันแค่รู้สึกดีที่ได้นึกถึงมัน
    คงไม่ผิดถ้าเก็บไปฝันบางคืน
    ไม่ต้องคิดมากมาย ไม่มีใครเขาคิดถึงเธอ"

    ใครคิดถึง - เบิร์ด ธงไชย

    การงาน

    เราออกจากงานประจำเมื่อเดือนตุลาคมปี 2020 หลังจากนั้นเราก็รับงานฟรีแลนซ์มาตลอด งานส่วนใหญ่เป็นงานถอดเทปที่มีทั้งคนจ้างประจำและเหล่ามิตรสหายที่มักจะเวียนมาใช้บริการตลอด จนมาเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคมที่มีโอกาสฝึกงานกับทาง a day และได้รับประสบการณ์อันมีค่ามากๆ ต่อตัวเอง และนอกจากงานฟรีแลนซ์ที่รับถอดเทปแล้วก็ยังมีงานแปลและพิสูจน์อักษรบ้างประปราย ซึ่งงานทุกงานเป็นงานที่เราแฮปปี้ทั้งหมด แต่ก็อย่างว่า การเป็นเป็ดใช่ว่าจะดีเสมอไป มันมีความรู้สึกว่าเราสู้คนอื่นไม่ได้ถาโถมเข้ามาตลอด แม้เราจะทำอะไรได้หลากหลายแต่ใช่ว่าคนอื่นจะทำไม่ได้เสียที่ไหน เพราะงั้นก็อยากจะหาอะไรที่เราเก่งจริงๆ สักอย่างให้เป็นเหมือนท่อนไม้กลางมหาสมุทรไว้เกาะแล้วว่ายขึ้นฝั่งได้สักที

    เหตุผลที่ลาออกจากงานประจำงานแรกก็เพราะว่าตอนนั้นคิดว่าชีวิตต้องการอิสระมากกว่านี้ เราไม่ใช่ประเภทที่เวลา 20:00 น. ยังอยู่ที่ออฟฟิศ ช่วงเวลาตอนเย็นแบบนั้นอยากพบปะเพื่อนฝูงมากกว่า พอลาออกมาทำฟรีแลนซ์ก็พบว่าอิสรภาพมีอยู่จริงแต่ก็ต้องแลกมาด้วยความไส้แห้ง ด้วยนิสัยส่วนตัวที่เป็นคนชอบทำงานตอนกลางคืนก็ทำให้กลางวันเราไม่ทำอะไรเลย ตกกลางคืนค่อยมาอดนอนปั่นงานให้เสร็จ ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพค่อนข้างมาก เลยอยากบังคับตัวเองด้วยการกลับไปทำงานประจำอีกครั้งหนึ่ง

    "I changed who I was to put you both first
    But now I give up"

    Easy On Me - Adele

    อย่างไรก็ตาม งานประจำสายที่อยากทำก็หายากมากเช่นกัน มันคงไม่ยากมากขนาดนี้ถ้าคุณสมบัติเราถึงตามที่บริษัทต้องการ เรื่องนี้ทำให้นอยด์ไปพักใหญ่เลย เราสมัครงานทุกงานมาตั้งแต่กลางปี ฝากเรซูเม่ก็แล้ว ส่งอีเมลสมัครงานไปก็แล้ว แต่ก็ไร้วี่แววแทบทุกที่ มีบางที่ที่ติดต่อกลับมาแต่ก็ทำแบบทดสอบไม่ผ่าน เป็นอย่างนี้จนเกิดความรู้สึกท้อและสิ้นหวัง จนกระทั่งเมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมานี้มีบริษัท 3-4 บริษัทติดต่อมาในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน จนสุดท้ายเราก็ตัดสินใจเลือกที่หนึ่งไป เหตุการณ์นี้ทำให้รู้ว่าบทจะเงียบมันก็เงียบเป็นเป่าสาก พอบทจะมีมันก็มีมาให้เลือกเยอะจนหนักใจ ไม่มีอะไรสมดุลหรอกในโลกใบนี้นอกจากหยิน-หยาง ก็ถือว่าเป็นโชคดีในโชคร้ายในสิ้นปีก็แล้วกันที่ได้งานใหม่ และหวังว่าเราจะอยู่กันไปอย่างยั่งยืนนะ สำหรับตัวเราก็จะสัญญาว่าจะทำในส่วนของตัวเองให้ดีที่สุดอยู่แล้ว

    ถ้าพูดถึงเรื่องเป้าหมายในชีวิตก็อาจจะยังตอบตัวเองในแง่ของระยะยาวไม่ได้หรอก ด้วยอะไรหลายๆ อย่างทั้งเรื่องเศรษฐกิจ หน้าที่การงาน ชีวิต ฯลฯ ทำให้ตอนนี้เราขอมองในระยะสั้นไปก่อน ก็อาจจะเป็นการที่เราสามารถเลี้ยงดูตัวเอง รับผิดชอบชีวิตของตัวเองได้โดยที่ไม่ต้องพึ่งพิงใครแล้ว อยากจะเก็บเงินสักก้อนไว้ลงทุนหรือซื้อของที่อยากได้เรื่อยๆ เพราะชีวิตมันก็มีแค่นี้แหละ ในอนาคตถ้ามีเงินก้อนใหญ่จริงๆ ก็อาจจะประกอบธุรกิจอะไรสักอย่างก็ได้ ใครจะไปรู้ นอกจากนั้นถ้าเลี้ยงดูตัวเองได้แล้วก็อยากจะเลี้ยงดูคนอื่นเพื่อแบ่งเบาภาระด้วย ขอให้เราทำได้ก็แล้วกัน หวังไว้อย่างนั้น

    การเดินทาง

    "อยากจะขอให้เธอได้เจอ แต่คนที่แสนดี
    อย่าได้ไปเจอใครที่ทำร้ายหัวใจ"

    ขอให้โลกนี้ใจดีกับเธอ - ANATOMY RABBIT Feat. Alien SAFEPLANET

    พูดได้เต็มปากเลยว่าปีนี้ทั้งปีไม่ได้ไปไหนเลยนอกจากกรุงเทพฯ และจังหวัดแพร่ ไปๆ กลับๆ ตั้งแต่ต้นปีจนมีทักษะการขับรถระยะทาง 500 กิโลเมตรเรียบร้อยแล้ว แต่ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนเป็นต้นมาก็ไม่ได้เดินทางไปที่ไหนอีก ส่วนใหญ่ก็เวียนคาเฟ่ในจังหวัดแพร่เพื่อไปทำงานจนจะครบทุกที่แล้ว อย่างน้อยก็ถือว่าเป็นเรื่องดีที่แพร่มีคาเฟ่เยอะพอๆ กับเซเว่น ขอขอบคุณร้านทุกร้านที่ให้ที่นั่งทำงานอย่างสุดซึ้ง

    ถ้าเหล่าสหายไม่ลากไปเที่ยวที่เชียงใหม่ในช่วงคริสต์มาส ชีวิตในช่วงนั้นก็คงจะแห้งเหี่ยวน่าดู เป็นครั้งแรกที่นั่งรถมินิบัสจากแพร่ไปเชียงใหม่ด้วยตัวคนเดียว ก็เป็นประสบการณ์ที่ไม่ค่อยน่าจดจำเท่าไหร่หรอกเพราะปวดไปทั้งตัวเหมือนจะหักตลอดเวลา และวันนั้นนอนตีสี่แถมจะเอางานไปนั่งทำต่อบนรถ สรุปว่าหลับตั้งแต่รถออกจนถึงลำปางแล้วนั่งทำงานรอรถต่อ ยังเรียกตัวเองว่า workaholic ได้ไม่เต็มปากหรอก เรียกว่า 'นักทำงานใกล้เส้นตาย' คงจะดูเข้ามากกว่า แต่การเดินทางครั้งนั้นก็ได้ปลุกไฟนักเดินทางอันโดดเดี่ยวของตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง รู้สึกว่าตัวเองอยากไปผจญภัยในที่ที่ไม่เคยไป อยากไปพบปะและสนทนากับคนในพื้นที่ และอยากไปซึมซาบวัฒนธรรมนั้นๆ แต่ก็ยังไม่มีโอกาสหรอก ขอเก็บเงินก่อนก็แล้วกัน

    อันที่จริงก็ยังไม่พร้อมหรอก เพราะแค่ผ่านที่ที่เคยไปด้วยกัน น้ำตามันยังไหลอยู่เลย

    เพื่อน

    ปีนี้เจอโควิด-19 มาไม่รู้กี่ระลอก บวกกับช่วงชีวิตในเดือนกันยายน ทำให้เราตัดสินใจระหกระเหินย้ายกลับมาตั้งหลักที่บ้านเกิด(กึ่ง)ถาวร การได้กลับมาอยู่ที่นี่เหมือนเป็นการเติมพลังชีวิตให้ตัวเองเพราะได้พบปะเพื่อนในวัยมัธยมฯ ได้สนทนา แลกเปลี่ยนความคิด และใช้เวลาว่างไปด้วยกันแทบจะทุกวัน(ที่ร้านกาแฟ) มันอาจจะดูเหมือนเที่ยวไปวันๆ ซึ่งมันก็ใช่ แต่สำหรับเรา การได้อยู่กับเพื่อนทำให้เราลืมความเศร้าซึมไปได้พักใหญ่ๆ เลย และรู้สึกว่าการได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันเมื่อมีโอกาสก็เหมือนเป็นการต่อความสัมพันธ์กับเพื่อนเก่าให้ยืนยาวขึ้นไปอีก แม้งานจะไม่ค่อยเดินก็ตาม(หยอก)

    ส่วนเพื่อนที่กรุงเทพฯ เราพยายาม keep in touch ตลอด แม้จะพบกันแบบซึ่งๆ หน้าได้ยากก็ตาม สัญญาว่าถ้ากลับกรุงเทพฯ ไปจะพบปะกันมากขึ้น จะไปให้ทุกคนเจอตัว เพราะไม่มีพันธะอื่นให้คอยประคับประคองแล้วล่ะ ว่าแล้วก็อยากกินสันติภาพขึ้นมาทันที

    "เกือบลืมไปแล้วว่าฉันเคยรักเธอมาก่อน
    ไม่อยากจะย้อนเวลาเหล่านั้นให้หวนกลับมา
    เกือบลืมไปแล้วจริงๆ อย่ารื้อฟื้นมันขึ้นมาดีกว่า
    ปล่อยให้น้ำตาข้างใน มันยังไหล"

    เกือบ - บุรินทร์ บุญวิสุทธิ์

    และขอใช้ย่อหน้านี้พูดถึงใครก็ตามที่เราไปท็อกซิกหรือไปทำนิสัยไม่ดีใส่ในปีนี้ เราอยากขอโทษทุกคนจากใจจริง และอยากจะบอกว่าเมื่อสถานการณ์อะไรก็ตามมันย่ำแย่ มิตรภาพไม่เคยหายไปไหน การลองพูดคุยถึงปัญหาและช่วยกันหาทางออกอาจจะดีกว่าการปล่อยให้มันค่อยๆ จางหายไปตามกาลเวลา ถ้ายังคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างกันและกันยังมีความหมายอยู่ แต่ถ้าตัดสินใจแล้วว่าจะทิ้งพันธะตรงนี้ก็ไม่ได้ว่าอะไร ยอมรับและเคารพในการตัดสินใจเช่นกัน

    ครอบครัว

    เรื่องครอบครัวก็คงจะพูดเหมือนทุกปีว่าขอบคุณที่ยังรักและซัพพอร์ตกันมาตลอด แม้ในช่วงที่ชีวิตตกต่ำถึงขีดสุดก็ยังมารับและเป็นกำลังใจให้ เราคงโชคดีมากๆ ที่เกิดมากับความพร้อมอะไรหลายๆ อย่าง แต่ก็เชื่อว่าไม่มีสิ่งใดจีรังยั่งยืน สรรพสิ่งหมุนเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ปัจจุบันก็เลยอยากรับผิดชอบตัวเองให้ได้แบบเต็มร้อยสักทีเพื่อที่อนาคตจะได้ซัพพอร์ตที่บ้านกลับไป

    บ้านนี้อาจจะไม่ได้อบอุ่นเหมือนบ้านอื่น แต่อย่างน้อยก็เป็นส่วนสำคัญที่หล่อหลอมให้เรากลายมาเป็นคนแบบนี้และมีชีวิตแบบนี้ในปัจจุบัน

    สิ่งใหม่ในชีวิต

    วงการเกม : นับว่าเป็นสิ่งใหญ่มากกกกกกกที่เข้ามาในชีวิตช่วงปีนี้ เราเพิ่งเริ่มดาวน์โหลดเกม RoV ช่วงเดือนเมษายนนี้เอง ตอนแรกที่ไม่เล่นเพราะเป็นคนที่ชอบเล่นเกมคนเดียว ไม่ชอบเล่นกับคนอื่น แต่พอได้ลองเข้ามาในวงการ RoV ก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่แค่การเล่นเกมเอาสนุก แต่มันคือการวางกลยุทธ์และแก้เกมฝ่ายตรงข้ามเพื่อทำให้ฝ่ายเราชนะในเกมนั้นๆ คล้ายกับการเล่นหมากรุก (ที่ก็เล่นไม่เป็นนะ) จนผ่านมา 9 เดือนก็สามารถไต่แรงก์ไปเป็น Conqueror ได้สำเร็จ น้ำตาจะไหล นอกจากนี้ RoV ยังทำให้สูญเสียทรัพย์สินไปมากเช่นกัน เพื่อสกินของฮีโร่ที่เรารักเรายอมทุกอย่าง อีกอย่าง เป็นการรียูเนี่ยนเพื่อนๆ ให้มาทำกิจกรรมร่วมกันด้วย ก็ถือว่าเป็นสิ่งดีๆ ที่เข้ามาแล้วทำให้ความเศร้าจางหายไปได้สักพัก

    "나는 아니야
    쉽지 않을 것 같아
    여전하게도 넌 내 하루하루를 채우고"

    Fine - TAEYEON

    วงการช้อปปิ้งออนไลน์ : จะเรียกว่าเพิ่งเข้ามาก็ไม่ได้ เพราะก็ช้อปปิ้งออนไลน์ตั้งแต่อยู่ ม.6 แต่สิ่งใหม่ของปีนี้คือการช้อปปิ้งออนไลน์ตามโปรฯ แต่ละเดือน ซึ่งเราเริ่มที่ 12.12 เดือนสุดท้ายนี่เอง จากนั้นก็เริ่มรู้สึกว่าทำไมเราต้องเสียเงินเต็มให้กับสินค้าถ้าเรามีโปรฯ เด็ดๆ ประจำเดือนทุกเดือน เพราะฉะนั้นบอกเลยว่าไม่มีคำว่าพลาดสำหรับโปรฯ เดือนอย่างแน่นอน แม้ว่าครั้งแรกจะดูยังกดไม่ค่อยทันนัก แต่รับรองว่าครั้งต่อๆ ไปเราจะต้องทำได้ สู้เขานะสอระวิด

    ความรัก

    ขอจบไดอารีด้วยหัวข้อที่เหมือนจะมีอิทธิพลกับชีวิตมากที่สุดในปีนี้ก็แล้วกัน พูดตรงๆ ว่าตอนที่พิมพ์อยู่นี้ก็มีใจสั่นบ้าง แต่ก็จะขอสู้กับมันไปให้ได้

    อาจจะงงว่าทำไมเราถึงโควตเนื้อเพลงมากมายเต็มไดอารีไปหมด ทั้งๆ ที่อาจจะไม่เกี่ยวกับเนื้อหาแถวนั้นเลย ต้องบอกก่อนว่าเราเป็นคนชอบฟังเพลงมาก เราฟังเพลงทั้งในด้านของทำนองและเนื้อหา เพราะเราเชื่อว่าเพลงสามารถสื่อสารความรู้สึกกับผู้ฟังได้อย่างปัจเจก คือในเพลงหนึ่งเพลง ผู้ฟังอาจเกิดความรู้สึกแตกต่างกันก็ได้ บางคนฟังแล้วอาจจะรู้สึกเหงา บางคนฟังแล้วอาจจะรู้สึกเศร้า หรือบางคนฟังแล้วอาจจะรู้สึกเฉยๆ เพราะไม่ได้รีเลตกับตัวเองขนาดนั้น

    เพราะฉะนั้นเราจึงสรุปได้ว่า เพลงหนึ่งเพลงจะมีความหมายต่อผู้ฟังทั้งในแง่ของดนตรีและเนื้อหานั้นก็เกิดจากการที่ผู้ฟังเกิดความรู้สึกร่วมต่อเพลงเพลงนั้น ไม่ว่าจะจากประสบการณ์ส่วนตัวหรือประสบการณ์จากคนรอบตัวก็ตาม

    เพลงที่เราโควตมาจึงมีความหมายกับเราเป็นอย่างมากในช่วงชีวิตตอนนี้

    "ถ้าเราได้เจอกันอีกสักวัน อยากถาม
    เธอจำฉันได้อยู่หรือเปล่า
    เธอจะยิ้มให้ฉันหรือเปล่า"

    ถ้าเราเจอกันอีก (Until Then) - Tilly Birds

    นอกจากนี้เรายังค้นพบว่าเพลงเศร้าอาจไม่ใช่เพลงที่มีเนื้อหาหรือดนตรีที่เศร้า แต่เป็นเพลงอะไรก็ได้ที่คนฟังฟังแล้วเกิดความรู้สึกเศร้า ตัวอย่างเช่น เราอาจฟังเพลงที่มีเนื้อหวานมากๆ แต่ก็เศร้าเป็นหมาได้เพราะอาจมีความรู้สึกว่าทำไมเรื่องแบบนี้ไม่เกิดขึ้นกับตัวเอง เป็นต้น ตลอดจนอารมณ์ใดๆ ก็ตาม ดังนั้น นิยามของเพลงในแต่ละอารมณ์จึงมีความหลากหลาย ทั้งนี้ตัวแปรสำคัญคือผู้ฟังมากกว่าที่เป็นผู้กำหนด genre ให้กับเพลงนั้นๆ

    ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมเราถึงวางโควตเนื้อเพลงเรี่ยราดในไดอารีแบบนี้ ก็คงอาจเป็นเพราะว่าเพลงเหล่านั้นได้แทรกซึมอยู่ในทุกหมวดหมู่ ทุกช่วงชีวิต ทุกวินาทีของเราไปหมดแล้ว เหมือนกับความทรงจำที่ได้กล่าวไปก่อนหน้า เราขอนิยามมันว่าเป็น 'ผีความทรงจำ' เพราะมันคอยตามหลอกหลอนเราตลอดเวลาโดยที่เราไม่ทันตั้งตัวทั้งตอนตื่นและตอนนอน มันวนเวียนเป็นลูปอยู่ในหัวไม่ไปไหน มันจะเข้ามาเมื่อไหร่ก็ได้โดยที่ไม่เลือกเรื่อง จนเราเกิดความรู้สึกกลัวและไม่อยากเผชิญหน้ากับสิ่งนั้น แต่สุดท้ายแล้วมันก็ทำให้เรารู้ว่าแม้เราจะหลบหนีมันไปขนาดไหน มันก็จะยังอยู่กับเราไปตลอดแบบนี้ ความคิดดังกล่าวจึงเปลี่ยนให้เราอยากลองสู้กับมันดู สู้ในที่นี้ไม่ใช่การเผชิญหน้าแล้วต่อสู้กับมัน แต่เป็นการสู้เพื่อที่จะใช้ชีวิตอยู่กับมันไปเรื่อยๆ อย่างนี้ต่อไป เราไม่ใช่คนที่จะปฏิเสธความเสียใจ แต่เราโอบรับความเสียใจนั้นให้ตัวเองดำดิ่งให้มากที่สุด และเราเชื่อว่าสักวันเราอาจจะกลายเป็นเพื่อนที่ดีกับผีความทรงจำตัวนี้สักวัน เว้นแต่ว่าเราจะไม่สามารถหาวิธีดึงตัวเองขึ้นมาจากหลุมที่เราขุดได้

    เราขอขอบคุณทุกๆ คนที่รับรู้เรื่องราวเหล่านี้ เราขอบคุณที่ทุกคนพยายามแนะนำ ปลอบใจ และทำความเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้น เรารับปากว่าเราจะดีขึ้นในไม่ช้า สายรุ้งจะปรากฏเมื่อฝนซา แม้ว่าเราจะยังไม่รู้ว่าเราต้องทำยังไง แต่เราก็จะพยายามทำให้ได้เท่าที่เราทำได้ เพราะถึงยังไงความเจ็บปวดมันก็ไม่เคยไปไหน มันแค่ลดระดับลงให้เหลือขนาดเล็กจิ๋วและฝังอยู่ในหัวใจต่อไปตราบเท่าที่คนคนนึงยังมีชีวิต เพราะฉะนั้นเราก็ต้องอยู่กับมันให้ได้ ขอบคุณทุกคนมากจริงๆ

    "Still got your things here
    And they stare at me like souvenirs
    Don't wanna let you out my head"

    Heartbreak Anniversary - Giveon

    ถ้าถามว่าในอนาคตจะเป็นยังไงต่อ ก็ต้องพูดเหมือนเดิมอีกรอบว่ายังไม่รู้เหมือนกัน เพราะแค่ในปัจจุบันยังมีแสงสว่างอันริบหรี่ให้ไปต่อมันก็มากเพียงพอแล้ว แค่ในปัจจุบันร้องไห้น้อยลง คิดถึงน้อยลง เจ็บน้อยลง มันก็มากเพียงพอแล้ว

    ถ้าการจดจำเธอในแง่มุมที่แย่ๆ มันทำให้เรานึกถึงเธอน้อยลง เป็นห่วงเธอน้อยลง และทำให้เธอใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข เราก็ขอจดจำเธอในแบบที่ทั้งเราและเธอสบายใจแบบนี้ก็แล้วกันนะ

    ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมา

    สุดท้ายนี้ อยากจะขอให้ปี 2022 ที่กำลังจะมาถึง ช่วยใจดีกับเราให้มากกว่าปีที่แล้วหน่อยนะ อาจจะฟังดูคลิเช่หน่อยๆ แต่เราก็อยากจะให้มันเป็นแบบนั้นจริงๆ เพราะเราเจอกับคำว่าใจร้ายมามากเกินพอแล้ว


    สวัสดีปีใหม่ 2022

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in