1 เดือนใน Auckland แต่มีแค่ " 3 weekends " เท่านั้นที่จะได้ไปเที่ยว
จะไปไหนกันบ้างมาดูกันน
Every weekend, New Zealand
เดินทางมาถึง chapter #6 กันแล้ววครั้งนี้เราข้ามน้ำข้ามทะเลนั่งเครื่องบินกว่า10ชั่วโมงไปกันที่ NEW ZEALAND แต่ แต่ แต่ chapterนี้จะขอพาไปที่North Islandกันก่อนโดยหลักๆเราจะอยู่กันที่ Auckland อีกเมืองชื่อดังของเกาะนี้
First weekend
Waiheke Island
บอกตามตรงว่าที่นี่ไม่ได้มีอยู่ในแผนเลยด้วยความที่น้องที่อยู่กับโฮสเดียวกันอยากไปและนางก็บอกว่าสวยมากก ไอเราก็พึ่งมาอยู่ใหม่ถนนหนทางก็ยังจำไม่ค่อยจะได้การมีเพื่อนไปเที่ยวด้วยก็เป็นอะไรที่ไม่เลวฉันก็เลยเซย์เยสไปในทันที พวกเราออกจากบ้านกันตอนเที่ยงๆ การไป Waiheke Islandนั้นต้องอาศัยเรือferryไปโดยใช้เวลาอยู่ประมาณ45นาที
ด้วยความที่เกาะมีขนาดใหญ่มากเขาจึงมีบริการรถเมล์บนเกาะถึง4สายด้วยกัน สำหรับค่าเดินทางเราจะซื้อแบบเหมาจ่ายค่าเรือกับค่ารถเมล์เลยก็ได้ก็คือสามารถขึ้้นรถเมล์ได้ทั้งวันทุกสายหรือจะเลือกจ่ายเฉพาะค่าเรือแล้วพอขึ้นรถเมล์ก็ใช้บัตร*AT HOP cardเอา บนเกาะก็จะมีหาดต่างๆกระจายอยู่ทั่วไปมีทั้งที่รถเมล์ไปถึงหรือต้องเดินต่อไปก็มี
*AT HOP card คล้ายๆบัตรเติมเงินBTSบ้านเราแต่สามารถใช้ได้กับรถเมล์ รถไฟ หรือเรือferryก็ได้ ข้อดีของมันคือนอกจากจะสะดวกเวลาเดินทางไม่ต้องคอยหยิบเงินแล้วยังมีส่วนลดอีกด้วย ตัวอย่างเช่นถ้าจ่ายเงินสดต้องจ่าย 5.5$ แต่ถ้าใช้เจ้านี้จะเหลือเพียง 3.15$ ซึ่งถ้าเปลียนเป็นเงินไทยก็เยอะอยู่น้า แต่มันจะเหมาะกับคนที่มาอยู่นานๆมากกว่า
ตอนแรกที่ไปก็คิดว่าจะเป็นเกาะแบบเช้าไปเย็นกลับไรงี้เหมือนตอนที่ไป SOMAEMULDO (chapter #2) แต่ผิดคลาดอย่างถนัดคือมีทั้งกลุ่มนักท่องเที่ยวลากกระเป๋าลงเรือกันเป็นขบวน อ่าว!มันมีโรงแรมบนเกาะด้วยหรอ พอนั่งรถชมเกาะเท่านั้นแหละโอโห้ บ้านคน ซุปเปอร์ โรงเรียน ตลาดนัดมากันเป็นcommunityกันเลยทีเดียววมันก็จะคึกคักไปอีกแบบ
สิ่งที่อยากแนะนำการนั่งรถเมล์บนเกาะนี้คือควรดูให้ดีว่าจะลงตรงไหนขึ้นตรงไหนเพราะมันค่อนข้างห่างกันอยู่ แต่ละbus stopก็จะมีเวลาบอกซึ่งกว่าจะมาก็มีรอ20-30นาทีกันเลยทีเดียวคือถ้าลงผิดปุ๊ปจะรอขึ้นใหม่หนูก็ต้องนั่งรอไปอีกมันก็จะเสียเวลา หรือพอเจอทะเลปุ๊ปก่อนกระโจนลงน้ำก็ดูเวลาที่รถจะมาไว้ก็จะประหยัดเวลาไปได้อีก
Auckland Zoo
ถ้าใครติดตามมาตั้งแต่chapterแรกก็จะรู้ว่าอินี้ชอบไปสวนสัตว์มาก มาAucklandทั้งทีจะพลาดได้ไง ได้ยินมาว่าที่นี่มีนกกีวี่อีกด้วยต้องไปเห็นกับตาซะหน่อยย
เดินทางด้วยรถเมล์ไปไม่ไกลเราก็มาถึงสวนสัตว์ อ่าวแล้วรู้ได้ไงว่าต้องนั่งสายไหน? นี้เลยเราขอแนะนำ application "AT Mobile" เป็นแอพที่ช่วยชีวิตได้มากสำหรับคนที่ต้องอาศัยขนส่งสาธารณะอย่างเรา มันจะบอกตั้งแต่ว่าต้องเดินไปขึ้นรถเมล์ที่ไหน สายไหน พร้อมทั้งบอกเวลาที่รถมา เวลาที่รถไปถึงจุดหมาย ราคาค่าตั๋ว และแจ้งเตือนว่าใกล้ถึงสถานนีที่ต้องลงแล้ว เป็นอะไรที่โอ้วววมากๆ แต่ใช้ได้เฉพาะในAucklandเท่านั้นนะคะ
มาถึงก็จัดแจงซื้อตั๋ว(บัตรนักเรียนสามารถเอามาเป็นส่วนลดได้แต่ไม่มาก) เข้าไปหานกกีวี่กัน
ก่อนมาที่Auckland เราบังเอิญไปเจอสวนนกเล็กๆที่Queenstownโดยเขาแปะป้ายใหญ่โตว่า "รับประกันเห็นนกกีวี่ชัวร์" เราก็แหม่ไหนๆก็วางแผนจะไปAuckland Zoo อยู่แล้วที่นั้นก็มีจะเสียตังค์สองต่อทำไม ก็เลยเดินออกมา พอวันนี้ที่เราได้เข้าจริงๆละก็เดินตามหานกกีวี่ใหญ่เลย และในที่สุดดดก็เจอส่วนจัดแสดงนกกีวี่ เดินเข้าไปอย่างเงียบๆด้วยความที่นางเป็นสัตว์หากินตอนกลางคืนภายในก็จะมืดๆเป็นธรรมดาแต่ที่ไม่ธรรมดาคือมันมืดมากก คือขนาดเพื่อนที่อยู่ใกล้ๆยังมองไม่เห็นเลย และแน่นอนมองไม่เห็นเจ้านกกีวี่ เช่นกันน TT เดินวนอยู่รอบสองรอบแล้วก็เดินออกมาด้วยความรู้สึกนกนก
บอกเลยว่าเป็นอีกสวนสัตว์ที่ร่มรื่นมากๆและเป็นสวนสัตว์ที่ชอบมากที่สุดเท่าที่เคยไปมา บรรยากาศภายในเหมือนตั้งอยู่หน้าป่าพื้นที่ข้างหลังคือต้นไม้สูงเรียงรายเต็มไปหมด เป็นอีกที่ที่แนะนำให้มาจริงๆชอบมากๆถ้าไม่ติดเรื่องนกกีวี่ - -
Second weekend
Te Paki Sand Dunes
ระหว่างนอนดูทีวีอยู่ในห้อง โฮสก็เดินเข้ามาแล้วพูดว่าเสาร์อาทิตย์นี้เราจะไป Kaitaia กัน ฮึ? ที่ไหนนะ Kaitaiaaa บอกเลยตอนนั้นฟังไม่รู้เรื่องแต่ก็เซย์เยสไปทันทีอีกครั้ง ด้วยความที่วันๆอยู่แต่ในเมืองการได้ออกไปต่างจังหวัดนั่งรถชมวิวแถมฟรีอีกต่างหากจะปฏิเสธได้ไง แต่หลังจากโฮสออกไปอินี่ก็ยังไม่รู้ว่าไปที่ไหนรู้แต่ว่าห่างจากที่นี่5ชั่วโมงงง
เหตุผลการไปKaitaiaของโฮสคือไปเยี่ยมเพื่อนสนิทเขามีฟาร์มเล็กๆอยู่ที่นั้น เป็นบ้านเล็กๆตั้งอยู่ข้างๆเนินเขา รอบๆบ้านปลูกผักสวนครัว มีระเบียงไว้มองวิวของทุ่งหญ้าสีเขียว เชื่อว่ามันเป็นบ้านในฝันของใครหลายๆคนที่อยากจะมาอาศัยในวัยเกษียร มีโอกาสได้คุยกับเจ้าของบ้านเขาก็บอกมาอย่างนั้นจริงๆ พอทานข้าวเสร็จก็ได้พบกับคู่รักจากฝรั่งเศสกำลังทาสีตู้คอนเทนเนอร์อยู่ เกิดคำถามขึ้นในหัวเป็นWWOOFer รึป่าว? ก็ถามพวกเขาไปแล้วก็เป็นจริงๆด้วย กรี๊ดดหนักมาก เพราะเราฝันอยากไป WWOOF ซักครั้งในชีวิต
WWOOF คืออะไร? พูดง่ายๆก็คือการไปทำงานที่ฟาร์ม(organic) แลกกับที่พักและอาหารนั้นเอง โครงการนี้กระจายอยู่ในหลากหลายประเทศ อย่างเรารู้จักโครงการนี้จากหนังสือของนัท ศุภวาที ที่เขาไปWWOOFที่ญี่ปุ่นมา88วัน ใครสนใจหาข้อมูลได้ใน
wwoofinternational.org
ความโชคดีในทริปนี้คือพวกเขาชวนเราไป Te Paki Sand Dunes และก็เป็นอีกครั้งที่เราเซย์เยสทันที เราออกจากบ้านกันประมาณบ่าย4 ตอนแรกก็นึกว่าไม่ไกลนั่งไปนั่งมาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะถึงคุณพระอาทิตย์ก็ใกล้ลับไปเรื่อยๆ
และในที่สุดเราก็มาถึง...
ที่นี่เป็นภูเขาทรายขนาดใหญ่ตั้งอยู่ริมทะเล ตะกุยตะกายเดินขึ้นไปด้วยความตื่นเต้นแต่ก็ไม่ทันไรแสงสุดท้ายก็ลับไปซะแล้ว ระหว่างเดินกลับก็มีเสียงสวรรค์พูดขึ้นมา "เราจะมาที่นี่กันอีกในเช้าพรุ่งนี้คุณอยากมาไหม" โอ้โหบอกตรงๆว่ารักเลยยแต่ก็เกรงใจมากเช่นกันเพราะระยะทางค่อนข้างไกล100กว่าโลได้ แต่เขาก็บอกว่าไม่เป็นไรเพราะเขาก็อยากมาเหมือนกัน
Last weekend
Domain Wintergardens
อาทิตย์สุดท้าย อาทิตย์สุดท้ายแล้วจริงดิตอนนั้นก็แอบตกใจเหมือนกันเห้ยยยังไม่ได้ไปไหนเลยที่จดๆมาจากlonely planet ยังไม่ได้ไปมันซักที่ รวบรวมสติโอเคฉันต้องใช้อาทิตย์นี้ให้คุ้มที่สุด
ลืมตาขึ้นมาเช้าวันเสาร์ พร้อมกับฝนโปรยปราย ฮึฮึ! ได้แต่หัวเราะกับตัวเองตอนแรกวางแผนจะไปขึ้นเขา เงยหน้ามองฟ้าขึ้นไปมีหวังไม่เห็นอะไรแน่ แต่ก็แต่งตัว พกร่ม พกหมวก กระติกน้ำ ขนมปัง กล้วย เดินออกจากบ้านไป ยังไม่รู้แน่ชัดว่าจะไปไหนได้แต่หวังว่าสภาพอากาศมันอาจจจะดีขึ้น - -
นี้ถือเป็นการเที่ยวคนเดียวครั้งแรกก็ว่าได้เดินสะเปะสะปะไปหมด ท่ามกลางวันฝนพร่ำ
The Clocktower
Auckland Town Hall
หลังเดินงงๆอยู่ในเมืองสักพักก็ตัดสินใจว่าจะไปwintergardens เท่าที่ดูรูปมาเป็นสวนเรือนกระจกสไตล์ยุโรปสวยๆและที่สำคัญไม่เสียค่าเข้า ครั้งนี้เราก็อาศัยแอพAT Mobileอีกครั้ง รถเมล์ต่อเดียวเดินไปอีกนิดก็ถึง
ที่นี่ประกอบด้วย3สวนด้วยกันอันแรกเป็นพืชพวกหม้อข้าวหม้อแกง กาบหอยแครง อันที่สองเป็นพืชจำพวกเฟิร์น และสวนที่สามเป็นพืชดอกสีสันสดใสส มีคนหมุนเวียนเข้ามาเรื่อยๆเพราะสวนนี้ตั้งใกล้กับAuckland War Memorial Museum ซึ่งเป็นที่ทัวร์ลงอีกที่ แต่ด้วยความค่าเข้าแพงเลยได้แต่เข้าไปขอใช้ไวไฟฟรีแล้วก็เดินออกมาด้วยความคิดว่าอากาศหน้าจะดีขึ้นวางแผนไปmt. eden พอเดินออกมาปุ๊ปหมวกที่ใส่อยู่นี้ปลิววเลยจร้าทั้งลมทั้งฝน โอเคกลับบ้านก็ได้ TT
Mt. Eden & One Tree Hills
วันอาทิตย์สุดท้ายแล้วจริงๆกับเป้าหมายวันนี้คือต้องไปสองเขาในวันเดียว สอบถามผู้ที่เคยไปMt. Eden มาก่อนว่าเป็นยังไงชันไหมหรือไกลรึป่าว ก็ได้คำตอบมาในแนวทางเดียวกันคือ เดินไม่ไกลและควรไป
การขึ้นไปบนMt. Eden สามารถเดินขึ้น ปั่นจักรยานขึ้น หรือแม้แต่นั่งรถขึ้นไป(แต่ต้องเดินต่ออีกหน่อย) เส้นทางการเดินมีหลายเส้นทางจะเดินตามถนนไปหรือจะเดินตามทางเดินก็จะชันหน่อยๆ อารมณ์ของคนที่มาที่นี้เหมือนมาสวนสาธารณะจูงลูกหรือจูงน้องหมามากันเป็นส่วนใหญ่
เมื่อขึ้นไปข้างบนสุดก็จะเจอหลุมขนาดใหญ่ซึ่งมันก็คือป่องภูเขาไฟนั้นเอง(ดับแล้ว) แต่เขาไม่อนุญาตให้เข้าไปนะให้เดินวนอยู่รอบๆเท่านั้น
ลงมาจากเขามาด้วยความงงๆเพราะแม่งมีหลายทางเหลือเกิน สถานีต่อไป One Tree Hills ซึ่งไม่ไกลจากMt. Edenอีกเช่นเดิมมีพี่ๆเขาบอกมาว่าสามารถเดินไปได้แต่อินี้ขี้เกียจไงนั่งรถเมล์ไปค่ะ
ที่นี่ถือเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่แต่ที่แปลกคือมีน้องวัวน้องแกะให้ดูด้วยอารมณ์เหมือนเดินอยู่ในฟาร์มเบาๆ บริเวณตรงกลางสวนสาธารณะจะมีเนินเขาอยู่เป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์ ซึ่งถือเป็นไฮไลต์เลยก็ว่าได้การขึ้นไปข้างบนสามารถนำรถขึ้นไปได้แต่แนะนำเป็นเดินดีกว่าเพราะระหว่างทางก็จะได้ชมวิวน้องแกะนับร้อยยืนกินหญ้ากันอยู่ โดยเขาจะมีรั่วกั้นไม่ให้พวกนางออกมาแต่เราสามารถเข้าไปข้างในได้ แต่ทางเดินก็จะชันกว่าหน่อยๆ
มีพี่เขาบอกมาอีกว่าไปหน้าร้อนจะสวยกว่าเพราะจะมีดอกไม้ให้เห็นซึ่งถือเป็นอีกไฮไลต์ของที่นี้แต่อินี้ไปหน้าหนาวไงนอกจากจะไม่มีดอกไม้ใบไม้ให้เห็นแล้วฟ้าก็ยังครึ้มๆและฝนก็ตกอีกด้วยย
ความ"Kiwi"
1 เดือนใน Auckland ถึงไม่นานมากแต่ก็พอจะสัมผัสได้ถึงความน่ารักของคนที่นี้ อย่างรูปข้างบนเป็นกองส้มที่วางอยู่บนพื้นหญ้าของบ้านหลังหนึ่ง ตอนแรกก็นึกว่าเขาเอามาทิ้งแต่ที่ไหนได้เขาเอามาแจกจร้าใครอยากหยิบเท่าไหร่ก็หยิบไปเลย หรืออย่างในทุกๆวันที่เราขึ้นรถเมล์พี่คนขับก็จะทักทายผู้โดยสารอยู่ตลอดอาจไม่ทุกคนแต่ก็เป็นส่วนมาก ส่วนผู้โดยสารพอจะลงจากรถก็จะกล่าวขอบคุณเสมอๆ มันเป็นอะไรที่ดูเรียบง่ายแต่เราว่ามันน่ารักมากๆ ทำให้รู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก...
จบไปแล้วกับ "3 weekend" ใน New Zealandแต่ยังไม่หมดแค่นั้น
chapterหน้าเราจะพาไปที่เกาะใต้กันจะสวยแค่ไหนอย่าลืมติดตามกัน
เร็วๆนี้น้าาา
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in