ช่วงเที่ยงต่อบ่ายเป็นช่วงที่ร้านยุ่งน้อยที่สุดเจ้าของร้านจึงผลัดกันรับประทานอาหารหลังร้าน โดยมีคนอยู่โยงเฝ้าหน้าร้านคนหรือสองคนถ้าหากมีลูกค้ามาเพิ่มเพื่อจะได้ช่วยกันจัดการทั้งขายทองและแลกเงินยามว่างสิญจน์มักมาช่วยร้านบ้างเป็นบางวัน เช่นเดียวกับวันนี้
“สิญจน์ไปกินข้าวเถอะ เดี๋ยวตรงนี้แม่ดูต่อกับพ่อเอง”พวงหยกที่ผลัดไปรับประทานอาหารกับสามีกลับออกมาบอกลูกชาย “จ๋าด้วยไปกินซะพร้อมกันเลยทีเดียว”
“ครับ”
“ค่ะ”
พวงหยกมองตามสองพี่น้องซึ่งเดินเคียงกันไปหลังร้านด้วยรอยยิ้มแล้วกลับมาสนใจหน้าร้านต่อเมื่อเห็นลูกค้าเดินเข้ามา
สิญจน์หยิบจานออกจากชั้นสองใบเพื่อตักข้าวแล้วเดินไปยังโต๊ะรับประทานอาหารซึ่งจารุกรกำลังเปิดฝาชีสำรับกับข้าวเหลือจากบิดาและมารดาวางจานข้าวในตำแหน่งประจำของพี่
“วันนี้มีขาหมูต้มเต้าหู้ยี้ของโปรดเราด้วย”คนเป็นพี่เดินกลับมายังโต๊ะพร้อมถ้วยของโปรดน้องชาย
สิญจน์มองฟองเต้าหู้และเห็ดหูหนูเยอะพิเศษในถ้วยแล้วถึงกับยิ้มกว้าง
“ขอบคุณครับพี่จ๋านี่รู้ใจผมจริงๆ”
“พูดมากกินไปเยอะๆ เลย” คนเป็นผลักถ้วยไปตรงหน้าน้องชายเปลี่ยนเอาผัดเผ็ดหมูกรอบมาไว้ตรงหน้าตัวเองแทนมองน้องชายจ้วงขาหมูมันนิ่มเข้าปากเคี้ยวตุ้ยแล้วอดแซวไม่ได้ “เรานี่ดีจริงๆ เลยนะกินเยอะกินมันยังไงก็ไม่อ้วน ถ้าพี่กินแบบเรานะ ไม่เกินเจ็ดวันหน้าบานเป็นกระด้งแน่ๆ”
“ของแบบนี้ไม่ได้มาง่ายๆเสียหน่อย ชวนออกกำลังกายด้วยกันก็บ่น”
“มันไม่มีเวลานี่”
“ข้ออ้างของคนขี้เกียจชัดๆ”คนเป็นน้องค่อน กว่าเขาจะปั้นหุ่นให้ได้แบบนี้ต้องออกกำลังกายสม่ำเสมอนั่งกินนอนกินแล้วหุ่นดีมีที่ไหนกัน
“ปากนะเรา”
“ผมพูดผิดตรงไหนพี่จ๋าน่ะวันๆ อยู่แต่ร้าน อย่างดีก็เดินเข้าออกหน้าร้านร่างกายจะเผาผลาญได้ขนาดไหนเชียว พอไม่ออกกำลังกายก็อ้วนง่ายสิ”
“บ่นยังกับพ่อแก่”
“ถ้าเลิกบ่นจะตื่นมาออกกำลังกายด้วยกันไหมล่ะที่บ้านก็มีห้องออกกำลังกาย”
จารุกรส่ายหน้าหวือทันที
“ทำงานเหนื่อยพอแล้วไม่มีแรงไปทำอะไรทั้งนั้นแหละ”
สิญจน์ถึงกับโคลงศีรษะ...ผิดจากคิดเสียที่ไหนกัน
“ถ้างั้นก็เลิกบะ...”
สิญจน์ต้องรีบอ้าปากงับเมื่อพี่ประเคนขาหมูเข้ามาในปากจนเป็นกระแทกแรงไม่น้อยนั้นหากเขาช้ากว่านี้อีกนิดมีหวังฟันแหว่ง
“นายก็กินเงียบๆไปเลย” จารุกรย่นหน้าค้อนขวับแล้วตักข้าวเข้าปากไม่สนใจสายตาเอาเรื่องของน้องชายสักนิด
“อือ พี่จ๋า ผมเอาเสื้อมาให้แล้วนะ อยู่ในรถแน่ะ”เห็นท่าหากยังแหย่เรื่องรูปร่างอีก มีหวังถูกพี่สาวโกรธเอาแน่ อ้วนเป็นคำต้องห้ามของผู้หญิงไม่ว่าคนไหน เขาจึงเปลี่ยนเรื่อง
“อ้าวทำไมไม่ถือติดมาด้วยล่ะ”
“สุดท้ายต้องเอากลับบ้านอยู่ดีนี่ใส่ไว้ในรถแหละดีแล้ว”ปัจจุบันทั้งครอบครัวไม่ได้นอนในตึกแถวที่ตั้งร้านทองแห่งนี้แล้วตั้งแต่ปลูกบ้านเดี่ยวมีบริเวณเมื่อหลายปีก่อน พอปิดร้านก็กลับไปนอนบ้านโน้น
“พี่อยากเห็นนี่”
“ก่อนสั่งนี่ยังเห็นไม่พออีกเหรอ”
“จะได้ดูไงว่าตะเข็บฝีเย็บดีหรือเปล่า เผื่อเปื้อนหรืออะไรจะได้เอาไปเปลี่ยนเลย” จารุกรรวบช้อนจบมื้ออาหารด้วยตอนนี้มีอะไรที่น่าสนใจกว่า “นายไปหยิบมาให้พี่หน่อยสิ พี่อยากดู”
“พรุ่งนี้ก็ทันหรอกน่า”
“เอ๊ะนายสิญจน์ กวนจริงนะเรา” เห็นหน้าน้องชายที่เคี้ยวอาหารตุ้ยๆ หน้าพริ้มมองก็รู้ว่าถูกยั่ว
“ผมไปกวนพี่ที่ไหนกัน”
เห็นน้องยังไม่ยอมรับง่ายๆมิหนำซ้ำยังไร้ท่าทางลุกไปหยิบของให้จารุกรก็ตัดใจ
“งั้นเอากุญแจรถมาพี่ไปเอาเอง”
คนเป็นน้องส่ายหน้าดิกแล้วต้องโยกตัวหลบหวือเมื่อฝ่ามือฟาดมาอย่างแรงเฉียดไหล่ไปนิดเดียวเอง
“เฮ้ยพี่จ๋า เดี๋ยวสำลักข้าว”
“ถ้าจะสำลักก็สำลักแล้วแหละ...ตกลงจะให้ดีๆไหม”
“ผมไปเอาให้ก็ได้โธ่” ได้เห็นพี่สาวตาเขียวหายใจเข้าออกฟึดฟัดอย่างขัดใจก็พอใจ
จารุกรมองตามน้องชายซึ่งหยิบจานของตนและเธอแล้วเดินไปเก็บตรงอ่างล้างจานเกือบยิ้มออกมาแล้วเมื่อใกล้ได้เห็นเสื้อที่รอสมใจจนกระทั่งเห็นน้องชายหยิบถุงมือยางมาเตรียมสวมนั่นแหละ
“นายไม่ต้องล้างเดี๋ยวพี่จัดการเอง”
“ขอรับ”ศีรษะทุยก้มลงอย่างล้อเลียนแล้วรีบเผ่นแผล็วออกจากตรงนั้นก่อนโดนฝ่ามือของพี่สาวที่เดินเข้ามาใกล้
ตอนสิญจน์กลับเข้ามาในบ้านอีกครั้งพี่สาวเพิ่งกลับมาจากหน้าร้านการที่ฝ่ายนั้นเข้ามาด้านในอีกครั้งแสดงว่าหน้าร้านไม่ยุ่งมิเช่นนั้นแล้วพี่สาวคงอยู่ช่วยบิดาและมารดาแล้ว
“อ๊ะ”
จารุกรรับถุงใบนั้นอย่างยิ้มย่องเดินไปนั่งลงตรงโซฟายาวซึ่งอยู่มุมหนึ่ง หยิบเสื้อออกมาพิจารณาอย่างไม่รอช้าชนิดที่คนเป็นน้องเห็นถึงกับค่อน
“มีแค่ร่างเดียวแต่จะซื้ออะไรกันนักหนาตั้งสี่ห้าสี ใส่หมดหรือไง” นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พี่สาวซื้อเสื้อแบบละหลายสีจนตอนนี้ตู้ที่บ้านงอกลูกออกหลานไปหลายหลังแล้ว
“มันสวยนี่ สิญจน์ดูสิ สีแดงก็สวยตอนนี้สีม่วงก็ฮิต เลือกไม่ถูกก็เอามันหลายสีเลย”
“วันๆอยู่แต่ร้าน จะใส่ไว้อวดใคร”
“ไม่ได้อวดใคร แค่อยากสวย มีปัญหาหรือเปล่า”
มองตาเรื่อเรืองคู่นั้นแล้วใครจะอยากไปมีเรื่องด้วย...สิญจน์จึงได้แต่ส่ายหน้าหวือ
“หรือนายไม่ชอบผู้หญิงแต่งตัวสวยๆดูดี”
“เจอผู้หญิงสวยๆใครๆ ก็อยากมองทั้งนั้นแหละครับ” เป็นอีกครั้งที่เขาปฏิเสธไม่ได้
“ทำมาเป็นปากดี” จารุกรค้อนขวับให้กับน้องชาย บ่นอุบอิบ“ไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนที่จะแต่งตัวมาให้ผู้ชายมอง เขาแค่สนองนี้ดของตัวเองสร้างความมั่นใจให้ตัวเองเท่านั้นแหละ ส่วนใครจะมองว่าสวยมันก็พลพลอยได้เท่านั้นเอง”
ประเด็นนั้นเขาไม่เถียง “แต่ยังไม่เข้าใจแบบเดียวห้าวันห้าสีอยู่ดี”
“พูดไปนายก็ไม่เข้าใจเอาไว้มีแฟนก่อนแล้วกัน เดี๋ยวก็เข้าใจเองแหละว่าสำหรับผู้หญิงบางคนการแต่งตัวก็เป็นความสุขอย่างหนึ่ง”
“ผมไม่เห็นจะเป็นปัญหาตรงไหน”แวบหนึ่ง เขาอดคิดถึงผู้หญิงที่เพิ่งได้เจอก่อนหน้านี้ไม่ได้ รายนั้นก็สะดุดตาชวนมอง แค่เจอกันแวบเดียวก็รู้ว่าแต่งตัวเก่งมากแค่ไหน
โทรศัพท์มือถือถูกหยิบขึ้นมาไล่กดจนเห็นชื่อและเลขเรียงกันอยู่สิบตัวนิ้วแข็งแรงทำท่าจะกดลงตรงปุ่มรูปหูโทรศัพท์ แต่แล้วก็ค้างอยู่อย่างนั้น
น่า...ทิ้งเวลาเอาไว้อีกนิดให้หลังไม่ถึงสองชั่วโมงก็ต่อสายไปหา เร็วเกินไปที่จะทำอย่างนั้น แต่ให้ตายสิตอนนี้คนกระวนกระวายกลับเป็นเขาเสียได้ บ้าจริง
“ฉันหมายถึงห้าวันห้าสีต่างหากย่ะ”
คราวนี้สิญจน์ถึงกับนิ่งไปแต่ครู่เดียวก็ยักไหล่ เขาก็ไม่เห็นปัญหาอยู่ดี
“เอ๊ะทำไมมีรถจอดอยู่ด้วยล่ะหยี”
เสียงทักของเพื่อนทำให้คนที่เคลื่อนรถมาจอดหน้าประตูรั้วและกำลังจะลงไปเปิดประตูถึงกับต้องก้มมองฝ่ากระจกหน้าออกไป
“เฮ้ยรถฉันเอง” เจ้าตัวหมายถึงรถยนต์ส่วนตัวของตนไม่ใช่รถเช่าซึ่งเลือกใช้ตั้งแต่ลงเครื่องเนื่องจากไม่อยากให้ครอบครัวของป้ารู้ว่าตนกลับมาบ้านตามคำขอร้องของกณิศา“มาได้ไงน่ะ ข้าวนั่งรอในรถก่อนนะ อย่าเพิ่งลงล่ะ ขอหยีดูลาดเลาก่อนเผื่อมีคนอยู่ในบ้าน”
คนเป็นแขกหยักหน้าหงึกๆมองคนที่ยังไม่ยอมลงจากรถ ได้แต่ก้มๆ เงยๆ ใช้สายตาสอดส่ายไปทั่วบริเวณบ้านผ่านกระจกหน้ารถนั่นเองก่อนเห็นฝ่ายนั้นถอนหายใจออกมาเบาๆท่าทางโล่งบอกให้รู้ว่านอกจากรถแล้วคงไม่มีใครอยู่อีก
“ปกติไม่พี่สิญจน์ก็ใครสักคนจะมาเอารถไปวิ่งให้สัปดาห์หรือครึ่งเดือนครั้งนั่นแหละ จอดไว้นานๆ เดี๋ยวน้องหนูจะยกครอบครัวมาทำรังเสียก่อนนี่สงสัยมีคนเอารถมาเก็บตอนเราไม่อยู่พอดี”
“แน่ใจนะหยีว่าไม่มีคนอื่นอยู่อีกน่ะ”
“อือประตูรั้วยังล็อกดีอยู่เลย”
ได้ยินอย่างนั้นโล่งใจไปเปลาะว่าการอยากอยู่เงียบๆของเธอจะยังไม่โดนทำลายลงตั้งแต่ข้ามคืนแรก
“อีกอย่างถ้าพี่สิญจน์หรือคนที่บ้านรู้ว่าฉันกลับมาหูคงไม่เหงาแบบนี้หรอก กลับบ้านไม่บอกมีหวังถูกเฉ่งจนหูชาแน่ๆ”
“ฉันไม่ได้ทำให้แกลำบากใช่ไหมหยี”
“เฮ้ยไม่หรอก ฉันพูดให้เว่อร์ไปงั้นเองอย่างดีก็คงถูกว่านิดหน่อยที่กลับมาไม่บอกจะได้ไปรับ แค่นั้นเองป้ากับลุงไม่ดุหรอก แกก็เคยเจอนี่”
กณิศาพยักหน้าหงึกเธอเคยเจอท่านสองสามครั้งเวลาขึ้นไปเยี่ยมหลานสาวที่เมืองหลวงครั้งล่าสุดก็ตอนฐิตาและเธอรับปริญญาแม้ผ่านมาหลายปีแล้วแต่ความใจดีและอารีเผื่อแผ่มายังเพื่อนคนอื่นๆเป็นความรู้สึกที่เธอจำได้แม่น
“งั้นเดี๋ยวฉันลงไปเปิดประตูรั้วให้แกรอถอยรถเข้าบ้านแล้วกัน”ว่าแล้วคนขันอาสาก็รับกุญแจบ้านจากเพื่อนแล้วลงไปไขประตูเปิดออกกว้างเพื่อให้ฐิตานำรถเข้าจอดอย่างเรียบร้อย
สองสาวช่วยกันขนของลงจากท้ายรถแล้วนำเข้าบ้านตรงดิ่งไปยังห้องครัวก่อนเป็นอันดับแรก นำอาหารสำเร็จรูปแช่เย็นส่วนนึ่งอุ่นในไมโครเวฟ ระหว่างรอก็เอาเสื้อผ้าไปเก็บกลับออกมาอีกทีอาหารทั้งหมดก็อุ่นพร้อมรับประทานพอดี
กณิศาจัดแจงเทอาหารที่อุ่นเรียบร้อยแล้วลงจานก่อนลำเลียงไปยังโต๊ะวางข้าวผัดกะเพราไก่ไข่ดาวลงตรงหน้าเพื่อนซึ่งจัดการเครื่องดื่มพร้อมแล้วส่วนของตัวเองเป็นข้าวมันไก่พร้อมน้ำซุปมีฟักเขียวชิ้นหนึ่งเดี๋ยวนี้อยากกินอะไรแค่เดินเข้าร้านสะดวกซื้อก็มีเกือบทุกอย่างที่ต้องการไม่ต่างจากร้านอาหารตามสั่งเลยทีเดียว
“ข้าวมันไก่อร่อยไหมแก”
“ลองดูสิ”มือเรียวดันจานตนเองเพื่ออำนวยความสะดวกให้เพื่อนตักข้าวได้ถนัดแถมยังบริการราดน้ำจิ้มไปบนไก่ให้อีกด้วย
“ใช้ได้แฮะไม่ถึงขนาดต้องกินก่อนตาย แต่ไม่เสียดายตังค์”
“อือ”
“แต่แกห้ามกินบ่อยนะเลิกสักทีไอ้นิสัยทำงานจนปลีกตัวไปหาข้าวหาปลาให้ตัวเองไม่ได้จนต้องพึ่งอาหารแช่แข็งยันน่ะมันเสียสุขภาพ”
“สั่งเป็นแม่แก่ไปได้แกนี่”
ฐิตาหรี่ตามองคนที่ทำเป็นตำหนิกลบเกลื่อนมองรอยยิ้มเจื่อนๆ นั้นแล้วนึกรู้ทันเป็นเพื่อนกันมาตั้งหลายปีทำไมจะไม่รู้ว่าระยะหลังพฤติกรรมการกินของเพื่อนเป็นอย่างไรพอได้ทำงานแล้วพุ่งสมาธิไปกับตัวอักษรตรงหน้าจนลืมเวลา หรือบางครั้งแปลงานติดพันอาหารแช่เย็น แช่แข็งจึงเป็นตัวเลือกแรกแทนที่จะลงมือปรุงอาหารรับประทานเองนี่ยังดีที่เมื่อปีก่อนเจ้าตัวมีอาการปวดบ่าเรื้อรังจากการนั่งเกร็งทำงานเป็นเวลานานหมอจึงสั่งให้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งคงเพราะทรมาณมานานเพื่อนจึงยอมทำตามไม่เช่นนั้นแล้วคงเอาแต่นั่งติดโต๊ะทำงานไม่ยอมลุกไปไหนแน่
“เพราะฉันรู้จักแกดีต่างหากล่ะ”
“เออๆฉันจะพยายามแล้วกัน”
“ไม่ใช่พยายามแต่ต้องทำให้ได้ต่างหากล่ะ” ฐิตาไม่วายกำชับ มือตักข้าวเข้าปากไปด้วยเช่นเดียวกับคนเป็นเพื่อน “แกเห็นตลาดที่ฉันชี้ให้ดูแล้วใช่ไหมว่าอยู่ตรงไหนมีทั้งของสดและพวกแกงถุงปรุงใหม่ๆ อย่างน้อยก็ดีกว่าอาหารใส่สารกันบูดพวกนี้...จำทางได้ใช่ปะ”
ใบหน้ากลมกดหงึกทันทีก่อนหน้านี้ฐิตาขับรถพาเธอไปดูสถานที่ต่างๆ ว่าอยู่ตรงไหนอย่างตลาดสดก็มีตั้งสองแห่ง แห่งหนึ่งเปิดทั้งวันแต่ไกลหน่อยอยู่ค่อนไปกลางตัวอำเภอ ส่วนอีกแห่งไม่ไกลจากบ้านหลังนี้มาก ทว่าแม่ค้าตั้งร้านกันตอนบ่าย
“เดี๋ยวฉันกลับแล้วแกไปหาอะไรมาตุนไว้แล้วกันเอารถยนต์ไปก็ได้นะ ไม่ต้องลำบากปั่นจักรยานไปหรอก เหนื่อยเปล่าๆ ร้อนด้วย”
“ไม่เอาอะ”หญิงสาวส่ายหน้าหวือ พอเห็นฐิตาเลิกคิ้วคล้ายไม่เข้าใจจึงต้องขยายความ“เดี๋ยวบังเอิญเจอญาติแก เกิดจำรถได้แล้วหาว่าฉันเป็นขโมยจะทำไง”
“โอ๊ยไม่หรอกน่า กลางวันทั้งลุง ป้า พี่จ๋าก็อยู่ร้าน แกไม่ซวยขนาดนั้นแน่เชื่อฉันเถอะ”
“แกยังมีพี่ชายอีกคนนะหยี”
“อย่างพี่สิญจน์นะเหรอคนนั้นยิ่งไม่มีทาง กว่าจะตื่นก็สายโด่ง ถ้าไม่มีอะไรกว่าจะออกจากบ้านก็เย็นๆ ค่ำๆโน่น ไม่บังเอิญเจอแกง่ายๆ หรอก” เห็นสีหน้าไม่เข้าใจของเพื่อนทำให้ฐิตานึกได้“นี่ฉันเคยบอกแกหรือยังว่าพี่สิญจน์เปิดอาหารอยู่ที่ตัวเมือง”
“รู้ว่าแกมีพี่แต่ไม่เคยรู้ว่าทำอะไร”
ฐิตาพยักหน้าหงึกบ่อยครั้งที่เธอพูดถึงพี่สาวและพี่ชายให้เพื่อนฟัง แต่ออกแนวนินทาด้วยความรักและหมั่นไส้มากกว่าไม่ได้ถึงขนาดลงรายละเอียดลึกๆ
“รายนั้นกบฏเรียนบริหารจบมาแทนจะมาช่วยที่บ้าน โน่น...หนีไปเปิดร้านเหล้า”
“ร้านเหล้า?”
ฐิตารู้ตัวว่าพูดเกินไปจึงรีบแก้
“ก็ไม่เชิงหรอกพี่สิญจน์หุ้นกับเพื่อนเปิดร้านอาหาร แต่เป็นประเภทที่มีบาร์เครื่องดื่มเอาใจพวกชอบแอลกอฮอล์ด้วยน่ะ”
“หยีบอกว่าเข้าร้านเย็นๆหมายถึงร้านเปิดเฉพาะช่วงเย็นเหรอ”
“อือเป็นร้านอาหารแบบนั่งสบายๆ มีอาหาร เครื่องดื่มมีเสียงนักร้องร้องเพลงคลอไปด้วยนั่นแหละ”
“แล้วร้านพี่เขาอยู่ไหนเหรอ”
“ทำไมแกจะไปเหรอ”
เสียงเข้มกับตาวาวๆทำกณิศาเลิกคิ้วคล้ายกับถามว่ามีอะไร
“ร้อยวันพันปีแกไม่เคยจะสนเรื่องพี่ชายฉันเวลาเล่าอะไรให้ฟังก็แค่ฟังไม่ได้กระตือรือร้นแบบวันนี้ จู่ๆถามถึงพี่สิญจน์มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ”
“พาลนะแก”คนถูกจ้องจับผิดส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ
“ไม่พาลสักหน่อย”
ปากบอกไม่ทว่าดวงตาวาววับจ้องเป๋งมาอย่างจับผิดแล้วแบบนี้จะให้เธอเชื่อได้อย่างไร
“คิดมากนะแกถ้าฉันอยากเจอพี่สิญจน์ของแกทำไมจะต้องให้แกปิดเรื่องที่ฉันมาที่นี่ด้วยล่ะแค่ให้แกพาไปฝากเนื้อฝากตัวกับป้าและลุงของแกก็สิ้นเรื่องอีกอย่างแกก็รู้ว่าฉันไม่ชอบเที่ยวกลางคืน ที่ถามเนี่ยแค่อยากรู้จะได้วางแผนถูกไม่เอาหน้าไปโผล่ให้พี่แกจับได้”
“แค่นั้นจริงๆนะ”
“จริงสิ”หญิงสาวพยักหน้ายืนยันหนักแน่ให้คนที่ยังไม่เชื่อคลายใจลงบ้างเดี๋ยวพานห่วงจนไม่เป็นอันทำอะไร
“จะว่าไปพี่ชายฉันกับแกยังไม่เคยเจอกันเลยนี่เนอะมีเหตุให้ต้องสวนกันตลอด ตอนรับปริญญาพอพี่สิญจน์มาแกก็แยกตัวไปถ่ายรูปกับคนอื่นเวลาพี่สิญจน์ขึ้นกรุงเทพก็ไม่เคยว่างได้เจอกันเลยถ้าบังเอิญเจอกันคงไม่เป็นไรหรอก”
“นั่นสินะ...”
“แต่แกอย่าไปเผลอหลงคารมณ์พี่สิญจน์เข้าล่ะ”
ท่าทางราวแม่จงอางหวงไข่ทำกณิศาถึงกับโคลงศีรษะด้วยความเอือม
“ไม่ได้เจอกันแล้วจะไปหลงคารมณ์ได้ไง แกนี่คิดมาก”
ไม่ให้คิดมากได้อย่างไรเพื่อนของเธอน่ารักน้อยเสียเมื่อไรถึงไม่เด่นสะดุดตาออร่ากระจายตั้งแต่ระยะห้าเมตรสิบเมตรทว่าปฏิเสธไม่ได้ว่าหากใครรู้จักตัวตนของกณิศา คงหลงเสน่ห์ไม่ยากเกิดไปสะดุดตาพี่สิญจน์เข้าละก็ จะไม่ให้คิดมากได้อย่างไรเมื่อเพื่อนเธอเพิ่งผ่านประสบการณ์เลวร้ายจากรักครั้งเก่ามา
“ดูเหมือนพี่สิญจน์ของหยีจะไว้ในไม่ได้นะ” กณิศาลองหยั่งเชิงแล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อคนที่ทำตัวเป็นจงอางหวงไข่อยู่เมื่อครู่เปลี่ยนท่าทางเสร็จสรรพ
“ไม่ใช่แบบนั้นนะ”
นั่นสิ...ถึงภายนอกพี่ชายเป็นคนมนุษยสัมพันธ์ดีจนบางครั้งดีเกินไปจนชวนเข้าใจผิดทว่าที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีปัญหาเรื่องผู้หญิงมาก่อนประเด็นหลอกลวงผู้หญิงตัดทิ้งไปได้เลยมีแต่คนวางแร้วหลอกล่อให้พี่ชายติดบ่วงเสียมากกว่า แต่เจ้าตัวยังไม่เคยพลาดสักทีแล้วกณิศาเป็นถึงเพื่อนเธอพี่สิญจน์คงไม่กลายร่างเป็นหมาป่าล่อลวงหนูน้อยให้ติดกับแล้วขย้ำกินหรอก
คิดได้ดังนั้นก็เบาใจใบหน้าของฐิตาจึงชื่นขึ้น
ผู้ชายหลายคนเหมาะสมจะเป็นเพื่อนเป็นพี่ไม่ใช่คนรักแต่พี่ชายของเธอเหมาะสมในทุกตำแหน่ง
“สบายใจขึ้นแล้วสิ”
“อือ”
“แล้วบอกข้าวได้หรือยังว่าร้านพี่สิญจน์อยู่ไหน”
“อยู่ในเมืองโน่น”ฐิตายังไม่วายค้อนเพื่อนก่อนตอบ “หยีหมายถึงตัวอำเภอเมืองน่ะขับรถประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึงหาไม่ยากหรอก...เออ ข้าวไม่ได้อยากไปนี่เนอะ”
แล้วเธออธิบายทำไมให้ยืดยาวบ๊องจริง
เธอสรุปความเงียบของเพื่อนเป็นการตอบรับหากกณิศาอยากไปจริงๆคงไม่ปฏิเสธตั้งแต่เธอชวนไปเปิดหูเปิดตาตามสถานบันเทิงก่อนหน้านี้แล้วแหละ
“แกไม่คิดว่าฉันอยากเห็นร้านพี่สิญจน์บ้างเหรอนานๆ ไปเปิดหูเปิดตา ดูสิ่งใหม่ๆ สักทีก็น่าสนุกนะ”
“ทำเป็นพูดดีนะ”
“ใครจะไปรู้ อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้เผื่อฉันอยากลองเปลี่ยนบรรยากาศดูบ้าง”
“อย่างแกเนี่ยนะอยากลองถ้าเป็นอย่างนั้นจริงคงไปตั้งแต่นานแล้ว”เธอเคยชวนเพื่อนจนเบื่อที่จะเอ่ยปากเพราะไม่ว่าชวนกี่ครั้งก็ถูกปฏิเสธทุกครั้ง“ชวนไปเที่ยวลุยๆ ยังง่ายกว่าอีก”
“ใครจะรู้”
น้ำเสียงแปลกๆ ทำให้ฐิตาต้องเหลือบมองเพื่อนสีหน้าเหมือนท้าทายกันของอีกฝ่ายทำให้หลุดหัวเราะออกมาแล้วโคลงศีรษะเบาๆ
เธอรู้จักกณิศาดีรู้จักดีพอจะเชื่อว่าเพื่อนแค่แกล้งพูดให้เธอระแวงเท่านั้นเอง
ไปไม่กลัวกลัวไม่ไปมากกว่า
“เราเลิกสนใจเรื่องพี่สิญจน์เถอะข้าวลองดูแล้วกันว่าขาดเหลืออะไรอีกไหม ถ้ายังไงยังมีเวลาพรุ่งนี้เช้าอีกวันจะได้จัดการให้เรียบร้อยก่อนหยีกลับกรุงเทพฯ”
“หลักๆ คิดว่าครบแล้วนะ”หญิงสาวตอบหลังจากทบทวนเพื่อความแน่ใจอยู่ครู่หนึ่ง “พวกของเล็กๆ น้อยๆค่อยหาซื้อเอาทีหลังก็ได้”
ต้องขอบคุณฐิตาที่ขับรถวนไปรอบๆตามเส้นทางหลัก ทำให้พบว่าที่นี่ไม่ใช่อำเภอใหญ่ ถนนหนทางไม่ซับซ้อนวันนี้เธอจึงจดจำเส้นทางได้ประมาณหนึ่งจนค่อนข้างแน่ใจว่าหากต้องเดินทางเองคงไม่หลงทว่าปัญหาตอนนี้เป็นเรื่องงานมากกว่า
“ความจริงข้าวอยากได้ปรินเตอร์หยีมีหรือเปล่า ข้าวไม่เห็นตรงโต๊ะคอมฯ เลยไม่แน่ใจว่าเก็บไว้ตรงไหน”
“ไม่มีหรอกข้าว”เจ้าของบ้านไม่หยุดคิดสักนิดขณะตอบ “ตัวเก่าเสียไปนานแล้ว ช่างเคยตีราคาให้ซ่อมแล้วไม่คุ้ม ซื้อใหม่ถูกกว่าเยอะแต่เห็นว่าไม่ค่อยได้ใช้เลยยังไม่ได้ซื้อใหม่”
“อย่างนั้นเหรอ...พวกร้านคอมฯหรือร้านถ่ายเอกสารล่ะ พอปริ้นต์งานได้ไหม” เธอจำได้ว่าร้านถ่ายเอกสารในมหาวิทยาลัยสามารถปริ้นต์งานผ่านเครื่องถ่ายเอกสารได้แต่ก็ไม่แน่ใจว่าทุกร้านมีเครื่องแบบนั้นหรือเปล่านี่สิ
“มีร้านที่ปริ้นต์ได้นะแต่แพงหน่อย เมืองเล็กๆ ก็แบบนี้แหละ ไม่ค่อยมีอะไรให้เลือกมากหรอกราคาแพงใช้เวลาเยอะด้วย “ฐิตาแจงอย่างเชี่ยวชาญ “ข้าวต้องปริ้นต์อะไรเหรอ”
“เผื่อจะแปลต้นฉบับออกมาตรวจน่ะ พวกคำผิด หรือพวกสำนวนแปลแปลกๆ ของตัวเองอ่านในกระดาษมันสบายตา”
ฐิตาพยักหน้าหงึกๆเธอเข้าใจทุกอย่างกระจ่างแจ้ง ขนาดเสื้อผ้าเพื่อนยังต้องหาซื้อเอาอาบหน้าเลยนับประสาอะไรกับต้นฉบับ ดีเท่าไรแล้วที่ยังได้เอกสารสำคัญติดตัวออกมาบ้างทำให้ชีวิตหลังจากนี้ของกณิศาไม่ยากมากนัก
“อืมแล้วแกมีไฟล์ต้นฉบับในมือหรือไง” จำได้ว่าตอนหลบๆ ซ่อนๆเข้าไปเอาเอกสารสำคัญให้เพื่อนเวลาจวนตัวเต็มที่ทำให้ไม่สามารถฉวยแล็ปท็อปของเพื่อนติดมาด้วยแล้วจะเอาไฟล์มาได้ยังไง “หรือแกมีทรัมไดร์ฟติดตัว”
“เปล่า”
“อ้าว”
“ฉันอัพขึ้นดร็อฟบ็อก[1] ไว้แล้ว”
“ถ้างั้นไม่ยากแค่มีเน็ตก็ใช้ได้แล้ว” ฐิตาพยักหน้าหงึกๆ ถึงเธอไม่เก่งเทคโนโลยีมาก ทว่าการเรียนในระดับมหาบัณฑิตเหมือนบังคับให้เธอต้องทำความรู้จักกับสิ่งเหล่านี้โดยอัตโนมัติจากการต้องทำงานร่วมกันของเหล่านักศึกษา“แต่บ้านนี้ไม่ได้ติดเน็ตนะข้าว”
“ตอนนี้คงต้องใช้มือถือไปก่อน”
“ไหนว่าจะปิดเครื่องเพราะไม่อยากถูกตามตัว...”ฐิตาท้วงให้เพื่อนเห็นถึงความจริงที่เจ้าตัวอาจหลงลืมไป สมาร์ตโฟนซึ่งเปิดแพ็คเกจอินเทอร์เน็ตเอาไว้ตอนนี้คงนอนแอ้งแม้งอยู่ตรงไหนสักแห่งเนื่องจากเจ้าตัวต้องการตัดการติดต่อกับพี่ชายรวมถึงเพื่อไม่ให้ถูกตามตัวเจอง่ายๆ “แกถึงต้องซื้อโทรศัพท์บ๊องๆ มาใช้ไง”
กณิศาถอนหายใจทันทีเมื่อเรื่องกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด
“ก็ต้องทนรำคาญใจไปก่อนสักช่วงหนึ่งนะหยีจนกว่าจะติดอินเทอร์เน็ตเรียบร้อย” ชีวิตทุกวันนี้ โดยเฉพาะคนทำงานแบบเธอด้วยแล้วไม่มีอินเทอร์เน็ตเหมือนจะขาดใจ “ตอนนี้ฉันปิดเสียงปิดสั่นเอาไว้ก่อนอย่างน้อยก็ช่วยให้ไม่ระคายหูได้ระดับนึง”
“คงต้องเป็นอย่างนั้นงั้นนอกจากเรื่องต้นฉบับของแกแล้ว ต้องติดต่อขอติดตั้งอินเทอร์เน็ตอีกอย่างสินะฉันไม่ค่อยรู้เรื่องนี้ด้วยสิ บ้านนี้ยังไม่เคยติดสักที”
“ทำเรื่องขอติดตั้งไม่น่ายากมั้งเดี๋ยวนี้ยิ่งมีหลายเจ้ายิ่งง้อลูกค้า โทรกริ๊งเดียวก็ติดตั้งได้แล้ว แต่ฉันไม่แน่ใจเรื่องเอกสารมากกว่าว่าจำเป็นต้องเป็นของเจ้าบ้านหรือเปล่า”
“อืมฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” ฐิตาบอกอย่างจนปัญญา “แต่ไม่เป็นไรเดี๋ยวทำหนังสือมอบอำนาจทิ้งไว้ ส่วนเรื่องต้นฉบับที่ต้องปริ้นต์แกไม่ต้องกังวลนะคราวนี้เอาไปร้านปริ้นต์ก่อน ช้าหน่อยแต่ก็ยังดีกว่าไม่มีใช้งานว่างก็ค่อยไปซื้อปริ้นเตอร์ แกคงมีเวลาอยู่หรอก เดี๋ยวฉันเขียนแผนที่ร้านพวกนี้ให้แต่แกคงต้องเข้าตัวอำเภอเมือง...เสียดายที่แกไม่อยากให้ใครรู้ไม่งั้นจะฝากพี่สิญจน์ให้จัดการให้ ทั้งปริ้นต์งาน ติดเน็ต รวมถึงซื้อปริ้นเตอร์รายนั้นทำอะไรคล่องไปหมด”
อาการยืดอกพูดทำให้เธออดคิดไม่ได้ว่าเพื่อนค่อนข้างรักและภูมิใจในตัวพี่ชายมากดูสายตาตอนนี้สิเต็มไปด้วยความชื่นชมอย่างปิดไม่มิด
“แหม...เมื่อกี้ยังดูระแวงพี่เขาอยู่เลยตอนนี้อวดใหญ่เลยนะ”
“นิดนึงแต่ฉันไม่รู้ว่าร้านในเมืองจะมีของให้เลือกเยอะไหมนะ ปกติเอาไปฝากพี่สิญจน์ปริ้นต์รายนั้นรวยฉันเลยได้ไถสบายใจไป”
“ต้องลองดูแหละถ้าไม่ได้จริงๆ ก็ค่อยหาซื้อในอินเทอร์เน็ตเอา”เดี๋ยวนี้อะไรก็สามารถซื้อหาได้แค่ปลายนิ้วคลิกสะดวกเสียจนบางครั้งก็สบายไปจนเงินลอยออกจากกระเป๋าไปง่ายๆ
“งั้นเอาตามนี้แล้วกันเนอะ”
“อืองั้นเดี๋ยวฉันจดก่อนว่าต้องทำอะไรบ้าง ตอนนี้สมองฉันรวนไปหมดแล้ว”
น่าอยู่หรอก...ฐิตาส่งกำลังใจไปให้ไม่ต้องพูดออกมาเธอก็เข้าใจว่าตอนนี้ชีวิตเพื่อนอลหม่านมากแค่ไหนก็ได้แต่หวังว่าทุกอย่างจะดีขึ้นในเร็ววัน
[1] Droxbox เป็นบริการฝากไฟล์ซิงค์ไฟล์ รวมถึงแชร์ไฟล์ต่างๆ โดยไฟล์ที่อัพโหลดจะถูกเก็บไว้ในเซิร์ฟเวอร์ของ Dropboxโดยทันที ทำให้สามารถเรียกไฟล์มาใช้งานได้ไม่ว่าอยู่ที่ไหนเพียงแค่มีอินเทอร์เน็ตเท่านั้น
-----------------------------------------
อัปเดตเรื่องหนังสือกันสักนิด... ปกใกล้เสร็จแล้ว เย้!
เสร็จแล้วจะรีบเอามาอวดนะคะ รวมทั้งของที่ระลึกด้วย ^^v
เซอร์เวย์รูปเล่มก็ทำอยู่นะคะ https://goo.gl/Znm33t
Fanpage : เนตรนภัส
Twitter : Naitnapas
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in