เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
[นิยาย] กลเล่ห์รัก - เนตรนภัสเนตรนภัส
กลเล่ห์รัก - ตอนที่ ๓
  • - ๓ -

     

                    เห็นสาวเจ้าถลันตัวเข้ามาสิญจน์ก็พลิกหลบใช้ความสูงและร่างกำยำของตนเองให้เป็นประโยชน์

                    พอเสียงเรียกเข้าดังขึ้นชายหนุ่มก็หมุนตัวกลับมายื่นโทรศัพท์มือถือคืนไปให้เจ้าของที่ดูเหมือนจะรู้ดีว่าเบอร์ของตนเป็นของเขาไปเรียบร้อย

                    “ผมไม่ได้เอาเบอร์คุณไปขายให้บริษัทประกันสักหน่อยไม่เห็นจะต้องออกอาการเซ็งขนาดนี้เลย”

                    ดูเหมือนหญิงสาวจะเริ่มปลงว่าคงทำอะไรไม่ได้แล้วนอกจากทำใจเท่านั้นถึงไม่พูดอะไรอีก

                    “ไม่เม็มไว้หน่อยละครับ”สิญจน์ร้องทักเมื่อเห็นเจ้าหล่อนทำท่าจะหย่อนโทรศัพท์มือถือลงกระเป๋าสะพายไม่มองแม้แต่หน้าจอด้วยซ้ำ

                    “ต่อให้เม็มหรือไม่เม็มไว้คุณก็โทรมาอยู่ดี ไม่ใช่หรือไงคะ”

                    คราวนี้สิญจน์ถึงกับยิ้มกว้างพยักหน้าหงึกๆ

                    “แหมเจอกันแค่แป๊บเดียว คุณนี่รู้ใจผมจริงๆ”

                    “เอาที่สบายใจเถอะค่ะ”

                    “ผมถือว่าคุณอนุญาตแล้วนะครับ”เขารู้ว่ากำลังถูกประชด แต่ช่วยไม่ได้นี่ สบช่องขนาดนี้ก็ต้องรีบคว้าไว้ก่อนแหละ “ว่าแต่คุณยังไม่บอกผมเลยว่าชื่ออะไรครับ”

                    “แล้วคุณเม็มเบอร์ไว้ว่าอะไรล่ะคะ”

                    โทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ล่าสุดถูกหันหน้าจอไปให้ด้านหน้าเป็นตัวเลขสิบหลักยังไร้ชื่อเป็นคำตอบได้อย่างดี และก็ทำให้หญิงสาวนิ่งไป

                    คราวนี้ชายหนุ่มไม่รีบร้อน เลิกใช้วิธีสายฟ้าแลบ เปิดโอกาสให้เธอตัดสินใจอย่างเต็มที่โดยไม่เร่งเร้าหรือกดดันใดๆพอเห็นฝ่ายถอนหายใจออกมาก็กระหยิ่มใจ

                    เขาจะได้รู้ชื่อเธอแน่ๆแล้ว

                    “คุณสิญจน์คะ”

                    “ครับ”เสียงขานรับดังขึ้นพร้อมๆกับร่างสูงใหญ่หันกลับไปด้านหลังโดยอัตโนมัติเมื่อเสียงนั้นไม่ได้ออกจากปากจิ้มลิ้มที่เขารอคอยทว่าเป็นเจ้าของร้านที่ยืนอยู่ด้านหลัง

                    “เด็กในร้านติดลูกค้ากันหมดเลยค่ะ พี่เองต้องขอโทษด้วยนะคะที่ปล่อยให้คอยนานไม่แน่ใจว่าคุณสิญจน์มานานหรือยัง”

                    “ไม่เป็นไรครับ ผมก็เดินดูของเพลินๆ” ท้ายประโยคนั้นเน้นหนักดวงตาคมปรายไปยังลูกค้าอีกคนในร้าน ก่อนหน้านี้ถ้าเจ้าของร้านไม่รู้ว่า เพลินๆของเขาคืออะไรแต่เจ้าตัวต้องรู้แน่ๆ

                    ก็ตอนนี้ใบหน้ากลมเริ่มขึ้นริ้วแดงๆให้ได้เห็นแล้วนี่นะ

                    “ถูกใจตัวไหนบ้างไหมคะ”

                    สิญจน์เหลือบไปมองคนด้านหลังซึ่งตอนนี้ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ตั้งหน้าตั้งตาเลือกเสื้อผ้าไม่สนใจกัน...เขาไม่อยากให้เธอเข้าใจอะไรผิดๆ จึงหัวเราะร่วนพลางปฏิเสธหนักแน่น

                    “ไม่ไหวมั้งครับไม่รู้จะซื้อไปให้ใคร”

                    “คุณจ๋าหรือไม่ก็คุณแม่ไงคะ นี่คุณสิญจน์นึกไปถึงไหนคะเนี่ย”

                    สิญจน์ได้แต่ยิ้มอ่อนตอบท่าทางล้อเลียนของอีกฝ่ายไม่ต่อความใดๆ รีบเปลี่ยนเรื่องเพื่อไม่ให้เข้าตัวอีก ก่อนที่สาวเจ้าจะเข้าใจผิด

                    “เห็นว่าเสื้อที่พี่จ๋าสั่งไว้ได้แล้ว”

                    “ค่ะคุณจ๋าโทรมาบอกแล้วเหมือนกันว่าให้คุณสิญจน์มารับแทน เธอจ่ายเงินไว้แล้วค่ะ”

                    “ถ้าผมจะรับไปเลย”

                    “ได้สิคะเดี๋ยวพี่ไปหยิบให้นะ คุณสิญจน์รอครู่หนึ่งก่อนนะ”

                    “ครับ”

                    พอเจ้าของร้านเดินจากไปสิญจน์ก็หันมาหาคนที่จนตอนนี้ยังไม่รู้ว่าชื่ออะไรทว่าต้องผิดหวังเมื่อเห็นหลังคุ้นตาเดินตามพนักงานในร้านไปทางห้องลองเสื้อไวๆ ใบหน้าคมจึงออกอาการเซ็งนิดๆ

                    ไปเสียแล้วยังไม่ทันรู้จักชื่อเลย แต่ช่างเถอะ ได้เบอร์โทรศัพท์มาแล้วแบบนี้คิดหรือว่าเขาจะปล่อยไปง่ายๆ ไม่ช้าก็เร็วเขาต้องได้รู้จักเธอมากกว่านี้แน่มั่นใจได้!

     

                    ฐิตาออกจากห้องลองเสื้อส่งตัวที่ต้องการซื้อให้พนักงานแล้วหันมาทางเพื่อนสาว หยิบเสื้อผ้าในอ้อมแขนอีกฝ่ายพิจารณาทีละชิ้น

                    “อะไรมีแต่เสื้อยืดกับกางเกงสี่ส่วนห้าส่วน”

                    “น่ารักดีไม่ใช่เหรอ”

                    “มันก็ใช่”

                    “วันๆอยู่แต่บ้าน ไม่ได้ไปไหนมาไหนไกลสักหน่อย จะแต่งตัวอะไรกันนักหนาแถมผ้าแบบนี้ใส่สบาย ไม่ร้อนด้วย”

                    “แต่มันน่าเบื่อนี่”ฐิตาบ่นพลางทำหน้าเบ้ เธอเลิกใส่เสื้อผ้าพวกนี้มาตั้งแต่ขึ้นมหาวิทยาลัยใหม่ๆ แล้ว

                    “ใครจะไปแต่งตัวเก่งอย่างกับเดินออกมาจากแมกกาซีนอย่างเธอกันเล่า”กณิศาค้อน พลิกเสื้อในมือไปมาสำรวจหาตำหนิ

                    “ผู้หญิงต้องหัดแต่งตัวไว้บ้างสิไม่เคยได้ยินเหรอ ผู้หญิงอย่าหยุดสวย”

                    “จ้า...”กณิศาลากเสียงยานคางแล้วเปลี่ยนเรื่องก่อนถูกวิจารณ์รสนิยมตัวเองอีก“ฉันไม่คุยกับแกเรื่องนี้แล้ว ว่าแต่ตัวตะกี้เอาหรือเปล่า แกใส่สวยดีนะ”

                    “เอาสิขับผิวขนาดนั้น พลาดได้ไง...ว่าแต่ข้าวได้ของครบหรือยังล่ะ”

                    “อืม”หญิงสาวพยักหน้าหงึก “เสื้อผ้าใส่ไปไหนมาไหน ชุดชั้นใน ชุดนอน น่าจะครบแล้วแหละ”

                    การเดินทางแบบกะทันหันไม่มีแม้เวลาตั้งตัวหรือทำใจ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วจนเธอคว้าง นี่ถ้าไม่มีฐิตาคอยช่วยละก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เธอจะเป็นอย่างไรบ้าง

                    สมบัติติดตัวมาก็มีแค่เอกสารสำคัญเท่านั้นโชคดีที่เธอจัดของเป็นหมวดหมู่และเป็นระเบียบอยู่เสมอ เพื่อนเลยไปเอามาให้ได้ไม่ยากแต่เวลาที่จำกัดทำให้หยิบมาได้แค่ของสำคัญเพราะเธอไม่อยากเสี่ยงให้พี่ชายกลับมาจับได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นเรื่องใหญ่แน่ตอนนี้จึงอาศัยเสื้อผ้าของเพื่อนไปก่อน

                    โชคดีอยู่บ้างตรงที่เธอและฐิตาทั้งรูปร่างและความสูงใกล้เคียงกันมากจึงใช้ของร่วมกันได้ไม่มีปัญหาและเจ้าตัวก็เต็มใจมาก ติดแค่เธอนี่แหละที่ทำใจกับแฟชั่นของเพื่อนไม่ได้ใส่แล้วพานไม่มั่นใจ

                    “ถ้าได้ครบแล้วไปจ่ายเงินกันเถอะ จะได้ไปทำอย่างอื่นต่อ”

                    “อือ”

                    ฐิตาช่วยเพื่อนหยิบของส่งให้พนักงานที่ปรี่เข้ามาทันทีเมื่อเรียกเพื่อนำไปคิดเงินขณะเดินกลับไปยังรถซึ่งจอดไว้พื้นที่ด้านหลังร้านในมือของทั้งคู่เต็มไปด้วยถุงใส่เสื้อผ้าหลังจากเก็บของไว้ในพื้นที่เก็บของท้ายรถเจ้าถิ่นก็หันมาถามอย่างเอาใจ

                    “ข้าวอยากได้อะไรอีกไหนๆ ก็ออกมาแล้วซื้อเสียเลยทีเดียวดีไหม หยีจะพาไป จะได้รู้ที่ทางด้วยต่อไปขาดเหลืออะไรจะได้ออกมาเองได้”

                    ใจจริงเธออยากอยู่กับเพื่อนอีกสักระยะกณิศาไม่คุ้นเคยกับพื้นที่อาจไปไหนมาไหนไม่สะดวกมิหนำซ้ำทั้งจังหวัดยังรู้จักแค่เธอคนเดียว มีอะไรขึ้นมาจะลำบาก ทว่าจนปัญญาจริงๆด้วยเรื่องเรียนยังค้ำคอ ตอนนี้จึงทำได้แค่พาไปให้รู้จักเส้นทางเอาไว้ก่อนเท่านั้น

                    “ข้าวคงไม่ค่อยออกไปไหนหรอก”

                    ประโยคนั้นทำให้ฐิตาต้องมองเพื่อนอย่างพิจารณาแม้ใบหน้ากลมสดใสขึ้นมากแล้วทว่าแววตายังมีความหวาดหวั่นเจืออยู่ไม่น้อยเลยจึงอดค้านออกไม่ได้ เธอไม่อยากให้เพื่อนกังวลมากเกินไปนัก

                    “ไกลขนาดนี้ไม่หรอกมั้ง”

                    “กันไว้ก่อน”

                    “อืม”ก็ไม่แปลกที่กณิศาจะไม่สบายใจ ในเมื่อเรื่องที่เพิ่งเจอหนักหนาไม่น้อยเลย“แล้วแต่ข้าวแล้วกัน แต่อย่าเก็บตัวจนเครียดเกินไปล่ะ”

                    “ขอบใจนะที่เป็นห่วง”

                    “เพื่อนกันถ้าไม่ห่วงกันจะให้ไปห่วงแมวที่ไหนล่ะ” หญิงสาวตอบหน้าทะเล้น เสียงหัวเราะอ่อนๆของอีกฝ่ายทำให้สบายใจขึ้นมาหน่อยอย่างน้อยเพื่อนก็ไม่กังวลมากจนกลายเป็นวิตกจริตไป

                    “ก็มีแต่หยีนี่แหละที่ห่วงข้าว”

                    ฐิตาชะงัก มองหน้าเพื่อนเขม็งว่าประโยคนั้นมีความนัยอะไรแฝงอยู่หรือเปล่าเพียงเห็นสีหน้าของเพื่อนก็นึกรู้ทันทีว่ากำลังคิดอะไรอยู่ กระนั้นเธอก็ไม่อยากให้เพื่อนมองอะไรในแง่ลบมากเกินไป

                    “พูดอะไรแบบนั้นล่ะ”

                    “มันจริงนี่นาหยีก็เห็นนี่”

                    คราวนี้เป็นฐิตาที่นิ่งค้านไม่ออก ด้วยรู้อยู่เต็มอก รอยยิ้มแห้งๆของเพื่อนทำให้อดใช้มือตบไปบนไหล่อีกฝ่ายเบาๆ อย่างเห็นใจไม่ได้

                    “อย่าคิดมากเลยเดี๋ยวทุกอย่างต้องดีขึ้น”

                    ‘เมื่อไหร่ล่ะ’

                    แม้ไม่ได้เอ่ยออกมาเป็นคำพูดทว่าสีหน้าและท่าทางของกณิศาแทนทุกอย่างได้เป็นอย่างดีและเธอเองก็จนปัญญาที่จะตอบเช่นกัน

                    ความเงียบคืบคลานเข้าปกคลุมภายในรถครู่ใหญ่ทีเดียวที่ทั้งคู่จมอยู่กับความคิดของตัวเองพอมีเสียงดังขึ้นก็ทำให้ทั้งแทบสะดุ้ง

                    ฐิตามองเพื่อนหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋าสะพายสีหน้าลำบากใจของอีกฝ่ายทำให้อดถามไม่ได้

                    “ใครโทรมาน่ะ”

                    “พี่สน”

                    สนหรือสรัลเป็นพี่ชายแท้ๆของกณิศาซึ่งเธอรู้จักดีด้วยเคยเจออยู่หลายครั้งยามเจ้าตัวมารับน้องสาวที่มหาวิทยาลัยหรือตอนไปค้างกับเพื่อนที่บ้าน

                    “ไม่รับหน่อยล่ะ”

                    กณิศาส่ายหน้าทันทีตอนนี้เธอยังไม่อยากคุยกับพี่ชาย ทว่าดูเหมือนอีกฝ่ายยังไม่ละความพยายาม เสียงเรียกเข้าดังขึ้นมาอีกครั้งหลังจากเงียบไปแล้วรอบหนึ่ง

                    “หยีว่าพี่สนคงไม่เลิกโทรหาแน่ข้าวรับหน่อยเถอะ”

                    “ค่ะพี่สน”

                    “ในที่สุดก็รับสายพี่สักทีนะ”

                    ดูเอาเถอะ นอกจากไม่มีคำทักทาย ไม่ถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงซ้ำร้ายยังถูกตำหนิกลายๆ... กณิศาต้องกล้ำกลืนความน้อยใจลงคอ

                    “พี่สนมีอะไรหรือเปล่าคะ”

                    “นี่อยู่ไหน”

                    “พี่จะรู้ไปทำไมคะ”ในเมื่อไม่ได้ห่วงกัน เธอก็ไม่จำเป็นต้องบอกให้รู้

                    “ยายข้าวพี่ถามเราดีๆ อย่ามารวนพี่”

                    “พี่สนก็ถามตัวเองก่อนเถอะค่ะที่โทรหาข้าวเพราะเป็นห่วงหรืออย่างอื่น” หลุดประโยคนั้นออกไปด้วยกณิศาก็หวังลึกๆว่าพี่จะปฏิเสธและแก้ตัวว่าที่โทรหานั้นเพราะห่วงกันจริงๆ ทว่าความเงียบที่ได้รับก็ทำให้หมดหวัง

                    เธอรู้สึกเหมือนมีเข็มนับพันทิ่มแทงหัวใจ

                    “ถ้าไม่มีอะไรแล้วข้าววางนะคะ”

                    “เดี๋ยวยายข้าว ตอนนี้อยู่ที่ไหน”

                    “ในเมื่อพี่สนไม่สนใจอยู่แล้วนี่คะจะรู้ไปทำไม”

                    “ยายข้าว!”

                    เธออยากถามเหลือเกินแล้วพี่สนยังคิดว่าเธอเป็นน้องอยู่หรือเปล่า...แต่เธอกลัวเหลือเกินกลัวคำตอบที่ได้รับยิ่งทำให้เจ็บปวดไปมากกว่านี้

                    “พี่สนรู้แค่ว่าตอนนี้ข้าวอยู่ในที่ที่ปลอดภัยก็พอ”

                    “อย่ามายอกย้อนยังไงพี่ก็เป็นพี่แกนะ บอกพี่มาว่าตอนนี้อยู่ไหนก่อเรื่องอะไรไว้กลับมาจัดการให้เรียบร้อย”

                    “ถ้าพี่สนไม่มีอะไรแล้วข้าววางสายนะคะ ถ้ามีอะไรข้าวจะติดต่อไป”

                    “เดี๋ยว!ยายข้าว!”

                    กณิศาไม่สนใจว่าพี่ชายจะพูดอะไรหรือรู้สึกอย่างไรเธอตัดสายทิ้งทันทีด้วยไม่อาจทนฟังคำพี่ชายได้แม้อีกคำเดียว

                    ฐิตาที่นั่งมองเหตุการณ์นิ่งมานานไม่กล้าส่งเสียงขัดขึ้นมาด้วยเกรงว่าหากมีเสียงลอดเข้าไปจนถึงหูสรัลแล้วฝ่ายนั้นอาจเดาได้ก็ได้ว่าตอนนี้กณิศาอยู่ที่ไหน นาทีนี้ความปลอดภัยของเพื่อนสำคัญกว่าอะไรทั้งหมดเห็นเพื่อนเอาแต่เงียบหลังจากวางสายก็ยิ่งเป็นห่วง

                    “ไหวไหมข้าว”

                    “หยี...”เป็นครู่กว่ากณิศาจะหาคำพูดของตัวเองเจอ ก้อนสะอื้นถูกกลืนลงคออย่างยากเย็นลมหายใจถูกสูดเข้าลึกเมื่อตัดสินใจได้ “ฉันอยากได้เบอร์โทรศัพท์ใหม่ แกพาไปซื้อหน่อยได้ไหม”

     

                    เนื่องจากเป็นอำเภอเล็กๆ ไม่มีศูนย์ของผู้ให้บริการตั้งอยู่แม้หาซิมการ์ดใบใหม่ได้ทว่าก็ไม่มีขนาดที่ใช้กับโทรศัพท์มือถือเครื่องปัจจุบันได้ตอนแรกฐิตาอาสาพาไปซื้อในตัวจังหวัดซึ่งมีศูนย์บริการทว่ากณิศาไม่อยากให้เพื่อนยุ่งยากขนาดนั้น จึงตัดสินใจซื้อโทรศัพท์ราคาไม่แพงใส่ซิมการ์ดขนาดปกติได้มาเครื่องหนึ่ง

                    “ไปตัวจังหวัดไม่กี่สิบกิโลเองขับรถไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ถึง ไม่ยุ่งยากสักหน่อย ไปไหมเดี๋ยวฉันพาไป”

                    “ไม่ต้องยุ่งยากขนาดนั้นหรอก”คนต่างถิ่นย้ำกับเพื่อนแล้วจัดแจงชำระเงินค่าสินค้าให้พนักงานซึ่งเป็นเด็กวัยรุ่นท่าทางห่ามๆรับถุงที่ด้านในมีเพียงกล่องเปล่าเท่านั้น ส่วนเครื่องอยู่ในมือเรียบร้อย “แค่นี้ก็ดีถมไปแล้ว”

                    “ตามใจ ถ้าไงยิ่งเบอร์เข้าเครื่องมาก่อนเลย จะได้ติดต่อกันได้ก่อนแบตจะหมดเสียก่อน”

                    กณิศาทำตามทันทีส่วนเครื่องเก่าเธอปิดเสียงและระบบสั่นเอาไว้ก่อนเพื่อตัดรำคาญจากสายไม่พึงประสงค์ขณะเดียวกันก็ไม่พลาดการติดต่อเรื่องงานก่อนเธอได้แจ้งเปลี่ยนเบอร์ให้อีกฝ่ายทราบ

                    “เรียบร้อย”เจ้าถิ่นจัดการเซฟเบอร์โทรศัพท์ลงเครื่องจนเรียบร้อย แล้วพากันเดินออกจากร้าน“เดี๋ยวฉันจะวนรถพาไปดูที่ต่างๆ นะ ว่าแต่ตอนนี้จากบ้านพอนึกออกไหมว่ามายังไง”

                    “ออกจากซอยตรงมาเรื่อย”กณิศาทบทวนและนึกภาพทิศทางก่อนหน้านี้เจอแยกไม่ต้องเลี้ยวให้ใช้เส้นหลักก็จะเข้าตัวตลาด” เธอหมายถึงโซนเศรษฐกิจของอำเภอ

                    “ใช่เดี๋ยวจะพาไปดูตัวตลาดสด ร้านสะดวกซื้อแล้วก็พวกโชห่วยต่างๆ นะ บ้านฉันไม่มีห้างใหญ่มีแต่โชห่วยแต่ก็ของครบเลย”

                    “จ้ะ”

                    ฐิตานำรถแล่นไปช้าๆเพื่อให้เพื่อนใช้เวลาจดจำได้เต็มที่ ระหว่างนั้นก็ชี้ให้ดูร้านต่างๆแนะนำข้อดีข้อเสียของแต่ละร้านตามประสาเจ้าถิ่นซึ่งเข้าออกมาตั้งแต่เด็กจนไปจบที่ตลาดสดประจำอำเภอ ก่อนวนรถกลับมาทางเดิม

                    “จริงๆมีอีกตลาดหนึ่งนะข้าว เปิดช่วงบ่ายๆ หน่อยถ้าผ่านจะชี้ให้ดู...ว่าแต่แกหิวหรือยัง”คนขับรถถามหลังเหลือบมองนาฬิกาแล้วพบว่าบ่ายกว่าแล้ว “หาอะไรกินกันไหม อืม แต่โผล่หน้าไปร้านตอนนี้ก็เสี่ยงที่จะถูกจับได้ว่าฉันกลับมาแล้วไม่ยอมเข้าบ้านนี่สิตอนออกจากร้านเสื้อเหมือนเห็นรถพี่สิญจน์แวบๆ ดีนะที่พี่สิญจน์ไม่เห็นเราไม่งั้นถูกบ่นหูชาแน่”

                    อำเภอเล็กๆ ก็แบบนี้ ส่วนใหญ่ก็รู้จักกันเกือบหมดตอนไปร้านเสื้อฐิตายังต้องกำชับเจ้าของร้านว่าอย่าเล่าให้ที่บ้านฟังด้วยเหตุผลอะไรเธอไม่ได้ใส่ใจฟังเพราะมัวแต่เดินเลือกเสื้อผ้า

                    “เอาไงดีเนี่ยหาอะไรง่ายๆ กินจากร้านสะดวกซื้อไปก่อนดีไหม”

                    “ดีเหมือนกันนะจะได้ซื้อไปตุนไว้ในตู้เย็นด้วย ช่วงแรกๆ ข้าวอาจต้องพึ่งอาหารแช่แข็งไปก่อน”

                    “อืมข้าวแกขับมอเตอร์ไซค์เป็นปะ”

                    ศีรษะที่ส่ายหวือของเพื่อนทำฐิตาแทบตบหน้าผากกับความเลินเล่อของตัวเองถ้าขับมอเตอร์ไซค์ไม่เป็นแล้วเพื่อนจะออกไปไหนมาไหนได้อย่างไร รถคันนี้ก็เช่ามาขืนเช่าตลอดระยะเวลาที่อยู่ที่นี่มีหวังหมดตัวกันพอดีครั้นจะเอารถส่วนตัวมาใช้ก็เสี่ยงถูกจับได้อีก

                    “แล้วตอนอยู่ที่นี่แกจะไปไหนมาไหนยังไงบ้าจริง ฉันลืมเรื่องนี้ไปเลย”

                    “รถรับจ้างไม่มีเหรอไงฉันว่าบ้านแกก็ไม่ได้กันดารขนาดนั้นนะ”

                    “ก็พอมีแต่วิ่งแค่ถนนเส้นหลักรอกันเหงือแห้งกว่าจะมาสักคันคนถึงนิยมขับมอเตอร์ไซค์กันไง...นี่ถ้าไม่ติดว่าไม่มีเวลา คงจับแกหัดขับมอเตอร์ไซค์ก่อนแน่”

                    “แกขับเป็นด้วยเหรอหยี”คนเป็นเพื่อนเลิกคิ้วอย่างแปลกใจตั้งแต่รู้จักกันยังไม่เคยเห็นเพื่อนขับมอเตอร์ไซค์สักทีตอนเรียนถ้าเพื่อนไม่เอารถมาก็ใช้บริการขนส่งมวลชน

                    “ฉันเด็กต่างจังหวัดนะส่วนใหญ่ขับได้ทั้งนั้นแหละ แต่พอมีรถยนต์ก็เลิกขับ”

                    “อ๋อ”คนเป็นเพื่อนพยักหน้าหงึกๆ เธอสังเกตเหมือนกันว่าผู้คนแถวนี้นิยมขับขี่จักรยานยนต์คงเพราะคล่องตัวและไม่ต้องกังวลกับที่จอดรถ

                    “แต่แกปั่นจักรยานได้นี่ใช่มะ”

                    “ใช่ฉันเห็นที่บ้านแกมีอยู่คัน สภาพยังดีอยู่เลย ของแกเหรอ”

                    “เปล่า”

                    “ฉันก็ว่างั้น”ถ้าเพื่อนปั่นจักรยานสิเธอถึงค่อยแปลกใจ ในเมื่อเจ้าตัวกลัวผิวเสียยิ่งกว่าอะไร

                    “ของพี่สิญจน์น่ะแกคงปั่นมาทิ้งไว้แล้วไม่ได้เอากลับ...แล้วทำไมทำหน้าแบบนั้น”คนที่กำลังขับรถอยู่เหลือบมาเห็นเพื่อนนิ่วหน้าจึงเอ่ยปากถาม

                    “ถ้าจำไม่ผิดพี่สิญจน์คือพี่ชายลูกของป้าที่แกเคยเล่าให้ฟังใช่ไหม ดูไม่ค่อยเข้ากันกับจักรยานแม่บ้านเลยนะ”

                    ฐิตาถึงกับหัวเราะเสียงใสเพราะเผลอคิดภาพตาม

                    “จะว่าไปก็ดูไม่ค่อยเข้ากับที่แกว่าจริงๆนั่นแหละ จริงๆ เป็นจักรยานของพี่จ๋าน่ะ”

                    “หมายถึงพี่สาวของพี่สิญจน์นะเหรอ”

                    “ใช่...พี่จ๋าก็เหมือนฉันแหละไม่ค่อยได้ปั่นจักรยานนัก ต่างกันตรงที่รายนั้นมัวแต่ยุ่งอยู่กับร้านทองพี่สิญจน์เขาเลยเอามาปั่นเล่น ไปๆ มาๆ ระหว่างบ้านฉันกับบ้านเขานะแหละ เออฉันยังไม่ได้บอกใช่ไหมว่าบ้านป้าอยู่ไม่ไกลจากบ้านฉันเท่าไหร่เดี๋ยวขากลับชี้ให้ดู”

                    “จ้ะ”กณิศาพยักหน้า ไม่พูดอะไรอีกเมื่อรถจอดสนิทหน้าร้านสะดวกซื้อ   


    -----------------------------------------


    อัปเดตเรื่องหนังสือกันสักนิด... ตอนนี้เค้าจัดหน้าเสร็จแล้วแหละ ด้วยความที่อยากบีบจำนวนหน้าหนังสือจะได้ราคาไม่แรงนัก บีบไปบีบมาตอนนี้แทบไม่มีหน้าประกาศลิขสิทธิ์แล้วค่ะ ฮ่าๆๆๆๆ

    คราวนี้ต้นฉบับหนากว่าเรื่องที่แล้ว แต่จัดหน้าออกมาบางกว่าเรื่องที่แล้ว กระนั้นก็ยังคงความสวยนะคะ ฮ่าๆๆๆ ตอนแรกเหลือไว้ 6 หน้าเพราะไม่อยากใช้เยอะ ตอนนี้คุ้มเลย แถมเกลี่ยกระดาษได้ครบยกพอดี

    การจัดหน้าพิมพ์จะต้องจัดให้ได้จำนวนหน้าครบตามยกกระดาษค่ะ มันยากตรงนี้นี่แหละ งี้ดดด ไว้จะมาเล่าประสบการณ์ให้ฟังนะคะ (ว่าแต่อยากรู้กันไหมเนี่ย ฮ่า)


    เซอร์เวย์รูปเล่มก็ทำอยู่นะคะ https://goo.gl/Znm33t

    Fanpage : เนตรนภัส

    Twitter : Naitnapas

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in