เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
[นิยาย] กลเล่ห์รัก - เนตรนภัสเนตรนภัส
กลเล่ห์รัก - ตอนที่ ๒
  • -2 -

     

                    “แม่ จ๋าไปกินน้ำแป๊บนึงนะคะ เดี๋ยวมา” เห็นลูกค้าเริ่มซาคิดว่ามารดาคนเดียวก็สามารถดูแลร้านได้ทั่วถึงจารุกรจึงเอ่ยกับคนที่กำลังนับเงินอย่างแข็งขันพอท่านพยักหน้ารับทราบแล้วหันกลับไปง่วนกับงานตรงหน้าต่อหญิงสาวจึงปลีกตัวไปหลังร้าน

                    ครอบครัวของเธอเปิดร้านทองอยู่ในบริเวณตลาดของอำเภอมาตั้งแต่รุ่นพ่อโดยใช้ชั้นล่างของตึกแถวเป็นร้าน ชั้นสองและสามใช้อยู่อาศัยทว่ารายได้หลักกลับไม่ใช่ทองรูปพรรณ นาก หรือเงิน แต่เป็นเงินตราต่างประเทศ

                    เนื่องจากเป็นจังหวัดชายแดนประเทศไทยมีอาณาเขตติดกับประเทศเพื่อนบ้าน จึงมีการค้าระหว่างกันค่อนข้างเยอะสามารถนำเงินของแต่ละมาเทศจับจ่ายซื้อของได้ ทำให้มีการซื้อขายเงินเกิดขึ้นและอัตราที่ดีกว่าร้านอื่นๆ ในระแวกเดียวกันประกอบกับเกิดการซื้อขายเงินค่อนข้างมากจึงกลายมาเป็นรายได้หลักของร้านในที่สุดชนิดที่บางวันช่วยกันกับพ่อ แม่ถึงสามคนก็เล่นเอาหัวหมุนจนไม่มีเวลาปลีกตัวรับประทานอาหารก็เคยตอนนี้คนซาจึงฉวยจังหวะนี้ปลีกตัวมาหาอะไรใส่ท้องสักหน่อย

                    นอกจากดื่มน้ำแล้วจารุกรยังหยิบมะละกอจากกระปุกมาสองชิ้นเพื่อรองท้องยังไม่ทันหมดชิ้นแรกด้วยซ้ำตอนเสียงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงดังขึ้นจึงรีบยัดมะละกอชิ้นที่เหลือเข้าปาก เช็ดมือแล้วดึงโทรศัพท์ออกมาดูเป็นข้อความแจ้งเตือนเรื่องนัดรับเสื้อที่สั่งไว้หลังจากเธอเบี้ยวไม่ได้ไปตามนัดเมื่อสองวันก่อน

                    ดวงตากลมมองฝ่ากรอบกระจกออกไปยังหน้าร้านลูกค้าที่เริ่มมากขึ้นทำให้มั่นใจว่าปลีกตัวไปตอนนี้ร้านคงวุ่นวายแน่คิ้วเรียวย่นเข้าหากันอยู่ครู่เดียว ภาพเบ๊ประจำตัวก็ลอยออกมาทำให้ยิ้มออก

                    “นายสิญจน์ตื่นหรือยัง”

                    “ถ้ายังไม่ตื่นจะรับโทรศัพท์พี่ได้หรือไง”

                    น้ำเสียงฝ่ายนั้นฟังดูหัวเสียเล็กน้อยท่าทางเธอคงโทรไปปลุกพ่อน้องชายตัวดีเข้าแน่ๆ แต่ใครจะสนล่ะ

                    “แปลว่าตื่นแล้ว”

                    “ถ้าคิดแบบนั้นแล้วสบายใจก็ตามสบายนะ”

                    จารุกรหัวเราะร่วนกับวาจาเราะรายของน้องชายเรื่องกวนอวัยวะเบื้องล่างละที่หนึ่งจริงๆ

                    “อย่าบอกนะว่าโทรมาแค่หัวเราะถ้างั้นผมวางละนะ”

                    “เฮ้ยเดี๋ยวสิพ่อตัวดี ไม่มีธุระจะโทรหาเหรอ รู้ทั้งรู้ว่านายน่ะตัวกินบ้านกินเมือง”

                    “ผมเลิกงานดึกจะให้ตื่นเช้าเหมือนคนเข้านอนสี่ทุ่มได้ยังไงกันล่ะ”

                    จารุกรยิ้มเธอแค่ต้องการแขวะขำๆ ไม่ได้คิดตำหนิจริงจังและมั่นใจว่าน้องชายเองก็รู้เธอกับน้องต่อปากต่อคำกันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วอีกอย่างงานของเจ้าตัวกว่าจะเลิกกว่าจะเคลียร์ร้านแล้วขับรถกลับบ้านได้นอนก็วันใหม่ เรื่องนี้ใครๆ เข้าใจดีเพราะหากไม่เข้าใจก็คงไม่ยอมให้เจ้าตัวเปิดร้านตั้งแต่เริ่มคิดแล้ว

                    “ถ้าตื่นแล้วไปทำธุระให้พี่หน่อย”

                    “ที่ร้านงานยุ่งละสิให้ผมไปช่วยแล้วพี่ออกไปข้างนอกไหม”

                    “ไม่ต้องหรอก”น้องชายปากเสียไปอย่างนั้นเอง จริงๆ แล้วเป็นคนมีน้ำใจเรื่องนี้คนเป็นพี่ทำไมจะไม่รู้ “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ใครไปก็ได้แค่ไปรับเสื้อให้พี่หน่อย”

                    ถ้าเป็นวิดีโอคอลจารุกรคงเห็นว่าน้องชายทำหน้าเมื่อยแค่ไหนตอนได้ยินประโยคนั้น

                    “อีกแล้วเหรอ”

                    ทว่าเสียงละเหี่ยก็ทำให้รู้ว่าสิญจน์รู้สึกอย่างไรคนเป็นพี่ถึงกับหัวเราะร่วน เวลาให้ไปรับเสื้อทีไรพ่อตัวดีออกอาการแบบนี้ทุกทีแต่ก็ยอมทุกครั้ง

                    “แหม...ก็เสื้อมันสวย”

                    “คราวนี้กี่ตัวล่ะ”

                    “ห้า”เสียงตอบค่อนข้างกระมิดกระเมี้ยน อายนิดๆ

                    “แบบเดียวห้าสีเจ็ดสีอีกแล้วสินะ”

                    “จะไปหรือไม่ไป”ถูกแขวะมากๆ เข้าคนถูกรู้ทันก็ชักฉุน เสียงจึงเริ่มแข็ง...ก็คนมันชอบนี่นาให้ทำอย่างไรได้ล่ะ

                    “ไปครับไป”

                    เสียงอ่อยอย่างหงอๆของน้องชายทำให้หน้าที่เริ่มมุ่ยเริ่มยิ้มออก

                    “แค่นั้นแหละ”เดาจากเสียงสวบสาบที่ดังลอดเข้ามาในสายคนเป็นพี่ก็นึกรู้ว่าน้องชายคงตวัดผ้าห่มลงจากเตียงแล้วแน่ๆอีกไม่นานจะได้เชยชมเสื้อที่สั่งไว้สมใจ

                    “ร้านเดิมหรือเปล่าครับ”

                    “ร้านประจำพี่นั่นแหละพี่จ่ายเงินเรียบร้อยแล้วเหลือแค่รับของ ยังไงสิญจน์ดูพวกตะเข็บอะไรอีกทีนะ จริงๆร้านนี้ก็เช็กของดีแต่พี่กลัวหลงหูหลงตาได้ของมีตำหนิมาจะเสียเวลาต้องเอาไปเปลี่ยนอีก”

                    “ครับ”

                    ได้ยินน้องรับคำแบบนี้เธอก็วางใจหลายครั้งที่สิญจน์ไปรับของให้เธอก็ไม่เคยผิดหวังแม้บ่นบ้างแต่ก็ตรวจตราให้อย่างดี จึงวางใจให้ไปรับเสื้อเรื่อยๆ

                    “ขอบใจนะพี่ไปช่วยแม่ดูร้านก่อน คนเริ่มเยอะอีกแล้ว”

                    “อือเดี๋ยวผมไปเอาเสื้อให้แล้วระหว่างทางจะแวะซื้อกาแฟสักหน่อย พี่จ๋าเอาอะไรหรือเปล่าชาเย็นไหม”

                    “ไม่ละขอบใจ เมื่อเช้าแม่ชงโกโก้ให้ขวดใหญ่ คงประทังชีวิตไปได้ตลอดวัน”พูดจบก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ ถ้าไม่มีข้าวตกถึงท้อง น้ำหวานก็ช่วยได้เยอะเหมือนกัน

                    “โอเคเดี๋ยวเจอกัน ผมไปอาบน้ำก่อน”

     

                    สิญจน์ก้าวเข้าไปในร้านประจำของพี่สาวอย่างคุ้นเคยไม่มีเคอะเขินแม้เป็นร้านเสื้อผ้าผู้หญิงโดยเฉพาะตอนนี้ลูกค้าในร้านมากมายดวงตาคมมองกวาดหาพนักงาน ก็พบว่าส่วนใหญ่ให้บริการลูกค้าคนอื่นอยู่เขาจึงเสมองนั่นมองนี่ไปเรื่อยเพื่อฆ่าเวลา

                    สินค้าในร้านมีตั้งแต่เสื้อยืดไปจนถึงเสื้อทำงานหรูเรียกได้ว่าหลากหลาย สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ทุกประเภทสำหรับร้านค้าในต่างจังหวัดที่ไม่มีห้างสรรพสินค้าใหญ่นับว่าเป็นร้านที่ดีทีเดียวหลายครั้งที่ต้องมารับเสื้อแทนพี่สาวเขาพบว่านอกจากสินค้าผ่านการคัดมาอย่างดีแล้วบริการก็ไม่แพ้กันพนักงานยิ้มแย้ม ให้คำแนะนำดี ไม่ใช่สักแต่อยากขายของโดยไม่สนใจว่าเสื้อตัวนั้นเหมาะกับลูกค้าหรือเปล่าทำให้ร้านนี้มีลูกค้าไม่เคยขาด

                    สิญจน์ผงกศีรษะให้ลูกค้าสาวของร้านคนหนึ่งซึ่งบังเอิญเป็นคนรู้จักแม้ไม่ได้สนิทสนมทว่าเวลาเจอหน้ากันฝ่ายนั้นก็ยิ้มให้ทุกครั้ง เขาไล่สายตาจากตู้โชว์หน้าร้านมายังราวเสื้อยืดหลากสีสายตาก็สะดุดเข้ากับร่างหนึ่งชุดที่หญิงสาวสวมใส่ราวหลุดออกมาจากเว็บแฟชั่นต่างประเทศ

                    เสื้อไร้แขนสีขาวพื้นๆทว่าพอจับคู่กับกางเกงเอวสูงจับจีบตรงช่วงเอว เก็บชายเสื้อด้านหน้าไว้ในกางเกงปล่อยข้างหลังดูเก๋ไก๋ เพิ่มความเท่ให้กับตัวเองด้วยหมวกสีขาวแถบสีเดียวกับกางเกงอย่างลงตัว

                    ดวงตาคมมองไล่มายังใบหน้ากลมจนเกือบเป็นรูปไข่ระยะห่างไม่มากทำให้เห็นได้ชัดเจน เขาสะดุดเข้ากับดวงตากลมโตเต็มไปด้วยเสน่ห์ซึ่งหันมามองสบพอดี แววตาคู่นั้นเปี่ยมไปด้วยพลังคล้ายมีแรงดึงดูดบางอย่าง รู้ตัวอีกทีก็ก้าวขาออกไปแล้ว

                    พอได้มายืนในระยะประชิดจึงพบว่าร่างนั้นสูงระดับไหล่เขาพอดีนับว่าเป็นผู้หญิงที่สูงมากเมื่อเทียบกับเขาซึ่งสูงเกินหนึ่งร้อยแปดสิบเซ็นติเมตรแค่ก้มหน้าลงหน่อยก็สามารถมองเห็นใบหน้านวลของคนซึ่งส่งสายตางงๆ มาให้ชัดเจน

                    เธอคงกำลังสงสัยว่าเขาเป็นใครหรือไม่ก็ประเมินว่าเป็นตัวอันตรายหรือเปล่าสินะ...สิญจน์กระตุกยิ้มเพียงนิดดวงตาคมไม่ละจากการสำรวจตรวจตรากระนั้นก็ระมัดระวังไม่ให้ดูจาบจ้วงคล้ายคนโรคจิตจนเกินไป

                    มองห่างๆสะดุดตาแล้ว ยิ่งเห็นใกล้แบบนี้ยิ่งทำให้สะดุดใจ

                    คำว่าสวยคงใช้กับผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ต้องเรียกว่ามีเสน่ห์ถึงจะถูก ปาก แก้ม คิ้ว คาง รับกันอย่างลงตัวราวถูกปั้นและดูเหมือนเจ้าตัวก็รู้ดีว่าตนมีจุดเด่นตรงไหนเพราะบริเวณนั้นถูกแต่งเติ่มด้วยเครื่องสำอางอย่างปราณีตและลงตัวยิ่งทำให้สะดุดตา

                    พอเห็นคิ้วเรียวเริ่มขมวดแววสงสัยเมื่อครู่เริ่มเปลี่ยนเป็นไม่พอใจ สิญจน์จึงรู้ตัวว่าเผลอมองเพลินไปหน่อยเขาคลี่ยิ้มเป็นใบเบิกทางพร้อมกันนั้นรอยยิ้มผูกมิตรแบบพี่สาวเคยพูดใส่หน้าว่าเรียกแขกที่สุดในโลกถูกส่งไปให้

                    “สวัสดีครับ”

                    “สวัสดีค่ะ”

                    ตอนแรกเขาก็อดหวั่นใจว่าสาวเจ้าอาจคิดว่าเป็นโรคจิตแล้วไม่พูดด้วยพอได้ยินเสียงใสๆ ตอบใจก็เริ่มมาเป็นกอง

                    ไม่บ่อยนักที่ได้เจอคนถูกใจผู้หญิงส่วนใหญ่ที่รู้จักในเมืองนี้ก็เพื่อนกันทั้งนั้น เพื่อนสมัยประถม มัธยมรุ่นพี่ รุ่นน้อง สนิทสนมกันเกินกว่าจะเปลี่ยนความรู้สึกไปเป็นอย่างอื่นพอเจอคนสะดุดใจแบบนี้ ให้ถอยตั้งแต่ตอนแรกนั้นไม่มีทาง ตอนนี้ในสมองมีคำเดียวเท่านั้น

                    รุกสิ จะรออะไรอยู่!

                    “ผมสิญจน์นะครับ”

                    “ค่ะ”

                    “ผมไม่เคยเห็นหน้าคุณมาก่อนไม่ใช่คนที่นี่ใช่ไหมครับ”

                    “ค่ะ”

                    คำตอบยังคงสั้นเหมือนเดิมใบหน้าเรียบเฉยของหญิงสาวทำให้เขาเดาไม่ถูกว่าเจ้าตัวรู้สึกเช่นไรตราบใดที่ยังไม่ถูกตัดเยื่อใย เขาก็ขอหน้าด้านให้ถึงที่สุด

                    “ขอโทษครับไม่ทราบว่ามาทำอะไรที่นี่ครับ”

                    คิ้วเรียวที่เริ่มขมวดปมอีกครั้งทำให้สิญจน์สะดุดใจหรือเขาจะพูดอะไรผิดไป

                    “อย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะครับผมแค่สงสัยว่าคุณมาทำอะไรในจังหวัดเล็กๆ แบบนี้ มาทำงานหรือมาเที่ยวถ้าเที่ยวก็แปลกใจอยู่ดีครับเพราะที่นี่ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยว สถานที่ดังๆ ก็ไม่มีการเห็นคนต่างถิ่นที่นี่ทำให้ค่อนข้างแปลกใจครับ อีกอย่างเผื่อมีอะไรขาดเหลือผมจะอาสาช่วย...ตามประสาเจ้าบ้านที่ดีครับ” พูดจบก็ส่งยิ้มเก๋

                    “มาทำงานน่ะค่ะ”

                    ไม่ว่าเจ้าหล่อนจะตอบอย่างเสียไม่ได้หรือตัดรำคาญทว่าสุดท้ายเขาก็ได้คำตอบในที่สุด

                    “ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันขอตัวก่อนนะคะ”

                    “เดี๋ยวสิครับ”เขารีบรั้ง สมองไม่รอช้าคิดหาวิธีสานสัมพันธ์เร็วรี่ นานๆ จะเจอคนถูกใจสักที ให้ปล่อยไปง่ายๆตั้งแต่ไม่รู้จักชื่อก็เสียชื่อเขาหมด

                    “คะ?”

                    ร่างที่ชะงักหมุนกลับมาช้าๆ ทำให้สิญจน์ใจมาอีกครั้งหลัง...เขาไม่ใช่โรคจิตเสียหน่อยทำไมเธอเอาแต่หนี หรือว่าขาดเสน่ห์จนไร้ความน่าสนใจ

                    “ผมยังไม่รู้จักชื่อคุณเลย”

                    “เอ่อ...”

                    สิญจน์ทำเป็นไม่สนสีหน้าลำบากใจของอีกฝ่ายนอกจากทำเป็นไม่เห็นแล้วเขายังจ้องใบหน้ากลมนิ่งอย่างรอคอยคำตอบ ดูเหมือนไม่ได้ผลเพราะฝ่ายนั้นก็เงียบราวกับจะฝึกความอดทนกันเสียอย่างนั้น

                    เอ...หรือเขาเดินเกมผิดรุกมาไปจนเจ้าหล่อนระแวงถึงได้เงียบไปแบบนี้

                    ขณะกำลังคิดว่าควรทำอย่างไรดีการขยับตัวของหญิงสาวทำให้เขาผวา แต่พอเห็นเธอหยิบโทรศัพท์ออกมามองหน้าจอสีหน้ายุ่งจึงนึกอะไรได้

                    ถ้าไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกลกันละงานนี้กระนั้นเขายังมีมารยาทพอ รอจนกระทั่งเสียงโทรศัพท์เงียบลง ไม่หยุดคิดด้วยซ้ำตอนคว้าโทรศัพท์มือถือออกจากมือหญิงสาวคงเป็นอารามตกใจจึงทำให้หลุดออกจากมือบางได้โดยง่าย  

                    “คุณ!”

                    ใบหน้ากลมเต็มไปด้วยความตะลึงกับการกระทำจาบจ้วงนั้น

                    “ผมไม่ได้จะฉกมือถือคุณไปขายหรอกน่าถ้าคุณไม่ยอมบอกชื่อผมดีๆ งั้นขอเป็นเบอร์แทนแล้วกัน”

     

    -----------------------------------------


    ตอนแรกกะจะมาลงนิยายตั้งแต่เมื่อคืนค่ะ แต่มัวส่งน้ำตาลไปจักรวาลอยู่ก็เลยมาวันนี้แทน...แต่อุปสรรคยังไม่หมดแค่นั้น เปิดคอมฯ แล้วเน็ตตายคืออัลไล = =" เลยพึ่ง 4G บางๆ ไปพลางๆ ค่ะ 


    เซอร์เวย์รูปเล่มก็ทำอยู่นะคะ https://goo.gl/Znm33t

    Fanpage : เนตรนภัส

    Twitter : Naitnapas


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in