รถยนต์ติดตราศูนย์เช่าแล่นมาจอดเทียบหน้าประตูบานใหญ่ก่อนคนขับจะลงจากรถวิ่งไปไขประตูอย่างคล่องแคล่วแล้วดันประตูเปิดจนกว้างก่อนกลับมานำรถเข้าไปยอดยังโรงรถติดกับตัวบ้าน
“ถึงสักที”คนพูดมองข้ามหลังคารถไปถามผู้หญิงอีกคนที่ก้าวตามกันลงมาติดๆ “เป็นไงบ้างข้าวเหนื่อยไหม”
คำตอบคือการส่ายหน้าจนผมกระจาย
“นั่งเฉยๆจะไปเหนื่อยอะไรล่ะหยี ข้าวสิต้องถามหยีมากกว่า ขับรถมาตั้งหลายชั่วโมง”
“ไม่เป็นไรหรอกหยีขับเส้นนี้จนชินแล้ว”
เธอเคยได้ยินเพื่อนเล่าเหมือนกันว่าบ้านเกิดของฝ่ายนั้นเป็นเพียงจังหวัดเล็กๆไม่มี ห้างสรรพสินค้า ถ้าอยากได้อะไรแล้วหาตามร้านทั่วไปไม่ได้จำเป็นต้องขับรถไปจังหวัดใหญ่ที่เจริญมากกว่า
“แค่ไม่เคยขับดึกขนาดนี้มาก่อนส่วนใหญ่ถ้าเย็นมากมักหาโรงแรมนอนที่โน่น นอกจากพี่สิญจน์ไปด้วยก็ปล่อยให้ผู้ชายบริการไป”
เธอเคยได้ยินชื่อพี่สิญจน์มาก่อนจึงรู้ว่าคนถูกกล่าวถึงเป็นลูกผู้พี่ของฐิตาทว่าเหมือนพี่น้องท้องแม่เดียวกัน ฐิตารักและเห่อพี่ชายมากเธอจึงได้ยินเรื่องของฝ่ายนั้นบ่อยๆ แม้ไม่เคยเจอตัวจริงสักครั้งก็ตาม
“งั้นเราเข้าบ้านกันดีกว่าข้าวจะได้พักด้วย”
เจ้าบ้านชักชวนหยิบกระเป๋าออกจากท้ายรถแล้วช่วยกันขนเข้าไปยังตัวบ้าน วิ่งไปสับคัตเอาต์ไฟขึ้นกณิศาเห็นดังนั้นจึงกดสวิชต์ใกล้มือ เท่านั้นบ้านก็สว่างขึ้นมาทันที
“ข่าวนั่งรอตรงนี้ก่อนนะหยีไปเสียบปลั๊กตู้เย็น เอาน้ำเข้าตู้ก่อน พรุ่งนี้จะได้มีน้ำเย็นๆ ดื่มส่วนเรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง”
“จ้ะ”
คนเป็นแขกนั่งลงตรงโซฟารับแขกกระเป๋าซึ่งมีเพียงเป้ใบเดียววางลงตรงพื้น สายตาสำรวจไปทั่วอย่างสนใจ
แม้เมื่อสักครู่มืดมากทว่าไฟหน้ารถที่สาดไปด้านหน้าก็ทำให้เห็นว่าบ้านของเพื่อนมีชั้นเดียวภายในสะอาดเอี่ยมไม่เหมือนบ้านที่ถูกปิดเอาไว้คราวละหลายเดือนพอลองเอานิ้วปาดโต๊ะตรงหน้าดูก็ไม่มีฝุ่นติดมาสักนิด จึงสามารถเข้าอยู่ได้ทันทีโดยไม่ต้องลำบากทำความสะอาด
“ดื่มน้ำก่อน”
“ขอบใจจ้ะ”หญิงสาวยกน้ำขึ้นจิบ “บ้านสะอาดดีนะทีแรกมาแบบไม่บอกล่วงหน้าข้าวคิดว่าเราคงต้องทำความสะอาดกันใหญ่ไม่งั้นคืนนี้เราคงนอนกันไม่ได้”
“ป้าหยกให้คนมาทำความสะอาดให้บ่อยๆเวลาฉันกลับจะได้ไม่ต้องลำบากล้างใหญ่กัน นี่คงทำกันไปเมื่อวันหยุดเองมั้งยังเรี่ยมอยู่เลย ฝุ่นละเอียดสักเม็ดก็ไม่มี”
ป้าหยกที่ฐิตากล่าวถึงคงเป็นมารดาของสิญจน์
“เป็นไง ชอบไหม”
“อือบ้านน่ารักดี”
“ข้างนอกก็สวยนะเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าฉันจะพาแกไปดูมุมโปรดของฉัน”
“อือ”ภายในยังเรียบร้อยขนาดนี้ ไม่ต้องกลัวว่าข้างนอกหญ้าจะรกเรื้อเลย
“แกอยู่ให้สบายใจเลยนะข้าว ไม่ต้องคิดอะไรมาก”
“ขอบใจมากเลยนะหยีถ้าไม่ได้แกฉันก็ไม่รู้จะทำยังไงต่อไปดี สมองมันเบลอไปหมด”
เจ้าของชื่อหยีหรือฐิตายิ้มอ่อน...ก็น่าอยู่หรอกเป็นเธอเจอเรื่องสั่นประสาทขนาดนั้นในวันเดียวคงไปไม่เป็นเหมือนกันดีแค่ไหนแล้วที่ยังนึกเบอร์โทรศัพท์กันออก ไม่อย่างนั้นเธอก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่ากณิศาจะเป็นยังไง
“อย่าไปคิดถึงมันเลยทิ้งไว้กรุงเทพนั่นแหละ ตอนนี้ดึกแล้ว ฉันว่าแกไปอาบน้ำอาบท่าแล้วนอนสักตื่นดีไหมเผื่อจะรู้สึกดีขึ้น”
“ก็ดีเหมือนกัน”คนต้องเผชิญเรื่องเลวร้ายมาหลายครั้งต่อวันลุกขึ้นอย่างเหนื่อยอ่อน
“ไปเดี๋ยวฉันพาไปดูว่าห้องไหนเป็นห้องไหน และมีอะไรบ้าง”
“เข้ามาเลยข้าว”เจ้าของบ้านชักชวน เดินดุ่มเข้าไปในห้องแรกติดกับห้องนั่งเล่น วางสัมภาระลงบนเตียงที่ยังมีผ้าคลุมอยู่“นี่ห้องฉัน คืนนี้เรานอนห้องนี้กันนะ”
“อือ”
เป้ติดตัวใบเดียวถูกวางลงข้างกระเป๋าเพื่อนแล้วร่างบางนั่งลงตรงขอบเตียงตาก็กวาดสำรวจห้องที่ต้องใช้ซุกหัวนอนไปอีกหลายวันหรืออาจนานกว่านั้นไปด้วย
ห้องนี้ไม่กว้างแต่ก็ไม่เล็กจนเกินไปขนาดพอเหมาะกับบ้านชั้นเดียวหลังกะทัดรัด ทาสีไข่ไก่ทำให้ห้องดูกว้างขึ้นรับกันดีกับเตียงสีเขียวตุ่น ขนาบด้วยโต๊ะเล็กตัวหนึ่งใช้วางโคมไฟส่วนอีกตัวว่างเปล่านอกจากนั้นยังมีโต๊ะขนาดกลางพร้อมเก้าอี้อีกหนึ่งชุดซึ่งเธอเดาว่าคงเป็นโต๊ะเอนกประสงค์ ทั้งใช้เขียนหนังสือและแทนโต๊ะเครื่องแป้งไปด้วยในตัว
“อาบน้ำก่อนไหมข้าวห้องน้ำอยู่นั่นแน่ะ”
ดวงตากลมมองตามการบุ้ยหน้าของเพื่อนก็เห็นว่าผนังด้านหนึ่งมีประตูซ่อนอยู่
“ดีเหมือนกัน”ลุกขึ้นแล้วก็ได้แต่หันรีหันขวาง “หยี ฉันยืมเสื้อผ้าแก่ก่อนสิ”
“เออฉันลืมไปว่าแกไม่ได้เอาอะไรติดตัวมาเลย”
กณิศายิ้มเมื่อเห็นเพื่อนเอามือตบหน้าผากตัวเอง
“เดี๋ยวฉันไปหยิบให้นะพวกเสื้อผ้าอยู่อีกห้องหนึ่ง”
มิน่าล่ะเธอถึงไม่เห็นตู้เสื้อผ้า ทั้งๆ ที่ฐิตาเป็นคนแต่งตัวเก่งมากไม่มีทางที่บ้านจะว่างเปล่าไม่มีเสื้อผ้าสักตัว
“แกไปดูกับฉันเลยดีกว่าจะได้รู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหน” พูดพลางก็ฉุดมือเพื่อนให้ออกเดินไปยังห้องข้างๆ อย่างกระตือรือร้น“เมื่อก่อนห้องนี้เป็นห้องนอนฉัน แต่หลังพ่อแม่เสียก็ไม่ค่อยได้นอน แถมยังไปๆ มาๆกรุงเทพกับที่นี่ด้วยนานเข้าฉันก็ยึดห้องเก่าพ่อแม่แล้วจัดห้องนี้เป็นห้องแต่งตัวแทน”
คนฟังพยักหน้าหงึกๆเพื่อนสนิทของเธอแต่งตัวเก่งมาตั้งแต่ไหนแต่ไรดีแล้วที่ฐิตาปรับห้องนี้เป็นห้องแต่งตัว เพราะแค่เสื้อผ้าก็กินพื้นที่ไปค่อนห้องมีทั้งที่อยู่ในตู้และแขวนราวเปิดโล่ง มีผ้าปิดด้านบนอีกชั้นหนึ่งเพื่อกันฝุ่นแล้วไหนยังรองเท้า กระเป๋า เครื่องประดับมากมายมีพื้นที่เหลือแค่ให้เดินเลือกของและแต่งตัวอย่างไม่อึดอัดเท่านั้นเพราะฉะนั้นอย่าหวังจะแทรกเตียงเข้ามาได้
“นี่ชุดนอนแกใส่ของฉันไปก่อนนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เราค่อยไปหาซื้อของที่จำเป็นกัน”
“ขอบใจนะหยี”
“มาขอบจงขอบใจอะไรเพื่อนกัน น้อยกว่านี้ได้ยังไง แล้วเสื้อผ้าพวกนี้แกหยิบใช้ได้ตามสะดวกเลยนะ ไม่ต้องเกรงใจอยากใช้ตัวไหนหรืออะไร หยิบได้ตามสะดวก”
“ไม่เอาหรอก”
“อะไรจะคิดสักหน่อยไม่ได้หรือไง ปฏิเสธเสียงแข็งเลยนะ”
“เสื้อแกฉันกล้าใส่ที่ไหนกัน”คนพูดยังคงส่ายหน้าดิกรสนิยมของเธอและเพื่อนเรียกได้ว่าต่างกันสุดขั้วจนหลายคนเคยสงสัยว่าคบกันมาได้อย่างไรเนิ่นนานในขณะที่ฐิตาแต่งตัวเก่ง แฟชั่นจ๋า เทรนด์ไหนมาแรงเจ้าหล่อนรู้หมด ในขณะที่เธอถ้าไม่ได้ออกงานหน้ายังไม่อยากแต่งเลยเสื้อผ้าที่แทบเป็นเครื่องแบบคือเสื้อยืดกับกางเกงผ้าสี่ถึงห้าส่วนแล้วแต่สะดวกเท่านั้น
“เคยใส่แล้วหรือไง”
“แค่คิดก็สยองแล้ว”
ฐิตาถึงกับหัวเราะคิกเมื่อเห็นใบหน้าเหยเกเหมือนต้องกินยาขมของเพื่อน
“ไม่เอาก็ไม่เอาสิในตู้มีพวกเสื้อยืดอยู่หรอก ใส่ไปก่อนแล้วกันแล้วพรุ่งนี้ค่อยไปหาซื้อ” พูดจบก็หันไปคุ้ยตู้กุกกักอยู่พักใหญ่“อ๊ะ ชุดนอน แก้ขัดไปก่อนนะ เรียบร้อยสุดมีเท่านี้แหละ”
มือบางยื่นออกไปรับกองผ้าที่เพื่อนส่งให้มาคลี่ออกดูสีตุ่นๆ ของผ้ามองปราดเดียวก็รู้ว่าอายุของมันคงไม่น้อย นั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับเธอเสื้อเก่าผ่านการใช้งานมานานเนื้อผ้าจะนิ่ม น่าใส่นอนเป็นที่สุด แต่...
“เหมือนเสื้อเด็กเลยอะ”ชุดนอนแขนขายาวผ่าหน้าลายหมีน้อยน่ารัก ช่างขัดกับรสนิยมของเพื่อนตอนนี้จนไม่อยากเชื่อว่ามีเสื้อแบบนี้อยู่ในตู้ของฐิตาด้วย
“เฮ้ยไม่นานขนาดนั้น แค่ตอนเป็นวัยรุ่นเท่านั้นเอง” ฐิตาเดินกลับมาพร้อมผ้าขนหนูเอ่ยแก้เสร็จก็ฉวยกางเกงนอนไปทาบกับร่างเพื่อน “ขาลอยนิดหน่อย...แต่แกใส่ได้ไม่เป็นปัญหา หรือว่าถ้าไม่โอเค แกจะเลือกชุดนอนใหม่ๆ ในตู้ได้เลยนะ”
เพียงจินตนาการตัวเองอยู่ในชุดนอนประดับลูกไม้สีหวานมีเพียงสายเล็กราวไส้ไก่ที่สะกิดเบาๆ ก็น่ากลัวขาดรั้งเอาไว้ กับผ้าบางพริ้วแนบไปทั่วร่างแค่คิดก็สยองแล้ว
“เอาตัวนี้แหละผ้าเก่าๆ นิ่ม นอนสบายดี”
“ย่ะยายแม่ชี” คนที่รู้นิสัยกันและกันดีค่อนอย่างหมั่นไส้“แต่เออ...อยู่ก้นตู้มานานไม่รู้มีกลิ่นอับบ้างหรือเปล่า”
“นิดหน่อยแต่ไม่เป็นไร ได้เท่านี้ก็ดีแล้ว”
“งั้นแกไปอาบน้ำก่อนเถอะจะได้พักวันนี้เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว” เจ้าบ้านรุนหลังเพื่อนไปส่งจนถึงหน้าห้องน้ำ ดูแลจัดหาแปรงสีฟันใหม่ให้แล้วปล่อยให้เพื่อนได้ใช้เวลาส่วนตัวตามสะดวก
ดวงตากลมกะพริบปริบๆ เพื่อปรับสายตาให้เป็นปกติก่อนกวาดไปรอบๆ ผนังสีไข่ไก่ไม่คุ้นตาทำให้คิ้วเรียวขมวดมุ่นกวาดตาเลยไปอีกนิดก็พบม่านหนาหนักที่ถูกเปิดเอาไว้เหลือเพียงผ้าโปร่งสีขาวแปลกตาทำให้แสงสว่างจากภายนอกสามารถเล็ดลอดเข้ามาได้
นี่ไม่ใช่ห้องนอนของเธอ...แล้วคือที่ไหน
กณิศาปิดเปลือกตาลงอีกครั้งใช้สมองทบทวนจึงนึกได้ว่าตนเดินทางมาบ้านของฐิตาตั้งแต่เมื่อคืนร่างที่เคยคุดคู้อยู่บนเตียงผุดลุกขึ้น ใช้มือสางผมลวกๆแล้วหันไปมองด้านข้างก็พบกับความว่างเปล่าทว่ารอยยับของเตียงและปลอกหมอนทำให้แน่ใจ ก่อนหน้านี้ฐิตานอนอยู่ด้วยกันจริงๆ
เมื่อนึกถึงเพื่อนก็อดอุ่นใจขึ้นมาไม่ได้ในโมงยามที่รู้สึกเคว้งคว้าง ไร้หลักยึดหรือแม้แต่ที่พึ่งพิงเธอยังมีเพื่อนที่ทั้งรักและหวังดีอยู่อีกคนเมื่อวานถ้าไม่ได้ฐิตาก็ไม่รู้ว่าตนเองจะเป็นอย่างไรบ้าง
รอยยิ้มอ่อนจุดขึ้นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดเรื่องดวงตาไร้แววความสุขเหมือนมีอะไรมาอาบไล้ เกิดประกายอ่อนแสง ใบหน้ากลมดูดีขึ้นกว่าเมื่อวานมากกระนั้นก็ไม่เท่าก่อนหน้านี้และไม่รู้ว่าเมื่อไรภาพนั้นจะกลับคืนมา
กระดาษโน้ตสีเหลืองสะท้อนแสงแปะอยู่ตรงโคมไฟสะดุดตาจนต้องเอื้อมมือไปหยิบ
‘นอนพักให้เต็มที่ ไม่ต้องรีบนะ’
กณิศาเหลือบมองนาฬิกาแขวนผนังพอเห็นเวลาก็ตกใจตาโต
ตายแล้วนี่สายโด่งขนาดนี้แล้วหรือเนี่ย
หญิงสาวเด้งตัวลงจากเตียงตบหมอน เก็บผ้าห่มจนเรียบร้อยแล้วตรงดิ่งไปยังห้องน้ำก่อนนึกได้ว่าไม่มีเสื้อผ้าจึงวิ่งไปยังห้องแต่งตัวอีกครั้งต้องใช้เวลาครู่ใหญ่กว่าจะเลือกเสื้อผ้าที่สามารถทำใจสวมได้เจอ เธอยังโชคดีอยู่บ้างที่ซอกตู้ยังมีเสื้อยืดและกางเกงขาสั้นเหลือรอดจากการบริจาคอยู่บ้าง
วันนี้คงต้องจัดการเรื่องเสื้อผ้าเป็นอย่างแรก
หลังเดินสำรวจทั้งห้องครัวและห้องนั่งเล่นแล้วไม่เห็นแม้แต่เงาของเพื่อนกณิศาจึงออกมานอกบ้าน เพียงลงจากหน้ามุขก็เห็นหลังเพื่อนอยู่ไม่ไกล
เนื่องจากเมื่อคืนเดินทางมาถึงตอนดึกจึงไม่มีโอกาสสำรวจบ้านเต็มตาวันนี้เลยเห็นชัดว่าตัวบ้านตั้งอยู่ในบริเวณค่อนข้างกว้างประเมินโดยสายตาแล้วพื้นที่น่าจะร่วม ๒ ไร่ ผืนดินด้านหน้าปูหญ้าซึ่งคงได้รับการดูแลอย่างดีเพราะแม้เพื่อนไม่อยู่บ้านแต่ก็ยังคงเขียวชะอุ่ม
ฐิตาเคยเล่าให้ฟังว่าหลังจากพ่อแม่เสียชีวิตลงเธอก็อยู่ในความดูแลของลุงกับป้า ที่บ้านยังคงเรียบร้อยแม้ขณะฐิตาไม่อยู่บ้านคงเพราะฝ่ายนั้นส่งคนมาดูแลนี่เอง
ดวงตากลมกวาดไปยังด้านข้างซึ่งเป็นถนนปูนตรงดิ่งไปยังโรงจอดรถนอกจากสวนสวยหน้าบ้านแล้วรอบๆ ยังเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่มากมายทำให้บรรยากาศร่มรื่นน่าอยู่ คนเป็นแขกเดินผ่านโรงรถไปยังเก้าอี้สนามแล้วทรุดนั่งลงตรงข้ามเพื่อนนั่นเอง
“อ้าวตื่นแล้วเหรอ ทำไมตื่นเร็วจัง”
“เกือบสิบโมงนี่เรียกเร็วเหรอว่าแต่แกเถอะ ทำไมตื่นเร็ว”
เป็นที่รู้กันใหม่หมู่เพื่อนว่าฐิตาไม่ชอบตื่นเช้ายกเว้นเลี่ยงไม่ได้อย่างเช่นต้องไปเรียนเท่านั้น แถมเมื่อคืนกว่าจะถึงบ้านก็ดึกมากเธอค่อนข้างแปลกใจเมื่อพบว่าเพื่อนตื่นเร็วกว่าตัวเอง
“ไม่ได้อยากตื่นหรอกแต่สายๆ ของกินอร่อยจะหมดไง”
“ตื่นมาหาของกินว่างั้นอยู่กรุงเทพไม่เห็นแกพยายามขนาดนี้”
“มันเหมือนกันที่ไหนล่ะร้านพวกนี้เป็นร้านโปรดของฉันตั้งแต่เด็ก ไม่ได้กินนานแล้วด้วย อยากกินอะ”
กณิศาพยักหน้าหงึกๆหลายคนมักแปลกใจว่าทำไมเธอถึงคบกับฐิตาได้นานทั้งๆ ที่นิสัยแทบไม่เหมือนกันเลย แต่ไม่มีใครรู้บนความต่างพวกเธอมีหลายอย่างเหมือนกันอย่างเช่นเรื่องกินเป็นต้น
“นี่มีหลายอย่างเลยนะอยากให้แกลองรสชาติต้นตำหรับ หาที่กรุงเทพไม่ได้แน่”
“โฆษณาขนาดนี้ต้องลองแล้วละ”
“งั้นไปกินกันฉันหิวแล้ว”
“อ้าวทำไมแกไม่กินก่อน หิ้วท้องรอฉันทำไม”
“อยากกินพร้อมกันนี่นาไปเถอะ”
ฐิตาเข้ามาคล้องแขนแล้วดึงให้ลุกขึ้นเดินไปด้วยกันอย่างร่าเริง
“นี่นะฉันไปเหมามาหมดเลย หมี่กะทิกินกับข้าวยำเนี่ยเข้ากันที่สุด ข้าวเกรียบปลาทอดแล้วยังมีหมูปิ้งกับข้าวเหนียว ร้านนี้ข้าวเหนียวนุ่มมากแล้วก็มีข้าวต้มมัดนึ่งจนกล้วยข้างในแดงแจ๋ อร่อยสุดๆ”
“เยอะไปไหมเนี่ย”
“ไม่เยอะหรอกถ้ากินไม่หมดก็เก็บไว้เป็นเสบียงได้”คนที่ขนซื้อของกินมาราวกับจะเลี้ยงคนทั้งหมู่บ้านแก้ หยิบจานและช้อนส่งให้เพื่อนเพื่อช่วยกันเทอาหารใส่
คำโฆษณาของเพื่อนไม่เกินจริงเลยเพียงข้าวยำและหมี่กะทิเข้าปาก เธอปฏิเสธไม่ได้ว่ามันอร่อยมากและรสชาติต่างจากที่เคยกินโดยสิ้นเชิง จนต้องตักคำที่สองสามและสี่เข้าปากอย่างเพลิดเพลิน
“นั่นแกทำอะไรน่ะหยี”กณิศาถามขึ้นเมื่อเห็นเพื่อนวางช้อนแล้วเปลี่ยนมาบิข้าวเกรียบปลาก่อนใช้มันตักข้าวยำแทน
“กินแบบนี้อร่อยนะข้าวเกรียบกับข้าวยำกินเคียงกันอร่อยดี แกลองดูสิ” หลังจากส่งข้าวเกรียบที่มีข้าวอยู่ด้านบนเข้าปากเรียบร้อยแล้วฐิตาก็ยื่นข้าวเกรียบอีกครึ่งแผ่นให้เพื่อน ท่าทางลังเลที่เห็นทำให้ต้องคะยั้นคะยอ“ลองดู อร่อยจริงๆ”
กณิศาทำตามอย่างเสียไม่ได้แล้วต้องตาโตเมื่อพบว่าความกรุบกรอบและรสชาติของข้าวเกรียบปลาช่างเข้ากันกับข้าวยำ
“เฮ้ยอร่อย นี่แกไปจำมาจากไหนเนี่ย”
“กินตามป้าแหละคนแก่ๆ ที่นี่ก็กินกันแบบนี้ทั้งนั้นแหละ”
“อืม”กณิศาพยักหน้าหงึกหงักวิถีบางอย่างก็หมดไปเพียงสิ้นอายุของคนรุ่นเก่าซึ่งน่าเสียดายมากเธอนึกอิจฉาเพื่อนขึ้นมาติดหมัดที่เป็นครอบครัวใหญ่และมีคนหลายช่วงอายุ ต่างจากเธอหลังพ่อแม่เสียชีวิตก็เหลือกันแค่สองพี่น้องเท่านั้น
“อืม...วันนี้แกอยากไปไหนบ้างอะลิสต์ไว้หรือยังว่าอยากได้อะไรบ้าง”
“เสื้อผ้า”กณิศาตอบทันควัน เล่นเอาคนเป็นเพื่อนถึงกับหัวเราะร่วน
“นั่นต้องเป็นอย่างแรกอยู่แล้วฉันรู้ว่าแม่ชีอย่างแกทนใส่สั้น เปิดนั่นเปิดนี่ไม่ได้นานหรอก”
คนถูกแขวะถึงกับค้อนขวับ
“ก็มันไม่เรียบร้อยนี่ใส่แล้วไม่มั่นใจ ไหนแกเคยพูดว่าต่อให้เสื้อสวยแค่ไหน ถ้าคนใส่ไม่มั่นใจยังไงก็ไม่ดี”
“ย่ะแม่คนเรียบร้อย กุลสตรีศรีสยามกลับชาติมาเกิด” ฐิตามองหน้าปุเลี่ยนของเพื่อนแล้วแทบตบหน้าผากตัวเองถ้ามีอะไรแปลกไปก็คงเป็นกางเกงขาสั้นนี่แหละ ปกติเคยใส่เลยเข่าเสียที่ไหนแล้วตัวนี้เรียกได้ว่าสั้นกุด ไม่แปลกที่เพื่อนจะไม่มั่นใจ“เดี๋ยวฉันพาไปร้านประจำ”
“ร้านอื่นได้มะ”
“ทำไม”
“ร้านประจำแกจะมีแบบที่ฉันชอบใส่หรือไง”
พอลองนึกภาพกณิศาสวมเสื้อผ้าที่เปิดตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อย แถมใช้ผ้าในระดับที่เรียกว่าหนึ่งหลาอาจตัดได้สักสองหรือสามตัวแล้วก็อยากลองยุเพื่อนให้เปลี่ยนตัวเองดูเหมือนกันไอ้คนที่ทำเพื่อนเจ็บมาเห็นจะได้เสียใจและเสียดาย ติดตรงที่ไม่ใช่ทางของกณิศา หากเพื่อนทำจริงเจ้าตัวคงไม่มั่นใจและพานกลายเป็นผลเสียกับตัวเองเธอไม่อยากเห็นเพื่อนสูญเสียตัวตน ขณะเดียวกันก็ไม่อยากให้เพื่อนเสียใจด้วยแต่ถ้าวันหนึ่งเจ้าตัวอยากลุกขึ้นมาแต่งตัวเพราะอยากสวยเพื่อตัวเองไม่ใช่ใครถึงเวลานั้นเธอก็พร้อมสนับสนุนเต็มที่
-----------------------------------------
นิยายก็ยังลง เซอร์เวย์รูปเล่มก็ทำอยู่นะคะ https://goo.gl/Znm33t
Fanpage : เนตรนภัส
Twitter : Naitnapas
สะดวกที่ไหน แวะไปคุยกันได้ค่ะ ^^
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in