วิ่ง...
อาจเป็นเพราะอะดรีนาลีนที่หลั่งออกมาอย่างต่อเนื่องทำให้เท้าเหนือรองเท้าสานยังซอยยิกอย่างไม่ลดละ ใบหน้ากลมเหลียวไปมองด้านหลังเป็นระยะอย่างหวาดระแวงขณะขาก็ทำหน้าที่อย่างดีจังหวะหนึ่งเท้าย่ำลงไปบนอะไรสักอย่างที่เธอเองไม่ทันได้สังเกตจนเซร่างบางถลาลงไปกองกับพื้น มือที่ใช้ยันครูดไปกับพื้นถนนซีเมนต์อย่างแรงจนถลอกเลือดซิบความเลวร้ายที่กำลังไล่หลังมาทำให้หญิงสาวลืมความเจ็บไปจนสิ้น พอลุกขึ้นได้ก็ออกวิ่งอีกครั้ง
นานเท่าไรไม่รู้เมื่อร่างเล็กเข้าไปหมอบคุดคู้อยู่ตรงถังขยะใบใหญ่หน้าบ้านหลังหนึ่งซึ่งปิดเงียบดวงตากลมเต็มไปด้วยความกลัว ขณะค่อยๆ ชะโงกตัวออกไปดูด้านหลังพอเห็นว่าไม่มีใครตามมา ร่างเล็กจึงนั่งแปะลงกับพื้น หายใจเข้าออกอย่างหอบเหนื่อย
สติ...เธอต้องมีสติใจเย็นๆ ยายข้าว
ผ่านไปเกือบนาทีนอกจากรถยนต์แล่นผ่านไปหนึ่งคันก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาว่ามีใครตามมานั่นทำให้เจ้าของร่างที่นั่งแปะอยู่บนพื้นเบาใจขึ้นมาหน่อยทว่าเพียงนิดเดียวเท่านั้น...
ไม่ได้เธอจะนั่งอยู่ตรงนี้เฉยๆ ไม่ได้ ไม่มีอะไรรับประกันว่าจะปลอดภัย
หญิงสาวรวบรวมเรี่ยวแรงที่มีทั้งหมดหยัดตัวขึ้นกระนั้นก็ถึงกับเซจนต้องใช้มือยันกำแพงเอาไว้ความเจ็บแปลบทำให้เห็นว่าตรงฝ่ามือเต็มไปด้วยเลือดและเศษดินกระนั้นก็ไม่มีเวลาใส่ใจตัวเองมากนัก เธอปัดเศษดินทิ้งอย่างลวกๆจังหวะที่มือสองข้างลูบกับกางเกงเบาๆก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่ทำให้ยิ้มออกมาได้ แม้เพียงบางเบาทว่าภายใต้สถานการณ์ตอนนี้นับว่าดีที่สุดแล้ว
เธอนั่งซุ่มอยู่อย่างนั้นครู่ใหญ่กระทั่งเห็นรถคันหนึ่งแล่นผ่านมาจึงออกจากที่ซ่อนพร้อมๆ กับรถคนนั้นแล่นมาเทียบตรงหน้าพอดี
หญิงสาวเปิดประตูออกอย่างรวดเร็วแล้วเข้าไปนั่งในรถโดยไม่สนว่าคนขับจะไปหรือเปล่า
“ไปคอนโด...”หญิงสาวบอกชื่อคอนโดมีเนียมแห่งหนึ่ง ไม่ไกลจากจุดนี้มากนักทั้งยังอธิบายพิกัดเสร็จสรรพ “ไม่ไปหรือคะ”
แล้วหญิงสาวก็ได้เห็นคนขับรถมองมาอย่างคลางแคลงจึงรู้ตัวว่าทำไมรถจึงยังไม่แล่นออกจากที่สักที...หญิงสาวก้มลงสำรวจตัวเองเสื้อยืดลายการ์ตูนสีขาวเปื้อนฝุ่นเป็นหย่อมๆ ซ้ำยังยับยุ่ง ไม่น่ามองพอเลื่อนมือมาด้านบนก็พบว่าผมที่มัดไว้ยุ่งเหยิง สภาพตอนนี้คงดูไม่จืดจึงดึงยางรัดผมออกใช้มือลูบก่อนต้องสูดปากดังซี้ดเมื่อรู้สึกเจ็บบริเวณไรผมเลือดสีแดงที่ติดนิ้วมาทำใบหน้าเสีย ทว่าสิ่งที่เพิ่งเผชิญทำให้ไม่สามารถมานั่งตกใจได้ว่าหัวแตกหญิงสาวเสยผมแล้วมัดไว้หลวมๆ
“เมื่อกี้หนูล้มน่ะค่ะก็เลยเป็นแบบนี้”ท่าทางยังไม่เชื่อของอีกฝ่ายดวงตาคู่นั้นยังมองมายังเสื้อเธอเขม็งทำให้ต้องก้มมองตามจึงเห็นว่านอกจากฝุ่นแล้วยังมีคราบเลือดเปื้อนอยู่เป็นหย่อม เธอพยายามเก็บอาการ แล้วส่งยิ้มแหยไปให้คนขับรถแทนหวังว่าฝ่ายนั้นจะไม่ติดใจอะไรอีก “นี่ไงคะ มือหนูยังถลอกอยู่เลย”
ถ้าตอนแรกฝ่ายนั้นยังสงสัยและไม่ไว้ใจหลังจากเห็นฝ่ามือที่ถลอกปอกเปิก แถมยังมีคราบเลือดแห้งเกาะอยู่ก็ทำให้คลายใจขึ้นท่าทางจึงสบายใจขึ้น ซ้ำยังเผื่อแผ่ความห่วงใยส่งมาให้
“ลุงว่าไปโรงพยาบาลทำแผลก่อนดีไหมหรือคลินิกก็ได้ ใกล้ๆ นี้ก็มี”
ภายใต้สถานการณ์ย่ำแย่น้ำใจเพียงเล็กน้อยของฝ่ายนั้นทำให้หญิงสาวรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย
“อย่าดีกว่าค่ะ”ตอนนี้เธอมีเงินติดตัวไม่มากแค่บังเอิญหยิบใส่เอาไว้เพราะตั้งใจออกไปซื้อขนมจากร้านค้าใกล้บ้านเท่านั้นอย่าว่าค่าหมอเลยค่าแท็กซี่เธอก็ยังลุ้นอยู่ว่าจะพอไหม หากไม่พอก็ยังมีทางออก“เอ่อ...ไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ ถึงคอนโดแล้วค่อยทำแผลก็ได้”
“เอางั้นก็เอาแต่ถ้าไม่ไหวบอกลุงนะ เดี๋ยวลุงแวะให้”
หญิงสาวเอ่ยขอบคุณไปอีกคำแล้วถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อฝ่ายนั้นหันไปให้ความสนใจกับท้องถนนแทน
เงินในกระเป๋าพอค่ารถแบบฉิวเฉียดหญิงสาวรับธนบัตรสีเขียวสองใบซึ่งคนขับรถส่งมาให้ พลางเอ่ยขอบคุณแล้วลงมายืนอยู่หน้าประตูคอนโดมีเนียม ความไม่มั่นใจในสารรูปตัวเองทำให้เผลอลูบผมให้เข้าที่แล้วก็ถึงกับสะดุ้งจนต้องสูดปากด้วยความเจ็บหญิงสาวสะบัดมือเบาๆ สูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนผลักบานประตูเดินตรงไปยังรีเซฟชั่น
คอนโดมิเนียมแห่งนี้ระบบรักษาความปลอดภัยค่อนข้างดีต้องใช้คีย์การ์ดเผื่อผ่านไปยังโถงลิฟต์แล้วโดยสารไปยังชั้นบนทว่าเธอลนลานออกจากบ้านมาทำให้ไม่ได้หยิบติดมาด้วย มีเงินนั่งรถมาถึงที่นี่ก็นับว่าดีแล้ว
“คุณข้าวมีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าคะ”
พนักงานตรงเคาน์เตอร์ซึ่งคุ้นเคยกันดีถามขึ้นทันทีตอนเธอไปถึงแม้ฝ่ายนั้นปั้นหน้ายิ้มเหมือนทุกครั้ง แต่เธอยังทันเห็นสีหน้าตกใจที่เกิดขึ้นแวบหนึ่ง
สภาพของเธอตอนนี้คงไม่ชวนมองเท่าไรจริงๆนั่นแหละ แต่ก็ขอบคุณที่ไม่ถามออกมาตรงๆ
“คือข้าวลืมคีย์การ์ดน่ะค่ะเลยอยากรบกวนให้เปิดประตูให้หน่อย”
ถึงเธอไม่ใช่เจ้าของห้องที่นี่ทว่าเจ้าของก็ทำคีย์การ์ดให้อย่างถูกต้องและให้อำนาจเธอเต็มที่มีทั้งคีย์การ์ดและกุญแจห้อง ทว่าเธอไม่ได้ใช้บ่อยนักส่วนใหญ่แล้วมักนั่งรออยู่ด้านล่างมากกว่ามีขึ้นไปบนห้องเขาแค่บางครั้งยามเจ้าตัวป่วยเท่านั้น
“ไม่รบกวนอะไรหรอกค่ะคุณข้าวคุยกับคุณปวีร์แล้วใช่ไหมคะ”
คนถูกถามเพียงยิ้มอ่อน...ปวีร์มีวันหยุดไม่ตรงกับเสาร์อาทิตย์ฝ่ายนั้นคงถามให้แน่ใจว่าเจ้าตัวอยู่ห้องหรือเปล่า เพราะเกรงว่าเธออาจเข้าห้องไม่ได้ดูได้จากการไม่มีคีย์การ์ดจนต้องรบกวนให้เปิดประตูให้นี่แหละ
“เชิญคุณข้าวเลยค่ะ”
เธอเดินตามพนักงานที่เอื้อเฟื้อไปเปิดประตูให้รวมถึงลิฟต์ที่จำเป็นต้องใช้การ์ดเช่นกันหญิงสาวเอ่ยขอบคุณอีกครั้งก่อนประตูลิฟต์ปิดลงช้าๆ กระทั่งมาจอดยังชั้นที่ต้องการ จึงรีบตรงไปยังห้องของแฟนหนุ่มทันที
ไม่ต้องเสียเวลาสักนิดขณะยื่นมือไปกดกริ่งหน้าห้องแล้วรอครู่เดียวประตูบานหนาก็เปิดออก รอยยิ้มแรกของวันเกิดขึ้นหลังผ่านเหตุการณ์ชวนระทึกจนต้องตรงดิ่งมาที่นี่หวังใช้แฟนหนุ่มเป็นที่พักพิงจนกว่าเธอจะคิดออกว่าควรทำอย่างไรต่อไปดี
แม้สั่งตัวเองให้มีสติแค่เอาตัวเองรอดมาจนถึงห้องพักของแฟนหนุ่มได้นี่นับว่าดีที่สุดแล้วในตอนนี้เธอหวังขอพื้นที่เพื่อสงบจิตใจเผื่อจะคิดออกว่าควรทำอย่างไรต่อไปดีหรือบางทีปวีร์อาจช่วยให้เธอคิดอะไรออกได้บ้างก็ได้
“ทำไมช้านักนะหรือว่าไม่อยู่” ขณะบ่นกับตัวเองหญิงสาวก็ยื่นมือไปหมายกดกริ่งหน้าห้องอีกครั้งแต่บานประตูที่ค่อยแง้มออกช้าๆทำให้ต้องชักมือกลับเพื่อเตรียมเข้าไปให้ห้องแต่มีอันต้องชะงักเมื่อเห็นภาพตรงหน้าเต็มตา
ผู้หญิง...ในชุดคลุมอาบน้ำผมเผ้ายุ่งเหยิง
“ใครมาน่ะออย”
เสียงนั้นเรียกให้กณิศาชะโงกหน้าไปมองด้านหลังภาพตรงหน้าทำให้แน่ใจว่าเหตุการณ์ร้ายก่อนหน้านี้ไม่ได้ทำให้สมองของเธอกระทบกระเทือนจนเบลอมาเคาะห้องผิดถึงมีผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้มาเปิดประตูห้องเธอถูกเพียงแค่อาจผิดเวลาไปบ้าง
แฟนของเธอเดินเช็ดผมออกมาจากห้องน้ำโดยมีเพียงผ้าเช็ดตัวผืนเดียวพันกายกับผู้หญิงอีกคนที่มองปราดเดียวก็แน่ใจว่าผมยุ่งๆ นั้นคงเกิดจากการโรมรันพันตูจนหมอนไปทางผ้าห่มไปทางมากกว่าเพิ่งผ่านเหตุการณ์นรกแตกมาเหมือนเธอแน่ๆ
“ข้าว!”
ใบหน้าเหมือนเห็นผีกับการปราดเข้ามาหาอย่างรวดเร็วของฝ่ายนั้นทำกณิศาถอยหลังโดยอัตโนมัติความรู้สึกรังเกียจเอ่อขึ้นมาล้นใจ แล้วก็รู้ว่าไม่มีประโยชน์เพราะเขาไม่มีทางเข้ามาประชิดเธอได้เพราะถูกผู้หญิงอีกคนคว้าแขนเอาไว้อย่างรวดเร็ว
“ใครคะวี”
“ปล่อยก่อนออย เข้าไปรอผมข้างใน”
เธอเห็นเขาปลดมือผู้หญิงคนนั้นออกอย่างรวดเร็วแต่นั่นก็ไม่ทำให้ความรู้สึกแย่ตอนนี้ลดลงได้เลยมิหนำซ้ำยังขยะแขยงมากขึ้นอีกด้วยเมื่อคิดว่ามือคู่เดียวกันนี้เคยกุมมือเธอไว้ทั้งปลอบ ทั้งยินดีกับเธอไปทุกสถานการณ์ของชีวิตมาตลอดร่วมหลายปี มือที่เธอคิดว่าคงช่วยเธอได้เหมือนทุกครั้งเมื่อเกิดเรื่องแย่ๆขึ้นอย่างที่ผ่านมา
เปล่าเลย...เธอคิดผิดนอกจากไม่ช่วยแล้วมือคู่นี้เองเหมือนผลักเธอลงไปในหุบเหวแห่งความโง่เขลาคนที่คิดว่ารู้จักดีพอ เอาเข้าจริง เธอไม่เคยรู้จักเขาด้วยซ้ำ
“ข้าวเป็นอะไรทำไมถึงได้มีเลือดเต็มตัวแบบนี้”
“นานเท่าไหร่แล้วคะ”
“ห้ะอะไรนะ”
“คุณคบกับแม่นั่นมานานเท่าไหร่แล้ว”
“หกเดือนค่ะ”
ไม่ใช่เสียงจากปวีร์แต่เป็นคนที่นั่งไขว่ห้างมองมาจากบนเตียงเดินมาตอบอย่างหวังดี
เหอะ...ประสงค์ร้ายชัดๆ
“ก็นานเหมือนกันนะ”
“ข้าว...” ท่าทางพยักหน้าหงึกๆสีหน้าเรียบเฉยเหมือนทองไม่รู้ร้อนของหญิงสาวกลับทำให้เขาร้อนเสียเอง...ถ้าเธอตีโพยตีพายสักนิดคงรับมือง่ายกว่านี้
“แล้วก่อนนั้นระหว่างคุณคบกับฉัน คุณมีคนอื่นมากี่คนแล้ว”
“...”
ความเงียบทำให้แน่ใจว่าคงไม่ใช่คนเดียวและนี่อาจไม่ใช่คนแรก...นี่เธอโง่ดักดานปล่อยให้เขาหลอกโดยไม่ระแคะระคายเลยมานานแค่ไหนแล้วจากสายตาเหยียดแกมเยาะของผู้หญิงอีกคนคงไม่ใช่ระยะสั้นแน่
เหอะ...สำคัญตัวผิดลำพองว่าเขารัก เอาเข้าจริงก็แค่ของตายที่จะเขี่ยทิ้งเมื่อไรก็ได้ ยายข้าวเธอมันโง่มาก
“ที่ไม่ตอบเพราะตอบไม่ได้หรือตอบไม่ถูกกันแน่คะว่าตลอดเวลาที่เราคบกัน พี่...”หญิงสาวกลืนก้อนสะอื้นที่แล่นมาจุกตรงลำคอลงอย่างยากเย็น ถามอย่างห่างเหิน
เธอจะไม่ยอมให้คนแบบนี้เห็นความอ่อนแอเด็ดขาด
“คุณมีคนอื่นมากี่คนแล้ว...ทำไมไม่ตอบล่ะคะ”
“บอกเขาไปเถอะค่ะวีจะได้เลิกโง่สักที”
คนถูกตราหน้าว่าโง่ตวัดสายตามองหญิงสาวอีกคนที่สืบเท้ามาอย่างเชื่องช้าภาพฝ่ายนั้นสอดมือคล้องกับท่อนแขนของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนตัวเองอย่างสนิทสนมไม่ต่างจากมีดที่กรีดลงมาตรงช่องอกย้ำลงบนรอยแผลเหวอะหวะ เจ็บจนน้ำตาเกือบหยด
ไม่ได้เธอจะให้พวกนี้เห็นน้ำตาของเธอไม่ได้ แค่เท่านี้ก็น่าสมเพชพออยู่แล้ว
หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆตวัดดวงตาไปมองคนที่กำลังจะหลายเป็นอดีตคนรักอย่างต้องการคำตอบจนแล้วจนรอดก็ไม่มีคำใดหลุดออกจากริมฝีปาก ทว่าสายตาที่มองมาอย่างรู้สึกผิดก็บอกทุกอย่างได้เป็นอย่างดี
“โอเคค่ะข้าวเข้าใจแล้ว งั้นเราจบกันตรงนี้แล้วกันค่ะ” พูดจบเธอก็หมุนตัวอย่างรวดเร็วแต่ก็ช้าไปกว่ามือแข็งแรงที่คว้าแขนเอาไว้ทัน
“ข้าวฟังพี่ก่อน”
น้ำเสียงนั้นอ้อนวอนคล้ายงอนง้อกันในทีเหมือนยามมีเรื่องทะเลาะกันแต่ครั้งนี้กลับไม่ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นเลย ซ้ำร้ายยังเหมือนน้ำกรดราดซ้ำลงมาบนร่างกายหญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึก หมุนตัวกลับมาช้าๆ พลางบิดแขนออกอย่างรังเกียจดวงตากลมมองสบเจ้าของมืออย่างเย็นชา
“ปล่อย!”
ไม่แน่ใจว่าเพราะความขยะแขยงที่เธอส่งให้หรือเพราะผู้หญิงอีกคนที่แสดงอาการไม่พอใจอยู่กันแน่แขนของเธอจึงได้รับอิสระแต่แค่แวบเดียวที่ฝ่ายนั้นปล่อยแล้วจับอีกครั้ง
“นี่ข้าวไปทำอะไรมา ทำไมถึงได้มีแผลแบบนี้”
“คุณห่วงข้าวด้วยหรือคะคิดว่ามีความสุข สนุกจนถึงไหนต่อไหนจนลืมไปว่าจริงๆ แล้วก่อนหน้านี้ข้าวเป็นคนที่คุณต้องห่วง”หญิงสาวย้ำชัด ยิ่งได้เห็นท่าทางเจ็บปวดของเขาก็ยิ่งสะใจ
“ข้าว มันใช่เวลาชวนทะเลาะไหม”
“แผลแค่นี้ไม่ถึงตายหรอกค่ะ”
“นี่ไม่ใช่เวลามาประชดกันนะข้าวเข้ามาล้างแผลทำแผลก่อน แล้วเราค่อยคุยกัน”
“ไม่มีเวลาของเราแล้วค่ะเวลานั้นหมดไปตั้งแต่คุณคิดนอกใจข้าวแล้ว...ไม่สิแค่คิดมันไม่เลวร้ายเท่าลงมือทำหรอก คุณมาไกลเกินจุดที่ควรปรับความเข้าใจกันแล้วตำตาขนาดนี้คงไม่มีอะไรอธิบายได้เท่านี้แล้วแหละค่ะ”
“ฉลาดแล้วนี่”
“ถ้าคุณไม่เงียบก็กลับไปก่อนเลย”
เป็นครั้งแรกที่หญิงสาวเห็นปวีร์หัวเสียมากขนาดนี้ตลอดเวลาคบกันมา มีทะเลาะกันบ้างตามประสาคนรักกันแต่ไม่มีครั้งไหนที่เขาขึ้นเสียงใส่เธอมาก่อน ปวีร์ค่อนข้างสุภาพ พูดเพราะ เธอจึงหลงไปกับคำหวานที่เขาปั้นแต่งขึ้นมา
เหอะ...โง่ชะมัด
“วีน่ะ”
แม้ทำท่ากระเง้ากระงอดแต่ฝ่ายนั้นก็ยอมยืนเงียบๆทว่าสายตายังมองเธออย่างดูแคลน...หญิงสาวถอนหายใจออกมาอย่างคนตัดสินใจได้ไม่เปิดโอกาสให้ฝ่ายนั้นพูดอะไรอีก
“เราเลิกกันเถอะค่ะ”
“ข้าวแต่พี่...”
“อย่าพูดอีกเลยค่ะพูดไปก็รังจะทำให้ข้าวรังเกียจคุณมากขึ้น จบกันเท่านี้เถอะค่ะ”
“แต่...”
“ถ้าคุณยังมีสำนึกอยู่บ้างคุณปล่อยข้าวไปเถอะค่ะ” พูดถึงตรงนี้แล้วก้อนสะอื้นก็แล่นขึ้นมาจุกตรงลำคอจนต้องรีบกลืนมันลงอย่างรวดเร็วก่อนจะปล่อยโฮออกมาอย่างหน้าไม่อาย“ขอให้มีความสุขนะคะ”
พูดจบก็ไม่รอฟังคำตอบเธอหมุนตัวเดินตรงไปยังลิฟต์อย่างรวดเร็ว กระนั้นยังทันได้ยินเสียงผู้หญิงอีกคนลอยมาเข้าหู
“เอ๊ะวี คุณจะอาลัยอาวรณ์แม่นี่อีกทำไมคะ เขาขอเลิกกับคุณก็ดีแล้วนี่คุณจะได้ไม่ต้องลำบากใจ หาข้ออ้างต่างๆ นานามาขอเลิกเพราะคุณกลัวเขารับไม่ได้ไงคะแบบนี้ก็ดีแล้วนี่...แต่น่าสงสารนะคะ หลุดจากคุณไปคนใครจะเอา หน้าตาก็งั้นๆจืดชืดเหมือนน้ำยาเย็น...”
เมื่อประตูลิฟต์ปิดลงเธอก็ไม่ได้ยินอะไรอีกเลย
พอความเข้มแข็งที่มีถูกใช้หมดไปเข้ามาในลิฟต์ได้ร่างบางก็ทรุดลงไปกองกับพื้นอย่างหมดแรงน้ำตาที่กลั้นไว้ไหลราวทำนบแตก ร่างกายเหมือนจะแหลกสลายลงตรงนั้น
นานเท่านานที่เธอกองอยู่กับพื้นลิฟต์เคลื่อนไปยังชั้นล่างจนเปิดออกก็แล้วหญิงสาวก็ยังไม่กระดิกกระเดี้ย
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
ประโยคนั้นเองสามารถฉุดหญิงสาวออกจากภวังค์ได้ใบหน้ากลมเงยขึ้นช้าๆ น้ำที่ยังกบตาทำให้ภาพตรงหน้าพร่าเลือน
“คุณคะ”
หญิงสาวกะพริบตาปริบๆสติที่รางเลือนถูกดึงกลับมาอีกครั้งพร้อมกับดวงตากวาดไปรอบกาย
เธอยังอยู่ในลิฟต์
หญิงสาวใช้หลังมือปาดน้ำตาลวกๆแล้วลุกขึ้นจากการช่วยพยุงของเจ้าของเสียง
“ไหวไหมคะคุณ”
“ขอบคุณมากนะคะ ฉันไม่เป็นไรแล้วละค่ะ”
“แน่นะคะ”
“ค่ะขอบคุณนะคะ” กณิศาฝืนยิ้มให้คนที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ “ขอตัวก่อนนะคะ”
แม้ยอมปล่อยแต่โดยดีทว่าเธอก็ยังเห็นว่าฝ่ายนั้นเป็นกังวล ความห่วงใยที่ได้รับจากคนแปลกหน้าทำให้ทั้งรู้สึกดีและแย่ในเวลาเดียวกัน
ดีที่โลกนี้ยังมีคนมีน้ำใจไม่นิ่งเฉยเมื่อเห็นคนอื่นเดือดร้อน ขณะเดียวก็อดเศร้าไม่ได้เมื่อคนที่หยิบยื่นความปรานีให้กลับเป็นแค่คนแปลกหน้าเท่านั้น
นี่หวังอะไรอยู่หรือเปล่ายายข้าวเธอมันแค่อดีต เรื่องอะไรที่เขาต้องสนใจ เป็นคนตัดสัมพันธ์กับเขาเองแท้ๆแล้วยังมาหวังอะไรลมๆ แล้งๆ ได้สติเสียที!
หญิงสาวเดินตรงไปยังส่วนต้อนรับอีกครั้ง คราวนี้พนักงานหน้าเคาน์เตอร์ปรี่เข้ามาหาทันทีเมื่อเห็นอาการของเธอ
“คุณข้าวไหวไหม นั่งพักก่อนนะคะ”
ไม่มีคำถามฝ่ายนั้นเพียงประคองเธอไปนั่งยังโซฟารับแขก
“รอตรงนี้ก่อนนะคะเดี๋ยวดิฉันไปเอาน้ำมาให้ค่ะ” พูดจบแล้วก็กุลีกุจอวิ่งจากไป
ฝ่ายนั้นคงพอเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอถึงไม่ได้ถามเลยสักคำ นี่คงเป็นเหตุผลของแววตาห่วงใยก่อนขึ้นไปยังห้องของปวีร์ฝ่ายนั้นคงรู้อยู่แล้วว่าเธอจะได้พบกับอะไรเธอมันโง่เองที่เข้าใจไปว่าท่าทางนั้นเกิดขึ้นเพราะสภาพดูไม่ได้ของตัวเองก่อนหน้านี้
ทุกคนรู้มีแค่เธอคนเดียวที่ไม่รู้ว่าตลอดเวลาคนรักพาผู้หญิงกี่คนต่อกี่คนมาเริงรักกันที่คอนโดมิเนียม...ที่ที่เขาให้ทั้งคีย์การ์ดและกุญแจกับเธอไว้ดูเหมือนเขาไม่มีความลับจึงไม่กลัวหากเธอจะมาหาโดยไม่บอกล่วงหน้า
เปล่าเลยเขาแค่รู้นิสัยของเธอดีว่าไม่ชอบเข้าไปอยู่กับเขาลำพังในห้องสองต่อสองมีแต่เธอเท่านั้นคิดผิด เชื่อผิดว่ารู้จักคนรักของตัวเองดี แท้จริงแล้วตัวตนของเขาเป็นอย่างไรเธอไม่เคยรู้เลยจริงๆ
“น้ำค่ะคุณข้าว”
“ขอบคุณค่ะ”พอได้ดื่มน้ำจึงรู้ว่าตัวเองนั้นกระหายแค่ไหน “ถ้าข้าวขอใช้โทรศัพท์หน่อยจะสะดวกหรือเปล่าคะ”
เธอเห็นฝ่ายนั้นหยุดคิดอยู่แค่ครู่เดียวก็พยักหน้า
“คุณข้าวรอตรงนี้นะคะเดี๋ยวฉันไปหยิบมาให้ เป็นโทรศัพท์มือถือคุณข้าวน่าจะสะดวกกว่า”
กณิศามองน้ำใจของฝ่ายนั้นอย่างขอบคุณไม่ถึงนาทีต่อจากนั้นโทรศัพท์มือถือก็มาอยู่ในมือหญิงสาวพร้อมๆกับเจ้าของผละไปเฝ้าเคาน์เตอร์ คงเพราะอยากให้เธอคุยโทรศัพท์อย่างสบายใจ หลังกดตัวเลขสิบหลักแล้วโทรออกไม่นานก็มีเสียงแจ้วๆ ส่งมาตามสาย
“ว่าไงยายข้าว คิดถึงฉันเหรอ”
“หยี...ช่วยฉันด้วย”
-----------------------------------------
นิยายเอามาลงแต่ละตอนค่อนข้างยาวนิดนึงค่ะ ขั้นต่ำก็ 5 หน้า A4 แต่ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 7 หน้าขึ้นไป ถ้าเพื่อนๆ รู้สึกโหลดยาก บอกได้นะคะ จะแบ่งเป็น 2 หน้าให้ค่า จะได้โหลดไม่หนักเนอะ
เรื่องนี้เรามีโปรแกรมพิมพ์เอง ไม่ใช่ออกกับสนพ.อรุณ (ในเครืออมรินทร์) หรือสนพ.แจ่มใส เหมือนเรื่องที่แล้ว ทำแบบสอบถามคนอยากได้รูปเล่มอยู่ด้วยค่ะ ใครติดตามนิยายเราแล้วสนใจ ไปทำแบบสอบถามหน่อยนะคะ ^^ https://goo.gl/Znm33t
Fanpage : เนตรนภัส
Twitter : Naitnapas
สะดวกที่ไหน แวะไปคุยกันได้ค่ะ ^^
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in