อาการวิงเวียนหน้ามืดจากการเสียเลือดดูเป็นตลกร้ายสำหรับเผ่าพันธุ์แวมไพร์อย่างบอกไม่ถูก ผู้คนมักคิดว่าผีดูดเลือดอย่างเราแข็งแกร่งราวกับเป็นขั้นกว่าของมนุษย์ เรื่องนั้นน่าจะเป็นผลพวงจากบรรดาสื่อที่ขยันเสนอภาพแวมไพร์ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่งดงามระยิบระยับ ว่องไว ฉลาดเฉลียว และต่อยตีเก่งเป็นบ้า ยังไม่นับบางเรื่องที่บอกว่าเรามีอิทธิฤทธิ์และเวทมนตร์ สามารถสะกดจิตใครต่อใคร แถมยังแปลงร่างเป็นค้างคาวได้อีกต่างหาก ผมกับสมาชิกชมรมภาพยนตร์แวมไพร์เคยนั่งปรับทุกข์กันในร้านอาหาร 24 ชม.หลังจากดูหนังรอบดึกจบ ครุ่นคิดว่าชีวิตพวกเราคงสบายดีพิลึกถ้ามีความสามารถพิเศษขนาดนั้น บางคนขอแค่หน้าตาดีก็เสมือนได้รับอภิสิทธิ์แล้ว ขณะที่อีกคนเพิ่งถูกโจรซ้อมและปล้นกระเป๋าไปเมื่ออาทิตย์ก่อนนี่เอง ส่วนผมฝันว่าถ้าเปลี่ยนตัวเองเป็นค้างคาวได้ก็จะไม่ต้องขึ้นรถเมล์หรือรถไฟไปทำงานอีกต่อไป แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่วิถีชีวิตของเราไม่มีอะไรหวือหวาแบบนั้น อย่างเช่นแค่ขาดเลือดมากถึงจุดหนึ่งก็ล้มหน้าทิ่มเหมือนคนความดันต่ำ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องมีแรงออกไปอาละวาดเพราะหิวกระหายเลย
อาการนั้นคือสิ่งที่ผมเผชิญหลังผ่านค่ำคืนอันยาวนานบนภูเขา เมื่อพยายามพลิกตัวด้วยความเคยชินเหมือนอยู่บนเตียง ผมก็เข้าใจความรู้สึกของไข่เจียวที่หล่นแปะบนพื้นตอนมือสมัครเล่นพยายามกระดกกระทะขึ้นมาทันที ทั้งหมดเป็นเพราะเจย์โยนผมไว้บนโซฟาในห้องนั่งเล่นแล้วยกห้องนอนให้สุภาพสตรีที่เราเพิ่งพบเมื่อคืน ตอนนี้เธอเลยนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงของผม ใบหน้าและแขนขาขาวซีดจนแทบกลืนไปกับหมอน เจ้าหมาไม่ได้แม้แต่จะเช็ดเศษดินที่เปื้อนตามเนื้อตัวและเสื้อผ้าของเธอ หนำซ้ำยังจับหญิงสาวใส่กุญแจมือข้างหนึ่งแล้วคล้องไว้กับเสาเตียงอีกต่างหาก ถ้าใครมาเห็นเข้าตอนนี้ พวกเราคงไม่พ้นได้เป็นคนร้ายลักพาตัวอย่างแน่นอน แม้ว่าแขนผมที่โดนเธอกัดจมเขี้ยวจะยังปวดตุบ ๆ อยู่ก็ตาม เล่าให้มนุษย์หน้าไหนฟังก็คงไม่มีใครเชื่อ รับประกันว่าหญิงสาวคนนี้ก็คงไม่เชื่อตัวเองเหมือนกัน
"ไปเอากะละมังใส่น้ำกับผ้าขนหนูมาหน่อยสิ" ผมสั่ง "เออใช่ ฝากเอาเลือดในตู้มาให้ด้วยนะ"
หลังจากดื่มเลือดสังเคราะห์ไปหนึ่งถุง เรี่ยวแรงของผมถึงได้เริ่มกลับมาและอาการวิงเวียนค่อย ๆ หายไป แต่สิ่งที่น่าปวดหัวหลังจากนั้นคือเจ้าหมาที่ลุกลี้ลุกลนเมื่อเห็นว่าผมกำลังจะเช็ดตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้หญิงสาวปริศนา ใช่ว่าเขาจะเป็นเด็กหนุ่มใสซื่อหรือผมมีเจตนาล่วงเกินเธอเสียเมื่อไหร่ ลำพังการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายของเธอก็หนักหนามากอยู่แล้ว ผมแค่อยากให้เธอรู้สึกสบายขึ้นมาสักหน่อยก็ยังดี นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่ต้องตรวจสอบให้แน่ใจโดยเร็ว ดังนั้นการที่เจย์บอกว่าจะแปลงร่างเป็นหมาป่าเพื่อลดความรู้สึกผิดที่เห็นเธอเปลือยจึงเป็นเรื่องเกินความจำเป็นสิ้นดี ผมต้องการความเห็นเป็นผู้เป็นคนของเขามากกว่าเสียงเห่าเป็นไหน ๆ
"เห็นตรงนี้ไหม" ผมชี้ไปตรงไหล่ของเธอซึ่งมีรอยกัดทึ้งขนาดใหญ่ที่ใกล้จะเลือนหายไปเต็มที ลักษณะการสมานของบาดแผลต่างจากมนุษย์ทั่วไปที่ต้องรอให้ตกสะเก็ดจนทิ้งแผลเป็นไว้ เนื่องจากกลไกการเยียวยาตัวเองของแวมไพร์จะซ่อมแซมส่วนที่เสียหายขึ้นมาเหมือนใหม่อย่างรวดเร็ว (จะเรียกว่าเป็นความพิเศษก็คงได้ แต่ไม่มีใครอยากหาเรื่องเจ็บตัวแต่แรก ยกเว้นสมัยเป็นทหารรับจ้างแลกเงิน) หากเป็นตอนเพิ่งถูกทำร้าย ผมคิดว่าเนื้อตรงบ่าถึงไหล่ของเธอคงหายไปชิ้นเบ้อเริ่ม เส้นเลือดคงขาดและทำให้เสียเลือดมากจนช็อก ผมคิดเสมอว่านี่เป็นเรื่องย้อนแย้งแสนเลือดเย็นเหลือเกิน ที่คมเขี้ยวซึ่งปลิดชีพหญิงสาวกลายเป็นสิ่งชุบชีวิตเธอในคราวเดียวกัน เพียงแต่ชีวิตใหม่นั้นคือเส้นทางทอดยาวไม่รู้จบ ขนานไปกับชีวิตเดิมที่เราได้แต่ละห้อยหาจากอีกฝั่ง เฉียดใกล้กันได้แค่ชั่วพระอาทิตย์ตกดิน เป็นผมคงพูดได้ไม่เต็มปากว่าพวกเราโชคดีที่มีชีวิตอยู่ แค่โชคร้ายที่ดันไม่ตายง่าย ๆ มากกว่า
"จะบอกว่ามีใครสักคนเปลี่ยนเธอสินะ" เจย์ยอมไขกุญแจมือเพราะผมต้องถอดเสื้อชื้น ๆ ของเธอออก "แต่เดี๋ยวก่อน ที่เสื้อผ้าไม่มีรอยขาดเพราะโดนกัดเลยนี่ หรือเธอไม่ได้เพิ่งฟื้นจากการโดนเปลี่ยนแล้วคลั่ง แต่ว่าเตรียมการมาก่อน แบบนั้นมัน —"
ตรงนี้แหละที่ผมกังวล "แบบนั้นมันจะทำให้เธอเป็นคนร้ายคดีผีดูดเลือด" ผมต่อประโยคให้เขาจนจบ "แต่ฉันคิดอีกแบบ นายอาจจะไม่รู้ เงื่อนไขหนึ่งของการเปลี่ยนคือคนคนนั้นต้องไม่ตายทันทีและได้รับเลือดของแวมไพร์ที่เป็นคนกัดตัวเองปริมาณหนึ่ง เพราะงั้นก็เป็นไปได้ว่าไอ้คนที่ทำให้เธอเป็นแบบนี้ มันอาจเตรียมเธอให้ออกอาละวาด ไม่สิ เธออาจหนีออกมาก่อนแผลจะทันหายเพราะหิวมากก็ได้"
"ผมตามไม่ทันแล้ว เขาจะทำแบบนั้นไปทำไม" เจ้าหมาทำหน้างง
"แพะรับบาป" แค่พูดถึงผมก็รู้สึกขนลุกขึ้นมา "คนที่เปลี่ยนเธออาจเป็นคนร้ายตัวจริง เขาออกล่าแล้วทิ้งศพไว้เกลื่อนเหมือนไม่เกรงกลัวอะไร เพราะคิดว่าจะหาใครสักคนมารับผิดแทนได้ พอรอยกัดบนผิวเธอหายพร้อมกับความหิวโซที่มีมากขึ้นทุกวัน ไม่ช้าก็เร็วเธอคงลงเอยด้วยการทำร้ายใครเข้าจริง ๆ และกว่าเราจะรู้ หรือไม่มีวันรู้ ทุกอย่างก็ชี้ว่าเธอเป็นฆาตกรของทุกศพไปแล้ว ทั้งที่แวมไพร์กำเนิดใหม่ที่หิวจัดไม่มีทางดูดเลือดคนได้หมดจดขนาดนั้นหรอก ดูแขนฉันเป็นตัวอย่างสิ"
ดวงตาสีน้ำตาลของเจย์เบิกกว้าง "ไอ้ระยำเอ๊ย" เขาสบถ ดูเหมือนจะซื้อทฤษฎีของผม "จะเรียกว่าโชคดีได้ไหมที่คุณไปเจอเธอก่อน แต่พอคิดว่าไอ้ชั่วนั่นยังเพ่นพ่านอยู่ข้างนอกก็โคตรซวย แล้วนี่คุณจะทำยังไงต่อ"
เพราะเหตุการณ์อาจจะเลวร้ายได้กว่าที่คิด ผมจึงไม่มีทางเลือกนอกจากแจ้งผู้อาวุโส อย่างน้อยก็เพื่อหญิงสาวเคราะห์ร้ายคนนี้ ผมรู้ดีว่ามันไม่ยุติธรรมเอาเสียเลยที่จะเรียกเธอแบบนั้น เธอเป็นเหยื่อ มีแวมไพร์ชั่วร้ายจงใจใช้เธอเป็นเครื่องมือ ไม่ว่าจะเลือกเอาแบบสุ่มหรือหมายตาไว้ก่อน ความเสียหายที่เกิดขึ้นก็ไม่อาจแก้ไขให้กลับมาดังเดิมได้อีก เธอเป็นลูกสาวของพ่อแม่ อาจเป็นพี่น้องของใครสักคน มีความฝันและความปรารถนาที่ยังไม่ได้เติมเต็ม และมีความเป็นไปได้ไร้ที่สิ้นสุดรออยู่ข้างหน้า แต่ทั้งหมดกลับถูกช่วงชิงไปและเหลือไว้ให้เพียงเวลา เวลาของคนตายที่ถูกกระแสกาลเวลาพัดให้ล่องลอยไปเรื่อย ๆ ไม่ใช่เวลาของคนเป็น ผมหวังว่าหน่วยให้คำปรึกษาจะอธิบายการเปลี่ยนแปลงนี้ให้เธอฟังได้ดีกว่าผม อย่างน้อยพวกเขาจะดูแลเธอ ให้ที่พักพิง และสอนให้ค่อย ๆ ปรับตัวกับวิถีชีวิตใหม่ อาจจะยกตัวอย่างผมกับอลิซให้ฟังว่าเราอยู่ร่วมกับมนุษย์ได้เกือบเป็นปกติอย่างไร ผมกดส่งอีเมลจากโทรศัพท์พร้อมภาวนาให้ทุกอย่างลงเอยด้วยดี หวังว่าทางนั้นจะส่งคนมารับตัวเธอไปโดยเร็วเพื่อความปลอดภัย
"พอคิดว่าพวกเรารวมตัวกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน มีคณะกรรมการกับหน่วยงานมากมาย มันก็น่าทึ่งดีนะ" เจย์รำพึง "แต่สุดท้ายก็มีใครสักคนแตกแถวเสมอ คุณว่าเพราะอะไร เพราะมีความเป็นมนุษย์อยู่ส่วนหนึ่งก็เลยหนีไม่พ้นงั้นเหรอ"
"หรือไม่ก็ตรงกันข้าม" ผมนึกถึงขบวนการเคลื่อนไหวในอดีต เมื่อสองสามศตวรรษก่อนพวกเราหวิดจะก่อสงครามกันเองเพื่อยับยั้งไม่ให้อีกกลุ่มหนึ่งไปก่อสงครามกับมนุษย์ เพราะพวกนั้นเชื่อว่าตนเองมีสิทธิตามธรรมชาติที่จะดื่มกินเลือดคนตามใจชอบ ว่าพระเจ้ากำหนดมาเช่นนั้น "พวกเขาไม่คิดว่าตัวเองเหมือนมนุษย์ แต่เป็นผู้ล่าตามห่วงโซ่อาหาร แล้วยังมีคนที่เชื่อด้วยนะว่าเลือดสด ๆ จากตัวคนมันบริสุทธิ์กว่า รสชาติดีกว่าเลือดสังเคราะห์ที่เพื่อนฉันทุ่มเทวิจัยมาตั้งนาน ก็ไม่แปลกใจหรอกถ้าจะมีคนอุตริลอง เดี๋ยวผู้อาวุโสก็คงส่งคนมาสืบเอง"
"แล้วมันรสต่างกันจริงไหม ไอ้เลือดจริงกับเลือดเทียมเนี่ย"
"จำไม่ได้แล้ว" ผมตอบ เพราะว่าไปเจอหนึ่งในผู้อาวุโสตั้งแต่เป็นแวมไพร์ใหม่ ๆ ผมเลยเติบโตมาในฐานะผีดูดเลือดรักสงบที่ดำรงชีวิตด้วยเลือดสัตว์มาตลอด จะมีก็แค่ครั้งเดียวที่ไปมีเรื่องในผับแล้วเผลองับแขนคู่กรณีเข้า เลือดของเขาในตอนนั้นคงเย้ายวนใจมากจนผมกัดไม่ยอมปล่อย โชคดีที่ตอนนี้มันเป็นเพียงความทรงจำเลือนรางเมื่อนานมาแล้วเท่านั้น ผมค่อนข้างพึงพอใจกับเลือดสังเคราะห์สำเร็จรูปที่ดื่มง่ายเหมือนนมพาสเจอไรซ์อยู่แล้ว ขอบคุณ
"แล้วเลือดแต่ละกรุ๊ปมันรสชาติต่างกันด้วยเหรอ" เจย์เอียงคอสงสัยอย่างน่าเอ็นดู เขาคงเห็นฉลากบนถุงเลือดเมื่อกี้แน่ ๆ ถึงได้ถาม ผมล่ะขำ
"โดนหลอกแล้วล่ะ" ผมตอบ นึกชื่นชมความบ้า ๆ บอ ๆ ของเจ้าของผลิตภัณฑ์ "มันเป็นการตลาดเฉย ๆ เหมือนสร้างคาแรคเตอร์ให้กับสินค้า แล้วก็เอาไว้ตบตาเวลาขนส่งเท่านั้นแหละ แต่จะว่าไปก็มีคนเลือกดื่มเฉพาะบางหมู่เลือดเหมือนกันนะ คงคิดไปเองว่าอร่อยมากกว่า"
"ถ้าจะตบตาก็สู้ใส่กล่องให้มิดชิดไม่ดีกว่าหรือไง"
"เคยทำแล้วมีคนซุ่มซ่ามเอาไปกินข้างนอก ขนาดออกแบบให้เป็นกล่องน้ำผักชีก็ยังมีมนุษย์อยากลองจนขโมยชิมเลย พอรู้ว่าเป็นเลือดเท่านั้นแหละ เก็บของย้ายบ้านแทบไม่ทัน"
"เจ้าคนชอบผักชีนั่นน่ะเหรอ"
"แวมไพร์สิ เด็กโง่"
เจ้าหมาฉีกยิ้มกว้างจนเห็นเขี้ยว เราสบตากัน จากนั้นก็พยายามกลั้นขำจนตัวสั่น เดินกุมท้องออกมาจากห้องก่อนจะลงไปคุกเข่าหัวเราะกับพื้นห้องนั่งเล่น ก็แค่มุกจืด ๆ แท้ ๆ ทำเอาเจ้าแมวนิรนามหันมามองเราสองคนอย่างเย็นชาจนผมต้องคว้ามันมากอด รู้สึกขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้ผมจำได้ว่าการหัวเราะนั้นเป็นอย่างไร ท่ามกลางเรื่องเลวร้ายมากมายบนโลกใบนี้ ผมมองไปยังบานประตูห้องนอนที่ปิดสนิท หวังจากใจจริงว่าเธอจะยังไม่ลืมมันเช่นกัน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in