ผมถูกลอบโจมตี
ระหว่างเดินล่องลอยผ่านร้านรวงต่างๆ บนทางไปร้านกาแฟดังเช่นทุกวัน เด็กผู้หญิงตัวเล็กที่ส่วนสูงไม่พ้นช่วงเอวของผมวิ่งเข้ามาปะทะโดยไม่เปิดสัญญาณเสียงล่วงหน้า รู้ตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงร้อง "โอ๊ย" ตามหลังแรงกระแทกที่ต้นขา ผมไม่สะดุ้งสะเทือน แต่คุณหนูตัวน้อยกระเด็นไปกองบนพื้นเสียแล้ว ลูกโป่งสีเหลืองในมือเธอลอยลิ่วขึ้นฟ้า ใจผมอยากคว้ามันไว้ให้ทัน แต่นึกขึ้นได้ว่าควรไกล่เกลี่ยกับคู่กรณีที่ระเบิดเสียงร้องไห้ดังสนั่นก่อน ทั้งที่ผมต่างหากคือผู้เสียหายตัวจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจมูกรับรู้ไวกว่าสายตาว่าหัวเข่าของเธอเป็นแผลถลอกจนเลือดซิบ ผมกลืนน้ำลาย ก่อนจะเอื้อมมือไป —
และนั่นก็คือวินาทีที่ผมถูกลอบโจมตี ปล่อยให้ตัวเองโดนผลักและจับตรึงไว้กับพื้นบาทวิถีในท่าทางน่ากระอักกระอ่วนใจ เป็นอีกหนึ่งสัญญาณว่าผมคงจะแก่ไปมากแล้วจริงๆ เจ้าคนที่พุ่งเข้ามาทำร้ายผมอย่างจงใจคนนั้นเอี้ยวตัวไปหาเด็กหญิงที่ดูจะหยุดร้องไห้ไปเพราะตกใจระคนงุนงง "ไม่เป็นไรใช่ไหม ไม่ต้องกลัวนะ" หมอนั่นปลอบเธอ เหมือนไม่รู้ตัวเลยสักนิดเดียวว่าตัวเองน่ากลัวว่าคนไม่รู้อีโหน่อีเหน่อย่างผมมากนัก แทบจะเห็นเขี้ยวโผล่ออกมาพร้อมสายตากร้าวยามเขาจ้องหน้าผมอย่างกับจะขย้ำให้ขาดเป็นชิ้นๆ ผมไม่โทษหมาจมูกดีที่ระแวดระวังภัยจากแวมไพร์หรอก เพียงแต่รู้สึกคล้ายโดนดูถูกก็เท่านั้น แม้จะยังดำรงชีวิตด้วยเลือดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่การปรับวิถีชีวิตมาอยู่ในเมืองหลายร้อยปีทำให้พวกพ้องและตัวผมรู้จักยับยั้งชั่งใจมากกว่ามนุษย์เวลาได้กลิ่นไก่ทอดเสียอีก ตอนเค.ทำมีดบาดระหว่างหั่นผักสลัดเมื่อสัปดาห์ก่อน ผมยังเป็นคนทำแผลให้เธอด้วยซ้ำ
พ่อแม่ของเด็กผู้หญิงคนนั้นวิ่งตามมาไม่นานหลังจากผมโดนจัดการจนหมอบ อย่างน้อยพวกเขาก็รับฟังคำอธิบายที่ว่าเธอหกล้มเองและรีบอุ้มลูกจากไปโดยไว หากโดนเข้าใจผิดว่าทำอันตรายเธอขึ้นมาจริงๆ คงเป็นเรื่องใหญ่โตในเมืองเล็กแห่งนี้ ผมออกแรงผลักคนที่จับผมกดลงกับพื้นเย็นๆ ให้พ้นตัวจนเขาแทบลอยเข้าพุ่มไม้ข้างทาง คราวนี้หมอนั่นจะได้รู้เสียบ้างว่าอย่าริอ่านมาจู่โจมแวมไพร์รักสงบซึ่งกำลังเดินทางไปประกอบอาชีพสุจริตอีกเป็นอันขาด นี่ไม่ใช่ยุคสมัยที่หมาป่าจะมาเป็นพระเอกแล้วเที่ยวฟัดใครสุ่มสี่สุ่มห้า คิดแล้วโลกช่างตลกนัก เหมือนเมื่อวานนี้เองแท้ๆ ที่ผมเป็นฝ่ายยับยั้งเขาตอนกลายร่าง ไม่ให้อาละวาดกระชากหัวคนบริสุทธิ์หลุด
ไอ้ลูกหมาก็ยังเป็นลูกหมาวันยังค่ำ
ผมยื่นมือไปดึงเขาขึ้นจากพื้น คนจะได้ไม่ทึกทักว่าเรามีเรื่องกันจนเรียกตำรวจ ถึงคนตรงหน้าผมจะทำอาชีพนั้นเองก็ตาม
"สวัสดีเจย์ ไม่เจอกันนานเลยนะ"
ค่ำนี้ที่คาเฟ่ดูคึกคักเป็นพิเศษ เพราะเหตุนั้นเจย์เลยต้องเป็นฝ่ายนั่งรอระหว่างที่ผมง่วนอยู่กับการชงกาแฟแก้วแล้วแก้วเล่า ผมเตรียมนมอุ่นร้อนพร้อมโรยผงซินนามอนลงบนโฟมแบบที่เขาชอบ ปล่อยเจ้าหมานั่งตัวลีบและจ้องผมเสียให้พอใจ เราไม่ได้เจอกันตั้งแต่เขาเรียนจบมัธยมปลาย ตอนนั้นเป็นช่วงปีท้ายๆ ที่สองเผ่าพันธุ์ยังคงใช้ระบบพึ่งพาอาศัยกัน แวมไพร์คนเดียวที่ว่างในเมืองนั้นอย่างผมจึงถูกจับคู่กับเขา ลูกชายคนสุดท้องของบ้านซึ่งเริ่มมีอาการตอนเข้าช่วงวัยรุ่นพอดี ตอนแรกๆ ถือว่าปวดหัวน่าดู แค่เป็นมนุษย์วัยต่อต้านก็น่าหนักใจมากพออยู่แล้ว แต่นี่ยังกลายร่างเป็นหมาป่าดุร้ายจนควบคุมตัวเองไม่ได้ในคืนพระจันทร์เต็มดวงอีก จนกระทั่งผมค้นพบว่าอาหารอร่อยๆ ทำให้เขาสงบลงได้นั่นแหละ สถานการณ์ระหว่างเราถึงดีขึ้นมาหน่อย มาวันนี้ผมจึงอดสัยไม่ได้ว่าเขายังจำได้ไหมว่าเคยติดผมแจเหมือนลูกหมาขอขนมขนาดไหน
"เอาอีกแก้วไหม" ผมถาม เห็นแก้วสะอาดเอี่ยมจนนึกว่าเขาเผลอเลียเกลี้ยงหรือไม่
"ไม่เอา มาคุยกันได้แล้ว" เจย์ว่า ใช้เท้าเลื่อนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม เห็นแล้วอดด่า เด็กไร้มารยาท ในใจไม่ได้
ลูกค้าไม่เยอะแล้ว ผมจึงนั่งกอดอกแล้วจ้องตากลับ แน่นอนว่าหมาป่าเป็นฝ่ายหลบสายตาก่อน
"มีเรื่องอะไร พี่ชายใช้ให้มาสอดแนมแฟนสาวที่หนีออกจากบ้านเหรอ" ผมถาม มนุษย์หมาป่าที่คบหากับอลิซคือพี่ชายแท้ๆ ของเจย์ อันที่จริงผมรู้แต่แรกแล้วว่ามีคนสะกดรอยตามและเฝ้าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน แม้จะแอบคิดว่านั่นคือคนรักของเด็กสาวที่คงรอโอกาสเหมาะๆ มาปรับความเข้าใจกันมากกว่า
"ใช่ซะที่ไหน ป่านนี้นอนครางหงิงๆ อยู่บ้านโน่น" เจย์ส่ายหน้า "คุณต่างหากที่ต้องอธิบายมา"
ผมส่งสายตาแบบเดียวกับตอนไม่ยื่นขนมให้หมาที่ทำตัวไม่น่ารักให้เขา เจย์ถอนหายใจเฮือกใหญ่
"คดีฆาตกรรมต่อเนื่อง" เขาพูดเสียงเบา "เพิ่งพบศพล่าสุดบนภูเขาที่นี่เมื่อตอนเที่ยง ที่คอมีรอยกัด"
เพราะใช้เวลาช่วงกลางวันนอน ผมจึงเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่รู้ความเป็นไปของโลกภายนอกเท่าใดนัก ถ้าไม่ได้นึกครึ้มใจเข้าเว็บไซต์ไปอ่านจดหมายข่าว (พวกเราก็มีวิธีแจ้งข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับเผ่าพันธุ์เราอยู่เหมือนกัน) หรือว่ามีเค.เป็นคนเล่าความเป็นไปในชุมชนนี้ให้ฟัง เมื่อทราบว่าเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของอลิซไม่ใช่เหตุผลที่เขามาอยู่ตรงนี้ ผมถึงสังเกตเห็นความวิตกกังวลของเจย์ได้ชัดเจนขึ้น
"นั่นคือคำอธิบายเรื่องอุบัติเหตุเมื่อกี้สินะ"
"ตอบมาก่อน"
"จะให้ตอบอะไร"
"ว่าคุณไม่ได้รู้เห็น" เจย์ว่า "ว่าคุณไม่ได้เป็นคนทำ"
จู่ๆ สีหน้าแข็งกร้าวของตำรวจก็เปลี่ยนไปเป็นสีหน้าของหมาหางตกและหูลู่ ถ้าเขาทำแบบนี้กับผู้ต้องสงสัยแล้วใครจะไปเกรงกลัว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผมหลุดทำสีหน้าผิดหวังให้เขาเห็นหรือไม่ เจย์จึงกลายกลับไปเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบสี่คนนั้น คนที่เคยมองผมอย่างไม่ไว้ใจทั้งที่อยากจะเชื่อมั่นใจจะขาด
"ฉันไม่ได้เป็นคนทำ" ผมตอบ "ไม่รู้เรื่องแวมไพร์คนอื่นๆ ในเมืองนี้ด้วย นอกจากอลิซที่มาเมื่อวาน"
ถ้าผมเป็นคนลงมือล่าขึ้นมาจริงๆ เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าผมไม่ได้โกหกหน้าตาย
"รู้แล้ว" เจย์รับคำขึงขัง ยกแก้วขึ้นมาดื่มอย่างวางมาดโดยลืมไปว่ามันว่างเปล่าแล้ว สีหน้าเลิ่กลั่กแวบหนึ่งของเขานั้นตลกดี ผมหลุดขำออกมา
ปีนี้เขาอายุยี่สิบหกแล้ว แต่หมาทุกตัวย่อมเป็นลูกหมา กับหมาป่าก็ไม่เว้น
"หยุดก่อน นายยังอายุไม่ถึง"
"พี่ต้องสนใจเรื่องกฎระเบียบมนุษย์ด้วยหรือไง"
"แน่นอน อมนุษย์อย่างเราก็เป็นส่วนหนึ่งของสังคม ถ้าไม่รักษากฎหมาย เราก็ยิ่งมีสิทธิ์สร้างความเสียหายให้คนอื่นได้มาก ที่โรงเรียนไม่สอนเหรอ"
"น่ารำคาญจริงๆ เลยคนแก่"
ริมฝีปากของเขาประทับลงมาซ้ำๆ อย่างลึกล้ำ ไม่ใช่จูบที่ลูกหมามอบให้เจ้าของเวลาดีใจ แต่เป็นจูบของเด็กหนุ่มวัยสิบแปดที่กำลังเติบโตไปเป็นชายหนุ่ม เมื่อโดนตรึงร่างไว้ในวันนั้น ผมไม่ได้ผลักไสเขาออกไปเช่นวันนี้ ถ้าต้องแตกดับไปในวันพรุ่ง นั่นน่าจะเป็นสิ่งที่ผมเสียใจที่สุดในชีวิต
"ผมตามมาสืบคดีน่ะ" เจย์อธิบาย "ผมรู้ว่าคุณอยู่ที่นี่เพราะอลิซ เลยต้องสงสัยไว้ก่อน"
เจย์เดินล้วงกระเป๋า เพราะอากาศเย็นเลยหายใจออกมาเป็นควันขาวเวลาพูด เราเดินกลับมาด้วยกันตามเส้นทางสู่บ้านเช่าของผม เจย์อ้างว่าอยากจับตาดูผมให้แน่ใจ ย้อนแย้งกับคำว่า "รู้แล้ว" ก่อนหน้านี้ที่ร้านกาแฟเหลือเกิน ทั้งที่ความจริงเขาคงต้องการกลับไปทักทายเต่าที่ผมเลี้ยงเสียมากกว่า ผมเดาออกตั้งแต่เขาถามว่า "เลโอนาร์โดเป็นยังไงบ้าง หวังว่าคุณจะดูแลมันอย่างดีนะ" แล้ว
แน่นอนว่าภาพอลิซและพี่ชายของเขากำลังกอดกันร้องไห้ไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในความคาดหมายเมื่อเปิดประตูบ้านเข้าไป เราสองคนดูจะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย นอกจากว่าผมเห็นแหวนเพชรวาววับที่นิ้วนางของเด็กสาว ด้วยที่ไม่อยากรบกวนช่วงเวลาลึกซึ้งพอๆ กับที่รู้สึกอับอาย ผมเลยดึงเจ้าหมาออกมานั่งรอหน้าบ้านก่อน
พระอาทิตย์กำลังจะขึ้นแล้ว
เจย์ลุกขึ้นจากที่นั่ง ยืนคั่นกลางระหว่างผมกับทิศตะวันออก ราวกับว่าเงาของเขาจะบดบังแดดอ่อนๆ ยามเช้าได้ทั้งหมด แต่กระนั้นผมก็ยังไม่วายชะเง้อหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ทำให้ดวงตาแสบร้อน ก่อนจะตระหนักได้ว่านั่นคือแสงแรกของวันที่ไม่ได้เห็นกับตาตัวเองมานานเหลือเกิน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in