นี่ไม่ใช่เรื่องราวความรักของผม อันที่จริง ผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่ามันคือความรักหรือไม่
อลิซมาหาผมในวันฝนตก บุกเดี่ยวเข้ามาในร้านกาแฟตอนห้าทุ่ม หยาดน้ำหยดติ๋งๆ จากปลายผมและเสื้อโค้ตชุ่มโชก เมื่อผมมองดูชัดๆ จึงได้รู้ว่าฝนไม่ได้ตกแต่เพียงข้างนอก แต่น้ำตายังนองหน้าและเอ่อท่วมนัยน์ตาคู่สวยของเด็กสาวที่ไม่ได้พบหน้ากันนานหลายปี เค.ที่เฝ้าเคาน์เตอร์อยู่ดูจะตกใจจนพูดไม่ออกเมื่อต้องเผชิญหน้าลูกค้าในสภาพเหมือนเพิ่งผุดมาจากท่อระบายน้ำ และคล้ายจะอึ้งยิ่งขึ้นไปอีกยามได้ยินคนแปลกหน้าคนนี้เรียกผมว่า "พี่" แล้วสะอึกสะอื้นจนตัวสั่นสะท้านไปหมด แต่ถึงกระนั้นเค.ก็ยังมีสติอย่างน่าชื่นชม รีบก้มไปค้นกระเป๋าแล้วยื่นผ้าขนหนูให้อีกฝ่ายโดยไม่ต้องรอให้ร้องขอ จากนั้นสายตาคาดคั้นของเธอถึงค่อยพุ่งเป้ามาที่ผมอีกครั้ง
ผมผลักประตูบานกั้น คว้าแขนอลิซ แล้วนำทางเธอไปยังห้องเก็บของ ร่างบอบบางและขาวซีดของเด็กสาววัยสิบเจ็ดปีตลอดกาลทรุดฮวบลงบนลังกระดาษใส่ทิชชูที่ยวบลงตามน้ำหนัก สภาพตัวเธอตอนนี้จมลงสู่ก้นกล่องกว่าครึ่ง ขาสองข้างพาดขอบลังเหมือนตุ๊กตายัดนุ่นที่แขนขายาวกว่าบรรจุภัณฑ์ที่ใส่ อีกทั้งยังมีผ้าเช็ดตัวปักโลโก้ฟิตเนสของเค.คลุมเรือนผมสีแอชซึ่งสีย้อมเริ่มหลุดลอก ประเมินคร่าวๆ ได้ว่าหนักหนา แต่ไม่มีอะไรใหม่ ผมเห็นแล้วขัดใจเลยขยับไปเช็ดผมให้เป็นเรื่องเป็นราวสักที เธอส่งเสียงขัดใจเหมือนตอนผมเช็ดตัวให้แมวไม่มีผิด แถมยังเล็บคมเหมือนกันอีกต่างหาก
"อีกแล้วเหรอ" ผมถาม
"อือ" เธอตอบ "เรื่องแต่งงาน"
คราวนี้ไม่ใช่เรื่องเดิมเสียทีเดียว ผมชะงัก หากจะโดนคัดค้านคงไม่ใช่เพราะวัยของเธอ อลิซอายุเท่านี้มาได้ร่วมร้อยปีแล้ว ผมไม่ข้องใจเรื่องวัยวุฒิและประสบการณ์ของเธอเท่าใดนัก เห็นกันอยู่ว่าไม่ว่าจะแก่เฒ่ากี่ขวบปีคนเราก็ยังทำพลาดโง่เง่าได้ทุกเมื่อเชื่อวัน แล้วก็ไม่ใช่เพราะคนรักของเธออยู่คนละเผ่าพันธุ์ด้วย ในเมื่อดีเสียอีกที่เธอไปชอบพอมนุษย์หมาป่าแทนมนุษย์ธรรมดา เรื่องความเป็นอริและสงครามพันปีระหว่างแวมไพร์กับหมาป่าเป็นเพียงจินตนาการที่แต่งโดยพวกผมคนหนึ่งแล้วเกิดดังเปรี้ยงขึ้นมาต่างหาก ความสัมพันธ์ของพวกเราเป็นแบบพึ่งพาอาศัยตั้งแต่แวมไพร์หลบหนีออกนอกเมืองแล้วต้องพึ่งพาสัตว์ต่างๆ ในอาณาเขตล่าของหมาป่า ในขณะเดียวกันเราก็สัญญาว่าจะช่วยหยุดยั้งยามพวกนั้นแปลงร่างในคืนพระจันทร์เต็มดวงเพื่อปกป้องมนุษย์ชาวบ้าน ส่วนความสัมพันธ์ของอลิซกับแฟนหนุ่มเริ่มขึ้นตอนเธอคิดจะไปเรียนวิทยาลัยภาคค่ำ พวกเขาพบกัน คบหากัน จนเวลาน่าจะผ่านไปราวๆ ยี่สิบกว่าปี แม้ร่างกายของเธอจะเหมือนถูกห่อหุ้มด้วยน้ำแข็ง แต่ใบหน้าคนรักของเธอกลับมีริ้วรอยเพิ่มขึ้นทุกวันจากการอยู่ใต้แสงตะวัน ผมพบพวกนั้นครั้งสุดท้ายก็ตอนต้นปีที่แวะเข้าเมืองหลวง เจิดจ้าและร่าเริงเหมือนอนาคตไม่มีวันมาแผ้วพาน
"ปีนี้เขาอายุเท่าไรนะ"
"สามสิบเจ็ด"
"ใครเป็นคนไม่เห็นด้วย"
"ฉันเอง"
ผมถามไปอย่างนั้นเอง แต่คำตอบกลับทำให้ตกใจของจริง อลิซดึงผ้าไปเช็ดปลายผมของตัวเองป้อยๆ
"ปิดบังว่าเป็นมนุษย์หมาป่ามันง่ายกว่าเป็นแวมไพร์ ถ้าเราแต่งงานกันให้โลกรับรู้ มีชีวิตคู่ที่ปกติในสายตามนุษย์ในที่ทำงานของเขา อย่างมากก็อยู่ได้ไม่เกินห้าหกปี และในอีกสิบหรือยี่สิบปีจากนี้ ฉันคงไม่อาจเป็นแฟนที่หน้าตาเด็กเกินวัยของเล็กซ์ได้อีก ทำไมฉันเพิ่งคิดได้กันนะ"
เรื่องนั้นเธอควรคิดเป็นอย่างแรกไม่ใช่หรือไง
"เขาบอกว่ามีชีวิตคู่ธรรมดาแบบที่ใครๆ ก็มีกันแค่ครู่เดียว ยังไงก็ดีกว่าชีวิตที่ต้องหลบซ่อนอย่างโดดเดี่ยวไปตลอด ทั้งที่เขาเป็นคนเสนอว่าจะลาออกจากงานแล้วพาเราไปอยู่นอกเมืองแท้ๆ เนี่ยนะ"
เป็นพวกโรแมนติกน่าดู อายุอานามก็ไม่น้อยแล้วแท้ๆ
"ชีวิตธรรมดางั้นเหรอ ทำไมต้องมีชีวิตธรรมดาเหมือนมนุษย์พวกนั้นด้วยในเมื่อเราแตกต่าง เป็นเพราะเขามีโอกาสได้อยู่ในสังคมกับคนทั่วไปมากกว่าฉันหรือเปล่า วิถีชีวิตที่เป็นที่ยอมรับแต่ไม่เข้ากับเราจะไปดีได้ยังไง ชุดเจ้าสาว ชุดแต่งงาน ทะเบียนสมรสที่ต้องวานให้คนอื่นปลอมเอกสารราชการของตัวเองให้ ฉันไม่อยากได้เลย"
ก็นั่นน่ะสิ แล้วชีวิตแบบไหนที่เธออยากได้กันนะ
ผมถือร่มแล้วจูงมืออลิซเดินกลับบ้านตอนเที่ยงคืน เค.เป็นคนเอ่ยปากโดยไม่ต้องร้องขอเช่นเคย ผมจึงได้เลิกงานก่อนเวลาไปกว่าครึ่ง อลิซติดนิสัยเดินแกว่งแขนแม้แต่ข้างที่จับมือคนอื่นอยู่ แต่วันนี้ผมจะยกผลประโยชน์ให้เธอสักครั้ง มันทำให้ผมหวนนึกถึงตอนเจอเธอครั้งแรก เด็กสาวตัวชุ่มโชกไปด้วยเลือดเพราะเพิ่งล่าครั้งแรก ตระหนกตกใจเพราะไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร เธอควรจะตายไปแล้วตอนโดนปีศาจทำร้าย ไม่ใช่เป็นฝ่ายมาฆ่าคนอื่นเช่นนี้ คืนนั้นผมพาคนเจ็บไปทิ้งไว้หน้าโรงพยาบาล จากนั้นก็พาเธอเดินกลับบ้านคล้ายๆ กับวันนี้ เนื่องจากแวมไพร์กำเนิดใหม่ในวัยยังไม่บรรลุนิติภาวะต้องมีผู้ปกครอง เธอจึงได้อยู่กับผมช่วงหนึ่งก่อนจะเปลี่ยนบ้านอุปถัมภ์ไปเรื่อยๆ ตามกฎ เราส่งโปสการ์ดหากันบ้างเพื่อติดตามแหล่งที่อยู่ปัจจุบันของแต่ละคน แต่ตลอดสองทศวรรษมานี้ เธอมาหาผมบ่อยขึ้นในสภาพเช่นนี้
"สวัสดี เลโอนาร์โด" อลิซทักทายเต่าที่คลานต้วมเตี้ยมมาหาราวกับว่าจำเธอได้ ผมไม่เคยเฉลยให้เธอฟังแม้ถูกรบเร้า ว่าตกลงแล้วคนดังที่ผมตั้งชื่ิอเต่าตามคือดิคาร์ปริโอหรือว่าดา วินชี
"นี่พี่เก็บแมวจรมาเลี้ยงอีกแล้วเหรอ" เธอถามเมื่อแมวสีขาวตัวอ้วนมาพันแข้งพันขา "ชื่ออะไรล่ะ"
"ไม่มีชื่อหรอก"
"อ๋อ ลืมไป"
ชุดนอนของผมหลวมโคร่งเมื่อเธอเป็นคนสวมใส่ เรานั่งดื่มเลือดสังเคราะห์จากถุงด้วยกันหน้าทีวี เจ้าแมวปีนมาคลอเคลียบนตักของผมผู้ไม่ได้ใช้เวลายามค่ำคืนกับมันบ่อยนัก
"ฉันปวดใจมากเลยตอนเห็นผมหงอกเส้นแรกของเขา" จู่ๆ อลิซก็เอ่ยขึ้นมา
"เธอรู้แต่แรกแล้ว"
"ก็จริง"
"แล้วทำไมยังอยู่"
"เพราะตอนนี้ดีกว่าไม่มีอะไรเลย"
ผมลุกขึ้นไปปูที่นอนให้เธอ แวมไพร์ไม่ต้องนอนในโลงเพื่อย้ำเตือนว่าตัวเองตายไปแล้วก็ได้ ขอแค่ปิดม่านให้สนิทและเปิดเครื่องปรับอากาศให้อุณหภูมิเหมาะสมก็พอ อลิซไม่ได้ร้องไห้แล้ว แต่ผมคิดว่าเธอคงนอนไม่หลับ ผมก็เหมือนกันเพราะว่าผิดเวลา ในความเงียบได้ยินเพียงเสียงเลโอนาร์โดคลานช้าๆ ไปทั่วห้อง
you can buy (donate) คุณแวมไพร์ a coffee anytime
on
(/คุณแวมไพร์ตอนนี้เหมือนพี่ชายเลยจริงๆ รับฟังน้องอลิซ พาจูงมือกลับบ้าน น่ารัก;-; ตอนอลิซนั่ฃในลังนึกภาพตามแล้วน่าเอ็นดูสุดๆไปเลยค่ะ)