อาจฟังดูเพ้อเจ้อ แต่ครั้งหนึ่งผมเคยถูกชวนเข้าวงบอยแบนด์
สักปีหนึ่งในทศวรรษเก้าศูนย์ ผมนั่งดีดกีตาร์อยู่ที่บาร์เล็กๆ ซึ่งอยู่ในตรอกขนาดเล็กแสนลึกลับอีกที เจ้าของร้านเป็นแวมไพร์รุ่นดึกดำบรรพ์ที่เพิ่งฟื้นขึ้นมาหลังจากการหลับยาวหนึ่งศตวรรษ เราเคยอยู่ร่วมแฟลตเดียวกันในลอนดอน คล้ายๆ โฮล์มส์กับวัตสันที่ช่วงนั้นดังเป็นพลุแตก เพียงแต่ว่าไม่สนิทชิดเชื้อถึงขนาดวิ่งตามกันไปทุกแห่งหน เขาเป็นนักเขียน และใช่ เขาค่อนชิงชังไส้อาเธอร์ โคแนน ดอยล์ที่ช่วงชิงแสงไฟในหน้านิตยสารรายเดือนไป หารู้ไม่ว่าวงการวรรณกรรมในขณะนั้นดุเดือดเลือดพล่านจนสุดท้ายชื่อของเขาต้องพลัดหายไปในนามานุกรมนักประพันธ์นามอุโฆษ เพราะคับแค้นใจจนเผลอไปเผาร้านหนังสือด้วยอารมณ์ชั่ววูบ เขาจึงต้องหลบลี้และหลับหนีเรื่องยุ่งยากที่ตามมาเป็นกระบุง กระทั่งกาลเวลาหนึ่งชั่วรุ่นผ่านไปถึงได้ตื่นมาหาอะไรทำแก้เบื่อในอีกซีกโลก พอรู้จากแวมไพร์ปากโป้งสักคนว่าผมอยู่เมืองเดียวกัน เขาเลยชักชวนให้มาแชร์ห้องบนชั้นสองของบาร์ ตอนกลางวันเขาเขียนหนังสือ ส่วนตอนกลางคืนก็ชงเหล้า
และก็เป็นที่แห่งนั้นเองที่โปรดิวเซอร์คนหนึ่งเดินตรงมาหาหลังจากผมเล่น tears in heaven จบ ผมยังจำได้ดีเพราะเพลงดังกล่าวเป็นเพลงโปรดของพวกเราชาวแวมไพร์ในตอนนั้นมาก แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ยังห่างไกลจากดนตรีที่โปรดิวเซอร์คนนั้นต้องการทำอยู่ดี เขาไล่ชื่อศิลปินในสังกัดให้ฟัง อธิบายแนวคิดและจุดขายของวงใหม่ที่กำลังเฟ้นหาสมาชิก รวมถึงวาดภาพอนาคตว่าวงที่มีเพลงป็อปติดหู ท่าเต้นโดดเด่น และศิลปินหน้าตาดีมีเสน่ห์จะดังเป็นพลุแตกแค่ไหน เนื่องจากตอนนี้เขาคิดจะทำวงที่นักร้องเล่นเครื่องดนตรีต่างๆ เอง เขาจึงมาสะดุดกับผมผู้เล่นกีตาร์และหน้าตาพอไปวัดไปวาได้พอดี
"ตกลงว่าไม่ใช่วงดนตรีที่มีนักร้องนำเหรอครับ" ผมถามหลังจากฟังเขาอยู่ฝ่ายเดียว
"โนๆ ไม่ใช่ แต่เป็นวงบอยแบนด์ที่ทุกคนเล่นดนตรีได้ ร้องได้ แล้วก็เต้นได้ด้วย" เขาตอบ
"ฟังดูน่าเหนื่อยแฮะ" ผมว่า
"อย่าคิดอย่างนั้นซี ได้แสดงความสามารถตั้งหลายอย่าง พอดังแล้วก็มีแฟนๆ ตามสนับสนุน ไม่นับการเดินสายทัวร์คอนเสิร์ตหรือออกรายการโทรทัศน์ด้วย ทั้งเงินทั้งชื่อเสียงน่ะคุ้มค่าเหนื่อยแน่ๆ"
ผมอธิบายไปว่าตัวเองไม่สามารถทำงานประเภทเปิดเผยหน้าตาให้คนทั้งประเทศดูได้ หนำซ้ำยังเคลื่อนไหวในเวลากลางวันได้ไม่สะดวกอีก พอได้ยินดังนี้ โปรดิวเซอร์จึงคิดว่าผมหนีหนี้นอกระบบหรือมีประวัติไม่ขาวสะอาดขึ้นมา เขาเอาแต่บ่นว่าเสียดายและพยายามซักไซ้ว่าปัญหาของผมร้ายแรงถึงเพียงไหนกันหนอ บางทีทางค่ายอาจช่วยเหลือหรือไกล่เกลี่ยให้ได้ จนผมต้องหันไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าของร้านผ่านทางสายตา แวมไพร์รุ่นพี่ที่ได้ยินบทสนทนาของเราชัดแจ๋วมาตลอดจึงตะโกนมาจากหลังเคาน์เตอร์ว่า "ไม่ไหวหรอก หมอนี่มีปัญหารุงรังเลย" จนโปรดิวเซอร์รายนั้นต้องเอาผ้าเช็ดหน้ามาซับเหงื่อที่ผุดจากหน้าผาก
หลังจากคืนนั้นเขาก็ไปโดยไม่กลับมาเยือนบาร์ของเราอีก แน่นอนว่าข้างนอกนั่นยังมีมนุษย์ดีๆ ที่เจิดจ้าท่ามกลางแสงสว่างอยู่มากมายนัก ไม่กี่เดือนต่อมา ตอนที่ผมกับเจ้าของร้านนั่งเคี้ยวถั่วแระแกล้มเบียร์หลังปิดร้านกันอยู่นั้น สายตาเราก็พลันไปเห็นรายการเพลงยามดึกฉายมิวสิกวิดีโอบอยแบนด์ที่ร้องเต้นเล่นดนตรีกันอย่างจัดเต็ม พวกเขาได้รับการแนะนำว่าเป็นศิลปินหน้าใหม่มาแรงของค่ายเพลงที่ผมจำได้ทันทีจากนามบัตรของโปรดิวเซอร์คนนั้น มือกีตาร์ของวงมีผมดำหนาและดวงตาสีน้ำตาลอบอุ่น ร่างสูงชะลูดสวมแจ็กเก็ตยีนส์ทับเสื้อยืดสีขาว อีกทั้งมีรอยยิ้มพิมพ์ใจเหมือนไม่เคยโกรธใครมาทั้งชีวิต ผมเข้าใจทันทีว่าพวกเขามองหาคนแบบไหนอยู่
"เสียใจหรือเปล่า" รุ่นพี่ถาม
"เปล่า แค่รู้สึกแปลกๆ" ผมตอบตามความจริง "แล้วก็สงสัยว่าถ้าลองตามน้ำไปจะเป็นยังไงเฉยๆ"
"สายงานแบบนี้มันยากหน่อย" เขาถอนใจออกมาพร้อมควันบุหรี่ "คนเขียนหนังสืออย่างฉัน ต่อให้ดังระเบิดก็ยังเก็บตัวในบ้านตลอดเวลาแล้วอ้างว่าเป็นคนลึกลับได้ อย่างร้ายหน่อยก็โดนหาว่าพิลึกหรือดัดจริต แต่ไอ้นักร้งนักร้องนี่ดันต้องอวดหน้าตลอดเวลา"
"จริงๆ จะเข้าวงการแล้วแกล้งตายไปสักร้อยสองร้อยปีก็ได้ครับ แต่ว่า..."
"แล้วโผล่มาใหม่ในฐานะคนหน้าเหมือนน่ะเหรอ ตลกว่ะ"
ตอนนั้นผมมองควันที่เขาพ่นปุ๋ยๆ จนลอยอวลในอากาศ ทำนองเพลงบอยแบนด์นั่นก็ติดหูอยู่เหมือนกัน
"ว่าแต่นายน่ะ" แวมไพร์ที่แก่กว่าผมหลายร้อยปีเอ่ย "มีความฝันอะไรบ้างหรือเปล่าเถอะ"
ความฝัน ของพรรค์นั้นน่ะเหรอ
ผมไม่ได้ตอบคำถามเขา แต่อยู่ดีๆ คืนนั้นเราก็ดื่มเบียร์ยกลังจนถึงรุ่งสาง ข้อเสียของการเป็นอมตะเพราะตายไปแล้วคือกินเหล้าเท่าไรก็ไม่ยักเมา ห่วยแตกสิ้นดี
ผมนึกถึงเรื่องบอยแบนด์และบาร์แห่งนั้นขึ้นมาเพราะว่าได้พบกับรุ่นพี่อีกครั้งในร้านกาแฟ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความบังเอิญหรือว่ามีใครปากโป้งเหมือนเมื่อยี่สิบปีก่อน หลังจากผมย้ายออกมาเพราะเขาดันได้รับรางวัลนักเขียนหน้าใหม่และตัดสินใจจะหนีไปนอนอีกร้อยปี เราก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย และเพราะผมไม่ได้สุงสิงกับประชาคมแวมไพร์เท่าใดนัก จึงไม่รู้เลยว่าเขาฟื้นขึ้นมาก่อนกำหนดหรือไม่ได้หลับยาวอย่างที่ตั้งใจไว้กันแน่ แต่อย่างไรเสีย เขาก็มาปรากฏกายตรงหน้าผมด้วยมาดอาจารย์ผู้คงแก่เรียน มีหนวดและผมยาวประบ่าสีดอกเลา (เขาเป็นชายวัยกลางคน ของพวกนั้นมีไว้ปลอมตัวตบตาไม่ก็แก้เบื่อเท่านั้น) พร้อมสั่งอเมริกาโน่ร้อนหนึ่งแก้ว
"ยังชอบทำงานเหมือนเดิมเลยนะ" เขาว่า ยิ้มแย้มแบบที่ผมจำไม่ได้แล้วว่าเคยเห็น
"ครับ แล้วลมอะไรหอบมาถึงนี่ล่ะ"
"แหม ก็ลมแห่งการจากลาน่ะสิ"
เงียบไปอึดใจหนึ่ง เราสองคนจ้องตากันแล้วขำ
"พูดจริงๆ นะเออ" เขาหัวเราะแห้งๆ ส่งท้าย "ฉันมาบอกลา คราวนี้ไปแล้วไปลับ"
"เพราะโลกนี้ไม่สนุกแล้วเหรอครับ"
"ไม่เกี่ยวกับสนุกหรือไม่สนุกหรอก ฉันพอแล้ว ไม่อยากหาอะไรมาใส่รายการสิ่งที่ต้องทำเพื่ออยู่ต่อไปอีก อันนี้ฉันไม่ได้ว่านายหรอกนะ อย่าเข้าใจผิด"
"ผมไม่ถือหรอก ผมก็ไม่ได้อยากอยู่เพราะอยากอยู่อะไร"
"นั่นแหละ ฉันเพิ่งเข้าใจที่นายไม่ได้ตอบฉันวันนั้น"
เขาเอื้อมมือมาบีบไหล่ผมเบาๆ เหมือนที่ชอบทำสมัยยังอยู่ด้วยกัน ผมรู้สึกถึงสายตาของเค.ที่รีบมองแล้วรีบหันกลับไปอ่านหนังสือต่อได้
"ว่าแต่ เพลงนี้มันเพลงอะไรน่ะ" รุ่นพี่หันกลับมาถาม
"ไม่รู้สิครับ เค. เพลงนี้เพลงอะไรเหรอ" ผมหันไปถามเด็กสาวอีกทอดหนึ่ง
"เพลงวง x ค่ะ กำลังดังเลย" เธอรีบตอบจนเสียงดังผิดปกติ
แวมไพร์รุ่นพี่ของผมหันมายิ้มแบบมีเลศนัยราวกับว่านั่นเป็นมุขตลกวงในระหว่างเราสองคน ซึ่งนั่นก็จริง พอเขาไม่อยู่แล้ว ความทรงจำที่ครั้งหนึ่งเคยมีแมวมองชักจูงผมเข้าวงการคงไร้ประจักษ์พยานไปในที่สุด ผมมองเข้าผลักประตูออกไปจากร้าน เดินตัวปลิวอย่างเริงร่าราวกับไม่มีภาระอันใดอีก เมื่อเขาลับตาไปแล้ว ผมถึงค่อยนึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังคงไม่มีคำตอบอะไรให้เขา แม้แต่คำบอกลาดีๆ สักคำยังนึกไม่ออก จะบอกว่า ขอให้สู่สุคติ ก็ฟังดูประหลาดอยู่ ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อแวมไพร์ตัดสินใจจะยุติการมีอยู่ของตัวเองแล้วจะเป็นอย่างไรต่อ เพราะว่าไม่มีใครเคยได้กลับมา มันเป็นความลับที่รู้กันเมื่อวัยหนึ่งเท่านั้น
พอกลับบ้านไปแล้ว ผมถึงลองเปิดเพลงวง x ฟังแล้วชวนแมวที่เลี้ยงไว้เต้นรำดู
you can buy (donate) คุณแวมไพร์ a coffee anytime
on
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in