เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
บันทึก once บวชMongkhon Khothong
life in วัด
  • ตอนที่ 4 life in วัด

       ทว่าชีวิตของผู้เขียนนั้นก็มีเรื่องการเปลี่ยนแปลงโยกย้ายที่อยู่มาบ้าง พอให้มีประสบการณ์ในการปรับตัวเข้ากับสถานที่ สภาพแวดล้อม ผู้คน กับสถานที่นั้น ๆ แต่ครั้งนี้ดูเหมือนจะผิดแปลกไปจากที่ผ่านมา โดยผ่านมามักจะเป็นการย้ายแค่สถานที่อยู่อาศัยแต่ไม่ได้เปลี่ยนสถานะ ย้ายแล้วแต่ก็ยังใช้ชีวิตตามปกติแค่แปลกที่แปลกทางนั่นเอง แต่ครั้งนี้เป็นการเปลี่ยนทั้งสถานะทั้งสถานที่ ก็เลยต้องปรับตัวกันเยอะเลยทีเดียวเชียว

       เช้าวันแรกของการมาใช้ชีวิตในวัดของผมนั้น นับว่าเป็นเช้าที่ผมตื่นมาใช้ชีวิตเร็วที่สุดในรอบหลายปี!! /เสียงนาฬิกาปลุกสุดหลอนของ iphone ดังขึ้นเวลา 03:50 น. “เชี่ยย กูต้องตื่นแล้วเหรอวะเนี่ย” ผมนึกในใจพร้อมกับคว้าหามือถือและไฟฉาย เพื่อเด้งตัวออกจากกุฏิไปจัดศาลาช่วยครูบาอารจารย์ ซึ่งการจัดศาลานี้คือจัดการปูเสื่อสำหรับญาติโยม ที่นั่งสำหรับฉันข้าว เตรียมบาตรเพื่อจะออกไปบิณฑบาตตอนเช้า

       สำหรับผมในขณะที่รับบทผ้าขาวนั้นก็มีชามสแตนเลสใบหนึ่งใช้แทนบาตร กาน้ำและแก้ว และผ้าขาวเพื่อปิดอาหารเมื่อตักอาหารเสร็จ ส่วนพระท่านจะมีบาตร ผ้ารองนั่ง ผ้าเช็ดปาก ผ้ารองตัก ผ้าเช็ดมือ กาน้ำ แก้วน้ำ ประมาณนี้ ใช้เวลาราว20นาที ก็เป็นอันเสร็จในการจัดศาลา พระก็ได้นัดแนะผมต่อในเวลาตีห้ายี่สิบให้ออกมากวาดลานวัดและออกตามไปบิณฑบาตต่อไป

       ส่วนช่วงเวลาว่างประมาณชั่วโมงนึงก่อนออกมากวาดลานวัดนั้นก็เป็นเวลาให้ทำกิจส่วนตัวมักจะเป็นการทำวัตรเช้า อาบน้ำแปรงฟัน ส่วนผมนั้น … นอนต่อ ง่วงไม่ไหว

       ช่วงเวลาเกือบหกโมงเช้าพระอาจารย์ก็เดินนำออกบิณฑบาต โดยระยะทางไปถึงหมู่บ้านประมาณเกือบสองกิโลเมตร ไปกลับก็เกือบสี่กิโลเมตร เช้านี้ผมรับหน้าที่แบกถังรอรับข้าวปลาอาหารจากพระที่จะคอยถ่ายออกเมื่อเต็มบาตร

       และอากาศช่วงเดือนกรกฎานั้น เป็นหน้าฝนไม่ร้อนไม่หนาว ในช่วงหกโมงเช้าแสงอรุณสีทองเริ่มก่อตัวขึ้นบนท้องฟ้า ต่อด้วยแดดอ่อน ๆ ประจบกับลมอ่อน ๆ พัดโชยกลิ่นหอมของใบข้าวของชาวบ้านที่กำลังโตมากระทบจมูกกับดวงตา เป็นบรรยากาศที่ดียิ่งนัก พลอยคำนึงถึงอดีตที่ผ่านมาตามประสาคนเคยพบประสบเจอบรรยากาศแบบนี้เป็นประจำ ทว่าบรรยากาศแบบนี้มันหายไปนานมาก หลังจากที่ผู้เขียนจบมัธยมปลายและย้ายไปเรียนมหาวิทยาลัยก็ไม่ได้เจออีกเลย

       แต่ผ่านจากบรรยากาศนั้นไปประมาณสามนาที พี่น้องเอ๋ยย เจ็บเท้า!!! ถนนออกจากวัดเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กเรียบสนิทเดินไม่ลำบากมาก แต่พอออกมาเจอถนนลาดยางเท่านั้นแหละ คุณพ่อคุณแม่เอ้ยยย เป็นลาดยางแบบตามชนบทที่มันไม่เสมอกัน จะมีแต่หินกรวดโผล่ ๆ ออกมา เอาเป็นว่าเป็นถนนลาดยางที่เก่าแล้ว คงนึกภาพกันออก

       มนุษย์อย่างเรา ๆ ที่เดินบ่อย ๆ เวลาทำงานเนี่ยยังต้องหารองเท้าที่มันนิ่ม ๆ สวมใส่เพื่อลดการเจ็บปวด แต่ครั้งนี้มันเป็นเท้าเปล่า!! เวลาเดินเนี่ยต้องเลือกที่เท้าจะลงด้วยนะ ถ้าไปลงถูกหินเยอะก็ไม่เจ็บมาก แต่ครั้งไหนพลาดลงไปโดนตัวที่มันโผล่มาก้อนเดียวนั่นโอ้ยยย นรกแท้ ๆ เช้าแรกนั้นท่าเดินผมก็เป็นเหมือนเวลาเราเขย่งหลบทางเดินที่มีน้ำ โดดไปโดดมา ใช้เวลาเดินไปกลับราว45นาที มาถึงวัดก็กลับมาล้างหน้าล้างตา รอให้ญาติโยมจัดพาข้าวอาหารเสร็จซักพักก็ค่อยไปรอที่นั่งที่จัดไว้ โดยผมจะไปก่อนพระท่านเสมอ

       พอมาถึงเวลาเจ็ดโมงเศษ เวลาของกินข้าวในสถานะใหม่ครั้งแรกเริ่มขึ้นแล้ว ที่นี่จะเป็นถาดเลื่อนมาทีละถาดให้เราตักเอาอาหาร ขนม ตามที่คิดว่าจะอิ่มพอดีและให้อยู่ได้อีก24ชั่วโมง (กินมื้อเดียว) โอโห if 1:23 จะเอาอะไรมาไม่ผอม! มาถึงผมก็ตักอย่างละนิดละหน่อยวันแรกยังประมาณไม่ถูก โดยเน้นไข่กับขนม555555

       ที่นี่จะใช้มือในการกินเท่านั้น เว้นแต่จะมีของหวานที่มีน้ำอนุโลมให้ได้ ผมก็เลยเลือกเป็นข้าวเหนียวซะส่วนใหญ่ ในช่วงแรกนั้นมีทั้งตักมาเยอะเกินกินไม่หมด ตักน้อยก็ไม่อิ่ม ส่วนมากตักเกินไว้ก่อน ฮ่า ๆ ๆ การใช้มือสำหรับผมนั้นไม่ค่อยมีปัญหามากนัก สบายเลยแหละ ถ้าไม่กินข้าวสวยแล้วก็ตามด้วยของหวาน ผลไม้ แล้วแต่จะบิณฑบาตได้ในแต่ละวัน แต่บางวัดก็มีเป็นโรงครัวที่จ้างแม่ครัวไปทำถวายพระอันนั้นก็สะดวกหน่อย

       เสร็จจากการกินแล้วก็เก็บของที่ใช้ไว้ที่เดิม นำชาม แก้วไปล้าง ที่โรงน้ำร้อนเช็ดให้แห้งสนิทค่อยจัดเก็บเช้าที่ ต่อด้วยปัดกวาดเช็ดถูศาลาที่ใช้ในการถวายภัตตาหารช่วงเช้าเสร็จ เวลาก็ล่วงเลยมาจนเข็มสั้นของนาฬิกาเคลื่อนตัวไปตรงกับเลขเก้าเสียแล้ว ก็เป็นเวลาสำหรับกินกาแฟของที่นี่และได้นัดแนะกันว่ามีงานอะไรที่ต้องทำต้องช่วย อะไรก็ว่าไป เสร็จก็แยกย้ายกันกลับกุฏิไปทำกิจส่วนตัว และจะมาที่โรงน้ำร้อนอีกก็ประมาณบ่ายสองโมงเป็นเวลาน้ำปานะ

       ในช่วงกลางวันของผมนั้นก็เป็นการซ้อมท่องขานนาคบ้าง อ่านหนังสือที่หยิบมาจากบ้านบ้าง วันไหนเหนื่อยก็ไปหาแอบนอนหลับแถบหน้าวัดนู้นนน ไกลสายตาหน่อย ฮ่า ๆ ๆ หลัง ๆ มาค่อยได้หัดนั่งสมาธิ เดินจงกรม เล็ก ๆ น้อย ๆ ในช่วงกลางวัน

       เวลาที่นี่ผ่านไปเร็วมาก ๆ ตื่นนอน จัดศาลา ตามพระบิณฑบาต กินข้าว เก้าโมงกว่าแยกย้าย บ่ายสองกินน้ำปานะ บ่ายสามกวาดลานวัด หกโมงไปจัดศาลาสวดมนต์เย็น สองทุ่มแยกกลับกุฏิเดินจงกรม ทำสมาธิ เข้านอน ชีวิตในช่วงสองสัปดาห์แรกที่เป็นผ้าขาวของผมก็วนอยู่แบบนี้บางวันมีพระจากที่อื่นมาเยี่ยมพระอาจารย์บ้าง ก็ได้นั่งฟังเทศน์อบรมกันไป

       จนถึงวันที่จะบวชเป็นพระ

       ป.ล.ต้องหัดงดฟังเพลงดูหนังด้วยนะ

    #บันทึกonceบวช 

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in