เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
บันทึก once บวชMongkhon Khothong
วัดป่ากับผ้าขาว
  • ตอนที่ 3 วัดป่ากับผ้าขาว

    (1)“วัดป่าเนี่ยมันเป็นยังไงกันนะ” “จะมีผีไหมวะ” “ยุงเยอะป่าว”
    เสียงคำถามเกิดขึ้นภายในใจของผมระหว่างนั่งรถมาจากตัวเมืองของจังหวัดอุบลราชธานีมาตลอดระยะทางเกือบ100กิโลเมตร โดยมีพ่อและพี่ชายมาส่งถึงที่เลยทีเดียวเชียว

    และในช่วงบ่ายของวันที่ 5 กรกฎาคมที่ผ่านมานี้เอง ในที่สุดก็มาถึงซักที
    ที่นี่สินะ … ปตท. เฮ้อออออ ว่าแล้วก็ลงไปหาไรกินซักหน่อยละกันหิวพอดี

    … ถึงวัดสิโว้ยยย

    นั่นแหละครับ รู้สึกตัวอีกทีผมก็ลงไปเปิดประตูเหล็กเลื่อนหน้าวัดเพื่อที่จะเข้าไปสู่บริเวณที่ผมจะอยู่อาศัยในช่วงเกือบสี่เดือนนี้

    ก่อนอื่นต้องพาทุกท่านร่วมกันจินตนาการทัศนียภาพของวัดกันก่อน วัดป่าแห่งนี้ตั้งอยู่อำเภอนึงในจังหวัดอุบลราชธานี ห่างจากตัวอำเภอประมาณ 5 กิโลก็ว่าได้ หมู่บ้านที่ใกล้ที่สุดห่างออกไปประมาณ 1.5 กิโลเมตร ตัววัดตั้งอยู่ท่ามกลางทุ่งนาของชาวบ้านระแวกนี้

    เข้าภายในวัดจะค่อนข้างร่มรื่น มีสระน้ำใหญ่พอสมควร อาคารสถานที่จะประกอบไปด้วย (๑)ศาลาไม้หลังใหญ่หรือวิหารหรืออุโบสถ 1 หลัง (ใช้ที่เดียวกันไม่ได้แยกเหมือนวัดทั่วไป) ด้านหลังศาลาจะเป็นป่าไม้ร่มรื่น ๆ ส่วนข้างศาลาจะเป็น (๒)โรงน้ำร้อน(ที่ฉันน้ำปานะ,ล้างบาตรเวลาฉันเสร็จ เป็นต้น) (๓)กุฏิพระปลีกแยกตั้งกันในป่าหลังศาลาบ้าง ข้างศาลาบ้าง (๔)ต้นไม้ ต้นไม้ ต้นไม้ ต้นไม้ ต้นไม้ นั่นแหละฮะ วัดป่าก็เลยต้องเขียนต้นไม้มาเยอะหน่อย เอาล่ะหลัก ๆ ก็ประมาณนี้ วัดเพิ่งตั้งมาสิบปีเศษต้นไม้ยังไม่โตมาก แต่ก็ถือว่าเขียวร่วมรื่นดี

    พอถึงแล้วตรงกับเวลาที่พระท่านกำลังรวมฉันน้ำปานะที่(๒)โรงน้ำร้อนกันอยู่พอดี ก็ได้
    ลงไปกราบพระอาจารย์ พระลูกวัดแถบนี้จะเรียกว่าครูบา โดยมี(ครูบาตั๋ม)พระเพื่อนพี่ชายผมมาต้อนรับ(ใช้ต้อนรับได้มั้ยวะ) เออ welcome ก็ได้ ประมาณนั้น ได้ทักทายถามสารทุกข์สุขดิบ พระอาจารย์แนะนำกุฎิห้องน้ำต่าง ๆ กับผมแล้ว คำที่ touch ใจผมมากก็คือ “กุฏิที่นี่ไม่มีไฟฟ้าใช้นะ”
    นี่แหละ เป็นไงงงง มันต้องไปลำบ้ากกกกก ที่เคยเขียนไว้ก่อนหน้าลำบากจริง ๆ วัดป่าก็งี้แหละอยู่ง่าย ๆ กินง่าย ๆ

    แล้วท่านก็ได้ให้ผมอยู่ที่กุฏิเล็กข้างศาลา เผื่อมีเหตุการณ์ไม่ปกติจะได้รีบวิ่งไปเคาะระฆังได้ไว ไม่ใช่โว้ยยย ที่จริงคือเหลือกุฏิเดียว555555 เล็กแค่ไหนน่ะเหรอ ก็ภายในกุฏิกว้างประมาณ 1.5 เมตรยาวประมาณ 2.5 เมตร สูงราว 2.3 เมตร ก็คือปูเสื่อเข้าไปปุ๊บเต็มปั๊บเลย ก็จัดแจงของกันเสร็จทุกสิ่งอย่างเรียบร้อยแล้ว

    (2)ก็มาถึงเวลาอันสำคัญคือโกนผม “เข้านาค” คืออะไร
    การเข้านาคถ้าตามความเชื่อก็ว่านาคไปขอบวชกับพระพุทธเจ้าแล้วไม่ได้บวช จึงขอว่าถ้าใครจะบวชให้บวชนาคก่อน แต่อีกความหมายนึง นาค(นาคะ) แปลว่าผู้ประเสริฐ คือทำตัวทำใจให้บริสุทธิ์พร้อมจะบวชแล้ว อะไรประมาณนี้

    แต่ความจริงที่มีเหตุมีผลแล้วนั้นคือ การที่คนคนนึงจะเข้ามาบวช ที่นี่ก็ถือเป็นกฎว่าต้องมาอยู่วัดนุ่งขาว ห่มขาว ปลงผม โกนคิ้ว ถือศีล10 เพื่อศึกษานิสัยใจคอกันก่อน ศึกษาข้อวัตรปฏิบัติของวัด เมื่อเห็นสมควรแล้วจึงจะให้บวช เพราะหากไม่สมควรบวชไปก็ทำผิดหลักผิดศีลเสียเปล่า และก็ซ้อมท่องคำขอบวชเป็นภาษามคธ(ภาษาพระพุทธเจ้า) ให้ท่องได้เองอักขระถูกต้อง

    อีกประการคือให้คนที่จะมาบวชลดอัตตาของตนลงก่อนจะบวช จากที่เคยกินสามมื้อต่อวันก็มาฝึกกินวันละมื้อแบบพระ ตื่นพร้อมพระมาช่วยจัดศาลา อาสนะ(ที่นั่ง) สวดมนต์ เดินจงกรม กวาดลานวัดทำความสะอาด ออกเดินตามพระไปบิณฑบาต กลับมาช่วยจัดสำรับบ้าง

    แล้วก็กินเวลาเดียวกับพระ จากที่เราเคยเห็นตามวัดต่าง ๆ คือพระท่านจะนั่งฉันตรงพื้นยกระดับจากศาลา ส่วนผมตอนเป็นผ้าข้าวก็นั่งข้างล่างถัดจากพระรูปสุดท้าย โดยมีอุปกรณ์ที่ใช้แบบพระเลยคือ กาน้ำ แก้วน้ำ กระโถน คือเหมือนพระท่านทุกอย่างเพียงแต่ใช้ชามแทนบาตร เอาง่าย ๆ ก็คือซ้อมหรือฝึกให้มีนิสัยเป็นพระก่อนจะบวชจริง นี่แหละครับการเป็นผ้าขาวที่วัดป่าท่านเรียกกัน

    หลังจากที่ผมได้ปลงผม โกนคิ้ว นุ่งชุดขาวเสร็จเรียบแล้ว พี่ชายและพ่อก็ได้บอกลากลับบ้าน ผมก็ได้กราบลาพ่อให้ท่านสบายใจด้วยคำว่า “สบายยยยยย” ฮ่า ๆ ๆ ๆ แล้วก็ได้กลับกันไปในช่วงเวลาประมาณห้าโมงเย็น

    ผมก็นั่งเขี่ยมือถือแก้เหงาตามประสาคนเพิ่งลาจากโลกที่วุ่นวายจนผ่านมาถึงช่วงเวลาพระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า ท้องฟ้ากำลังเปลี่ยนสี ได้นั่งดูแบบไม่มีสายไฟติดเฟรม นั่งดูประกอบเสียงสัตว์เล็กสัตว์น้อย ไม่มีเสียงรถกวนใจ เป็นอะไรที่สุขไม่น้อยจนอยากหยุดเวลานั้นไว้

    แล้วพระอาทิตย์ก็ลับขอบฟ้า ทุกอย่างกลายเป็นมืดสนิท “เฮ้ยยยย ถึงเวลาไปทำวัตรเย็นแล้ว” โดยเป็นการสวดมนต์ นั่งสมาธิ ฟังเทศน์ ผมมารู้ตัวเองในคืนนั้นว่านั่งท่าเทพบุตรแล้วปวดนิ้วมากกกก น่าจะเป็นเพราะอาการที่เคยเจ็บจากการวิ่งมาและไม่ได้ไปหาหมอ นั่งเกร็งไปตลอดช่วงสวดสนต์ เมื่อเสร็จแล้วก็แยกย้ายกันกลับกุฏิ ในคืนแรกมีครูบาตั๋มที่เดินมาส่ง บอกเวลานอนเวลาตื่น และสุดท้ายได้ให้เบอร์โทรกับผมไว้เผื่อมีอะไรฉุกเฉินจะได้โทรไปหาได้ทันที ผมคิดในใจ “อ่าว เอาแล้วหล้าววววว” “มันยังไงกัน” ตาย ๆๆๆๆ

    ในช่วงกลางคืนพระที่นี่ท่านจะบำเพ็ญภาวนา จุดเทียนเดินจงกรมกันถึงดึก ในคืนนั้นผมก็ออกมาส่องดูและตัดสินใจว่าจะเดินมั้ย แต่ ๆ ๆ ด้วยความกลัวที่มีในใจ ยิ่งชอบฟังรายการเล่าเรื่องผีอยู่ด้วย

    จิตใจตอนนั้นต่างกับช่วงนั่งดูพระอาทิตย์ตกยิ่งนัก ฮ่า ๆ ๆ ตัดสินใจได้ผมขึ้นกุฏิปลดมุ้งลงนอนไถมือถือเล่นรอเวลานอน โดยเปิดหน้าต่างไว้ตอนแรกนอนไปดูหน้าต่างไป “เอ๋…มีอะไรมาส่องมั้ยน้า” พร้อมกับเสียงคล้ายกับเสียงคนเดินมากกกก เกิดความกลัวสุดขีด เลยพูดในใจ ”เอาวะ ปิดหน้าต่างเลยร้อนก็ดีกว่าผี” นั่นแหละฮะ ปิดหน้าต่างนอน!!

    คืนนั้นสรุปนอนเหงื่อแตกผีไม่เจอ มาถึงช่วงเช้ามารู้ว่าเสียงนั้นคือใบไม้หล่นตกลงสู่พื้น
    นึกในใจ โถ่เอ้ยยยยย กลัวผีใบไม้ …คนเราเนี่ยน้าา


    ช่วงนี้ภารกิจเยอะ ขอบคุณที่อ่านจบฮะ
    ไว้จะรีบมาต่อ
    #บันทึกonceบวช

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in