เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
[SR] ทริปโกงความตาย ไปมาเลย์ราคา 0 บาทgeekjuggler
007: กลับบ้านเราเถอะ
  • ทุกอย่างดูผ่านไปเร็วจนแทบจะจำอะไรไม่ได้เป็นชิ้นเป็นอันหลังจากลงมาจาก Penang Hill
    นั่งรถบัสกลับเมือง - ไปดูวัด - ไปดูตึก - ไปดูท่าเรือ - เดินหลงทาง - เดินผ่านโบสถ์ - นั่งชิลรับลมทะเล - หาข้าวเย็นกิน - สั่งก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาตามโต๊ะข้างๆ - เดิน Komtar - กินชาเย็น - เดินผ่านเจ๊สะพายกระเป๋าที่ยืนรอลูกค้า - กลับที่พัก - อาบน้ำ - นอน

    สิ่งที่เดียวที่แจ่มชัดในความทรงจำคือ ภาพ Street Art ทั่วเมือง ผลงานจากศิลปินที่นำรายได้จากโปสการ์ดและสินค้าอื่นๆ ที่มีภาพเหล่านี้ กลับมาบำรุงตัวเมืองปีนัง ที่เคยเห็นในเว็บไซต์เมืองนอก ที่ใฝ่ฝันว่าสักวันจะได้มาเห็นของจริง
    และพอมาเห็นเราก็ประทับใจ และ ก็ผ่านมันไป

    ท่าทางอาการคิดถึงบ้านจะกำเริบเบาๆ ข้างใน


    หลังจากยัดห่าอาหารเช้าฟรีของเกสต์เฮ้าส์ และ ยืนสนทนางงๆ กับคนเผยแพร่ศาสนาคริสต์ที่โผล่มาเห็นหน้ากันที่ประตูหลังบ้าน ก็ถึงเวลาแพ็คกระเป๋ากลับบ้านเกิดเมืองนอนแล้ว

    นั่งรถเมล์เพื่อไปยัง Jetty หรือท่าเรือ เป้าหมายของเราคือการนั่งเรือจากปีนังข้ามกลับไปยังบัตเตอร์เวิร์ธ เพื่อขึ้นรถไฟตู้นอน ยิงยาวกลับไปโผล่ที่หัวลำโพง

    ทางเดินจากท่าเรือไปยังที่ขึ้นเรือค่อนข้างไกล กั้นแบ่งสองฝั่งขาเข้าและขาออกด้วยราวเหล็กยาวตลอดทาง ความตลกคือ ถ้านั่งมาฝั่งปีนังต้องจ่ายเงิน แต่ถ้านั่งข้ามไปอีกฝั่งจะนั่งฟรี เรือที่ใช้ข้ามฟากเป็นเรือเฟอร์รี่ลำใหญ่ นึกภาพง่ายๆ เหมือนเรือนั่งไปเกาะทั้งหลายของบ้านเรานั่นแหล่ะ

    คนหนาแน่นกว่าที่คิด มีทั้งนักท่องเที่ยวตาดำๆ ไปจนถึงครอบครัวพ่อแม่พี่น้องลุงป้าน้าอา และ รถยนต์สารพัดยี่ห้อ ช่วงเวลา 20 นาทีที่ต้องรอเฉยๆ ผมก็เดินไปเรื่อยๆ สำรวจชีวิตชาวบ้าน ถ่ายรูปเล่นบ้าง แต่นั่นแหล่ะ จิตใจดูไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไร ด้านนึงก็กลัววิตกเรื่องการเดินทางกลับ อีกด้านก็กลัวที่ต้องไปเผชิญโลกความจริงที่เมืองฟ้าอมร ประเทศไทยแลนด์ 
  • "แม่ง เมืองร้างป่าววะเนี่ย โคตร Silent Hill เลย"
    ความประทับใจแรกที่มีต่อสถานีบัตเตอร์เวิร์ธ

    หลังจากเรือเทียบท่า เราก็ต้องเดินต่อไปเรื่อยๆ ตามทางตึกโล่งๆ ไม่มีสัญญาณสิ่งมีชีวิตอะไรทั้งสิ้นยกเว้นผู้ร่วมทาง ผ่านชานชาลาที่กำลังทำอยู่ เศษไม้ เศษเหล็กระเกะระกะไปหมด (เดี๋ยวนะ กูจะรอดไหม) ผ่านอาคารที่มุงและตีผนังด้วยแผงสังกะสีน้ำเงินเข้มแผ่นมหึมา

    อ่อ เขากำลังปรับปรุงตัวสถานีอยู่ ... นี่กูไปที่ไหนก็ต้องมีแต่ปิดซ่อมสินะ

    แต่เรื่องเซอร์ไพรส์ที่สุดไม่ได้มีแค่นี้ครับ
    แถมไม่ได้มีแค่ 1 ครับ เพราะมันมาถึงสอง!

    อันแรก เวลาบนตั๋วที่ไทย มันไม่ตรงกับเวลาออกของที่นี่ครับ... (รักการรถไฟไทยจังเลย #1)
    ตอนซื้อพี่เจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้บอกอะไรสักคำเลยนะครับ ยังเคราะห์ดีที่ว่า เวลาบนตั๋วมันเร็วกว่าเวลารถออกจริง ไม่งั้น ตกรถไฟนี่ มี #ขำแห้ง แน่นอนครับ สรุปแล้ว ผมต้องรอราวๆ 2 ชั่วโมงกว่ารถไฟจะออก

    อันที่สอง ผมกะว่าจะมาหาของกินที่สถานีรถไฟ แต่ โรงอาหารมันไม่มีร้านไหนเปิดเลยครับ...
    แล้วคือถ้าต้องอดข้าวยาวถึงตอนเย็นนี่น่าจะมีตายก่อนแน่นอน เสบียงกรังตอนนั้นมีแค่ โอริโอ้หนึ่งหลอด กับ น้ำหนึ่งขวด
    วินาทีนั้น เรียกได้ว่า เตรียมซ้อมบำเพ็ญทุกรกริยาบนรถไฟข้ามประเทศไปแล้ว
    แต่ฟ้ายังคงมีตา หลังจากนั่งให้น้ำย่อยเขมือบกระเพาะไปได้ชั่วโมงกว่า ก็คิดได้ว่า เออ ทำไมเราไม่ลองเดินไปดูอีกทีวะ เลยตัดสินใจเดินตามป้าคนนึงไป ...

    เชี่ย... โรงอาหารมันย้ายไปอยู่ข้างหลังหว่ะครับ
    กูรอดตายแล้วววววววววว (มึงมันโง่เอง พีระ)

    และอาหารเพียงอย่างเดียวที่เขามีขายคือข้าวราดแกง อ่ะ ตอนนี้แมวผัดพริก ถ้ามีก็กินได้อ่ะ
    จบมื้อสุดท้ายในมาเลเซียไว้ที่ ข้าวกับน่องไก่ ที่ข้าวเยอะระดับเยอะมาก และ ชาเย็นที่หวานยิ่งกว่าเพลงรักของพี่บอยด์​ โกสิยพงศ์ สัก 1,000 เท่าได้ 

    ป่ะ อิ่มท้องแล้ว ถึงเวลาแล้ว
    พร้อมแล้ว ขึ้นรถไฟกัน
    บ๊าย บาย ปีนัง
  • นี่เป็นการนั่งรถไฟที่ไม่ชินที่สุดในชีวิต
    เพราะมันเงียบเกินไป และ สงบเกินไป

    ไม่มีคนเดินมาขายไก่ย่าง ไม่มีคนเมาโวยวาย ไม่มีเจ้าหน้าที่เดินไปเดินมา
    มีแต่เสียงรถไฟกระทบรางเบาๆ เป็นระยะๆ
    เหมือนตัดตัวเองออกไปจากความวุ่นวายของโลกใบนี้

    และเหมือนกับตอนจบของหนังสือเล่มเดียวที่ผมพกติดตัวไปในทริปนี้... Into the wild
    ตอนท้ายของเรื่อง ชายหนุ่มผู้เป็นพระเอกก็ได้อยู่ในสิ่งที่ตัวเองฝันเอาไว้ คือ อยู่ตัวคนเดียว ไม่ต้องมีสังคม ไม่ต้องยุ่งกับใคร ใช้ชีวิตอย่างสันโดษไปจนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต
    ใช่ เขาได้ทำตามสิ่งที่ตามหามาตลอด แต่ เมื่อโมงยามของความตายมาถึง เขากลับระลึกได้ว่า
    "อยู่คนเดียวมันว่างเปล่าเกินไป"

    ผมพยักหน้ากับตัวเองเบาๆ
    จริงอยู่ การออกเดินทางแบ็คแพ็คตัวคนเดียว ใช้ชีวิตให้ประหยัดที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผจญภัยไปกับความอิสระเสรีในเมืองแปลกหน้า มันคือความฝันเล็กๆ ของผมที่สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยทริปนี้
    แต่ก็มีหลายครั้งหลายหน ที่มัน "ว่างเปล่า" อยู่ข้างในจิตใจ
    บางทีก็เหงา ไม่รู้จะคุยกับใคร เจอปัญหา ก็ไม่มีใครให้เราระบายใส่

    อีกอย่างคือ ทริปนี้ผม "ตึง" เกินไปจริงๆ นะ
    พอมีความงกเป็นตัวตั้ง ก็ทำให้พลาดอะไรไปหลายอย่าง ของกินที่น่าลองก็ไม่ได้ชิม หรือ ความยากลำบากบางอย่างที่พอใช้เงินช่วยแก้ไขได้ ก็ดันปล่อยผ่านไป
    สนุกมั้ย มันก็สนุกดีนะ แต่คงสนุกกว่านี้ได้อีก ถ้ายอมจ่ายเพื่อนซื้อประสบการณ์บ้าง

    ผมเข้าใจเสียยิ่งกว่าเข้าใจกับประโยคที่ Alexander Supertramp ชายหนุ่มในเรื่องเขียนเอาไว้ก่อนที่เขาจะลาจากโลกนี้ไป
    "Happiness is real when shared - ความสุขจะมีอยู่จริง เมื่อเราแบ่งปันมัน"



  • รถไฟเข้าจอดที่ชานชาลาปาดังเบซาร์เร็วกว่าเวลาที่กำหนดบนตั๋ว
    (เข้าใจว่ารถไฟเขาเป็นรางคู่มันเลยเร็ว) (รักการรถไฟไทยจังเลย #2)

    ภารกิจถัดไปของเราคือการขนสัมภาระทั้งหมดออกมาจากขบวน เพื่อผ่านด่าน ตม. เข้าประเทศไทย งวดนี้ไม่ลืมของแล้ว แบกกระเป๋าทั้งสามใบด้วยความทุลักทุเลประมาณนึง ไปต่อคิวทำเรื่องกลับเข้าสู่บ้านเกิดเมืองนอน

    เมื่อถึงเวลา ผู้โดยสารทุกคนก็ทยอยกลับขึ้นไปนั่งบนรถไฟขบวนเดิม ที่ถูกย้ายมาอยู่บนรางประเทศไทย ภายในทุกอย่างเหมือนเดิม เพียงแต่บุคลากรบนขบวนเปลี่ยนเป็นเจ้าหน้าที่คนไทย

    ครับ ภาพแรกที่เห็นคือพี่เจ้าหน้าที่เอาปลั๊กมาชาร์จมือถือในห้องพักผู้โดยสารหน้าตาเฉย (รักการรถไฟไทยจังเลย #3)
    รู้สึกอบอุ่นเหมือนบ้านขึ้นมาทันที

    ความรู้สึกถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่างของรถไฟไทยนี่ออริจินอล หาที่ไหนไม่ได้จริงๆ
    เพราะ สัมผัสได้เลยว่าความเร็วตอนที่อยู่ในมาเลย์​กับตอนที่อยู่ในไทยต่างกันอยู่ประมาณนึง
    เอาวะ Slow Life Thai Train กันไป

    ถึงจะเคยบ่นเรื่องความวุ่นวายของคนแบกของขึ้นลงขายของบนรถไฟไทยมากขนาดไหน
    แต่ก็ต้องขอบคุณป้าขายไก่ย่างแถวหาดใหญ่ ที่แบกไก่มาให้กินถึงที่ โดยไม่ต้องให้ผมลำบากกระเดือกอาหารแพงแสนแพงที่รังสรรค์ส่งมาจากตู้เสบียง
    ไก่กากๆ แห้งๆ ข้าวเหนียวแข็งๆ แต่ราคาพอรับได้ ก็โอเควะ

    หลังจากมื้อเย็น ผมเรียกเจ้าหน้าที่มากางเตียง ปิดม่าน นอนคิดอะไรเรื่อยเปื่อย
    ทริป 0 บาท (อยู่ในงบที่เขาให้มาสำหรับการเดินทางแบบพอดีเป๊ะ) นี้ผ่านไปเร็วกว่าที่คิด
    ไม่น่าเชื่อว่า เด็กเนิร์ดๆ คนนึงจะรอดจากสารพัดเหตุการณ์เร้าใจหลากหลายสไตล์นี้มาได้
    พริบตาเดียว ทุกอย่างก็จบลงแล้ว ถามว่าคิดถึงมาเลย์มั้ย ถ้ามีโอกาสก็อยากกลับไปอีกครั้งเหมือนกันนะ

    แต่คงไปในสภาพที่ดีว่านี้แน่นอน...

    เผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ตัว ตื่นมาอีกทีพร้อมแสงแดดแยงตา
    ล้างหน้าแปรงฟัน ชมวิวสองข้างทางไปเรื่อยๆ แม่ค้าสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันขึ้นมาขายของเป็นระยะๆ ผมสั่งเส้นเล็กแห้งในกล่องโฟมมาเป็นอาหารเช้า ระหว่างที่กำลังเปิดกล่องเพื่อจะลงมือกิน ก็เหลือบไปเห็นพี่ฝั่งตรงกันข้าม กำลังจัดแจงเส้นเล็กแห้งแบบเดียวกันบนเบาะรถไฟ ขยับม่านเล็กน้อยให้แสงตกกระทบลงมาจับเงาวิบวับ เก้ๆ กังๆ บรรจงถ่ายรูปเบรคฟาสต์สองกล่องอย่างบรรจงมือ

    ผมคีบเส้นเล็กเข้าปาก พลางดูการประกอบพิธีกรรมบูชาอาหารเช้าให้คนบนฟีดส์เฟซบุ๊ก
    นี่แหล่ะ ถึงบ้านเราแล้ว
    ผมบอกกับตัวเองในใจ

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in