เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
[SR] ทริปโกงความตาย ไปมาเลย์ราคา 0 บาทgeekjuggler
001: จะไปถึงไหม ไปถึงรึเปล่า จะทำได้ไหม ทำได้หรือเปล่า
  • เห็นจั่วหัวซะเหมือนกระทู้ท่องเที่ยวบนเว็บบอร์ดแห่งชาติขนาดนี้ แต่ขอบอกไว้ก่อนเลยนะครับ อยากให้ทุกคนเตรียมตัวเตรียมใจก่อนจะเลื่อนลงไปอ่านบรรทัดถัดไป

    เพราะ [SR] ในที่นี้ไม่ได้มาจาก Sponsor Review ที่อยู่ดีกินดีมีผู้สนับสนุนตั้งแต่ต้นจนจบ
    แต่ [SR] อันนี้ย่อมาจาก Shit happens Review" ครับ

    ไม่เคยนึกเคยฝันมาก่อนว่าการเดินทางออกนอกประเทศคนเดียวครั้งแรกในชีวิตจะสนุกสนานพาลชวนน้ำตาไหลได้ขนาดนี้ ความชิทหาย (ไม่อยากใช้ ฉิบหาย เพราะดูไม่สุภาพเท่าไร)​ พร้อมเพรียงเดินเรียงแถวมาเยี่ยมเยียนตั้งแต่ต้นยันจบทริป จนเรียกได้ว่า หลายช็อตที่รอดมาได้ คือการโกงความตายล้วนๆ

    คณะที่ผมเรียนจบมาจะมีวลีคลาสสิคยามเจอเรื่องแย่ๆ ตอนไปเที่ยวว่า "ซื้อเรื่องเล่า" เหมือนกับว่าอย่างน้อยก็เอาเรื่องที่เจอไปเล่าเป็นมุกตลกขำๆ ต่อไปได้เรื่อยๆ
    แต่สำหรับทริปนี้ ผมคงยกให้เป็น "โกยเรื่องเล่ายกเข่ง" เพราะมันมีเรื่องชิทๆ เต็มกระบุงให้เล่าขานได้เรื่อยๆ และที่บอกว่าโกย เนื่องจาก ทริปนี้ผมใช้เงินไป 0 บาทครับ คุ้มทุกเม็ด เล่นจริงเจ็บจริงกันไปเลยยยยยยยย

    ขอเชิญรับชมความชิทหายวายป่วงกันให้เพลิดเพลินครับ

    ** คำเตือน: เป็นความสามารถเฉพาะตัว ห้ามลอกเลียนแบบ **

    • • • • •
  • "เหตุเกิดจากความเหงา" คือเหตุผลเริ่มต้นการออกเดินทางของใครหลายๆ คน
    "เหตุเกิดจากความงก" คือเหตุผลเริ่มต้นของทริปนี้ของผม
    ทุกอย่างมาจากเรื่อง "เงิน" แบบเพียวๆ

    ย้อนกลับไปในปี 2013
    รูปถ่ายที่ผมส่งไปประกวดในงาน Kualar Lumpur Photo Awards ณ ประเทศมาเลเซียเกิดได้รับรางวัลขึ้นมา (แฮ่ม!) แล้วทีนี้คนจัดงานก็ส่งอีเมลมาถามว่า "พีระ นายสนใจที่จะมาร่วมงานรับรางวัลไหม เนี่ย เรามีค่าเดินทางให้ 150$ นะ เนี่ย ที่ KL มาไหมๆ"  เรื่องเวลาไม่มีปัญหา เพราะตอนนั้นผมเองทำตัวอินดี้ฟรีแลนซ์ (ที่ไม่ค่อยมีงาน)​ อยู่ หากจะไปเนี่ย สบายมาก วินาทีนั้นเอง เจ้าวิญญาณความเค็มก็มากระซิบที่ข้างหูเบาๆ ว่า

    "เฮ้ย 150$ เนี่ย เขาคงคิดว่าเราจะนั่งเครื่องบินไปว่ะ
    แต่ถ้ามึงนั่งรถไฟแทน เงินส่วนต่างที่เหลือเนี่ย เอาไปเที่ยวได้นะ วู้ววววว"

    ข้อเสนอของเข้าปีศาจตัวนี้เข้าท่าแฮะ พิจารณาไปมากับเหตุผลสามสี่ข้อต่อไปนี้

    1. ตอนนั้นกระเป๋าตังบางกรอบมาก อะไรเซฟได้ก็เซฟเนอะ
    2. อยากลองนั่งรถไฟข้ามประเทศมานานแล้ว
    3. เที่ยวเมืองนอกคนเดียวครั้งแรก มันต้องพิเศษดีวะ!
    4. เออ กูงก ทั้งทริปนี้จะอยู่ใน 150$ นี่แหล่ะ (ทริป0 บาทที่ว่ามาจากตรงนี้)

    "ดีล" ผมบอกเจ้าวิญญาณความเค็ม พร้อมๆ กับตอบอีเมลหาคนจัดงาน
    เจ้าวิญญาณแอบแสยะยิ้มในขณะที่ผมก้มมองคียบอร์ด
    ผมไม่รู้เลยว่าความชิทหายกำลังจะมาเยือนในไม่ช้า

    • • • • •
  • หนึ่งในสันดานที่แก้ไม่หายของผมเองคือ ชอบเตรียมตัวและตัดสินใจในวินาทีสุดท้าย
    ผมจึงชะล่าใจเรื่องการหาข้อมูลไปมากโข ใช้การวางแผนแบบคร่าวๆ เปิดดูรีวิวของชาวบ้าน แล้วที่เหลือไปตายเอาดาบหน้าซะเป็นส่วนใหญ่

    กรุงเทพ - กัวลาลัมเปอร์ - ปีนัง - บัตเตอร์เวิร์ธ - กรุงเทพ
    นี่คือเส้นทางที่วางแผนไว้

    ก่อนออกเดินทางสามสี่วัน ผมยกหูโทรศัพท์โทรไปจองตั๋วรถไฟ เจ้าหน้าที่ตอบกลับมาว่า ไม่รับจองทางโทรศัพท์ ต้องไปซื้อเองที่หัวลำโพง ตอนนี้ยังมีที่อยู่ ผมก็ อ่ะ โอเค ได้ งั้นเดี๋ยวไปซื้อวันเดินทางเลยก็ได้

    ตัดภาพไปเช้าวันเดินทาง ณ หัวลำโพง
    ผมไปถึงสถานีก่อนเวลาประมาณชั่วโมงนิดๆ พอถึงปุ๊บก็รีบพุ่งตัวไปยังช่องขายตั๋วทันที ชิลๆ กะว่ายังไงก็มีที่เหลือ

    พีระ  : จองตั๋วตู้นอนไปหาดใหญ่ ของวันนี้ครับ (ในใจคิดว่า สบ๊ายยยยยย เหลือเยอะชัวร์)
    จนท : เหลือสองที่สุดท้าย ซื้อเลยมั้ย
    พีระ  : เอาเลยครับ แหะๆ  (ในใจคิดว่า เชี่ยยยยยยยยยยยยย เกือบแล้วนะมึง สันหลังหนาววูบ)
              ขอดูขากลับจากบัตเตอร์เวิร์ธด้วยครับ
    จนท : จะจองขากลับด้วยเลยมั้ย เหลือสองที่สุดท้ายเหมือนกัน
    พีระ  : เอาเลยครับ แหะๆ  (ในใจคิดว่า เชี่ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย สันหลังหนาววาบบบบบกว่าเดิมสามสต็อป)
    เรียกได้ว่า เกือบจะได้จบทริปตั้งแต่ยังไม่ทันขึ้นรถ



    14 ชั่วโมงโดยประมาณกับการ "ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง" ไปยังหาดใหญ่
    การเดินทางด้วยตู้นอนของรถไฟไทยเป็นอะไรที่ชิลกว่าที่คิดมาก (โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับตู้ชั้น 3)
    แอร์เย็น เบาะโอเค ลุกแล้วไม่ต้องกลัวจะโดนแย่งที่
    ผมเผาเวลาบนรถไฟไปกับ Into the Wild หนังสือที่เขียนจากเรื่องจริงของเด็กหนุ่มที่ปฏิเสธสังคมในแบบปัจจุบัน เผาเงินที่ครอบครัวมอบให้ไปเรียนต่อ ออกเดินทางโดยมีเป้าหมายสุดท้ายคือการใช้ชีวิตตัวคนเดียวที่อลาสก้า
    แอบคิดกับตัวเอง เออ โมเมนต์นี้เราก็เหมือนพระเอกของเรื่องเหมือนกันนะ (แต่กากกว่าเยอะ)

    9.00 น.​ ตัวเมืองหาดใหญ่
    รถไฟไทยยังคงทำหน้าที่ได้อย่างคงเส้นคงวา ใช่ครับ เลทไปแค่ 3 ชั่วโมงเองงงงงงงงงง ชิทหายเอ๊ย
    จากตอนแรก กะว่าจะรับอรุณด้วยมื้อเช้าเด็ดๆ ก็ต้องล้มเลิกไปโดยปริยาย
    ตามแผนการ จากที่เช็คมาในเว็บไซต์ ผมต้องขึ้นรถบัสรอบ 10.30 เพื่อไปยังกัวลาลัมเปอร์
    หิวก็หิว แต่กันเหนียว เอาวะ ไปซื้อตั๋วก่อนก็ได้เพื่อความชัวร์

    9.10 น. หน้าสถานีรถไฟหาดใหญ่
    โอเค Google Maps บอกว่าไม่ไกล อ่ะ เดินเอาละกัน
    กลัวโดนมอไซค์รับจ้างฟันหัวแบะ

    9.15 น. หน้าบริษัทรถบัส
    "สวัสดีครับ ซื้อตั๋วรถบัสไป KL รอบ 10.30 ครับ"
    "อ๋อ รอบสุดท้ายของเราคือ 9.30 ค่ะ เหลือที่เดียวพอดีเลย จองเลยมั้ย"
    "เอาเลยครับ แหะๆ"
    (ในใจคิดว่า เชี่ยยยยยยยยยยยยย ไหน บน เว็บ บอก ว่า 10.30 วะะะะะะะะ)

    ระหว่างที่กำลังตะลึงกับคำตอบ ผมเงยหน้าไปเห็นนาฬิกาที่แขวนไว้อยู่บนผนัง
    มันบอกเวลา 10.30 ....... เวลาในเว็บคือ +1 ชั่วโมงตามเวลาของมาเลเซียนั่นเอง
    แต่เฮ้ยยยย พี่คร้าบ นี่ยังอยู่ในจังหวัดหาดใหญ่นะครับ จะบวกกันทำไมไม่บอก ฮืออออ

    วินาทีนั้น นี่เข้าใกล้ความชิทหายสูงมาก เพราะถ้าพลาดรถรอบนี้นี่คือหายนะที่แท้จริง ไม่รู้จะยังไงต่อเลย
    แต่สวรรค์ยังเข้าข้างให้จิตใจเรายึดเอาความความถูกต้องมาก่อนความหิว

    15 นาทีสุดท้ายก่อนรถออก หมดไปกับการเดินตามหาร้านของชำ
    สุดท้ายได้ โอริโอ้มาหลอดนึง กับ น้ำเปล่าหนึ่งขวดมาประทังชีพ
    แทะขนมไป ขอบคุณพระเจ้าไปที่ยังรอดมาได้จนถึงวินาทีนี้

    • • • • •
  • แต่พระเจ้าก็เกือบจะเล่นตลก ให้ผม Game Over ที่ชายแดนไทย - มาเลเซีย

    ทันทีที่รถเข้าเทียบท่าที่ด่านข้ามแดน ทุกคนเดินออกจากรถฉับๆ ตรงไปยังด่านตรวจคนเข้าเมือง
    ทุกคนที่ว่า ไม่ได้รวมตัวผมเข้าไปด้วย

    ไม่ใช่ว่าไม่เคยไปต่างแดน แต่ที่นี่มันมีหลากหลายช่องให้ไปต่อแถว
    ที่สำคัญคือ คนบนรถก็ไม่ได้บอกด้วยว่า ผมต้องทำยังไงต่อ!
    มึนๆ งงๆ ได้พักนึง ก็ตัดสินใจ เอาวะ เดินตามพี่คนนึงไปดูละกัน ถ้าไม่รอดจะได้มีเพื่อน
    ยืนต่อคิวได้พักใหญ่ พี่คนที่เราฝากความหวังไว้ก็เดินผ่านด่านไปสบายใจเฉิบแล้ว
    แต่พอถึงตาตัวเอง ยื่นพาสปอร์ตให้เจ้าหน้าที่ปุ๊บ เขาชี้ป้ายข้างๆ ให้ดู
    ... นี่มันช่องสำหรับคนผ่านแดนโดยใช้ Work Permit นักท่องเที่ยวอย่างฉันมันตรงตึกนู้นน ...

    ชิทหาย

    พอได้เจอทางสว่างก็รีบสับ 4x100 ไปยังช่องที่ถูกต้อง
    มองไปรอบกาย เชี่ยแล้ว คนที่เราคุ้นหน้าคุ้นตาบนรถมันหายไปหมดแล้ว
    ตรวจพาสปอร์ตไป ใจเต้นตุบๆ ไป อย่าทิ้งฉันไว้ตรงนี้นะเหวยยยยย พี่คนขับบบบบบบบบ

    พอผ่านเข้ามาฝั่งมาเลย์ได้ พีระสวมวิญญาณยูเซน โบลท์ รีบวิ่งไปหารถบัสทันที
    เดชะบุญ รถบัสยังจอดรอเราอยู่ พร้อมเปิดช่องเก็บสัมภาระเตรียมไว้ ผู้ร่วมทางคนอื่นก็กำลังขนกระเป๋าขึ้นรถพอดี

    อา กูรอดแล้ว...
    เฮ้ย... เดี๋ยวนะ...
    ในช่องนั้น... กระเป๋าฉันมันอยู่ที่ไหนวะเนี่ยยยยยยย....

    ตาลีตาเหลือกวิ่งไปถามพี่โชเฟอร์ขับรถ เขาชี้ไปที่ตรงหน้าด่าน
    หืม... ห๊ะ... โอเค กูเข้าใจแล้วววววววววว ชิทหายยยยย

    ตามหลักการคือ ตอนที่ผมลงจากรถ จะต้องนำกระเป๋าติดตัวไปด้วย เพื่อสแกนผ่านด่านเข้าเมือง
    แต่ว่า ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องเอากระเป๋าลงมาด้วย เลยเดินตัวเปล่าเข้าด่านไปสบายใจ
    พี่คนขับเขาก็ต้องเอารถไปผ่านด่านเหมือนกัน พอเจอกระเป๋าที่ไม่มีเจ้าของ เขาก็เลยต้องวางทิ้งไว้ กลัวข้างในจะมีสิ่งแปลกปลอม

    นั่นแหล่ะครับท่านผู้ชม
    พีระเลยต้องสวมวิญญาณยูเซน โบลท์ตอนปวดขี้วิ่งกลับไปหยิบกระเป๋ามา
    แล้วสวมวิญญาณยูเซน โบลท์ตอนปวดขี้แต่ห้องน้ำเต็มต้องวิ่งไปเข้าอีกตึก สับแหลกกลับมายังรถบัสอีกที
    (จริงๆ การวิ่งตัดด่านข้ามแดนเข้าไปเลยแบบนี้นี่ โคตรผิดกฏหมายเลยนะนั่น ถ้าโดนจับก็น่าจะเรื่องยาว ขอบคุณพี่เจ้าหน้าที่ที่ไม่คิดว่าผมพกระเบิดครับ )

    แหม พวกพี่อย่ามองผมแบบนั้นสิครับ ก็คนมันไม่เคย รอนิดเดียวเอง แฮะๆ

    ไม่เคยรู้สึกขอบคุณสายตาที่ชอบวุ่นวายเรื่องชาวบ้านของตัวเองขนาดนี้มาก่อน
    ถ้าไม่สงสัยว่าเขาขนกระเป๋าอะไรกัน คงได้ใช้ชีวิตแบบสุดติ่งในมาเลเซียแน่ๆ

    ฮือ

    • • • • •
  • ถ้ากระเพาะอาหารพูดได้ มันคงอยากจะบอกว่า "หาอะไรมายัดใส่กูที ไม่ไหวแล้ว"
    เพราะตั้งแต่โอริโอ้หลอดนั้นตอนเก้าโมงกว่าๆ ผมยังไม่ได้มีอะไรตกถึงท้องเลย

    ความหวังของผมจึงอยู่ที่จุดพักรถ
    ไม่เคยอยากกินข้าวขนาดนี้มาก่อนในชีวิต

    จุดพักแรก จอดปุ๊บ พุ่งไปสั่งข้าวปั๊บ
    มื้อแรกในมาเลเซียคือ Char Kway Teow หรือ ฉ่าก๋วยเตี๋ยว หรือ ก๋วยเตี๋ยวผัดนั่นแหล่ะ
    เส้นใหญ่ผัดกับซอสพริก ใส่ไก่ ผัก และหอยแครง คลุกเคล้าด้วยผงชูรสจำนวนมหาศาล
    แต่กินหมดมั้ย หมดครับ ช็อตนั้น อะไรมากินได้ก็กินหมดแหล่ะครับ หิวจนแทบจะแทะที่นั่งอยู่แล้ว
    ที่นี่รับเงินไทยด้วยครับ รอดไป... เพราะเตรียมไปแต่ดอลล่าร์​ กะว่าเข้าไปแลกในเมืองทีเดียว

    หายนะบังเกิดก็ตรงนี้แหล่ะครับ
    เพราะผ่านไปอีกแป๊ปๆ ก็หิวอีกแล้ว รถเขาก็มีแวะจอดดื่มน้ำปัสสาวะเป็นระยะๆ นะครับ
    แต่ทีนี้ พอรถมันขับไปเรื่อยๆ ในมาเลเซีย ซึ่งมันต้องใช้เงินริงกิต ผมเองก็ดันปากหนัก ไม่กล้าไปถามว่าเขารับเงินดอลล่าร์ไหม
    เลยได้แต่นั่งท้องร้องโครกครากอยู่บนรถ เข้าทำนอง "คนจริงต้องมีศักดิ์ศรี ไม่กินก็ไม่ตายเว้ย"
    ถ้าย้อนเวลาได้อยากจะเดินไปตบปากตัวเองตอนนั้นเสียเหลือเกิน

    เคยอ่านนิทานจำพวกเทวดาปลอมตัวมาเป็นมนุษย์เพื่อช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยากไหมครับ
    ถ้านิทานพวกนั้นเป็นเรื่องจริง หนึ่งในเทวดาเหล่านั้น ต้องเป็น ป้าที่นั่งข้างผมบนรถบัสแน่ๆ

    ป้าคนนั้นคือเพื่อนร่วมทางชาวไทยที่บังเอิญนั่งติดกับผม
    ก็คุยกันไปเรื่อยเปื่อยตามประสาคนบ้านเดียวกัน ถามคำตอบคำกันไป
    แต่อยู่ดีๆ ป้าก็สงสัยว่าทำไมผมถึงไม่ซื้อข้าวเย็นมากินบนรถเหมือนกับคนอื่นๆ เขา
    กระเพาะอาหารสั่งการไวกว่าสมอง มันบังคับปากให้ขยับเล่าเรื่องราวสุดแสนสะเทือนใจว่าไม่ได้แลกเงินริงกิตเอาไว้ออกไปให้ป้าฟัง
    ป้าฟังจบ ยื่นซาลาเปาเจสองใบมาให้ บอกว่าป้าอิ่มแล้ว กินไม่หมด เอาไปกินเลย
    แน่นอนครับ ผมต้องปฏิเสธเป็นธรรมดา แต่ป้าก็พยายามยัดซาลาเปาให้ผมกินให้ได้ (เอ๊ะ ใส่ยาไว้ป่าววะเนี่ย คะยั้นคะยอจัง) ผมก็เลยต้องรับมาแบบเสียไม่ได้
    .... 5 นาทีต่อมา ซาลาเปาสองลูกนั้นก็ได้เดินทางไปอุดปากเสียงโครกครอกของกระเพาะอย่างรวดเร็ว (ขอโทษครับป้า ฮือออ)



    ผ่านไปอีกสักพัก ป้าก็ขอตัวลงจากรถ เพราะป้าไม่ได้เข้าตัวเมือง KL
    ผมยกมือขอบคุณป้า ป้ายิ้มให้อย่างใจดี
    จากวันนั้น ถึงตอนนี้ ซาลาเปาสองลูกนั้นยังอิ่มอยู่ในใจผมตลอดมา

    • • • • •
  • ถึงแล้วโหวยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
    กัวลาลัมเปอร์กล่าวยินดีต้อนรับด้วยสายฝนที่โปรยมาบางๆ พร้อมกับนาฬิกาบอกเวลา 2 ทุ่มเศษ
    ถ้านับจากวินาทีแรกที่ขึ้นรถไฟ ทริปนี้ขามาสิริรวมเวลาที่ใช้ไปราวๆ 30 ชั่วโมงเต็ม
    เอียนการนั่งเฉยๆ ไปพักใหญ่ๆ เลยทีเดียว

    แผนการในคืนแรกไม่มีอะไรมาก คือ เก็บของ - กิน - นอนพัก

    ผมแบกกระเป๋าจากท่ารถบัส เดินด้วยระยะทางหนึ่งเหนื่อยไปถึงที่พักที่จองเอาไว้ล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว โฮสเทลขนาดใหญ่สีขาวตั้งตระหง่านนามว่า Reggae Mansion พอเปิดประตูเข้าไปก็พบกับนักท่องเที่ยวนั่งเล่นที่ล็อบบี้กันพอสมควร ตอนนี้สติแทบหลุดออกจากร่างแล้ว พูดจาไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไร กะว่ารีบเก็บของแล้วออกไปแลกเงินก่อนที่ห้างจะปิด เพราะไม่งั้นพรุ่งนี้เช้าต้องตาลีตาเหลือกแน่ๆ

    400 บาท กับห้องนอนรวม มีน้ำร้อน ไวไฟฟรี แอร์ และ ที่นอนแบบมีม่านปิด นับว่าไม่แย่อะไรนัก
    เปิดประตูเข้าห้องไปปุ๊บ เจอแก๊งค์ฝรั่งกำลังจะออกไปท่องราตรีข้างนอกพอดี
    "เฮ้ย ยู เราจะไปแฮงค์เอาท์กัน ไปด้วยกันหมาย"
    "โน แทงกิ้ว ไอ แฮฟ ซัมติง ทูดู" (ในใจคิดว่า ขอกูพักเหอะ กูหิวข้าว ฮือออ)​
    "อิทส์ โอเค เย้ห์" (จริงๆ ดูแล้วมึงก็ถามเป็นมารยาทนี่หว่า เหอะๆ)​

    หลังจากเก็บกระเป๋าเสร็จ ก็ต้องถ่อเอาร่างไร้กายละเอียดเดินไปแลกเงินที่ห้างสรรพสินค้าในละแวกที่พัก จริงๆ ก็ไม่ได้ใกล้เลยนะ แต่แรงขับดันว่า "ถ้าไม่แลก ก็ไม่มีตังแหลกข้าว"​ คอยถีบพาผมให้บรรลุมิชชั่นนี้ได้ในที่สุด

    มื้อแรกในกัวลาลัมเปอร์คือบะหมี่เนื้อ ที่เล็งเอาไว้แล้วระหว่างเดินจากที่พักไปแลกเงิน
    เข้าไปในร้านคนก็เยอะดี คิดว่าน่าจะเซฟ
    ถึงร้านปุ๊บ ความโหยเข้าครอบงำทันที จัดมาเลยครับ ชามใหญ่พิเศษ 6 ริงกิต (60 บาท)



    พอพนักงานยกชามมาวางปุ๊บ... เอ่อ พี่ครับ ขอเปลี่ยนได้ไหมครับ​
    เพราะใหญ่พิเศษ คือ พิเศษจริงๆ เส้นบะหมี่อัดแน่นปั้กในชาม เยอะราวๆ บะหมี่จับกังคูณ 2.5 เท่า โปะหน้าด้วยผักกวางตุ้งและเนื้อสับผัดซอส เคียงข้างด้วยน้ำซุปพร้อมลูกชิ้นเนื้อ 6 ลูก
    ไม่มีกินก็ทรมาน มีเยอะเกินก็ทรมาน โหวยยยยยย ก็ได้แต่นั่งทำใจกินไปเรื่อยๆ ฮืออ
    สุดท้ายก็ยกธงขาวยอมแพ้ กินไม่หมด เหลืออยู่ประมาณนึง รสชาติอร่อยเลย
    แต่สิ่งที่ประทับใจที่สุดในร้าน คือ ลูกจ้างในครัวเปิด คาราโอเกะ "อมพระมาพูด" ของ พี่เสก X ป๋าเบิร์ด ครับ
    ฟังแล้วอยากจะร้องตามว่า "อมเส้นมาพูดก็ไม่เชื่อ ให้เยอะมาเพื่อ กินไม่หมด" มากๆ ฮือ

    กินเสร็จก็กลับมาที่พัก อาบน้ำอาบท่า ลงมานั่งเล่นที่ล็อบบี้ สนทนาพาทีกับชาวต่างชาติ
    ส่วนใหญ่ก็ได้แต่นั่งฟัง เพราะ ไม่รู้จะคุยอะไรกับเขาดี ได้แต่ "เย้ห์" ไปตามเรื่องตามราว

    กำแพงภาษาและกำแพงความอายมันกั้นผมเอาไว้อย่างอยู่หมัดจริงๆ

    ร่วมวงได้สักพักก็ขอตัวลาไปนอน เพราะไม่ไหวจริงๆ
    อ่อนเพลียจากการเดินทางครั้งแรกในชีวิตก็ทริปนี้นี่แหล่ะ



    ลากตัวเองเข้าผ้าห่ม ปิดไฟนอน กล่อมตัวเองให้นอนหลับด้วยเสียงตึงตังบางๆ จากดาดฟ้า
    โฮสเทลนี้ดาดฟ้ามันเป็นบาร์ครับ ในเว็บถึงขั้นระบุไว้เลยว่าเป็นโฮสเทลที่เน้นเรื่องปาร์ตี้นะ ถ้าไม่ชอบเสียงเพลงหรือต้องการความเงียบสงบ โปรดมองหาที่อื่นจะดีกว่า
    ก็ได้แต่ข่มตานอนกันไป เลือกมาเองแล้วนี่

    ไม่เคยคิดเคยฝันว่าการนอนห้องรวมในโฮสเทลจะมีเรื่องราวสารพัดสารพันวุ่นวายขนาดนี้
    นอนๆ อยู่... สะดุ้งตื่นเพราะไอ้แก๊งค์ที่ชวนผมไปตะลุยราตรีพึ่งกลับมาถึงพร้อมความโหวกเหวกโวยวาย
    นอนๆ อยู่... สะดุ้งตื่นเพราะหนึ่งในแก๊งค์นั้น เมาสลบอ้วกเละเทะคาพื้น จนต้องมีคนไปตามคนมาช่วยเคลียร์
    นอนๆ อยู่... สะดุ้งตื่นเพราะเจอตุ๊กแก...ได้ยินเสียง "กินตับ ตับ ตับ" กันในห้องอย่างหนักหน่วง

    กว่าจะได้นอนจริงๆ ก็ปาเข้าไปตีสามกว่า...

    ก่อนจะปิดตาลง ก็ได้แต่คิดว่า ขอบคุณโชคชะตาที่พาฉันโกงความตายมาได้จนถึงจุดนี้
    พรุ่งนี้จะได้เป็นการตะลุยต่างแดนคนเดียวครั้งแรกในชีวิต

    จะร่วงหรือจะรอด
    เดี๋ยวรู้กัน

    คร่อก

    ...
    หารู้ไม่ว่า ความชิทหายยังไม่ได้จบลงแค่นี้ นี้ นี้ (เสียงเอคโค่)

    (โปรดติดตามตอนต่อไป)

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in