เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Five Sensesauburn
ลุงหาญ

  •           ผู้ชายคิวทองที่ยุ่งอยู่กับการบริการจนไม่มีเวลาส่วนตัวมาให้สัมภาษณ์ได้ แต่สุดท้ายเราก็ได้สัมภาษณ์ระหว่างแกชงน้ำหวานไปยืนคุยไป
              ​ลุงหาญเล่าเรื่องราวของตัวเองตั้งแต่เริ่มต้นให้ฟัง แกมาอยู่ที่นี้ตั้งแต่ยังขายหาบเร่ จนทางมหาวิทยาลัยห้ามขายแกเลยเข้ามาขายข้างในด้วยคำเสนอแนะจากมหาวิทยาลัยเอง และลุงหาญก็อยู่ที่นี้มาตั้งแต่ตอนนั้น แกเล่าเองว่าจุดเริ่มต้นก็มาจากขายน้ำเต้าหู้และปาท่องโก๋เล็ก ๆ คิดสูตรเองสังเกตเองจนกระทั่งเปลี่ยนมาขายน้ำหวานก็คิดเมนูทั้งหมดเอง บางครั้งก็สังเกตจากลูกค้าที่เป็นเด็ก ๆ ว่าชอบอะไรแบบไหน เราว่าเพราะเด็กส่วนใหญ่จะเป็นหน้าเดิม ๆ ที่ถามตอบให้ความคิดเห็นได้ จนบางคนก็สนิทกันไปโดยปริยาย อย่างเราก็คุ้นเคยกับแกเป็นอย่างดีเพราะมาอุดหนุนบ่อยพอควร
    ​แกดูตั้งใจให้คำตอบเรามาก พอถามแกว่าถ้าวันหนึ่งประสาทสัมผัสหายไปจะเป็นยังไง แกก็ตอบติดตลกว่าคงทำอะไรไม่ได้แล้ว(หัวเราะ) และก็อธิบายที่เหลือให้เราฟัง
              ​ลุงหาญเป็นคนชอบคิดชอบทำอะไรใหม่ ๆ ตลอด แกเคยเดินมาถามว่าอยากกินปลาเผาไหมและแกก็เอามาให้ บางวันเราร้อนก็เดินไปร้านแล้วก็บ่นกระปอดกระแปดว่าอยากกินอะไรหวาน ๆ แกก็หยิบถุงน้ำตาลมะพร้าวมาว่าแล้วก็ถามเห็นอยากกินอะไรหวาน ๆ แกเป็นคนตลกหน้านิ่งดี แต่ก็ใจดีเสมอ สุดท้ายเราก็ได้น้ำตาลมะพร้าวมาก้อนหนึ่งแบบไม่ได้เสียอะไรสักบาทด้วยความใจดีของแก

    Q:ลุงหาญทำอาชีพนี้มานานหรือยังคะ?
    ลุงหาญ: “เริ่มต้นมาจากศูนย์ เริ่มมาจากทอดปาท่องโก๋ขายน้ำเต้าหู้แล้วก็มาเป็นกาแฟร้อน แต่ก่อนมันเป็นรถเร่ เค้าให้รถเร่เข้ามาขายได้ตามสะดวก ไม่ได้บังคับห้ามรถเร่เข้า สมัยก่อนปี47 - 48 พอปี 49 มาเค้าก็เปิดโรงอาหารใหญ่ หอตรงนี้ก็เปิดพอดีมั้ง เค้าก็เลยห้ามรถเร่เข้ามาในมหาลัย เค้าก็ให้ลุงขึ้นไปขายที่ตึกทรัพยากร ขายอยู่หน้าห้องพยาบาล อยู่เป็นซุ้ม ตั้งได้ปีกว่า ๆ โรงอาหารก็เปิดทำการ เค้าเลยให้เราไปประมูล ประมูลขายของอยู่ที่นั่น ปี 52 มั้ง แล้วยาวถึงทุกวันนี้แหละ”

    Q:ลุงหาญอยู่กับพวกนี้เยอะ ก็ต้องชิมเยอะใช่หรือเปล่า แรก ๆ ลุงได้ชิมไหมคะ?
    ลุงหาญ: “ใช้ความรู้สึกเอาทุกวันนี้ เหมือนกับว่าเราเคยมือ แต่แรก ๆ ก็มีชิมนะ ใหม่ ๆ ก็ถามลูกค้าเอาว่ากินหวานมั้ย หวานมาก หวานน้อย แล้วแต่คน”

    Q:แล้วมีปัญหากับมันไหมคะ เวลาเราทำอะไรหรือเวลาเราชิมอะไร?
    ลุงหาญ: “จริง ๆ ส่วนมากก็ไม่นะ เพราะส่วนมากจะไม่ชิมจะเป็นที่ลูกค้ามากกว่า”

    Q:ลุงหาญทำอาชีพนี้ ลุงใช้ประสาทสัมผัสด้านไหนมากที่สุด?
    ลุงหาญ: “ความรู้สึกมั้ง ก็ใช้สายตาสังเกต อย่างคนที่กินหวานน้อยเนี้ย ก็ต้องไม่ใส่น้ำตาลเลย อย่างน้องเนี้ยช้อนสองช้อนก็พอแล้ว ประเภทขอหวานก็ต้องเอาน้ำตาลเพิ่มเข้าไป แต่เราก็ขายราคาถูกอยู่แล้ว อย่างหนูเนี้ยกำไรดีมากเลย(ยิ้ม) เพราะไม่ใส่นมข้น น้ำตาลเลย คนแต่คนมันกินไม่เหมือนกัน ก็ถามเอา”

    Q:แล้วเมนูทั้งหมดนี่คิดเองด้วยใช่ไหมคะ?
    ลุงหาญ: “ใช่ ลุงคิดเองหมดเลย ตอนที่ทำแรก ๆ ก็สังเกตเอา ตอนนี้ก็ยังสังเกตอยู่ ถ้ามันข้น ๆ ก็คือเข้ม ถ้าจาง ๆ ใสแจ๋วก็จืด”

    Q:ถ้าสมมุติว่าวันหนึ่งประสาทสัมผัสเราหายไป จะส่งผลกระทบถึงอาชีพไหมคะ?
    ลุงหาญ: “ทุกอย่างเลยมั้ง ก็นี่ก็ใช้สายตา ใช้มือ ต้องแข็งแรงด้วย รวม ๆ แล้วก็น่าจะทุกอย่างเลยละมั้ง ถ้าไม่มีก็ต้องพิการนั่งวิลแชร์ นับตังค์อย่างเดียว ตาบอดก็ทำไม่ได้ ขาขาดก็ทำไม่ได้”

    Q:ลุงหาญมีความสุขกับอาชีพนี้ไหมคะ?
    ลุงหาญ: “ก็มี เรามีจิตวิญญาณเพราะเราอยู่ที่นี้่มานาน มาทางนี้แล้ว จะกลับไปทำนาก็ทำไม่ได้ มีความสุขที่ได้บริการ เห็นน้อง ๆ มีกินก็ต้องมีความสุขสิ”

    Q:แล้วลุงหาญมีวิธีดูแลตัวเองยังไงคะ?
    ลุงหาญ: “ไม่รู้สิ มันก็อยู่แบบเนี้ย คือร่างกายก็เป็นแบบนี้ไม่เคยป่วยเลย ก็แค่พักผ่อนเต็มที่ถ้ามีเวลาก็พัก
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in