ภาพยนตร์เรื่อง Kimi no Me ga Toikakete Iru (Your Eyes Tell) ที่ โยโกฮามะ ริวเซย์ (24) นำแสดงคู่กับ โยชิทากะ ยูริโกะ(32) เข้าฉายในญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม
บทบาท 'ยูริยูริ' จากละครเรื่อง 'Hajimete Koi wo Shita Hi ni Yomu Hanashi' ทำให้ โยโกฮามะ ริวเซย์ ขึ้นมายืนในฐานะนักแสดงได้อย่างมั่นคง มาคุยกับเขาว่าเขารู้สึกอย่างไรบ้างกับการพัฒนาอย่างรวดเร็วในปี 2019 และจากนี้เขาจะเดินหน้าในอาชีพนักแสดงต่อไปอย่างไร
บทบาทที่ริวเซย์ได้รับในเรื่องคือ ชิโนซากิ รุย อดีตนักกีฬาคิกบ็อกซิ่งอนาคตไกลที่หยุดต่อยมวยด้วยเนื่องจากเหตุการณ์หนึ่งในอดีต และปัจจุบันใช้ชีวิตด้วยการทำงานพิเศษไปเรื่อยๆ เขาได้พบกับ คาชิวางิ อะการิ (โยชิทากะ) ที่สูญเสียการมองเห็นและครอบครัวจากอุบัติเหตุ แต่มีใช้ชีวิตอย่างสดใสและมีความสุขกับเรื่องเล็กๆน้อยๆ แต่เมื่อรุยได้รู้สาเหตุการสูญเสียการมองเห็นของอะการิแล้ว เขาจึงตระหนักถึงการกระทำอันโหดร้ายที่มีแต่เขาเท่านั้นที่รู้
"ความฝันเป็นจริง" เมื่อได้แสดงเป็นนักกีฬาคิกบ็อกซิ่งที่เคยใฝ่ฝัน
ริวเซย์ที่เคยแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับความรักมาแล้วทั้งใน HajiKoi Niji Iro Days(Rainbow Days) L-DK Hitotsu no Yane no Shita, "Suki" ga Futatsu บอกว่าผลงานเรื่องนี้เป็น 'ความรักแบบผู้ใหญ่' ที่แตกต่างจากผลงานที่ผ่านๆ มา
"ที่ผ่านมาผมมักจะได้แสดงในเรื่องที่เป็นสถานการณ์ที่ผู้หญิงชอบซะเป็นส่วนใหญ่ แบบทำเรื่องเพ้อฝันให้เป็นความจริงน่ะครับ คราวนี้เรื่องราวก็อาจดูเพ้อฟันเหมือนกัน แต่สำหรับผมแล้วมันเป็นเลิฟสตอรี่ที่จริงที่สุดตั้งแต่เคยแสดงมาเลย ผมว่าเนื้อหามันลึกซึ้งทั้งส่วนความสุขของความรัก ความเลวร้าย ความมีชีวิตชีวา และเรื่องอื่นๆ ตัวผมเองก็รู้สึกเหมือนจมลึกไปกับผลงานเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน"
นอกจากนี้เขายังได้แสดงเป็นนักกีฬาคิกบ็อกซิ่งที่ตัวเองต้องเพิ่มน้ำหนักถึง 10 กิโลกรัมภายใน 1 เดือน และแสดงฉากแอคชั่นเองด้วย สำหรับริวเซย์ที่มีประสบการณ์ชนะการแข่งขันคาราเต้มาแล้วก็บอกพร้อมรอยยิ้มว่า "ดีใจมากเลยครับที่ได้ต่อยมวย"
"ถ้าไม่ได้ทำงานนี้ ผมคิดว่าถ้าไม่เป็นช่างไม้ต่อจากพ่อก็คงเป็นนักกีฬาคิกบ็อกซิ่งนี่ล่ะครับ ความใฝ่ฝันช่วงม.ต้น-ม.ปลายเป็นความจริงเลยนะครับ" เขายินดีบทบาทที่ทำให้ความใฝ่ฝันเป็นจริง ส่วนเรืิ่องการทำตัวให้พร้อมกับบทบาทนี้อย่างเต็มที่ในช่วงเวลาสั้นๆ นั้น เขาบอกว่า "ผมไม่ใช่คนประเภทที่ทำอะไรแล้วจะเก่งได้เร็ว เลยต้องเอา่บทบาทนั้นเข้ามาในชีวิตประจำวันและชีวิตส่วนตัวอย่างเต็มที่ แล้วคิดถึงบทนั้นอยู่เสมอน่ะครับ"
นอกจากบทบาท "ยูริยูริ" แล้วเขายังมีทั้งงานละครและภาพยนตร์อย่างต่อเนื่อง ตอนนี้ริวเซย์รับมือกับสภาพการณ์ของตัวเองในปัจจุบันยังไง
"ก็ตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่เหมือนที่ผ่านมาล่ะครับ แต่เพราะผลงานเรื่องหนึ่งทำให้มีคนรู้จักมากขึ้น มีคนให้กำลังใจมากขึ้นก็ดีใจครับ"
"ผมเห็นพลังของผลงานมาแล้วกับตา รู้สึกว่าตัวเองโชคดีครับ" เขาตอบโดยไม่มีท่าทีเหลิงเลยแม้แต่น้อย
"ผลงานเรื่องหนึ่งสามารถทำให้ชีวิตของตัวเองเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้ ผมก็รู้สึกอยู่บ้างเหมือนกันว่า ในปี 2020 ปี 2021 คนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเองอาจกลายเป็นแบบนี้ก็ได้ ดังนั้นผมคิดว่าปีนี้คือปีตัดสินครับ ถ้ามีคนรู้จักเรามากขึ้นก็ต้องไม่หลงระเริง สิ่งที่ควรทำไม่เปลี่ยนไป ทำงานอย่างเต็มที่ ทำการแสดงกับนักแสดงหลายๆ คน พบเจอกับผลงานมากมาย แล้วจะเติบโตไปได้ครับ" ต่อให้มีชื่อเสียงแล้วก็ไม่หลงตัวเอง ให้ความสำคัญกับงานที่อยู่ตรงหน้า
แม้ริวเซย์จะบอกว่า "โชคดี" แต่ตอนช่วงวัยเลข10 เขาเองก็เคยเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นจนกังวลอยู่เหมือนกัน
"เมื่อก่อนเคยคิดว่าจะเป็นนักแสดงแบบคนนั้นอะไรแบบนี้ แต่ก็เราเป็นแบบเขาไม่ได้ ช่วงวัยเลข10คิดแบบนั้นบ้าง และเคยเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับอีกหลายๆ คนน่ะครับ พอผ่านเข้าวัยเลข2มาก็เริ่มไม่สนใจคนอื่นขึ้นมาบ้าง ไม่สนใจในความหมายที่ดีน่ะครับ" ได้มีเวลาย้อนกลับมามองตัวเองมากขึ้น มากกว่ามัวไปเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น
"รู้สึกอันตรายน่ะครับว่า 'จะเป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ได้นะ' มัวเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นมากจนเกินไป จนรู้สึกว่า 'นี่เรามองข้ามสิ่งที่ตัวเองควรทำไปรึเปล่า?' อะไรทำให้ผมรู้สึกตัวก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่วันหนึ่งก็รู้สึกตัวขึ้นมาแล้วคิดว่า 'ทำสิ่งที่ควรทำเถอะ' ผมถึงมีวันนี้ได้ครับ"
"สิ่งที่ควรทำ" ที่ริวเซย์พูดถึงคืออะไร?
"ก่อนหน้านี้ผมก็เตรียมตัวสำหรับงานนะครับ แต่พอถามตัวเองว่า 'ทำมันได้โดยไม่กังวล100%แล้วรึยัง?' 'เข้าใจตัวละครนั้นแล้วรึยัง?' ผมก็ไม่สามารถตอบได้ เลยคิดว่า 'ต้องคิดเรื่องผลงานให้มากขึ้น' ครับ"
แต่แน่นอนว่าย่อมมีคนอื่นๆ ที่ยังคงเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นอยู่ ซึ่งริวเซย์ก็บอกว่า
"ผมว่าการนับถืออีกฝ่ายเป็นเรื่องดีนะครับ แต่การเปรียบเทียบไม่ได้ทำให้มีอะไรดีขึ้นครับ มันจะมีแต่เรื่องไม่ดีเกิดขึ้นต่อกันเป็นโดมิโน่น่ะครับ ถ้าไม่ยอมรับตัวเองซะก่อนชีวิตก็คงไม่สมบูรณ์ การเปรียบเทียบมันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ครับ แต่ผมว่าการคิดเรื่องของตัวเองมันสำคัญ ลองถามตัวเองว่า 'อยากเป็นยังไงในอนาคต?' 'ไม่มีอะไรที่อยากทำเหรอ?' ถ้าไม่มีก็ลองหาสิ่งที่ตัวเองสนใจดู เริ่มลองทำจากสิ่งเล็กๆ แล้วเราก็จะค่อยๆ ไม่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใครครับ"
ได้แสดงนำทั้งละครและภาพยนตร์ ทั้งยังได้รับรางวัลนักแสดงดาวรุ่งหน้าใหม่จาก Nippon Academy แต่ดูเหมือนว่าริวเซย์ยังอ่อนน้อมถ่อมตนเสมอ
"เมื่อสะสมประสบการณ์ให้มากขึ้น ก็จะรู้สึกถึงความรับผิดชอบที่มากขึ้น ผมคิดอย่างจริงจังว่าถ่ายทอดผลงานออกไปแล้วมันส่งผลอะไรต่อผู้ชมบ้าง และอีกอย่างคือผมว่าอย่างน้อยตัวเองก็เริ่มดูแลเอาใจใส่คนรอบข้างมากขึ้นบ้างครับ"
และการได้เจอคนรอบข้างอย่าง โยชิทากะ ยูริโกะ ที่นำแสดงภาพยนตร์ร่วมกันเป็นแรงบันดาลใจให้เขาอย่างมากเลย
"เป็นคนที่เหมือนกับที่เห็นในทีวีเลยครับ เป็นรุ่นพี่ที่ยอดเยี่ยมมาก ดีใจมากครับที่ได้ทำงานด้วยกัน โยชิทากะซังนี่จะในกองถ่ายหรือในทีวีก็เหมือนกัน (ยิ้ม) ร่าเริงบริสุทธิ์ ไม่มีลับลมคมใน มองทุกคนเท่าเทียมกัน เป็นคนมีมุมมองกว้างและนิสัยดีครับ"
"อย่างตัวผมนี่คิดถึงแต่บทบาทรุยและตัวงานเท่านั้น ขณะที่ความเป็นโยชิทากะซังทำให้กองถ่ายผ่อนคลาย คอยดูแลคนรอบข้าง ตัวเนื้องานเนื้อหาค่อนข้างหนัก แต่เธอก็ทำให้กองถ่ายสดใสร่าเริงแม้ตารางการถ่ายทำค่อนข้างแน่น ผมรู้สึกว่าเธอช่วยผมไว้ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง" ดูเหมือนว่ามันเป็นกองถ่ายที่ทำให้เขาได้เรียนรู้อะไรจากโยชิทากะมากทีเดียว
แม้ตอนนี้เขาเป็นที่รู้จักและนับได้ว่าเป็นนักแสดงที่เป็นที่นิยมคนหนึ่ง แต่ริวเซย์ยังคงมีความอ่อนน้อมถ่อมตน อ่อนโยนไม่เปลี่ยน การได้แสดงฉากแอคชั่นอย่างที่ใฝ่ฝัน, ผลงานที่ถ่ายทอดความรักบริสุทธิ์ และการได้ทำงานกับรุ่นพี่ที่ตัวเองนับถือ จากนี้ไปริวเซย์จะกลายเป็นนักแสดงแบบไหน
น่าจับตามอง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in