เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เด็กชายไร้สีแดนสนธยา
บันทึกฉบับที่ 2 ตัวอักษรสีขุ่น

  • คำสัญญาเป็นได้ทั้งความหวังและความสิ้นหวังในเวลาเดียวกัน

         ครั้งหนึ่งผมเคยเกลียดคำว่า สัญญาเอามาก ๆอาจเป็นเพราะสภาพแวดล้อมและผู้คนรอบกายของผม ที่มักจะชอบพูดคำว่า สัญญาออกมาอย่างง่ายดายและไม่ให้ความสำคัญกับมันสุดท้ายแล้วคนที่เชื่อและยึดมั่นในคำสัญญาอย่างสุดหัวใจเท่านั้นที่เป็นคนที่ถูกทำร้ายมากที่สุด ผมคือผลตรงกันข้าม ผมคือเศษเสี้ยวที่เหลืออยู่ของคนที่เชื่อและรอในคำสัญญา.

              ช่วงนี้สภาพจิตใจของผมย่ำแย่เหลือคณา  ผมเป็นคนที่คิดมากอยู่แล้วและเป็นคนที่ขี้เกรงใจคนอื่นพูดง่าย ๆก็คือเป็นคนประเภทที่กลัวคนอื่นจะไม่ชอบ กลัวคนอื่นจะรู้สึกไม่ดี แต่ตัวผมจะเป็นยังไงนั้น  จะรู้สึกลำบากใจหรืออึดอัดแค่ไหน ผมไม่ได้สนใจมันมากนักนั่นเป็นจุดอ่อนอย่างใหญ่หลวงสำหรับตัวผมเองและจุดอ่อนอันใหญ่หลวงนั้นมันกำลังกัดกินตัวผมเหมือนกับปลวกที่ค่อย ๆกัดกินรากต้นไม้ใหญ่จนทำให้ต้นไม้ทั้งต้นค่อย ๆตายจากภายในนั่นแหละ  ผมรู้ว่าผมจมอยู่กับความคิดตัวเองมากเกินไป สมควรที่จะออกไปด้านนอกรับแดดรับลมบ้าง แต่จะให้ออกไปข้างนอกผมก็ไม่เอาอยู่ดี  ผมไม่ชอบพบปะผู้คนไม่รู้ทำไมแต่ผมกลัวผู้คนข้างนอก  กลัวว่าผู้คนข้างนอกจะคิดยังไงกับผม จะเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังก็ไม่ได้ไม่ว่าจะครอบครัวหรือเพื่อนพ้อง  ผมไม่อยากให้มุมมองของเขาที่มีต่อผมเปลี่ยนไป  ผมไม่ได้อยากได้ความเห็นใจหรือสงสารอะไร  ผมกลัวความเปลี่ยนแปลงต่อสิ่งที่จะเกิดและต่อให้ผมไม่กลัวในสิ่งเหล่านั้นผมก็พอจะเดาได้ว่าคนพวกนั้นจะพูดอย่างไรเมื่อได้ยินสิ่งที่ผมจะเล่า.. ‘เลิกคิดมากได้แล้ว’  สู้ๆนะ‘  'เดี๋ยวมันก็ผ่านไป’  คำพูดเหล่านี้ที่เป็นดาบสองคม ขณะที่คมดาบใช้ปกป้อง สันดาบกลับหันเข้าทิ่มแทงตัวเอง.
              วันที่ผมตัดสินใจได้แล้วว่าต้องการอะไรผมรู้สึกโล่งใจอยู่บ้างเล็กน้อย ผมจึงตรงดิ่งไปที่โต๊ะทำงานไม้ที่ใช้ทำงานประจำ นั่งลงบนเก้าอี้เหล็กตัวเดิม หยิบปากกาที่ซื้อมาจากร้านโชว์ห่วยจรดลงบนกระดาษสีน้ำตาลและเริ่มบรรจงเขียนถึงหลายๆสิ่งหลายๆอย่าง ทั้งสิ่งที่อยากจะขอโทษ สิ่งที่อยากจะขอบคุณสิ่งที่อยากจะได้มาครอบครองและสิ่งที่ต้องการจะอำลา น้ำตาของผมค่อยๆไหลออกมา คลอไปกับการเขียนทุกตัวอักษรเหมือนเป็นของคู่กันและไหลเพิ่มมากขึ้นทุก ๆครั้งที่ผมเขียนคำว่า “ ขอโทษ ” ในใจของผมมันเจ็บและอึดอัดมาก ๆ คอตีบตันไปหมดเหมือนมีคนบีบคอเอาไว้ ทำไมตัวผมเป็นแบบนี้ทำไม..
    ทำไม ?..ทำไมผมจะต้องขอโทษด้วย  ความต้องการและความเห็นแก่ตัวของคนเราเป็นสิ่งที่ผิดขนาดนี้เลยหรอ ?  ทำไมผมเป็นแบบคนอื่นไม่ได้ ? ทำไมผมอยากจะทำอะไรอย่างที่ผมอยากทำไม่ได้ ทำไมผมมีความสุขแบบคนอื่นไม่ได้   ขณะที่คิดไปเขียนไปผมก็หยุดเขียนกลางคันเพราะผมรู้สึกว่าไม่ได้อยากจะฝากข้อความอะไรไปมากกว่านี้อีกแล้ว  ถ้าฝืนเขียนต่อไปผมคงได้เขียนสิ่งที่ไม่น่าอภัยอย่างแน่นอนผมพับกระดาษเก็บเข้าซองจดหมายซีเปียสีเข้มและเตรียมจะผนึกมันประกอบกับจังหวะที่แสนจะบังเอิญและพอดิบพอดี น้ำตาของผมหยดลงทับชื่อตัวผมเองสองหยด ทำให้สีหมึกที่ใช้เขียนตัวอักษรนั้นออกไหลออกมาปะปนกับน้ำตาจนแทบจะมองไม่ออกว่าเดิมเป็นตัวอักษรอะไร ผมได้แต่จ้องมองมันและยิ้มออกมา

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in