เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ว่าด้วยpokchanymph
ว่าด้วยเรื่อง 20+
  • open letter to my 19-year-old self


    ถึงเราตอนอายุ 19 เมื่อ 2 ปีก่อน


    (จริงๆ จะใช้รูปนี้เป็นรูป cover แต่เดี๋ยวไม่ตรงตามคอลัมน์ ฮือฮือ) 

    เอนี่เวย์ จริงๆ ที่มีภาพนี้เพราะสัปดาห์ก่อนเราเพิ่งเขียนบล็อกเกี่ยวกับที่ตัวเองอายุ 20+  ไป แต่เพราะมันเป็นภาษาอังกฤษกะเขียนแค่บ่นๆ เท่านั้น เลยมาเขียนต่อในนี้ละกัน 
    เอาจริงๆ ถ้าพูดในมุมปัจจุบันมันจะเป็น 21 to 22 ล่ะ แต่มีความรู้สึกว่าไม่ต่างจาก 19 to 20 เท่าไหร่ (ก็ต่างแหละ แต่ก็ไม่ต่าง เอาสิ ตบกัน ตบกัน)

    เหตุผลที่อยู่ๆ รู้สึกสำนึกอายุตัวเองได้ ทั้งที่ปกติก็ไม่ได้คิดเรื่องอายุตัวเองขนาดนั้นเพราะเมื่อวันพุธที่แล้วไปคอนเสิร์ตมา (มันโคตร) ตอนก่อนเข้างานมันต้องเช็คบัตร ปั๊มตราไรงี้ เวลาเราโดนปั๊มอะไรตามผับตามบาร์ก็ก้มลงไปดูที่ข้อมือ แล้วที่ข้อมือเขียนไว้ว่า '20+'

    โมเม้นต์ตอนนั้นแบบ เออ เฮ้ย เรา 20+ แล้วนี่นา ถึงจะเกินมาแค่ 1 ปีก็เถอะ แต่มันหมายความว่าเรามีชีวิตอยู่ในโลกมาได้ 21 ปีแล้ว โอ้โหแฟนตาซี เหมือนเพิ่งโดนครูจับมือหัดเขียนในห้องอนุบาล 2 เมื่อวานอยู่เลย 555 

    ปกติตอนก่อนตรวจบัตร จำได้ว่าช่วงที่พ้น 18 มาแรกๆ (จำได้ว่าก่อนหน้านี้อายุเข้าร้านเหล้ามัน 18 เนอะ) จะตื่นเต้น ยื่นบัตร แต่พอเริ่มคุ้นเคยกับการเข้าร้าน ตรวจบัตรตอนเลือกตั้ง การตรวจบัตร ตรวจอายุกลายเป็นเรื่องปกติ ก็แค่การหยิบบัตรอะไรสักอย่างในกระเป๋าตังยื่นให้พนักงานไม่กี่วิแล้วจบ เราคุ้นเคยกับมันแล้ว

    จะว่าคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตมันก็คุ้นนะ ก็อยู่มาตั้ง 20 ปีแล้ว ฟัง พูด อ่าน เขียนเป็น ใช้ชีวิตประจำวันได้ มีคนคบ ถ้าเป็นเกมซิมส์์ก็นับได้ว่าเราเล่นมาได้สักพัก ซิมส์มีลูกมีผัวได้แล้ว ถ้าเป็นฮาร์เวสต์มูน ก็มีลูกมีผัวได้เช่นกัน ป่านนี้ไก่ ม้า วัว แกะโต ฟาร์มกว้าง ต่อเติมบ้านหมดแล้ว
    เอ๊ะ ไปเรื่องเกมได้ไง กลับมา เรารู้สึกชินชาและคุ้นกับการกระทำบางอย่างในชีวิตจนบางครั้งก็อาจจะมองข้ามไป เราลืมเซนส์เกี่ยวกับการทำอะไรบางอย่างครั้งแรกไปแล้ว

    ยกตัวอย่าง เราเคยรู้สึกว่าการออกไปทำอะไรคนเดียวเป็นอะไรที่น่ากลัวตอนก่อนจะ 20 กินข้าวคนเดียว ดูหนังคนเดียว ไปเที่ยวคนเดียว แต่พอเข้ามหาลัย หรืออายุพ้น 20 มีอีเวนท์หรืออะไรน่าสนใจ เริ่มทำอะไรคนเดียวมากขึ้น อย่างคอนเสิร์ตที่จั่วหัวข้างบนก็เป็นคอนเสิร์ตที่เราไปคนเดียวครั้งแรก ทั้งตื่นเต้นและแพนิกในเวลาเดียวกัน มันเป็นฟีลลิ่งที่ถ้าเราทำจนชินไปเรื่อยๆ เราคงไม่รู้สึกอะไรแล้ว อย่างพอเห็นกระทู้พันทิปถามว่า ไปไหนคนเดียวแปลกมั้ยคะ เราก็รู้สึกว่าไม่เห็นแปลกเลย หลังจากเราผ่านสเตจนั้นมา

    ทำงานครั้งแรก งานส่วนใหญ่รับคนอายุ 20 ขึ้นไป แต่ตอนที่เข้ามหาลัยก็เริ่มทำงานสอนพิเศษ ก็ไม่ได้รู้สึกอินหลออะไรขนาดนั้น จนพอ 20 ก็ทำงานเลยตอนปิดเทอม สนุกดี ฟีลแบบนั้นก็ยังเกิดขึ้นอยู่เวลาไปสมัครงานที่อื่น แต่ฟีลว่านี่เป็นการเปิดโลกครั้งแลกเป็นอะไรที่ติดนานพอสมควร

    พ้น 20 มาไม่นาน ก็ยังมีครั้งแรกหลายๆ อย่างที่ยังรอให้เราทำอยู่แหละ มันน่าตื่นเต้น เพียงแต่ว่ามันก็แอบน่าเศร้าพอคิดว่าชีวิตที่เหลืออยู่เราจะไม่รู้สึกความเป็นครั้งแรกของอะไรพวกนี้แล้ว เอาง่ายๆ เลย หนังสือที่ชอบ ซีรีย์ หนังที่ชอบ ตอนที่ได้รู้เนื้อเรื่องมันครั้งแรกมันเป็นฟีลลิ่งคนละแบบกับการดูซ้ำนะเพราะเรารู้เรื่องอยู่แล้ว พอเราผ่านการทำอะไรครั้งแรกหลายๆ อย่างข้อดีคือเราไม่รู้สึกประหม่าไปกับมันอีกแล้ว ข้อเสียคือความกระตือรือร้นที่จะอยากรู้อยากลองมันลดลง

    อยากบอกตัวเองตอนที่อายุ 19 to 20 ในสายตาของเราที่เพิ่งก้าวข้ามเส้นแบ่งเลขนี้มาหมาดๆ ไม่กี่ปีว่า การขึ้นเลข 2 มันก็ไม่ต่างอะไรมากจากการอยู่ในเลข 10s หรอก เราไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด 

    เอาจริงๆ มันไม่มีคำว่าโตหรอก เรายังร้องไห้เหมือนตอนเด็กๆ แถมอาจจะเบรกดาวน์มากขึ้นกว่าเดิม แต่เราก็เรียนรู้ที่จะอธิบายและหาคำตอบให้กับเรื่องที่เราเศร้าหรือหดหู่ได้ อาจจะยาก แต่ก็ไม่ได้เป็นไปไม่ได้ เรายังให้คนโอ๋ได้ เพราะทุกคนก็ยังร้องไห้เหมือนกัน เราแค่ไม่รู้ 

    พูดถึงเรื่องให้คน ให้เพื่อนโอ๋ การก้าวข้าม 19 > 20 เป็นสเตจที่ทำให้เราได้เลือกคนที่จะอยู่กับเรามากขึ้น มันโอเคนะที่จะตัดใครออกไปถ้าเรารู้สึกว่าคนคนนั้นทำให้เราไม่มีความสุขแล้วมันแก้ไขอะไรไม่ได้จริงๆ *ร้องเพลงก้อนหินก้อนนั้น*

    การขึ้นเลข 2 ไม่ได้ทำให้เราหยุดดูหนัง ดูซีรีย์ อ่านการ์ตูน เล่นเกม (ขอบคุณการทำงานและการไปฝึกงานที่ทำให้เห็นว่าถ้าอายุมากขึ้นเราก็ยังคงความเป็นแบบนี้ได้ 555) อะไรที่คนบอกว่ามันเป็นของสำหรับเด็ก เพื่อเด็ก สำหรับเยาวชน ก็เรื่องของนาง เราก็อ่านได้ (*ไฮไฟฟ์มนุษย์ที่อ่าน young adult*)

    สุดท้ายแล้วถึงเราจะเรียกฟีลลิ่งของการทำอะไรครั้งแรกกลับมาไม่ได้ แต่เราก็ไม่ได้พ่ายแพ้ซะทีเดียวนะ มันกลับเป็นอะไรวินๆ ด้วยซ้ำ เราเรียนรู้ที่จะมองอะไรต่างจากตอนเด็กมากขึ้นเพราะเรามีประสบการณ์ เราอ่านนิยายเด็ก ในมุมมองของคนที่โตขึ้น เราสงสารพ่อเอเรียลตอนนางบอกจะไปตามหาเจ้าชายตอนอายุ 16 (555) เราเข้าใจอะไรมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่เข้าใจอะไรมากขึ้น มันเป็นปกติ
    ที่เขียนอยู่ตอนนี้กูก็ยังไม่เข้าใจว่าเข้าใจถูกมั้ย

    ตอนนี้ถ้ารู้สึกตัวว่าไม่ไหว ให้มองที่ข้อมือของตัวเอง สักวันนึงในอนาคตเราจะถูกปั๊มที่ข้อมือว่า 20+ 
    เรามีชีวิตผ่านมาได้ 20 กว่าปีแล้ว มันสนุกดีนะ มันไม่ได้สนุกตลอดเวลา แต่มันก็ไม่ได้เศร้าตลอดเวลา เราผ่านมันมาได้ เหมือนตอนที่รีบปั่นการบ้านวันก่อนส่ง แต่สุดท้ายก็ทัน ไม่รู้ว่าน่าภูมิใจมั้ย แต่เราก็ผ่านมันมาได้ตลอด อะไรที่คิดมากอยู่ มันก็จะผ่านไปเว้ย (กำลังให้กำลังใจตัวเองกับสัมมนาจบปีสุดท้ายของมหาลัย...)

    จากเราเองตอนอายุ 21 (to 22 :P)


    ปล. ใครที่อ่านมาถึงนี่...กราบขอบคุงสาทุบุงโยเร แล้วอยากลองเขียนจดหมายหาตัวเองในอนาคต มันทำได้แก!! มันทำได้!! ได้!!! ไม่ต้องรอให้ On This Day ขึ้นเตือนในเฟซ ไทม์ฮอปหรออย่าหวังเลย แค่ใช้เว็บนี้ https://www.futureme.org/ เราก็จะสามารถส่งอีเมลหาตัวเองในอนาคตได้แล้ว!!
    เราใช้บ่อยมากเวลาที่เฟล หรือมีความสุขมากๆ แล้วเดาว่าตัวเองช่วงไหนของปีจะดีเพรสที่สุด (แค่ก ช่วงไฟนอล แค่ก) แล้วก็ส่งอีเมลไปให้กำลังใจตัวเอง
    เคยได้อีเมลจากตัวเองเมื่อ 2 ปีก่อน โคตรขำเลย ดูเอ๋อๆ แบ๊วๆ ดี 555
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in