เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Scarlet (แดงดั่งวอดไวน์)sheisbreathing.
ภาคหนึ่ง: วอดวาย III God for giving authority to humans.
  •   


    CHAPTER III

    God for giving authority to humans. 


     

    เราจากกันตรงทางแยก ตัวเขานั้น แทรกกายจมหายลับตาไปในหมู่ผู้คน ที่กำลังทยอยขึ้นขบวนกันอย่างเร่งรีบ ก็เพราะอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้านี้ รถไฟจะไม่อยู่เทียบท่าแล้ว ผู้ครองนัยน์ตาสีแดงเป็นดั่งไพโรปโกเมน[1]เขาตรงไปทางตู้โดยสารที่เป็นห้องอาหาร ก่อนจากกัน เขาหันมายิ้มให้กับผมอย่างไม่มีแก่นสาร เมื่อนั้น เหมือนกาลเวลาของผมหยุดนิ่งทันที ราวกับเข็มวินาทีที่บากบั่นเดินไปข้างหน้า มีอันต้องถอยหลังกลับมาเพราะความดื้อดึง ถึงอย่างนั้นแล้ว ทุกการเคลื่อนไหวของบุรุษผู้นั้น ล้วนถูกจับจ้องอย่างระมัดระแวง รอยยิ้มของเขาจวบจนตอนนี้ ก็ยังไม่ลบเลือนไป กระทั่ง แผ่นหลังของเขาเริ่มหดและเล็กลงไปทุกระยะฝีก้าวที่ค่อยๆ ห่างออกไปจากผม ที่ยังคงยืนอยู่ตรงนี้ เขาจากไปทั้งอย่างนั้น ทั้งรอยยิ้มที่ค้างไว้

    แม้กระทั่งเผยแผ่นหลังให้กันแล้ว ผมก็ยังคงสัมผัสได้ ว่าใบหน้าอันหล่อเหลาและงดงามของเขายังยิ้มอยู่ อย่างแน่นอน

    มือของผม รู้สึกชื้นเหงื่อเหลือเกิน เวลาผ่านไปสักพักหนึ่งได้ แต่จนตอนนี้แล้วก็ยังไม่ทันได้หายแฉะดี ตั๋วรถไฟในมือข้างนี้เริ่มอ่อนตัวผิดแปลกไปจากเดิมมาก คลับคล้ายคลับคลาอย่างกับว่าถูกเลาะกระดูกสันหลังออกไปจนหมดสิ้น เหมือนกับผมที่สติหลุดหายไปในชั่วขณะ ราวกับเส้นหยักในสมองเริ่มสมานตัวกันอย่างกับแผล แล้วก็ค่อยๆ เหลวแหลกจนกลายเป็นน้ำในกะโหลก

    “คุณผู้ชาย คุณผู้ชาย มีอะไรผิดปกติหรือเปล่าครับ”

    ใครสักคนหนึ่งพูดขึ้น “ไม่มี” สติของผมจึงกลับมา

    ความแดงฉานเมื่อครู่เริ่มเลือนรางลงไปมากแล้ว ผมก้มลงมองตั๋วในมืออีกครั้ง จากนั้น ก็ขยำทิ้งเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อด้านใน แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นทันใด เดิมที่หมายจะก้าวเดินโดยเร็วที่สุดกลับต้องหยุดชะงัก ตรงหน้าของผม เป็นชายชราหนึ่งคน เขาเดินเอื่อยเฉื่อยอย่างระมัดระวัง ชูคอไล่มองตัวเลขประทับบนป้ายที่แต่ละห้องผ่านแว่นตา เขาเหลือบหันมามองผมเล็กน้อย ซึ่งผมไม่อาจรู้ได้เลยว่า ณ ตอนนี้ ตนมีสีหน้าเป็นเช่นไร แต่สีหน้าตาเฒ่าก็พลันเปลี่ยนสีทันทีที่สบตา ทางเดินนี้คับแคบเกินทนหากนึกอยากจะแทรกก็เป็นได้เพียงความคิด แต่ต่อให้ตาเฒ่านั่นเดินเร็วขึ้นกว่านี้อีกสักหน่อย ขบวนรถไฟนี้อย่างไรก็คงได้ถึงลอนดอนเป็นก่อนแน่

    เพราะฉะนั้น

    ผมจึงกดสายตาลงไป จดจ้องที่กึ่งกลางท่อนขาเขา

    ข้อเข่าตาเฒ่านั้น ดูแล้วอาการไม่ค่อยจะดีสักเท่าไร

    ห้องของผม อยู่ถัดไปจากห้องของชายชราสองห้อง ผมนั่งลงอย่างหมดสภาพ ทิ้งหัวชนพนังจนเกินเสียงกระแทกแผ่วเบา หมวกที่เดิมสวมอยู่ ก็พลันหลุดเลื่อนลงมาปิดใบหน้าเสียจนเกือบมิด จู่ๆ ผมก็พลันรู้สึกอยากนึกคิดถวิลถึงอะไรบางสิ่ง แต่กลับคิดอะไรไม่ออกเสียเลยนี่ มันยุ่งเหยิงเหนือเกินบรรยาย เกินความสามารถผมแล้วที่นึกอยากคลายเงื่อนปมเพื่อจัดระเบียบใหม่ จากเดิมที่เป็นเพียงก้อนน้ำเหลวแหลก จู่ๆ ก็ดันเพิ่มรอยหยักขึ้นมามากมายจนไม่ทันได้ตั้งตัว วินาทีถัดมา ท้องของผมก็ร้องขึ้นมา อ่า... ผมไม่ได้ยัดห่าอะไรเลยตั้งแต่คืนวาน ก็นอกเสียจากบรั่นดีบ้าบอนั่น ผมรู้สึกแสบท้องราวกับถูกกัดกินให้ทรมาน เหมือนเฮอร์ริเคนลูกใหญ่กำลังซัดความฉิบหายให้กระจายปั่นป่วนกวนประสาทลำไส้ ผมตัดสินใจไปตัวเปล่าโดยทิ้งกระเป๋าไว้ เพราะมั่นใจว่าไม่มีของมีค่าอะไรให้โจรนึกอยากขโมย

    ผมเดินตรงไปที่ขบวนตู้โดยสารห้องอาหาร

    และเป็นที่นั่น ผมจึงได้เจอเขาเป็นครั้งที่สอง

     

    สการ์เล็ต

     

    สูทสีเขียวเข้ม เน็กไทสีไวน์ก่ำและเส้นผมสีบลอนด์

    บริกรเดินเข้ามา จัดหาที่นั่งเหมาะสมให้เพียบพร้อม ทิวทัศน์ข้างนอกหน้าต่างนั้นล้อมไปด้วยหิมะขาวโพลนผ่อง แสงส่องประกายระยิบ ใกล้สิ้นสลายของฤดูหนาวจึงเริ่มปรากฏสีเขียวขึ้นมาเป็นหย่อมๆ ใครสักคนอาจคิดว่ามันว่างเปล่า ดาษดื่นสามัญ พลันนึกคิดหยิบพู่กันจุ่มสีสะบัดสีสาดลงไป แต่หาใช่ไม่ เพียงแต่นั่นกำลังย้ำเตือน ว่าเหมันต์กำลังจบลงแล้ว

    เขานั่งนิ่งและเหม่อลอย อยู่ตรงมุมห้องอาหารตู้โดยสารนี้ซึ่งคลาคล่ำไปด้วยความเหน็บหนาว ผมนั่งลงแววตาแข็งกระด้างจนตนเองสัมผัสได้ว่าแสนรุนแรง ผมสีบลอนด์หม่นแสง ที่ครานี้ กำลังทอแสงจับประกาย ยามสายบั้นปลายฤดูหนาววันนี้ แดดดูออกดีมากกว่าวันอื่นๆ ตัวเขานั้นกำลังจดจ้องมองนอกหน้าต่างอย่างไร้จุดหมาย คลับคล้ายว่าไม่มีสิ่งใดหาญกล้าทะนงตนหลอมตัวเป็นภาพสะท้อนนัยน์ตาสีเพลิงคู่นั้น

    ชั่วพริบตา ผมตัดใจอยากบากบั่น

    เพื่อละสายตาจากมุมนั้น มาสื่อสารกับบริกร

    “จัดมื้อเช้าหนึ่งที่ อ้อ ขอกาแฟเพิ่มนมด้วย”

    สิ้นเสียง การมีอยู่ของผมเริ่มมีตัวตนขึ้นมา เมื่อในที่สุด เขาเปลี่ยนทิศทางราวกับกะลาสีหักพังงาฉับพลันและกำลังมองตรงมาทางผม ผมเคยคิด ว่าไม่มีสิ่งใดไร้ความหวาดหวั่นและหลอมเป็นหนึ่งกับดวงตาสีแดงดั่งวอดวายคู่นี้

    โปรดเว้นไว้ ว่ามีผม ที่พอจะกล้าอย่างบากบั่น

    หลายครั้งหลายครา ที่ผมพยายามจะเข้าใจสายตาพิศวาสนี้ของเขา และเชื่อว่าใครๆ ก็ไม่แม้แต่จะกล้าสบตาแล้วมาชวนนึกคิดอะไรเช่นนี้ หรือไม่อาจจะมีบุคคลประเภทที่หลงใหลจนจมดิ่งลงไปในห้วงสงครามแห่งความพิศวาสนี้ ไม่มีตัวอักษรหรือภาพใดใดปรากฏขึ้นในหัวสมองอันขาวโพลนของผม ทุกครั้งที่เราสบตา หนึ่งพริบตาผ่านไปก็ไม่มีผู้ใดขยับเขยื้อนเนื้อกาย ราวกับว่าเราต่างเป็นรูปปั้นชิ้นงามในสายตาของอีกฝ่าย ผมอาจเป็นหนึ่งในผลงานของมีเกลันเจโลสำหรับเขา แต่สำหรับผมแล้ว สการ์เล็ต เป็นดั่งไดโอนีซัส­[2]บนยอดเขาโอลิมปัส[3]

    ผมรู้สึกถึงบางอย่าง

    เป็นดั่งสะพานลอนดอนและปราสาทแก้วไวน์กำลังพังทลาย เทศกาลงานเริงรมย์จะจมอยู่ในกองเพลิง เวทีแห่งละครแห่งนี้จะกลายลานสงครามโลก ล้างผลาญและคร่าชีวิตอย่างไม่มีที่สิ้นสุด การเปลี่ยนแปลงที่มุมห้องฉุดผมออกจากภวังค์ เขากำลังลุกขึ้นยืนและเดินตรงมาทางนี้ ทุกการจับจ้องและฝีก้าวที่เพิ่ม กำลังเป็นผม ความวอดวายเหล่านั้น เป็นเขาที่นำมาสู่

    “ผมขอนั่งด้วยได้ไหม?”

    และผมไม่ปฏิเสธคำขอ

    สการ์เล็ต เขานั่งลงแล้ว

    สถานการณ์เริ่มวิปลาส บรรยากาศละลักละล่ำ ผมกะพริบตาอยู่บ่อยครั้งและนั้นผิดปกติสิ้นดี ผมปลอบประโลมตนเองว่าที่ทำเช่นนี้อาจไล่ความเยือกเย็น บรรเทาความลำบากยากแสนเข็ญที่จะเผชิญหน้า พระเจ้า ผมอยากอุทานอะไรสักอย่างออกมาเหลือเกิน แต่ก็มิอาจสรรหาศัพท์ภาษาใดใดที่อาจสามารถเทียบเท่าความงดงามของสการ์เล็ตคู่นั้นได้ ไม่ต่างอะไรเลย กับการที่ไปเยี่ยมเพื่อนบ้านคนฝรั่งเศสด้วยตัวเปล่าเปลือย ความเอื่อยเฉื่อยของเรา ความรวดเร็วของขบวนรถไฟ ความกดลึกของรอยยิ้มเขาปรากฏขึ้นอีกครั้ง หวนทำให้นึกอะไรขึ้นได้ ชิ้นส่วนความทรงจำที่หล่นหายไป นานแสนนาน ในที่สุด ผมก็สัมผัสถึงมันได้อีกครั้ง ความรู้สึกเช่นนี้ ความตื้นตันจนแทบอยากจะกลิ้งเกลือกนอนแผ่หลาแนบฝั่งลงไปในดิน ยลเห็นยินเสียง การสนทนาอย่างยาวนานของเหล่าตำรวจที่นินทาด่าว่าผมสมองพิกล ผมจำได้ดี มันเคยเกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว คดีที่ยืดยาวกัดกินเวลาไปเกือบหนึ่งฤดู ผมได้พบเจอชิ้นส่วนกระดูกสะบักของเหยื่อที่หายไป รูปสมบูรณ์ งดงามเกินบรรยาย โอ... ผมตระหนักถึงว่ามันผ่านมานานแค่ไหนกันแล้ว เส้นทางขาวโพลนสู่ลอนดอนหนนี้กลับมอบให้ได้อย่างไร

    “ขอกาแฟเพิ่มหนึ่งแก้วที” เสียงสำเนียงของเขา ช่างอ่อนโยนและห้าวหาญ

    “นมไหมครับ”

    “ไม่ ไม่ต้อง” บริกรจากไป ผ่านไปสักพักเขาจึงเอ่ย “ผมชอบนะ อเมริกัน[4]น่ะ”

    ผมไม่ได้พูดออกไป ว่าแท้จริงแล้วผมอาจจะมาจากอิตาลีก็ได้ “เคยไปหรือ?”

    “เมื่อนานมาแล้วน่ะ”

    “ผมอาจจะเป็นคนอิตาลีก็ได้”

    เขาหัวเราะ “อย่าโกหกเลย ผมรู้จักคุณนะ ชาร์ลี รีดด์

    “...”

    “เราเคยพบกันที่อเมริกา ปลายฤดูหนาวเหมือนวันนี้” เขาพูด

    “ก็ถ้า คุณไม่ใช่ไอ้พวกที่ตบรางวัลผมด้วยบุหรี่ราคาถูกๆ นะ พอดี ผมไม่นิยมจำคนประจบสอพลอเช่นนั้น”

    “ตอนนั้น ผมยังเป็นทนาย” —เขาหยุด— “แน่นอน ว่าไม่เคยแม้กระทั่งได้คุยกับคุณ”

    “Then, ตอนนี้ล่ะ?”

    “ตอนนี้หรือ ผมเหลือแค่ยศทนายรั้งท้าย”

    “คุณดูไม่โหยหาสักเท่าไรเลยนะ”

    “งั้นคุณก็ดูโหยหาเหลือเกิน รีดด์”

    ในต้อนเริ่มต้น แรงขับเคลื่อนบางอย่างดูค่อนข้างเป็นไปอย่างราบเรียบ เฉียบขาด เหินทะยานขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว ลอยค้างบนฟ้าได้เพียงพริบตา ก่อนจะร่วงหล่นตกลงมาราวกับถูกฉุดและฉกฉวยให้กลายเป็นความจืดชืดของกาแฟ แม้จะเป็นเช่นนั้น ผมสีบลอนด์ยังคงจับประกายแสง นัยน์ตาสีแดงฉานคู่นี้ เสมือนเช่นงานเต้นรำสีเพลิงไม่มีวันเลิกรา ท่าทีและท่วงท่ากิริยาอันเป็นสง่าของเขาไม่ได้ลดลงไปแม้แต่น้อย ทิวทัศน์เคลื่อนคล้อยผ่านไปอย่างอ่อนโยน ฝูงนกบินผาดโผนอย่างน่าหวาดเสียว ความกลมเกลียวของสนทนาเมื่อครู่ เป็นเพียงควันบุหรี่คงเอาไว้เพียงกลิ่น สิ้นเสียงสนทนาเราสองโดยสมบูรณ์ ตอนนี้ เราต่างก็บากบั่นมากเกินพอจะลืมสิ้นทุกสรรพเสียง คุณเหม่อลอยกับควันโชยเหนือแก้วชา ส่วนผมนั้นบากบั่นกับการหั่นชิ้นเนื้อ มันเหนียวเลยทีเดียวและคิดแล้วว่าเช้านี้กระเพาะคงต้องทำงานหนัก ผมรู้สึกแปรปรวนก่อนกาลขึ้นมาทันใด ระหว่างมีดสเต็กกำลังจะสะบั้นชิ้นเนื้อ ผมพลางส่งสายตาเหลือบขึ้นไปมองสันกรามของเขา วินาทีนั้น เขาหันมาสบตากับผมพอดี

    “เป็นมื้อเช้าที่แย่มาก”

    เขายิ้มหัวเราะ “มันไม่ดีเลยหรือ?”

    “เนื้อ มันเหนียวเกินไป”

    การสงบสนทนาคราวนี้ เพียงไม่กี่พริบตาเท่านั้น

    “รีดด์ คุณเป็นนักสืบชื่อดังมาเยือนลอนดอนเมื่อวันก่อนนี้” เขาหยุด พูดโดยไม่มองมาผม “คุณบอกทางจดหมายมาว่าจะใช้เวลาสักหนึ่งสัปดาห์ก่อนเข้าฤดูใบไม้ผลิ ทำไมล่ะ? ทำไมคุณถึงไปลอนดอนเร็วกว่ากำหนด คุณมาเบอร์มิงแฮมเพื่ออะไรกันแน่ หรือเพราะคุณพบเบาะแสหรือแค่ไม่ชอบมันรึ”

    ความพรั่นพรึงบางอย่าง ที่ผมไม่เคยสัมผัสมาก่อน

    เพราะอะไรหรือ เพราะความชาญฉลาดอันน่าสงสัยของคุณหรอกหรือ จึงทำให้ผมระมัดระแวงขึ้นอีกเป็นเท่าตัว ท้องฟ้าพลันมือสลัวขึ้นมาทันใด เมื่อมองออกไปพบว่ามีหมู่เมฆบดบังทว่าไม่มิด เส้นลำแสงพิสุทธิ์เล็ดลอด หรือเป็นเพราะผมกำลังหลงใหลวิธีการสนทนาของคุณจึงเผลอละทิ้งเส้นเสียง ผมจึงพูดอะไรไม่ได้ไปชั่วขณะ บากบั่นพยายามอีกครั้ง เพื่อคลายสีหน้าให้เป็นปกติต่อหน้าคุณจนไม่ผิดสังเกตมากเกินไป นี่คือส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมปั่นป่วน น้ำเสียงของเขา ดวงตาสีโกเมน

    “ไม่ต่างอะไรจากอเมริกานักหรอก แต่มันค่อนข้างแปลกแล้วผมก็ชอบด้วย” ผมกล่าวต่อ “แต่ก็ยังต้องแสวงหาต่อไป”

    เขาวางแก้วกาแฟลง “แล้วสิ่งใด ที่คุณกำลังแสวงหา”

    และเป็นผมที่ทำให้ความเงียบระหว่างเราก่อให้เกิด หากถ้าไม่ใช่เพราะสการ์เล็ตคู่นั้นกำลังระยับ ท่วงท่าเช่นนี้ กับการประสานมือลงหน้าตัก แผ่นหลังและบ่าไหล่อันผ่าเผยแนบชิดไปกับพนัก —ผมตั้งคำถามกับตัวเอง ว่าแท้จริงแล้ว หายนะอันใกล้ที่จะมาถึงนี้ คือสิ่งใด ห่าพายุอันน่าพรั่นพรึงชวนทำให้ขวัญแขวนที่หากเราเผลอหลุดเข้าไป อาจทำให้ชิ้นเนื้อเราแตกกระจายไม่เหลือชิ้นดี หรือสงครามกลางเมืองประท้วงถึงเสรี หรือเป็นคุณ

    “ความพิสดารที่ไม่ได้แสวงหา แต่มาพบมันด้วยความบังเอิญ” ผมตอบ

    “คุณกำลังแสวงหาความบังเอิญรึ ที่นี่ธรรมดาดาษดื่นเกินไปนะคุณนักสืบ มากเกินไปด้วยซ้ำ แต่ผมภาวนา ขอให้คุณไม่ผิดหวังเหมือนสเต็กจานนี้”

    “คุณภาวนาบ่อยไหม” ผมถาม

    “ไม่” เขาหยุด “ไม่บ่อยนัก”

    “แต่ผมว่า ผมเจอมันแล้ว”

    เราสบตากันอีกครั้ง สการ์เล็ต “God for giving authority to humans.[5] [พระเจ้าได้ประทานอำนาจนั้นแก่มนุษย์] ”

    “ขออภัย มาถึงตรงนี้ นายไม่คิดอยากจะบอกชื่อให้เรียกเลยหรอกหรือ?”

    เมื่อเมฆที่เคยบดบังกำลังเคลื่อนคล้อย “ริชาร์ด สมิธ” แสงสะท้อนตกกระทบอย่างวิจิตรงดงามบนใบหน้าหล่อเหลาเอาการของเขา ริชาร์ด สมิธ หรือ สการ์เล็ต “อดีตทนายเหยื่อคดีที่คุณเคยสืบเมื่อหลายปีก่อน ตอนนี้ ผมเป็นแค่เจ้าของโรงละครโกลบ[6]ในลอนดอน”

     

     

    Author @sheisbreathing

     

     

    เชิงอรรถ

    1. ^ โกเมน (Garnet) แร่ที่เกิดจากการผลึกของ ซิลิกอนและออกซิเจน และอาจมีสารประกอบอื่นๆ ซึ่งโกเมนเป็นพลอยที่มีสีแตกต่างกันออกไปอยู่ที่องค์ประกอบ ไพโรป (Pyrope) มีลักษณะเป็นสีแดงเข้ม เมื่อถูกไฟส่องจะคล้ายเปลวเพลิง
    2. ^ ไดโอนีซัส เทพเจ้าแห่งไวน์ เทศกาลรื่นเริง การละครและปีติสานติ์ เป็นเทพเจ้าในเทพปกรณัมกรีก หรือเรียกว่าเทพเจ้าแห่งการทำไวน์
    3. ^ โอลิมปัส เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศกรีซ มีความสูงเหนือระดับน้ำทะเลอยู่ที่ 2,917 เมตร 
    4. ^ อเมริกัน ในบริบทนี้ หมายถึงชอบสิ่งที่เกี่ยวกับอเมริกัน พลเมือง ประเทศหรืออาหารการกิน
    5. ^ God for giving authority to humans. ในที่นี้ ดัดแปลงมาจาก God, who had given such authority to men (Matthew 9:8)
    6. ^ โรงละครโกลบ (Globe Theatre) โรงละครในลอนดอน อีกทั้งมีความเกี่ยวข้องกับ วิลเลี่ยม เชคสเปียร์ และถูกเพลิงไหม้ในวันที่ 29 มิถุนายน ค.ศ. 1613

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in