ถึงแม้ยามราตรีจะมืดเพียงใด แต่รัชนีกร(*)ก็ยังมอบแสงสว่างสีเทาที่ได้รับจากทินกร(**)ให้แก่โลกอยู่ดี...
แสงจันทร์สาดส่องเข้ามายังระเบียงไม้ของเรือนญี่ปุ่น ปรากฏร่างของหญิงสาวที่กำลังนั่งเหม่อมองนภาและดวงจันทร์ มือเรียวที่กำลังถือไปป์อยู่ยกขึ้นมาจรดส่วนปลายไว้ที่ริมฝีปากเรียวได้รูปก่อนจะทำการสูบเข้าไป
กรีบปากบางสวยอมชมพูเผยอออกนิดๆก่อนจะพ่นควันขาวสู่ท้องฟ้า ดวงตาสีอำพันสะท้อนภาพรัชนีกร(*)ยามค่ำคืน
ครืดดดด
บานประตูกระดาษของห้องนั่งเล่นถูกเลื่อนออก ทำให้หญิงสาวที่กำลังเหม่ออยู่ได้สติกลับมา ก่อนจะค่อยๆหันกลับมามอง ทำให้ได้เห็นเสี้ยวหน้าที่ไร้การบดบังจากผ้าปิดปากเพียงแค่ชั่วครู่ ถึงแม้จะย้อนแสงจันทร์จนบดบังความสวยก็ตาม
เมื่อเห็นผู้มาเยือนคือแขกที่มาพักอาศัยชั่วคราวนิ้วเรียวยาวก็ค่อยๆดึงผ้าปิดปากกลับมาใส่ดั่งปกติ
“…ทำไมท่านยังไม่นอนหละ...”
ชายหนุ่มไม่ตอบอะไรเพราะเขารู้ว่าหญิงสาวก็แค่ถามส่งๆ ขายาวเดินมานั่งอยู่ข้างหญิงสาวและมองไปทางเดียวกับที่ร่างเล็กมอง ดวงจันทร์เต็มดวง....และท้องฟ้ายามราตรีที่มีดวงดาวมากมาย
“ที่เมืองของท่านยามราตรีเป็นเช่นนี้รึเปล่า?”
“เฉกเช่นนี้…แต่...ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็จะมีแต่ดวงดาวและทางช้างเผือก”
“งั้นหรอ...ข้านะหลงไหลในความลึกลับของมันมากๆเลยหละ...”
ตาคมเหลือบไปมองทางหญิงสาวที่นั่งนิ่งๆปล่อยให้ยาสูบไหม้ไปเรื่อยๆ ผ่านไปเกือบนาที แต่ทั้งห้องก็ยังมีแต่ความเงียบ มีเพียงเสียงแมลงที่ร้องตลอดเวลาเป็นจังหวะ แต่ไปป์ก็ยังคงถูกถืออยู่อย่างเดิมกลิ่นไหม้ของยาสูบจากที่ตอนแรกแสบจมูกก็กลับกลายเป็นหอมหวานแทนสะแล้ว...
“ดูเหมือนข้าจะรบกวนเจ้า...งั้นข้าขอตัวก่อนนะ”
“…ไม่ต้องหรอก อยู่เป็นเพื่อนข้าก่อนสิ...”
“เข้าใจแล้ว....”
“...ทำไมท่านถึงปิดบังใบหน้าที่แท้จริงไว้หละ? บุรุษผู้เป็นเชื้อกษัตริย์ที่หญิงสาวหลายคนหลงไหลในความงามกลับมาปกปิดใบหน้าของตนเอง...”
มือเรียวยกไปป์ขึ้นมาในระดับริมฝีปาก แต่กลับไม่สูบมันเพียงแต่จ้องยาสูบที่ไหม้ต่อไปเรื่อยๆ
“…ในดินแดนทะเลทรายยังมีอีกหลายอาณาจักรขนาดเล็ก บุคคลเหล่านั้นเมื่อรู้ว่าเมืองข้าถูกยึดก็หมายที่จะตามล่าข้า เมื่อใดปิศาจแห่งทรายหายไปคนเหล่านั้นก็หวังจะยึดทรัพย์สินและเมืองขนาดใหญ่เป็นของตนเอง ข้าจึงปิดบังใบหน้าและหลบหนีอยู่ตัวคนเดียวตลอด...แล้วเจ้าหละ?”
ชั่วขณะดวงตาสีอำพันเสมองมาทางชายหนุ่มก่อนนิ้วเรียวจะยกขึ้นดึงผ้าปิดปากของตนออก ปลายไปป์ขยับไปจ่อที่ปากบางก่อนจะทำการสูบมันอีกครั้ง
การกระทำนี้ทำให้ชายหนุ่มอึ้งเป็นอย่างมาก แต่ที่น่าตกตะลึงกว่านั้นก็คือใบหน้าที่ถูกซ่อนไว้ใต้ผ้าปิดปากตลอดเวลา จมูกโด่งได้รูปและริมฝีปากบางที่กำลังเผยอออกหน่อยเพื่อพ่นควันขาวสู่อากาศ
“ในตอนที่ตัวข้ายังเป็นเด็ก ข้ามักจะยิ้ม...ยิ้มอย่างมีความสุข แต่พอมันถูกทำลายไป...ความเศร้ากลับถาโถมเข้ามามากกว่าเดิมหลายเท่า ข้าเลยอยากปกปิดความรู้สึกเอาไว้ ไม่ให้คนอื่นรู้...เพื่อจะได้ไม่ต้องเจ็บปวดมากกว่าปกติ....”
“.........เจ้าอยากเห็นใบหน้าที่แท้จริงของข้าไหม”
ชายหนุ่มลุกขึ้นก่อนจะลงไปยืนที่พื้นหินแทน ร่างสูงค่อยๆโน้มตัวลงมายืนคร่อมหญิงสาวที่นั่งกับพื้นระเบียง ดวงตาสีน้ำตาลเข้มกำลังเป็นประกายดั่งนักล่าจ้องมองใบหน้าอันสมบูรณ์แบบและจมูกโด่งและริมฝีปากบางที่มีสีแดงชมพูแต้มอยู่ยิ่งดึงดูดให้ชายหนุ่มหลงคนตรงหน้ามากขึ้นกว่าเดิม
ราวกับเวลาถูกหยุดไว้ ไม่มีใครพูด ไม่มีใครขยับ มีเพียงแต่ควันจากการเผาไหม้และเสียงแมลงที่บอกให้รู้ว่าเวลาไม่ได้หยุดและกำลังเดินต่อไป
มือขาวสวยยกขึ้นสัมผัสกับสันกรามหนาที่เห็นได้ชัดแม้จะถูกปิดด้วยผ้าคลุมก็ตาม นิ้วเรียวสวยเลื่อนไปเกี่ยวผ้าปิดปากสีดำก่อนจะค่อยๆดึงออกอย่างช้าๆไม่รีบร้อน
บัดนี้ใบหน้าอันเป็นความลับได้ปรากฏต่อหน้าหญิงสาวแล้ว ดวงตาสีอำพันเบิกโพรงและเป็นประกายมากกว่าเก่าเมื่อได้เห็นใบหน้าสัดส่วนทองคำของชายหนุ่ม สันกรามที่คมเข้มจนเห็นรูปร่าง จมูกโด่งยาวได้รูป ริมฝีปากหนาเป็นกระจับ
----- [ตั้งแต่ตรงนี้มีการแก้ไขเล็กน้อยนะคะ อย่าลืมอ่านด้วยน้า] -----
ตอนนี้ทั้งสองกำลังตกหลุมรักซึ่งกันและกัน ดวงตาของทั้งสองกำลังสะท้อนภาพของอีกคนอยู่อย่างไม่มีใครยอมใคร ใบหน้าหล่อคมค่อยๆเลื่อนใบหน้าลงไปใกล้กับหญิงสาวมากกว่าเดิมจนทำให้สัมผัสได้ถึงลมหายใจของอีกคน
“…”
“...”
ริมฝีปากของทั้งคู่ค่อยๆสัมผัสกันอย่างเชื่องช้า ไม่มีการขัดขืนและยังไม่มีรุกล้ำจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทั้งนั้น แขนยาวที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อข้างหนึ่งเลื่อนไปกอดเอวคอดให้ขยับมาใกล้กันมากกว่าเดิม ส่วนเรียวแขนขาวก็ยกขึ้นคล้องคอชายหนุ่มเอาไว้ เหมือนกับว่านี้จะเป็นเพียงครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่พวกเขาจะได้จูบกัน
จากจุมพิตธรรมดาร่างสูงก็เริ่มที่จะรุกล้ำฝั่งตรงข้าม ความไม่ประสีสาของหญิงสาวอดที่จะเอ็นดูไม่ได้ กลิ่นของยาสูบกำลังคละคลุ้งอยู่ในปากของทั้งคู่ทำให้รู้สึกผ่อนคลายและเคลิบเคลิ้มไปกับมัน
มือขาวที่คล้องคอเริ่มกำเสื้อแน่นขึ้นเพราะความตื่นเต้นและหวาดกลัวในส่วนลึกๆ เหมือนเลือดกำลังสูบฉีดดั่งตอนอยู่ในสนามรบ และความรู้สึกหลายๆอย่างกำลังถาโถมเข้าสู่หญิงสาว จนสุดท้ายก็ต้องดันตัวชายหนุ่มออก
“…พะ..พอก่อนเถอะ ”
“……ปากเจ้าบวมหมดแล้ว ข้าขอโทษนะ”
มือหยาบผละออกจากเอวคอดเลื่อนไปสัมผัสที่กลีบปากร่างเล็กเบาๆราวกับว่าถ้าสัมผัสรุนแรงสิ่งๆนี้จะต้องพังทลายหายไปในทันที
“…ข้าว่าเราแยกย้ายกันเข้านอนเถอะ มันดึกมากแล้ว”
หญิงสาวรู้สึกได้ถึงความรู้สึกแปลกๆ มันรู้สึกดีแต่ก็กลัว หากมันกลายเป็นเหมือนเหตุการณ์ในอดีตที่เราต้องเสียใจภายหลังมันจะเจ็บเพียงใด...เมื่อคิดได้นักรบสาวก็ผละตัวออกแล้วลุกขึ้นยืนจัดการยกถาดชาไปเก็บไว้ในห้อง
“…เดี่ยวก่อน..’ไอริ’ ”
เท้ายาวรีบก้าวไปหาหญิงสาวเพียงไม่กี่ก้าวก็ถึงตัวแล้ว มือหยาบข้างนึงโอบเอวบางให้ร่างกายชิดกัน อีกข้างก็เชยคางหญิงสาวให้เงยหน้าขึ้นมาในระดับสายตา
เป็นรอบที่สองที่ริมฝีปากได้สัมผัสกัน แต่ต่างจากคราวที่แล้วที่กลับรุกล้ำอย่างรุนแรงจนหญิงสาวตั้งรับไม่ทัน แต่ก่อนชายหนุ่มจะผละตัวออก ก็ฝากรอยกัดไว้ที่ริมฝีปากล่างจนมีแผลขนาดเล็ก
“โอ้ย!….”
เมื่อยกมือขึ้นไปแตะดูก็มีหยดน้ำสีแดงติดที่ปลายนิ้ว นิ้วหยาบกร้านของชายหนุ่มสัมผัสกับกลีบปากล่างที่มีแผล
“ข้าอยากจะเป็นผู้เดียวที่ได้เห็นใบหน้าของเจ้า...ได้โปรด”
“หึ…ในโลกนี้ไม่ได้มีอะไรที่ได้มาฟรีๆหรอกนะท่าน”
จู่ๆควันของยาสูบก็ถูกพ่นใส่หน้าของชายหนุ่ม ภาพก่อนที่จะถูกควันขาวบดบังคือรอยยิ้มของหญิงสาวก่อนจะดึงผ้าปิดปากปิดใบหน้าครึ่งล่างตามเดิม กว่าควันจะหายไปร่างของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย เหลือเพียงแต่ร่างสูงที่อยู่ภายในห้องขนาดใหญ่เพียงคนเดียว
แผนที่ขนาดใหญ่ถูกวางอยู่บนโต๊ะกว้างกลางห้องประชุม ตัวหมากไม้ที่ถูกแกะสลักอย่างพิเศษถูกวางอยู่บนแผนที่ไว้แทนจุดและตำแหน่งสำคัญ
“เราจะตั้งค่ายพักทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ห่างจากเมือง4กิโลเมตร บริเวณนั้นมีหอคอยสูงประมาณ8เมตรอยู่ ยอดสุดของหอคอยสามารถมองผ่านกำแพงเข้าไปในตัวเมืองได้”
ไม้ขนาดยาวลักษณะคล้ายไม้สนุกเกอร์ดันตัวหมากรูปเต็นท์ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ใกล้ใจกลางแผนที่ซึ่งก็คือเมืองของชายหนุ่ม
“แล้วเจ้าปิศาจนั้นจะไม่เห็นฐานทัพรึ?”
หญิงสาวผมเทาถามชายหนุ่มผู้เป็นคนวางแผนรูปแบบกองทัพในครั้งนี้
“บริเวณนั้นมีกองภูเขาทรายสูงประมาณ2เมตรอยู่ น่าจะช่วยบังได้อยู่”
“อืม…แล้วมีอะไรเพิ่มเติมอีกรึเปล่า?”
“การโจมตีของแอสแซนก้ารุนแรงก็จริง แต่ถ้าหากเราเข้าถึงตัวมันได้ก็ชนะได้แล้ว...เพราะฉะนั้นก็ต้องระวังเรื่องการเคลื่อนที่หนะ”
หญิงสาวพยักหน้า ก่อนจะสั่งแยกย้ายให้แต่ละหน่วยเตรียมตัวสำหรับการเดินทางในวันพรุ่งนี้ก่อนรุ่งสาง
“ ‘ไอริ’ อย่าพึ่งออกไปนะ...”
เมื่อเหล่าทหารออกไปจากห้องประชุมจนครบและหญิงสาวเองก็กำลังออกไป แต่ชายหนุ่มดันรั้งเธอไว้ก่อน หลังจากเรื่องในคืนนั้นก็ผ่านมาเกือบสัปดาห์แล้ว มูราจมักจะเรียกชื่อจริงของไอริเสมอเมื่ออยู่ด้วยกันสองต่อสอง ไอริเองก็เช่นเดียวกัน
“มีอะไรรึ?...”
“สมมุติว่า...ข้าสามารถทวงบัลลังก์ได้จะเกิดอะไรขึ้นบ้างนะ...”
ดวงตาสีน้ำตาลเข้มจ้องมองหมากรูปปราสาทและนาฬิกาทรายที่แทนอาณาจักรของเขากับปิศาจผู้ชั่วร้าย
“…..ท่านก็จะได้กลับไปเป็นกษัตริย์อีกครั้ง ครองราชสมบัติ แล้วก็ปกป้องบ้านเมืองของท่านอีกครั้ง"
“แล้วถ้าหาก.....มันกลับมาอีกครั้งด้วยพลังเวทย์อันยิ่งใหญ่กว่าเดิมละ”
เศษทรายตามพื้นค่อยๆลอยไปหามือหนาที่แบอยู่เป็นรูปของปิศาจแห่งทราย ดวงตาสีน้ำตาลเต็มไปด้วยแรงโทสะ มือหนากำแน่นจนเศษทรายกระจายหายไป เล็บแหลมจิกลึกเข้าไปจนห้อเลือด
“..ข้าจะเป็นคนไปช่วยท่านเอง”
ร่างเล็กเดินไปใกล้ชายหนุ่มก่อนจะค่อยๆจับมือข้างนั้นให้คลายออกแล้วกุมไว้เบาๆเหมือนกลัวมันจะฟกช้ำและเป็นแผล
“ไปพักผ่อนเถอะนะ มูราจ...อย่ากังวลไปเปล่าๆเลย”
เข็มนาฬิกาสั้นชี้ไปที่เลข2บนหน้านาฬิกา ขบวนกองทัพขนาดกลางเริ่มเดินทางไปสู่ทะเลทรายในตอนยังไม่ทันรุ่งสาง หญิงสาวนั่งอยู่บนอาชาสีขาว เงยหน้ามองท้องนภาสีน้ำเงินมืด หมู่ดาวมากมายส่องประกายสวยงาม ยิ่งเข้าใกล้เขตทะเลทรายก็ยิ่งเยอะมากขึ้นกว่าเดิม
“….ไอริ”
ชายหนุ่มผู้ขี่อาชาสีน้ำตาลที่อยู่หน้าสุดของขบวนเรียกเธอด้วยเสียงแผ่วเบา ทำให้หญิงสาวต้องเร่งม้าของตนให้นำหน้าเสมอกับบุรุษแห่งทะเลทราย
“เจ้าเคยเห็นทางช้างเผือกรึเปล่า?”
ใบหน้าหล่อเหลาเงยขึ้นมองท้องฟ้าก่อนรุ่งสาง ยิ่งห่างจากตัวเมืองดวงดาวยิ่งมากขึ้นกว่าเก่า ทำให้นึกถึงตอนที่ตนเองอยู่ในอาณาจักร
“..ไม่เคยหรอก แต่ท่านเคยบอกข้าว่าที่ทะเลทรายสามารถมองเห็นทางช้างเผือก...”
ชายหนุ่มไม่ได้ตอบอะไร บทสนทนาของทั้งคู่ก็จบลงเพียงเท่านี้ มีเพียงแต่เสียงลมพัดไปมารอบตัว ไม่เหมือนตอนที่เรือนญี่ปุ่นที่มักจะมีเสียงของแมลงที่ร้องตลอดทั้งคืน
“ไอริ…มองขึ้นไปบนฟ้าสิ”
ดวงตาสีอำพันมองขึ้นไปก็เจอกับหมู่ดาวมากมายและ...ทางช้างเผือก ภาพเหล่านั้นสะท้อนในดวงตาสีอำพันอย่างสวยงาม จักรวาลกับอัญมณีล้ำค่า... ร่างบางเงยหน้ามองอยู่อย่างนั้นเกือบ5นาที ความงดงามที่ไม่สามารถเห็นได้ในตัวเมือง ช่างเป็นของที่หายากเหลือเกิน...
ขณะเดียวกันไอริเองก็ไม่รู้ตัวว่ามูราจเองก็จ้องเธอมาตลอด
“มันสวยงามมากๆเลยหละ....จนอยากจะมองมันไปตลอดกาลเลย”
“หึ ก็อยู่กับข้าที่นี้ไปตลอดกาลซะสิ”
ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอและกระตุกยิ้มเบาๆเมื่อเห็นว่าหญิงสาวกำลังพยายามกลั้นยิ้มอยู่
“…”
“ไม่คิดจะตอบข้าหน่อยหรอ?”
ร่างสูงยังคงพูดหยอกล้ออีกคนเรื่อยๆด้วยอารมณ์สนุกที่ได้แกล้งให้อีกคนอาย แต่เขาไม่ได้แค่พูดเล่นๆหรอกนะ...หญิงสาวหัวเราะในลำคอก่อนจะก้มหน้าลงมามองทางข้างหน้าเหมือนเดิม
“ข้าไม่เหมือนเหล่านางสนมของท่านหรอกนะ ท่านกษัตริย์”
“ข้าไม่ได้มองเจ้าเป็นแบบนั้นซะหน่อย ไม่สนจะช่วยข้าทวงราชบัลลังก์แล้วมาเป็นจักรพรรดินีของข้ารึไง”
“แล้วถ้าตอบตกลงข้าต้องเป็นตำแหน่งไหนละ ต้องอยู่กับหญิงสาวกี่คนด้วย?”
คำถามนั้นทำให้ชายหนุ่มผมสีแสดเผลอหัวเราะออกมาอย่างหยุดไม่ได้
“แน่นอนว่า...จักรพรรดินี ตำแหน่งหญิงสาวสูงสุดของผู้อยู่เคียงข้างกษัตริย์ และจะเป็นแค่คนเดียวด้วย”
“หึ สาบานได้รึเปล่าละ?”
“สาบานด้วยเกียรติของเจ้าชายเลย”
หญิงสาวไม่ได้ตอบอะไรเพียงแค่ยิ้มออกมาภายใต้ผ้าปิดปาก...ในที่สุดกองทัพก็เดินทางมาถึงที่ตั้งฐานทัพ เหล่าทหารที่กำลังจัดการตั้งถิ่นฐานคงไม่ได้สังเกตุว่าผู้นำทัพทั้ง2หายตัวไป...
หญิงสาวอยู่บนจุดสูงสุดของหอคอยขนาดสูงจ้องมองไปยังอาณาจักรขนาดใหญ่ที่ห่างไปไม่ไกลจากตรงนี้ เพราะกำลังเหม่อลอยเลยไม่ทันสังเกตุว่าอดีตเจ้าของอาณาจักรตามหลังเขามา รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ชายหนุ่มเดินมายืนอยู่ข้างๆตนเองและจ้องมองไปยังอาณาจักรของตนเองเช่นเดียวกัน
“ตามข้ามาตอนไหน?”
“ตั้งแต่แรกแล้ว ดูเจ้าจะเหม่อลอยเกินไปนะ มันอันตรายรู้รึเปล่า...”
เมื่อได้คำตอบหญิงสาวก็หันน้ากลับไปมองยังอาณาจักรร้างต่อ
“…มูราจ”
“สวยใช่ไหมละ? สรุปให้คำตอบกับข้าได้รึยั----!”
จู่ๆหน้ากากสีดำของชายหนุ่มก็ถูกหญิงสาวดึงออก พอมองใบหน้าของคนข้างกายก็พบว่าหญิงสาวเองก็ถอดหน้ากากออกแล้วด้วย...เพียงชั่วครู่ริมฝีปากของทั้งคู่ก็สัมผัสกัน แต่ต่างจากครั้งก่อนที่ชายหนุ่มเป็นคนเริ่มกลายเป็นหญิงสาวเป็นคนเริ่มก่อนเอง
มือหยาบจากการจับอาวุธค่อยๆเลื่อนไปกอดเอวบางจนร่างกายของทั้งที่แทบจะชิดกันจนไม่มีช่องว่าง จูบที่ร้อนแรงดำเนินต่อไปเรื่อยๆจนร่างบางผละตัวออก แต่ก็ไม่ลืมที่จะแก้แค้นด้วยการฝากแผลโดยการกัดไปที่ริมฝีปากล่างจนชายหนุ่มเลือดออก
“โอ้ย…เจ้านี้มันดื้อจริงๆ”
ชายหนุ่มยกยิ้มแล้วหัวเราะในลำคอเมื่อรู้ว่าตนเองถูกเอาคืน
“ข้าบอกท่านแล้ว...ในโลกนี้ไม่ได้มีอะไรที่ได้มาฟรีๆ อ้อ...อีกอย่าง”
“…อะไรรึ?”
“ที่จะให้ข้าเป็นจักรพรรดินีของท่าน...อย่าลืมหาข้อแลกเปลี่ยนมาด้วยหละแล้วข้าจะรอนะ”
E N D .
บทนี้เขินอีกแล้ววว