เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
#ฉันจะมารีวิว : K-POP ALBUM REVIEWguemuihwanhyang
#ฉันจะมารีวิว : ATEEZ ‒ ZERO : FEVER PART.2
  • [#ฉันจะมารีวิว?]

    006. ATEEZ ‒ ZERO : FEVER PART.2

    Release: 2021/03/01
    Genre: Hip-hop dance, EDM-Trap, Pop


    ADVERTISEMENT

    ADVERTISEMENT



    > พูดแบบคนสัจจริงและขอยอมรับว่าเป็นแฟนคลับวงนี้แน่แท้ 100% แต่ก็ไม่ได้เข้าข้างหรืออัดฉีดซะมากมายเหมือนชาวบ้านชาวช่องที่เป็นแฟนคลับเหมือนกันแต่สิ่งที่รู้สึกให้การตอบรับและสมัครใจเป็นแฟนคลับของวงนี้อย่างแน่แท้คือศักยภาพที่เต็มไปด้วยคุณภาพคับแน่นและสไตล์แนวเพลงฉูดฉาดผสมผสานกับความเป็น hip-hop dance ลายเซ็นชัดเจนแจ่มแจ้งที่แค่ฟังเพียง 10 วินาทีก็รู้ทันทีหรือ performace ที่สามารถสะกดสายตาทุกคนบนเวทีให้หันมามองได้ว่านี่แหละคือ ATEEZ(เอทีซ) เรียกได้ว่าสร้างความประทับใจให้กับเหล่าสาวกชาวเคป็อบไม่น้อยเลยทีเดียวจากทั่วทุกมุมโลกภายในระยะเวลาไม่ถึง 3 ปี แต่มีหนึ่งสิ่งที่อยากบอก(คงใช้คำว่าความในใจได้เลยแหละ)หลังจากติดตามมาตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา กลับกลายเป็นว่าในมุมมองของเอทีซที่มันควรไปในทิศทางแห่งความก้าวหน้าเริ่มไม่ใช่ในแบบฟอร์มที่ปูทางมาตั้งแต่เริ่มต้นซะแล้วสิ

    > ไม่รู้ว่าความตั้งใจของโปรดิวเซอร์อย่างตาลุง EDEN(อีเดน) พยายามให้เอทีซไปในทิศทางไหนกันแน่เพราะตั้งแต่เริ่มต้น story ตัวใหม่อย่าง ZERO : FEVER เหมือนทุกอย่างเริ่มไม่ใช่สิ่งที่เป็นเอทีซต้นแบบขนานแท้ จากคนที่กล้าหยิบ storytelling ต่างๆจากหนังดังหลายเรื่องมาเล่าเรื่องให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเพลงในสไตล์ของวงทั้ง Alice in the Wonderland หรือ INCEPTION ที่เป็นทั้งชื่อซิงเกิ้ลโปรโมทในพาร์ทแรกของไตรมาสใหม่นี้มาผสมสานกับซาวนด์อิเล็กโทรนิกส์-ฮิปฮอปแดนซ์ในแบบของเอทีซได้แนบเนียบ อีกทั้งใน PART.1 เราได้รับรู้ถึงความเจ็บปวดจากความเป็นวัยรุ่นสูตร coming of age ที่พยายามตามหาความสุขเพื่อให้ตัวเองมีชีวิตอยู่ต่อไป การปลอบประโลมใจอย่าง FEVER ที่เป็นไตเติ้ลแทร็คกลับสรุปเรื่องทั้งหมดไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เมื่อความเจ็บปวดมันไม่สามารถหายไปจากโลกใบนี้ได้ แรงผลักดันจากสิ่งรอบข้างต่างๆสอนเราต้องเรียนรู้เพื่อที่จะได้เติบโตขึ้นและเข้าใจถึงความเจ็บปวดในอดีตที่ผ่านมา ท้ายที่สุดก็ต้องปล่อยวางให้มันเป็นบทเรียนที่สำคัญอีกหนึ่งอย่างในชีวิตของตัวเอง ตบท้ายด้วย One Day At The Time มองโลกในแง่ดีเผื่อสักวันมันจะมีเวลาที่ดีบ้าง แนวคอนเซ็ปของอีพีอัลบั้มพาร์ทแรกมันออกมาสมบูรณ์แบบโดยไม่ต้องไปคว้าแรงจูงใจหรือหยิบยืมงานสตอรี่เก่าๆมาเป็นตัวช่วยให้ผลงายออกมาถูกที่ถูกทางของมันด้วยซ้ำไป

    > แต่มิวายลุงแกก็ยังยืนกร่านที่จะทำมันต่อ!! การกลับมาของ PART.2 ขอสารพภาพตรงนี้เลยว่า ไม่ได้รู้สึกถึงเนื้อหาที่มันต่อเนื่องจากเดิมเลยด้วยซ้ำ นึกภาพตามเหมือนเราเห็นพวกวัยรุ่นก๋ากั่นโอ้อวดไปเรื่อยตามประสาผู้ชายแมนๆสาดพลังบวก(ไม่ใช่ในแง่ดีสักเท่าไหร่) เพียงแต่เพิ่มความเป็นแฟนตาซีลดละความเป็นเรื่องราวที่มนุษย์เข้าถึงได้ในสูตร PART.1 แต่ความเป็นแฟนตาซีก็ไม่ได้นำพาให้ผลลัพธ์ในพาร์ทนี้ดูยกระดับขึ้นมาเลยจริงๆ




    > เห็นได้ชัดเจนว่าพาร์ทนี้เนื้อหาสะเปะสะปะจากที่ตั้งเป้าหมายไว้ในครึ่งแรก Fireworks (I’m the one) จ่ๆประกาศสักดาไม่เกรงกลัวอะไรทั้งสิ้นเหมือนกับว่าสู้อยู่ในเปลวไฟแต่เนื้อหากับดีไซน์การร้องมันเหมือนเด็กไก่อ่อนที่อวดเก่งใช้ความเสียงใหญ่เข้าข่มเหงซะมากกว่า สิ่งที่ต้องขอบคุณและยกระดับเพลงนี้ออกมาน่าฟังหน่อยคือบีท edm-trap ที่ไม่ได้กระโชกโฮกฮากจนน่าเกลียดกับ verse rap ของมินกิ เป็นพาร์ทที่เนื้อหามาในแบบพอดิบพอดีไม่โอ้อวดจนรู้สึกว่าน่าหมั่นไส้ มีประสบการณ์มากขึ้นแถมโฟลว์แร็ปเด็กคนนี้ดูพัฒนาจากเดิมสูง ศิโรมบนน้องชายร่วมวงหน่อยมั้ยคิมฮงจุง?, The Leaders ภาคดนตรีเจ๋งแต่เนื้อหากับดีไซน์การร้องไม่ได้ต่างอะไรกับ TO THE BEAT สักนิดเดียว ค่อนข้างเฟลแฮะ

    > โอเคถึงสองแทร็คแรกมันออกนอกลู่นอกทางไปไกลโข แต่อย่างน้อยสิ่งที่ควรจะพูดถึงมันยังพอมีให้เราได้รับรู้และไม่ลืมที่จะพูดถึงเรื่องราวในความสำคัญของซีรี่ส์อัลบั้มนี้ Time of Love ทุกคนบนโลกล้วนเกิดมาไม่ใช่คนที่สมบูรณ์แบบแต่ความรักก็เป็นสิ่งสำคัญที่มาเติมเต็มให้ชีวิตเราก้าวต่อไปได้ ฟีลเหมือนเพื่อนนั่งล้อมวงเปิดอกคุยกันถึงเรื่องราวต่างๆในชีวิตอันเลวร้าย เหยาะด้วยซาวนด์ที่ให้ความเป็นเกมแบบยุคมิลเลนเนียลผสมผสานกับสไตล์สมัยใหม่, Take Me Home ดิสโก้ซินธ์ป็อบที่โคตรจะ The Weeknd style หาได้ยากและห่างไกลจากความเป็นเอทีซที่สุดแต่กลับกลายเป็นว่า เฮ้ย! แม่งเวิร์คว่ะ ด้วยเนื้อหาที่ต่อเนื่องกันจากแทร็คก่อนหน้าเลยเป็นการปลอบใจที่ถูกวิธีมากๆ รู้สึกว่าชีวิตนี้แม่งเจอแต่เรื่องแย่ๆก็แค่กลับบ้านพักผ่อนให้ตัวเองดีขึ้น บรรยากาศของเพลงกับความหมายมันเลยไปในทิศทางเดียวกัน ยกให้เป็นหนึ่งในแทร็คที่ดีสุดของเอทีซไปเลย แถมแซ็กโซโฟนได้เจสัน(Jason Lee)จากครอบครัว 8balltown มาร่วมแจมในช่วงท้ายเพลงด้วย เลือกคนได้ถูกจริงๆ, ส่วนเพลงสุดท้ายอย่าง Celebrate for you ATINY.




    > สิ่งที่ทำให้รู้สึกเอทีซเริ่มห่างไกลจากความเป็นตัวเองในแบบเฉพาะของวงจริงๆคือการ represent ใจความสำคัญที่หายไปอย่างธีมเรื่อง อีพีอัลบั้มนี้มันไม่ค่อยตีโจทย์ในด้านเนื้อหางานซีรี่ส์นี้สักเท่าไหร่ จากใจคนฟังทั่วไปที่เคยสนุกสนานกับการเล่าเรื่องราวของเอทีซ กลับกลายเป็นว่าคราวนี้เริ่มเบื่อหน่ายในการนำเสนอของเด็กทั้งแปดซะแล้ว ทุกอย่างมันเริ่มวนลูปด้วยความคิดที่เป็นเส้นตรงจนเกิดการซ้ำซากไม่ต่างอะไรจากวงบอยกรุ๊ปทั่วไปที่คัมแบ็คเอาแค่ความหวือหวาแค่แวบเดียวแล้วจางหายไปจนกลายเป็นถูกลืมในที่สุด ถึงจะมีตัวช่วยแทร็คดีๆพอให้ดึงดูดความน่าสนใจบ้างแต่มันก็ไม่ช่วยอยู่ดี

    > เปรียบเทียบกับวงที่อยู่ในระดับไล่ๆกันอย่าง ทีเร้ก(TXT) ที่ตัวภาพดนตรียังทำออกมาได้ไม่แตกฉานเท่าบวกกับสไตล์ที่ยังพอมีติดสูตรพี่ชายร่วมค่ายบ้างแต่ด้านเนื้อหากลับ represent ได้สนุกและลื่นไหลกว่าหลายเท่า ผิดกับเอทีซ ณ ตอนนี้ที่แบนราบซะหมดความน่าสนใจ อายุวงยังน้อยความสนุกยังอีกยาวไกลแต่ความคิดทางการนำเสนอเรื่องราวมันเริ่มหมดไฟไวเกินไปหน่อย ผลพวงของการรีบนำเสนอแบบเร่งรัดในซีรี่ส์ TREASURE คงจะส่งผลต่ออัลบั้มในพาร์ทต่อไปอย่างแน่นอนหรือถ้าคิดได้ก็คงอาจจะกลับมาแก้เกมพลิกจากหลังมือเป็นหน้ามือแทน

    .
    .
    .

    “คำเคลมที่ว่าจะสร้าง universe เอทีซให้เป็น movie style ยังคงห่างไกลจะเอื้อมถึง”

    (4.5/10)
    Top Tracks: Time of Love, Take Me Home

    thank u for reading ?
    ถ้ามีคำหรือประโยคไหนที่ใส่มาเพื่อความอรรถรสแล้วไม่ถูกใจผู้อ่านทุกท่านขออภัย ณ ที่นี้ด้วยจ้า






    ขออนุญาตฝากเพจตัวเองเล็กน้อย ถือว่ากดไลก์เป็นกำลังใจอันเล็กน้อย
    https://facebook.com/chanjamareview

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in