ฉันยืนมองนาฬิกาอีกทีเพื่อให้แน่ใจว่านี่คือเวลา 13.05 จริงๆ พร้อมขยับร่มในมือและอ่านป้ายข้อความที่แขวนไว้หน้า Guest House Kaine ที่พวกเราสี่คนจะมาพักคืนนี้ ป้ายบอกเราว่าเขาหยุดพักช่วง 13.00-15.00 ซึ่งแน่นอนการมาช้าไป 5 นาทีย่อมไม่มีผลจะไปต่อรองอะไรกับความเที่ยงตรงของคนญี่ปุ่นได้ พวกเราสี่คนมองหน้ากัน แล้วก็คิดว่าจะทำอย่างไรดีนะกับกระเป๋าที่แบกมาจากสนามบิน Fukuoka แล้วยังสายฝนที่ตกปรอยๆที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
ฉันรู้สึกเจ็บใจกับตัวเอง เพราะเป็นคนรับผิดชอบเกี่ยวกับการจองที่พัก ติดต่อกับพนักงานที่พักต่างๆเองของทริปนี้ แล้วจริงๆ คนของ Guest House ก็บอกรายละเอียดเงื่อนไขมาแล้ว แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ฉันก็ลืมเรื่องนี้ไปซะหมด ทั้งๆที่พวกเรามาถึงสนามบินตั้งแต่ 9 โมงนิดๆด้วย Jetstar แต่พวกเราก็ไม่ได้อยากรีบร้อนอะไร จึงใช้เวลาอยู่ที่สนามบินนานจนนึกว่าจะนอนค้างกันอีกรอบ ไม่ว่าจะทำการล้างหน้า แปรงฟัน เข้าห้องน้ำ จัดการธุระที่ต้องพึงกระทำ กินอาหารเช้า ดื่มกาแฟ แล้วก็เอา Pocket Wifi ด้วย
ไอ้ที่บรรยายมาก็ยังไม่หมดนะ ยังมีกิจกรรมอย่างอื่นต่อ คือประมาณว่าเวลาน่ะไม่ได้เป็นไปตามแผนแล้ว แต่การซื้อบัตรที่จำเป็นต้องใช้ก็ยังต้องเป็นไปตามแผ่น บัตรที่ว่ามานี้คือ บัตรที่จะใช้ขึ้น Subway และรถไฟเพื่อไป Dazaifu เป้าหมายการเที่ยวของเราวันนี้ (ข้อมูล:
One-Day Pass Fukuoka City and Dazaifu) เราเลือกที่จะซื้อที่สนามบิน เพราะจะได้ใช้เดินทางขึ้นรถไฟจากสนามบินไปยัง Guest House ได้เลย เวลาซื้อต้องเอา Passport ไปยื่นให้ครบทุกคนที่ซื้อด้วย
แล้วนี่คือสาเหตุที่ทำให้พวกเราสี่คนต้องมายืนกางร่ม ลากกระเป๋า อยู่หน้าเกสท์เฮาส์ที่ประตูปิด โดยนึกไม่ออกว่าจะทำอย่างไรกันดี แต่ด้วยสัญชาติญาณเอาตัวรอด ก็มีคนเสนอว่าให้แก๊ป ผู้ที่พูดภาษาญี่ปุ่นได้ดีระดับหนึ่ง ลองถามคนญี่ปุ่นที่เดินไปมา เพื่อขอใช้โทรศัพท์โทรเข้าโฮสเทล เผื่อจะมีคนอยู่ ซึ่งแก๊ปซังก็ไม่ทำให้ผิดหวัง รวมถึงสาวญี่ปุ่นใจดีที่ก็ให้เรายืมใช้มือถือแต่โดยดี เธอคงไม่สามารถปฏิเสธสายตาเว้าวอนของหญิงต่างชาติสี่คนที่จ้องมองเธอได้
สุดท้าย Finally คนของโฮสเทลก็ยอมลงมาเปิดให้เราเข้าไปฝากกระเป๋าได้ ถึงหน้าตาจะดูไม่ค่อยพอใจ แต่พวกเราก็ไม่กล้าจะพูดอะไรมาก เพราะเป็นฝ่ายผิดเต็มประตู คุณเธอถึงกับย้ำว่า จะปิดอีกทีตั้งแต่สี่ทุ่มนะ เหมือนจะให้พวกเรารู้ว่า ถ้ามาช้ากว่านี้ จะ Check in ไม่ได้นะ พวกเราก็รับปากรับคำแบบสงบเสงี่ยมที่สุด
เมื่อตัวเบากันแล้ว พวกเราก็พยายามจะทำตามแผนซึ่งก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร แต่ก็รู้อยู่แล้วล่ะว่าไม่น่าจะไปได้ครบอย่างที่ตั้งใจ เป้าหมายของเราคือไป Dazaifu ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆใน Fukuoka การเดินทางก็ไม่ยากเย็น แต่แอบมีทำให้หลงกับการเปลี่ยนชานชาลาระหว่างต่อรถไฟ แต่อย่างว่านะ การมาเที่ยวก็ต้องมีหลงกันบ้างสิคะ ไม่งั้นจะเรียกว่าเที่ยวเองเหรอ ถ้ามันราบรื่นไปหมดตลอด
แต่ก็ด้วยความที่อะไรก็ไม่เป็นไปตามแผนนอกจากสถานที่ที่จะไป แต่เวลาอย่าไปนึกถึงมัน เมือเราตามรอยไปถึงร้านอุด้ง ก็เจอชายหนุ่มกำลังทำเหมือนเก็บโต๊ะ พอถามเขา เขาบอกว่า หมดแล้วจ้าาาา พวกเรานี่เฟลกันมากนะ เพราะตั้งความหวังไว้ แล้วก็เริ่มหิวแล้วด้วย คราวนี้ต้องหาของกินกันล่ะ ก็มาจบที่ร้านข้าวคาเร่ ที่หน้าตาเมนูดูน่าทาน บอกเลยว่าเราไม่ได้คาดหวังอะไรกันมาก แต่ไปๆมาๆกลับเป็นร้านที่น่าจดจำร้านหนึ่งในทริปนี้ ด้วยแกงคาเร่ที่อร่อยกลมกล่อมกำลังดี น่องไก่ที่ได้มาก็กินง่ายมากกกกก อยากจะใส่ ก ไก่สักล้านตัว คือกินจนเกลี้ยง ไอติมชาเขียวที่เป็นของหวานก็รสชาติเข้มตัดกับน้ำหวานที่ราด ส่งท้ายมื้อได้งดงามมากๆ
อีกหนึ่งมุมที่ดังของ Dazaifu คือร้าน Starbucks ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
เราเดินผ่านร้านค้าที่มีทั้งร้านขนมและขายของที่ระลึก ซึ่งทีต้องกรี๊ดสำหรับพวกเราคือร้านขายของ official Ghibli Studio ที่เห็นแล้วทนไม่ได้จะต้องมีแวะ แต่เนื่องจากเวลาจำกัด พวกเราเลยต้องทำใจเดินผ่านไปเพื่อมุ่งไปยัง Tenmangu Shrine
Tenmangu Shrine หรือศาลเจ้าเทงมังกุเป็นที่นิยมสำหรับนักเรียนนักศึกษากันมาก ซึ่งจะมาขอพรให้สอบผ่านและก็มาแวะเวียนซื้อพวกเครื่องรางที่เน้นไปในเรื่องการเรียนเช่นกัน บรรยากาศรอบศาลเจ้าก็น่าประทับใจด้วยสะพานที่นำเข้าสู่ตัวศาลเจ้า และความเขียวของต้นไม้รอบๆ
จริงๆ จากเทนมังกุ เราตั้งใจจะไปวัดที่มีชื่อเสียงของที่นี่ต่อ แต่เพราะแผนไม่ได้มีไว้ให้เราทำตาม เนื่องจากเวลาหมด วัดปิด พวกเราก็เลยไม่ได้ไป แล้วพอจะย้อนออกมาเดินซื้อของ ร้านก็ปิดกันเกือบหมด พวกเราก็เลยนั่งรถไฟกลับมาที่โฮสเทลกันตามระเบียบ แต่ก่อนจะเข้าไปเช็คอิน ก็ขอหาอาหารรองท้องมื้อเย็นครอบคลุมถึงดึก ซึ่งแน่นอนไม่มีที่ไหนดีงามเท่าร้านสะดวกซื้อของญี่ปุ่น ตอบโจทย์ของราคาไม่แพงแต่อร่อยได้ตลอด
มื้อเย็นปิดท้ายค่ำคืนนี้ของข้าพเจ้า ด้วยปลาหมึกย่างและน้ำพีชจากร้าน Lawson
บอกเลยว่ามันคือความดีงาม นอนหลับฝันดีค่ะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in