เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
SF | ambrosialzd__gim
Water
  • Water – รสจืด

    Theme song; Snowman (Slowed)


    คำเตือน; ในรสนี้เกี่ยวกับตำนานจ๋าๆ เลยนะคะ อาจจะน่าเบื่อไปบ้างเนอะ ;___;



    Don’ t cry, snowman, not in front of me

    Who’ ll catch your tears if you can’ t catch me, darling

    If you can’ t catch me, darling





    ‘เขาไม่มีโอกาสที่จะหายเป็นปกติเลยเหรอคะ คุณหมอ…’



    ‘ผมเสียใจที่ต้องพูดแบบนี้..แต่ไม่มีโอกาสเลยครับ เพราะมันติดตัวเขามาตั้งแต่กำเนิด…เราไม่สามารถแก้ไขอะไรได้เมื่อเขาเกิดมาแล้ว’



    ‘ฉะนั้นคุณแม่..ต้องดูแลซาโตรุให้ดีที่สุด รู้ใช่ไหมครับ’



    โรคผิวเผือก... เกิดจากความผิดปกติทางพันธุ์กรรม หรือการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมที่ผิดปกติ ซึ่งควบคุมโดยยีนด้อย ถึงแม้จะดูจากภายนอกที่ทั้งพ่อและแม่จะมีลักษณะปกติ แต่ถ้าหากทั้งคู่มียีนด้อย ซึ่งมีลักษณะผิดปกติแฝงอยู่หรือเรียกได้ว่าทั้งพ่อและแม่เป็นพาหะของลักษณะผิดปกตินั้น ลูกก็มีโอกาสได้รับยีนผิดปกตินั้นทั้งคู่ได้



    หญิงสาวอุ้มทารกน้อยแนบอก ภายในคฤหาสน์โอ่อ่าหลังใหญ่ที่ถูกก่อสร้างแบบสไตล์ญี่ปุ่นยุคสมัยดั้งเดิม ตระกูลโกะโจ นับว่าเป็นหนึ่งในตระกูลของผู้มีอิทธิพลในยุคโบราณและยุคสงครามโลก พวกเขามีอำนาจและมีบทบาทต่อสังคมสืบเนื่องกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ในบรรดาสามตระกูลที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น หนึ่งในนั้นมีตระกูลโกะโจด้วยเช่นกัน



    ไม่เคยมีใครทำให้ตระกูลที่ยิ่งใหญ่นี้เสื่อมเสียมาก่อน ...แต่เธอกลับมีความกังวล ยามเมื่อก้มลงมองดวงหน้าเล็กของเด็กชายที่กำลังหลับสนิทอยู่ในอ้อมแขน เขาถูกห่อด้วยผ้าสีขาวนุ่มสะอาด ผิวสีขาวซีดราวกับไข่ขาว แพขนตางอนสวยรับกับแก้มนิดจมูกหน่อย ทุกอย่างล้วนเป็นสีขาวสะอาดและดูเปราะบางราวกับดอกหญ้า เขาไม่ต่างจากบุตรที่สวรรค์ประทานให้มาเกิดบนโลกใบนี้



    โกะโจ ซาโตรุ ลืมตาดูโลกขึ้นมาพร้อมกับพรสวรรค์และโรคร้าย เขาช่างมีดวงตาที่งดงามไม่เหมือนใครในโลกนี้ ร่างกายที่เป็นสีขาวแทบทุกส่วนทำให้เขากลายเป็นสิ่งเลอค่าที่สุดในชีวิตของเธอ แต่กลับมีใครบางคนไม่ได้รู้สึกยินดีกับการที่เด็กน้อยได้เกิดมา บ้างก็ว่า ซาโตรุเป็นปีศาจร้ายมาเกิด บ้างก็ว่า เขาเป็นตัวกาลกิณีของตระกูล หญิงสาวผู้เป็นแม่พยายามข่มตาลง หักห้ามอยาดน้ำใสที่กำลังคลออยู่ในดวงตาไม่ให้รินไหลในยามที่ลูกของเธอกำลังหลับ ลูกน้อยของเธอไม่ใช่ปีศาจหรือกาลกิณี ลูกน้อยของเธอก็เหมือนมนุษย์ทั่วไป เพียงแค่เขาเป็นหนึ่งในล้านที่เกิดมาเป็นเช่นนี้ เพียงแค่เขาเป็นยอดดวงใจของเธอ.. และเธอไม่อาจละทิ้งซาโตรุได้



    Don’ t cry, snowman, don’ t leave me this way

    A puddle of water can’ t hold me close, baby

    Can’ t hold me close, baby



    “นานามิ จะพาผมไปที่ไหน”



    เสียงของเด็กชายคนหนึ่งดังขึ้น และถูกแทรกด้วยเสียงฝีเท้าสม่ำเสมอของชายหนุ่มร่างโปร่งที่กำลังเดินขึ้นบันไดหินภายในป่าที่เงียบสงบ บรรยากาศโดยรอบพาให้รู้สึกเยือกเย็น แต่ก็รู้สึกสงบภายในเวลาเดียวกัน มันถูกปกคลุมไปด้วยผืนป่าสีเขียวชอุ่ม ได้ยินเสียงนกและแมลงอยู่ตลอดทางขึ้นบันได ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีทองตัดแต่งอย่างเรียบร้อย กำลังจูงมือเล็กของเด็กชายในเสื้อฮู้ดแขนยาวและกางเกงขาสั้นให้เดินตามไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง บันไดทางขึ้นไปยังศาลเจ้าท้ายหมู่บ้านถูกสร้างขึ้นมาตัดผืนป่าบนภูเขาทำให้บริเวณโดยรอบมีเพียงป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ สีเขียวรายล้อมรอบตัวบ่งบอกถึงความสงบเงียบที่นานามิชอบเป็นที่สุด ต้นไม้ใหญ่ที่คาดว่าน่าจะมีอายุมากกว่าคุณปู่ของนานามิยืนต้นสูงใหญ่ตลอดทางเดิน บดบังแสงแดดยามบ่ายให้อ่อนลง ทิ้งเพียงเงาของกิ่งไม้และใบไม้ที่กำลังเคลื่อนไหวตามแรงลมอย่างแผ่วเบาบนพื้นบันไดหินเก่า



    พี่เลี้ยงเด็กอย่างนานามิโล่งใจไปเปลาะหนึ่งที่คุณหนูซาโตรุคงจะไม่โดนแดดมากจนเกินไป... เพราะเด็กชายข้างกายเขานั้นไม่เหมือนกับคนปกติทั่วไป ด้วยโรคที่ติดตัวมาแต่กำเนิดนั้น ทำให้ต้องได้รับการดูแลยิ่งกว่าใคร ร่างกายอันขาวสว่างนั้น ยามต้องแสงแดดมากเกินไปก็เสี่ยงจะเป็นโรคผิวหนังได้ง่าย อีกทั้งดวงตาแสนงดงามนั้นก็ช่างอ่อนแอต่อความสว่างเหลือเกิน เด็กชายต้องสวมแว่นกันแดดอยู่ตลอดทุกครั้งที่ต้องออกแดด ต้องสวมเสื้อผ้าที่มิดชิดอยู่ตลอดเวลาเพราะร่างกายที่เปราะบางราวกับปุยนุ่น เมื่อโดยน้ำก็เปียกชุ่ย เมื่อสัมผัสของร้อนก็ถูกเผาไหม้อย่างง่ายดายและหายไปในพริบตา ทั้งสภาพร่างกายที่ไม่ค่อยแข็งแรงนั้นทำให้มีภูมิต้านทานต่ำมาก และเสี่ยงติดเชื้อโรคได้ง่ายกว่าคนปกติ



    “ศาลเจ้าอิทาโดริ”



    นานามิเอ่ยตอบเด็กน้อย เมื่อรู้ตัวว่าตัวเองเอาแต่เดินเงียบนานเกินไปแล้ว เขาหันไปมองร่างของเด็กชายที่เดินตาม ดวงตาสีฟ้าประกายนั้นมองไปโดยรอบแต่ก็ยังคงสงบนิ่ง นอกจากจะมีรูปลักษณ์ภายนอกที่โดดเด่น ซาโตรุกลับมีอุปนิสัยที่แตกต่างจากเด็กในวัยเดียวกันอย่างสิ้นเชิง เขาไม่ใช่เด็กเรียบร้อย ยังคงมีความซนตามวัย เพียงแต่เขามีความคิดที่แตกต่างจากเด็กอายุแปดขวบ ด้วยคำพูดคำจา หรือทัศนคติที่โตกว่าวัยนั้น มักจะทำให้นานามิประหลาดใจอยู่เสมอว่า โกะโจ ซาโตรุ เป็นผู้ใหญ่ที่กลับมาเป็นเด็กหรือเปล่า



    “ศาลเจ้าอะไรอยู่ในป่าแบบนี้”



    นานามิหัวเราะในลำคอ ขนาดเด็กยังพูดแบบนี้ เขาเองก็ไม่เข้าใจคนสร้างในสมัยหนึ่งร้อยปีที่แล้วเหมือนกัน แต่ในตอนนี้ ศาลเจ้าแห่งนี้กำลังขาดการดูแลรักษา เนื่องจากตั้งอยู่ในพื้นที่ป่าและห่างไกลจากหมู่บ้านมาก มันถูกสร้างอยู่บนภูเขาท้ายหมู่บ้านและเต็มไปด้วยป่ารกทึบ บรรยากาศไม่น่ามาเดินเที่ยวเล่นเท่าไหร่นัก เขาคิดว่าอีกไม่นานที่แห่งนี้ก็อาจจะถูกปล่อยร้างไปตามกาลเวลา เพียงแต่ศาลเจ้าแห่งนี้พ่วงมาด้วยตำนานต่างๆ มากมายที่คนเฒ่าคนแก่ภายในหมู่บ้านต่างรู้จักกันดี เกี่ยวกับเรื่องราวของศาลเจ้าแห่งนี้ที่เป็นผู้ดูแลปกปักรักษาภูเขาและหมู่บ้านในอดีต ในตอนที่เขายังเป็นเด็ก ก็มักจะได้ยินตำนานนี้อยู่บ่อยครั้งจากคุณย่าของเขาเอง



    “อยากฟังตำนานของศาลเจ้านี้ไหม?”



    “อยาก” โดยทันทีที่เขาเสนอ ดวงตาเป็นประกายแวววับทันทีที่จะได้ฟังเรื่องเล่า เรียกเสียงหัวเราะในลำคอของชายหนุ่มได้ไม่ยากเย็น



    “กาลครั้งหนึ่ง..” นานามิเริ่มเล่าขณะที่เท้าก็ยังคงเดินย่ำขึ้นบันไดที่ทอดยาวไปสู่ศาลเจ้า “มีชายหนุ่มลูกของชาวนาผู้หนึ่ง เขามีหน้าตาที่หล่อมาก แต่เสียดายที่เป็นคนเจ้าชู้ เสือผู้หญิงสุดๆ เลยล่ะ..วันหนึ่งเขาดันไปได้เสียกับหญิงม่ายคนหนึ่งเข้า ชายคนนั้นก็ทำทีเป็นรักนาง ดูแลสารพัด เพราะเธอคอยเลี้ยงดูและทำกับข้าวให้กิน ..จนเวลาผ่านไปนานเข้า สุดท้ายเสือผู้หญิงยังไงมันก็เป็นเสือ..เขาก็แอบไปคบชู้กับสาวอื่นที่ต่างหมู่บ้านและถูกหญิงม่ายจับได้ ในตอนนั้นความจริงทุกอย่างได้ถูกเปิดเผยแล้วว่า จริงๆแล้ว หญิงม่ายแก่ๆ นั้นคือ เทพธิดาที่คอยปกปักรักษาภูเขาแห่งนี้ เธอโกรธเกรี้ยวและเสียใจมาก จึงสาปให้ชายหนุ่มคนนั้นกลายเป็นเสือโคร่งปีศาจ และไม่มีทางกลับมาเป็นมนุษย์ได้อีกตลอดกาล”



    “ความรักนี่มันบิดเบี้ยวจังเลยนะครับ..”



    ซาโตรุที่เดินไปฟังไปเอ่ยขึ้นมาบ้าง เป็นภาพที่เคยชินสำหรับนานามิพอสมควร เขามักจะเล่าเรื่องราวอันแสนหดหู่เช่นนี้ให้แก่ซาโตรุฟังอยู่บ่อยครั้ง น่าแปลกใจสำหรับคนอื่นที่เห็นเพราะเด็กชายเจ้าของเรือนผมสีขาวสว่างนั้นไม่ได้แสดงท่าทีหวาดกลัวหรือร้องไห้ออกมาเหมือนกับเด็กในวัยเดียวกัน ซ้ำยังแสดงความเห็นร่วมด้วยราวกับมันเป็นเรื่องราวในชีวิตประจำวัน และในบางครั้งเขาก็เห็นเด็กชายข้างกายกำลังอ่านหนังสือเกี่ยวกับวิทยาศาตร์หรือทฤษฎีต่างๆ ที่ไม่ใช่การวาดภาพระบายสีเสียด้วยซ้ำ



    “ก็ไม่เชิงหรอก” เขาเอ่ยเมื่อเดินมาได้สักพักก็เริ่มมองเห็นตัวของศาลาไม้เก่าที่ยอดเขา “เขากลายเป็นปีศาจที่หลบซ่อนตัวอยู่แต่ในป่า ชาวบ้านมักจะเห็นบ่อยๆ ในตอนกลางคืน ลือกันว่ามีเสือโคร่งยักษ์อยู่บนภูเขา เคยมีคนเอาปืนมาไล่ล่าแต่ก็ไม่ตาย เขาบอกว่าเป็นเสือปีศาจ แต่ไม่เคยทำร้ายคนธรรมดา ส่วนใหญ่คนที่เจอเสือโคร่งนี้จะเป็นโจรหรือคนไม่ดีเท่านั้น ชาวบ้านเลยขึ้นมาทำศาลให้ในตอนกลางวัน อ้อ...มีเคล็ดอีกอย่างนะที่ได้ยินมา”



    “เคล็ดอะไรเหรอ”



    “ตามตำนานเล่าว่าเทพธิดาแห่งขุนเขาสาปเขาก็จริง.. แต่มันมีเงื่อนไขที่จะทำให้เขาคลายคำสาปอยู่” เขาพูดทิ้งช่วงเมื่อเดินขึ้นมาใกล้กับตัวศาลเจ้าใหญ่ “มันคือการพบรักแท้..แต่ก็คงจะไม่ทันแล้วล่ะมั้ง ผ่านมาหลายร้อยปีขนาดนี้”



    “ก็ไม่แน่นะ”



    นานามิหันไปมองตามน้ำเสียงเรียบนิ่งนั้น ซาโตรุไม่ได้มองเขาเลยแม้แต่น้อย ดวงตาคู่สวยมองตรงไปยังศาลเจ้าขนาดใหญ่ที่ถูกทาด้วยสีแดงสด มันเก่าเสียจนสีแดงนั้นลอกออกเป็นบางส่วน ทั้งยังถูกเถาวัลย์และต้นหญ้ามากมายขึ้นจนดูรกไปหมด มันดูอึมครึมราวกับมีบางอย่างที่ไม่ปกติ ภายในศาลนั้นปรากฏรูปปั้นเสือโคร่งตัวใหญ่กำลังอ้าปากแยกเขี้ยวอย่างน่าเกรงขามและทรงอำนาจมาก ราวกับมีเสียงคำรามดังอยู่ในโสตประสาทจนซาโตรุเผลอจับมือของชายหนุ่มแน่นขึ้น



    ฝ่ายชายหนุ่มที่สังเกตตัวของคุณหนูตระกูลโกะโจอยู่เงียบๆ ก็รู้สึกได้ถึงสิ่งที่ผิดปกติ ซาโตรุดูมีแววตาที่ประหลาดใจกับอะไรบางอย่างเมื่อพวกเขาเดินเข้าไปใกล้ศาลนั้น



    “ซาโตรุ เป็นอะไร” เขาย่อตัวลงนั่งข้างเด็กชายตัวเล็ก ร่างกายขาวผ่องนั้นราวกับถูกตรึงด้วยอะไรบางสิ่ง นานามิเริ่มจับที่แขนทั้งสองข้างของร่างเล็กด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก แล้วเขาก็ต้องขมวดคิ้วแน่นเมื่อซาโตรุค่อยๆ ยกมือขึ้น และชี้นิ้วไปที่ด้านหลังของศาลเจ้านั้น



    “นั่น…



    ผมเห็นเสือโคร่ง”



    I want you to know that I’ m never leaving

    Cause I’ m Mrs. Snow,’ till death will be freezing



    ‘พูดอะไรบ้าๆ น่ะ นานามิ!’



    ‘นี่เธอเชื่อคำพูดของเด็กแปดขวบเหรอ!’



    ‘ซาโตรุยังเป็นเด็กนะ.. คราวหน้าอย่าพาไปที่แบบนั้นอีก เข้าใจไหม’



    เสียงพูดคุยดังออกมาจากภายในห้องรับแขกใหญ่ ปรากฏร่างของหญิงสาวหน้าตาสะสวยที่กำลังแสดงสีหน้าตึงเครียด และแผ่นหลังกว้างของนานามิที่ไม่อาจรู้ได้ว่าเจ้าตัวกำลังแสดงสีหน้าแบบใด พร้อมกับร่างผอมบางของเด็กชายที่กลายเป็นหัวข้อประเด็นในการสนทนา ยืนพิงผนังของฉากกั้นไม้อัดแอบฟังอยู่ด้านหน้าห้อง เด็กน้อยยืนเงียบและรับฟังในสิ่งที่ผู้ใหญ่คุยกันโดยที่ไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆออกมา แววตาว่างเปล่ามองลงบนพื้นไม้ที่ทอดยาวทั่วทั้งคฤหาสน์เก่าแก่ มันทั้งเงียบและอึมครึมมาแต่ไหนแต่ไร เมื่อยืนฟังได้สักพัก ร่างขาวอันแสนเปราะบางนั้นก็เริ่มก้าวเดินออกจากตรงนั้น มุ่งตรงไปยังห้องนอนของตนด้วยความเงียบ



    ในคืนนั้น เด็กชายนอนไม่หลับเลย ซาโตรุพยายามข่มตาให้หลับจนหัวคิ้วเล็กขมวดเป็นปม แต่เหมือนยิ่งหลับตานานเท่าไหร่ ภาพที่เขาเห็นมันก็ยิ่งฉายชัดมากขึ้นเท่านั้น ในตอนนั้นซาโตรุรู้สึกหวั่นใจอย่างแปลกประหลาด เขาเชื่อเรื่องของวิทยาศาสตร์ คิดว่ามนุษย์คงคิดค้นมันขึ้นมาให้รองรับเหตุผลทั้งปวงในโลกใบนี้ แต่สิ่งที่เขาเห็นกลับทำให้ต้องเปลี่ยนความคิดไปตลอดกาล..



    ในคราแรกซาโตรุยังคงคิดว่าทุกอย่างปกติ กระทั่งเขาได้ยินเสียงของเสือโคร่งกำลังหายใจแว่วๆ อยู่ในโสตประสาท มันคือของจริง เขายืนนิ่งและรับฟังมันอย่างตั้งใจ อยากจะหันไปถามพี่เลี้ยงข้างกายแต่ก็คงไม่ทันแล้ว..เมื่อสายตากลับไปสะดุดเข้ากับร่างของเสือโคร่งตัวเป็นๆ ที่ด้านข้างของศาลเจ้าใหญ่ ขนาดตัวอันสูงใหญ่มหึมาเทียบเท่ากับกันสาดของศาลเจ้า ลายสีส้ม ดำ และขาวตัดสลับกันอย่างสวยงาม ขนดกหนายามต้องแสงอาทิตย์ยามบ่ายนั้นช่างงดงามและทรงอำนาจ ดวงตาสีอำพันจ้องมาที่เด็กชาย กระดิกหูเล็กน้อยราวกับกำลังแปลกใจ..



    ใช่.. ซาโตรุเองก็ประหลาดใจเหมือนกัน



    แต่สิ่งที่ทำให้ซาโตรุเริ่มประหลาดใจมากขึ้นไปอีกก็คือ เมื่อบอกสิ่งที่เห็นให้กับพี่เลี้ยงหนุ่มได้รับรู้ ซาโตรุกลับได้รับแววตาที่ตื่นตะลึงและประหลาดใจจากพี่เลี้ยงโดยทันที เด็กน้อยเห็นนานามิมองนิ้วของเขาสลับกับตำแหน่งที่เสือโคร่งตัวนั้นยืนอยู่ และคำถามก็ได้ถูกพ่นออกมาจากปากของนานามิโดยเร็ว



    ‘เสือที่ไหน ไม่เห็นมีเลย ซาโตรุ..’



    ในวินาทีนั้น ซาโตรุรีบหดมือกลับ หยุดชี้ไปที่ตรงนั้น เด็กน้อยกะพริบตาอีกครา ก่อนที่เสือโคร่งตัวนั้นจะหายไปในเสี้ยววินาทีต่อจากนั้น..



    Yeah, you are my home, my home for all seasons

    So come on let’ s go



    ในเช้าวันต่อมาถูกดำเนินไปตามกิจวัตรประจำวันของเด็กชาย เขาต้องตื่นขึ้นมาอาบน้ำ ทานอาหารเช้า และเตรียมตัวไปโรงเรียนประถมซึ่งอยู่ในเมือง ห่างไกลจากบ้านของซาโตรุอีกหลายกิโลเมตร โดยคนขับรถที่บ้านจะขับรถไปส่งทุกวันและในตอนเย็นจะมีรถจากที่บ้านไปจอดรอรับเช่นกัน เขาไม่สามารถเดินเท้าไปโรงเรียนเหมือนกับเด็กคนอื่นๆได้ เพราะร่างกายของเขาไม่ได้แข็งแรงพอที่จะต่อสู้กับแสงแดดได้นานขนาดนั้น แม้จะทาครีมกันแดดที่ไม่มีสารเคมีเลย แต่มันก็มีโอกาสอยู่มากที่ผิวของเขาจะถูกเผาไหม้จากแดดในยามเช้า 



    ร่างกายขาวผ่องในชุดยูนิฟอร์มนักเรียนและกระเป๋าใบใหญ่นั่งอยู่แถวหลังของรถสีดำเงาคันหรู ซาโตรุได้ยินเสียงของคนขับรถพูดกับนานามิว่าระหว่างทางไปที่โรงเรียนของคุณหนูโกะโจกำลังซ่อมแซมใหม่ พวกเขาจะต้องเสียเวลาขับไปอ้อมที่ด้านหลังของหมู่บ้านและมุ่งตรงไปยังโรงเรียนประถมอย่างรวดเร็ว



    เพราะแบบนี้เอง รถคันหรูถึงกำลังมุ่งหน้าตรงไปยังเส้นทางเดิมที่ซาโตรุกับนานามิเดินมาที่ศาลเจ้าเมื่อวันก่อน เด็กน้อยหันมองที่ข้างทางตลอดเวลา เมื่อขับมาจนถึงด้านหลังของหมู่บ้าน เบื้องหน้าคือภูเขาลูกใหญ่ที่ตั้งเด่นตระหง่านอยู่ เบื้องล่างเต็มไปด้วยป่ารกทึบและมีสะพานเล็กๆ จากถนนทอดยาวขึ้นไปสู่ศาลเจ้าเก่าแก่ รถคันสวยขับเลี้ยวเพื่อที่จะอ้อมเส้นทาง ทำให้ทางฝั่งข้างกระจกที่เด็กชายนั่งควรจะเห็นเป็นภูเขาและป่าดงดิบเพียงเท่านั้น



    แต่ซาโตรุกลับเห็นร่างของชายหนุ่มคนหนึ่ง.. เขาอยู่ในชุดยูกาตะสีขาวและเป็นเจ้าของเรือนผมสีชมพูเรื่อกำลังยืนกางร่มญี่ปุ่นสีแดงสดอยู่ที่ทางขึ้นบันไดไปสู่ศาลเจ้า เด็กชายนิ่งชะงักไป เขาเห็นชายคนนั้นไม่ชัดนั้นเพราะอยู่ไกลกันมาก แต่ก็เด่นชัดที่สุดในสายตา เพราะชุดยูกาตะสีขาวที่ตัดกับพื้นหลังสีเขียวครึ้มของผืนป่า ซาโตรุรู้สึกเหมือนกำลังถูกอีกฝ่ายจ้องมองกลับมาอยู่เช่นกัน



    “นานามิ.. ศาลเจ้าที่เราไปชื่ออะไรนะ”



    ฝ่ายนานามิที่นั่งอยู่ข้างคนขับเงียบไป เขาหันกลับมาหาคุณหนูโกะโจที่เอาแต่นั่งมองออกไปด้านนอกหน้าต่าง



    “ศาลเจ้าอิทาโดริครับ”



    “คือชื่อจริงๆ ของเสือโคร่งงั้นเหรอ”



    “คุณหนู..”



    “ว่ายังไง” น้ำเสียงเรียบนิ่งและแววตาสีฟ้าน้ำแข็งประกายเบือนกลับมาสบตากับผู้เป็นพี่เลี้ยง นานามิชะงัก ซาโตรุมีแววตาที่จริงจังแม้จะเป็นเด็กที่มีอายุเพียงแปดขวบก็ตาม แต่เขากลับสัมผัสได้ถึงความกดดันจากสายตาคู่นั้นอย่างห้ามไม่ได้



    “ครับ.. ตามตำนานบอกว่า นั้นคือชื่อสกุลนำหน้าของเขา..”



    แต่ชื่อจริงๆ ของชายผู้นั้น ยังไม่มีผู้ใดล่วงรู้...



    Let’ s go below zero

    And hide from the sun

    I love you forever



    ฤดูฝนหลังจากเหตุการณ์นั้นห้าปี ชายหนุ่มร่างสันทัดในชุดยูกาตะสีขาวก็มาปรากฏตัวให้เขาได้เห็นบ่อยขึ้น..



    ..บ่อยขึ้น



    และบ่อยขึ้น..



    เพียงแต่การปรากฏตัวนั้นไม่ได้เข้าใกล้เกินระยะร้อยเมตร มักจะมาให้เห็นในรูปแบบของการกะพริบตาแล้วหายไป หรือการยืนปะปนไปกับฝูงชนหรือเหล่านักเรียนและหายไป บางครั้งก็มักจะเห็นยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามของถนน เมื่อรถขับผ่านก็มักจะหายไปเช่นกัน สิ่งเหล่านี้ตามหลอกหลอนซาโตรุมาตั้งแต่เหตุการณ์ในวันนั้น และแน่นอนว่าเขาไม่ได้บอกใคร เขาใช้ช่วงเวลาหลายเทอมในการศึกษาเรื่องของสภาพจิตและอาการหลอนของประสาท แต่เขาไม่ได้มีอาการที่เข้าข่ายการเป็นคนที่มีปัญหาทางจิต หรือการคิดจินตนาการบางสิ่ง ปรุงแต่งมันขึ้นมาเอง เขาไม่ได้เข้าข่ายคนกลุ่มนั้นเลย



    ในตอนนี้ ซาโตรุกลายเป็นเด็กหนุ่มวัยสิบห้าปี รูปลักษณ์ภายนอกของเขาแตกต่างจากเดิมมากโข ทั้งส่วนสูง มวลกล้ามเนื้อ และหน้าตาที่มีความเด่นชัดสมชายมากขึ้น แต่สิ่งที่ยังไม่เปลี่ยนไปก็คือสีผิว เรือนผม และสีของดวงตา เขายังคงเป็นโรคผิวเผือก และยังไงก็ต้องได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมจากครอบครัวราวกับไข่ในหิน



    แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่เด็กหนุ่มต้องการ.. เขาโตแล้ว



    กิจวัตรประจำวันของซาโตรุยังคงเป็นเช่นเดิม หลังจากเลิกเรียนเขาจะเดินออกมาจากอาคารเรียนพร้อมกับเจอรถคันหรูที่ทางครอบครัวส่งให้มารับทุกเย็น นั่งรถกลับบ้านอย่างเงียบเชียบ เดินในคฤหาสน์หลังใหญ่โตโอ่อ่าแต่กลับไม่มีความสุข ซาโตรุไม่ต้องการแบบนั้น เขาอยากเป็นตัวของตัวเองอย่างที่เขาสมควรจะได้เป็น โรคบ้านี่ ไม่น่ามาเกิดที่เขาเลย..



    เป็นความสวยงามที่น่าสยดสยองซะจริง



    “นายคิดดีแล้วจริงเหรอซาโตรุ พ่อแม่นายจะไม่มาตามฆ่าฉันที่บ้านใช่ไหม”



    เพื่อนคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเมื่อพากันเดินมาถึงลานจอดจักรยานของโรงเรียน ซาโตรุขยับเสื้อฮู้ดที่คลุมหัวอยู่เล็กน้อย เขาแต่งกายมิดชิดและสวมแว่นกันแดดสีดำ วันนี้เขาจะโดดเรียนในคาบสุดท้าย ก่อนเวลาเลิกเรียนสิบห้านาที



    “ดีแล้ว เขาทำเหมือนฉันเป็นหมาในกรง” ซาโตรุว่าพลางเดินไปหาจักรยานคันหนึ่ง “แค่ลองปั่นจักรยานกลับบ้าน มันก็คงไม่แย่เท่าไหร่หรอก”



    “แต่ผิวนาย…”



    “เออหน่า ฉันรู้แล้ว” เด็กหนุ่มดึงแขนเสื้อขึ้น เผยให้เห็นสีผิวขาวซีดราวกับกระดาษ เห็นเส้นเลือดสีเขียวชัดเจน “โรคนี่มันเป็นสิ่งที่ติดตัวฉันมา..อะไรจะเกิดขึ้นฉันก็ต้องยอมรับมันให้ได้ และฉันจะไม่ยอมให้มันไม่มาขวางทางการใช้ชีวิตของฉันหรอก”



    หลังจากนั้นจักรยานทั้งสองคันที่พวกเขายืมมาจากคุณครูพละก็ถูกใช้งาน พวกเขาปั่นจักรยานกันคนละคัน ขับออกจากประตูโรงเรียนทางฝั่งทิศตะวันออก ยามเมื่อเขาได้สัมผัสถึงแรงลมจากธรรมชาติ ซาโตรุได้คำตอบที่กำลังตามหามาอย่างยาวนานโดยทันที สิ่งนี้เองคือสิ่งที่เขาต้องการ การเป็นอิสระโดยแท้จริง การไม่ต้องอยู่แต่ในร่มอีกต่อไป หมวดฮู้ดที่คลุมอยู่หลุดออก เผยเรือนผมสีขาวสว่างที่กำลังสยายไปตามแรงผมพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง เขาเริ่มถีบจักรยานเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนแซงหน้าเพื่อนของเขาไป



    ซาโตรุไม่ได้รู้สึกแสบร้อนหรือผิดปกติอะไรในตอนนี้ แต่ทันทีที่พวกเขาลงจอดที่ร้านขายขนมแห่งหนึ่ง สิ่งที่สังเกตได้จากกระจกที่ห้อยอยู่ผนังร้านคือใบหน้าของซาโตรุที่แดงเถือกเป็นจ้ำ ผิวแก้มยิ่งเด่นชัดจนน่ากลัว เขาถูกเพื่อนที่แอบมาด้วยกันเอ็ดไปจนหูชา แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกเสียจากยืนฟังและอยู่ในร่ม สังเกตอาการบนผิวหนังของตนเองต่อไป มีสายเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือนับห้าร้อยสายภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ทั้งสายจากนานามิและคุณแม่ของเขาเอง สงสัยคงเพราะไม่เห็นเขาเดินลงมาจากอาคารเรียนตามเวลาเลิกเรียนงั้นสินะ



    เขาไม่ชอบการเป็นห่วงแบบนี้เลยจริงๆ มันดูไม่มีขอบเขตยังไงก็ไม่รู้สิ



    “ซาโตรุ ฉันว่าฝนกำลังเริ่มตั้งเค้าแล้วนะ”



    เป็นเรื่องที่น่าดีใจยิ่ง เขาหันไปตามที่เพื่อนชี้ออกไปยังนอกกันสาดของร้านขนม กลุ่มเมฆก้อนใหญ่กำลังเคลื่อนตัวมาทางนี้และมันกำลังตั้งเค้าบดบังแสงแดดยามบ่ายจริง มันจะดีสำหรับซาโตรุมากที่ไม่ต้องโดนแดด แต่ก็ยังแย่อยู่เช่นเดิมเพราะเขาดันไม่มีเสื้อกันฝนติดมาด้วย



    “รีบกลับกันดีกว่า นายทนไหวไหม” เพื่อนเขาหันกลับมาถาม ซาโตรุเลิกคิ้ว



    “ฉันก็ไม่เคยบอกว่าไม่ไหวนะ”



    คำตอบที่เด็ดเดี่ยวนำพาพวกเขาทั้งสองให้ปั่นจักรยานอยู่ตามไหล่ทางในตอนนี้ รอบข้างเป็นทุ่งนาสีเขียวกว้างที่ซาโตรุมักจะเห็นมันจากภายในกระจกรถ ซาโตรุเงยหน้าหันกลับไปมองยังกลุ่มก้อนเมฆสีทะมึนที่เคลื่อนตัวมากไวกว่าที่คิด มันกำลังบดบังแสงแดดให้หมดไป เมื่อรู้ตัวอีกทีเพื่อนของเขาก็ปั่นจักรยานนำโด่งไปไกลแล้ว พร้อมกับความรู้สึกแสบที่หลังมือที่กำลังบังคับจักรยานอยู่ในตอนนี้ มันออกร้อนจนซาโตรุเริ่มใจไม่ดี เขาหยุดรถจักรยานด้วยเบรกเท้าและกุมมือไว้ที่อก หลบมันจากแสงแดดที่กำลังจะถูกเมฆฝนกลืนกิน



    “เฮ้ย!!! เดี๋ยวสิ!!!!” ซาโตรุตะโกนเรียกเพื่อนที่อยู่ไกลออกไป อีกฝ่ายปั่นจักรยานตรงไปอย่างเดียวและไม่แม้แต่จะหันกลับมามองซาโตรุเลยสักนิด ทั้งที่ระยะห่างที่น่าจะได้ยินเสียงตะโกนของเด็กหนุ่มแท้ๆ แต่เพื่อนของเขากลับทำเหมือนมันเป็นปกติ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นและปั่นจักรยานหายลับตาไป อีกทั้งบรรยากาศโดยรอบช่างไม่เอื้ออำนวยเอาเสียเลย รอบข้างนั้นไม่มีบ้านคน แต่มันเป็นเส้นทางที่ซาโตรุรู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างดี



    อีกอย่างหนึ่งคือ ตาของคนผิวเผือกจะปรับตัวกับแสงได้ไม่ดีนักและมองไม่เห็นในที่มืด ส่วนใหญ่คนผิวเผือกจะสายตาสั้นมาก หรือสายตายาวมากเนื่องจากมักมีปัญหาด้านระบบประสาทที่ส่งภาพจากตาไปยังสมอง และอาจมีปัญหาเกี่ยวกับสายตา อาทิเช่น ตาเหล่ ตาไวต่อแสง ไม่สามารถควบคุมดวงตาได้ เพราะดวงตามีการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว และตาบอด ยังดีที่ซาโตรุยังอยู่ในเกณฑ์พอดี แต่เขาเป็นคนสายตายาวมาตั้งแต่เด็กๆ ในตอนนี้มันกำลังสั่นไหวและเริ่มพร่ามัวจากแสงแดดจ้า เขาหรี่ตาและมองตรงไปยังสะพานเบื้องหน้าที่ห่างจากเขาไม่ถึงร้อยเมตร



    มันคือสะพานที่ข้ามทุ่งนาไปยังทางขึ้นศาลเจ้าอิทาโดริ ถึงว่าล่ะทำไมซาโตรุถึงรู้สึกคุ้นเคยกับมันนัก



    เขาลงจากจักรยานและเข็นรถขึ้นไปยังสะพานไม้เล็กๆ นั้น ข้ามไปยังทางขึ้นศาลเจ้า เพราะมันมีต้นไม้ต้นใหญ่ซึ่งข้างกันมีศาลาหลังเล็กที่สามารถหลบฝนได้ ในจังหวะที่ใกล้จะถึงศาลานั้น เขารู้สึกได้ถึงเม็ดฝนที่หยดลงมาบนหัวและท้ายทอย ก่อนมันจะเริ่มหยดลงมาถี่ขึ้นจนทั่วบริเวณโดยรอบ เขาเข้าที่หลบฝนได้ทันท่วงที



    ซาโตรุตัวไม่เปียก เขาทิ้งจักรยานให้ล้มอยู่กับเสาของศาลา นั่งพักหายใจและปลดกระเป๋านักเรียนบนหลังลงวางข้างกาย ถอดเสื้อแขนยาวตัวนอกออก เผยให้เห็นชุดนักเรียนด้านในซึ่งเป็นยูนิฟอร์มที่มีเสื้อสูทด้านนอกสุด มีเนกไท มีเสื้อกั๊ก และมีเสื้อเชิ้ตแขนยาวอีกชั้นหนึ่ง เขาต้องสวมเสื้อผ้าหลายชั้นแบบนี้มาตลอดทั้งชีวิต เขาต้องอดทนกับความอึดอัดทั้งทางร่างกายและทางจิตใจ มือดึงเนกไทให้คลายออกจากลำคอที่แดงเถือก ถอดเสื้อสูทตัวนอกออกเหลือเพียงเสื้อกั๊ก พับชายเสื้อเชิ้ตขาวขึ้นถึงศอก และสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ซาโตรุต้องตกใจ



    ท่อนแขนทั้งแขนของเขาแดงราวกับถูกไฟไหม้ ทั้งที่มันอยู่ในเสื้อตั้งหลายชั้นแต่มันยังคงถูกแสงแดดกัดกินได้ เมื่อเอามืออีกข้างสัมผัสบนแขน มันร้อนผ่าวจนต้องเม้มปากแน่น เขาต้องถูกดุอีกกี่ครั้งถึงจะสมกับที่ทำให้ตัวเองต้องเป็นแบบนี้กันนะ เขาไม่อยากจะนึกถึงสภาพใบหน้าของตัวเองที่ไม่ได้มีอะไรมาปิดบังแสงและแรงลมเลยแม้แต่น้อย มันคงกำลังแดงเป็นปื้นใหญ่และปรากฏรอยแตกแน่



    “ดื้อจังเลยนะ”



    “!!!”




    เสี้ยววินาทีที่กำลังนั่งเหม่อ ซาโตรุตกใจอย่างสุดขีดเมื่อได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง ร่างสูงรีบลุกขึ้นยืนและถอยหลังหันกลับไปมองอย่างรวดเร็ว ก่อนภาพเบื้องหน้าจะต้องทำให้เขาเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง



    ชายหนุ่มในชุดยูกาตะคนเดิมที่อยู่กับซาโตรุมาตลอดห้าปีเต็ม เขากำลังยืนอยู่เบื้องหน้าของเด็กหนุ่มในระยะที่ใกล้กว่าร้อยเมตร มือของเขาซุกอยู่ในชุดสีขาวสวยงามนั้น คอเสื้อเปิดกว้างเล็กน้อยและมันไม่ได้ปกปิดเนินอกขาวของชายหนุ่มเท่าที่ควร เขาเป็นคนที่มีรูปร่างและหน้าตาดี มีรอยแผลเป็นขีดยาวที่ใต้ดวงตาทั้งสองข้าง เรือนผมสีชมพูเรื่อตัดสั้นอย่างเรียบร้อย แต่สิ่งที่ซาโตรุให้ความสนใจกับมันมากที่สุดก็คงจะเป็น.. ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มบางและแววตาเอ็นดูที่ส่งมาพร้อมกับคำพูดเมื่อสักครู่



    ผู้ใหญ่ที่ตามดูเด็กคนหนึ่งมาอย่างยาวนาน และต้องออกมาเปิดเผยตัวตนบ้างแล้ว..



    “ใครครับ”



    “เจ้าไม่รู้จักข้าจริงๆ หรือ”



    คำถามนั้น ทำเอาซาโตรุคิดไปไกล ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยคิดหรือตั้งคำถามว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่ถ้าเอาคำตอบที่แน่นอนที่สุด ก็คงจะเป็น…



    “คุณคือเสือโคร่งเหรอ”



    “แต่เจ้าเห็นข้าเป็นคนทุกคราเลยนะ..ยกเว้นคราแรก”



    “ก็แสดงว่าใช่น่ะสิ”



    “ข้าควรถามเจ้ามากกว่า ว่าเจ้ามองเห็นข้าได้เยี่ยงไร”



    ซาโตรุยิ่งขมวดคิ้วเข้าไปใหญ่ เขาก้าวถอยหลังเล็กน้อย มองอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าอีกครั้ง ก็จะให้ทำอย่างไรได้ ก็ในเมื่อเขาเห็น... ใช่ เขาเห็นเพียงคนเดียว ซึ่งเขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน



    “ปกติไม่มีใครเห็นคุณรึไง?” ซาโตรุหรี่ตา อาการสายตายาวเบลอหน้าของชายหนุ่มตรงหน้าให้ต้องจินตนาการไปไกล เสียงฝนที่กำลังตกกระหน่ำลงมายิ่งทำให้ทุกอย่างดูพร่ามัวสำหรับซาโตรุไปหมด ทั้งประสาทหูและตากำลังผสมผสานกันจนเขาเริ่มปวดขมับ



    “ไม่เคยมีมานานแล้ว” ชายในชุดยูกาตะก้าวเท้าเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ใกล้ในระยะที่อีกฝ่ายเอื้อมมือที่ถูกเก็บไว้ในชุดสีขาวสวยงามมาจับที่แขนแดงของเด็กหนุ่มเบาๆ ซาโตรุตัวกระตุกและต้องชะงักนิ่งไป



    ตัวเขาอุ่น..



    “เจ้าช่างดื้อดึงยิ่ง.. เช่นนี้ข้าจะตามดูแลได้ทันการได้เยี่ยงไรกันเล่า” มือเรียวทั้งสองข้างจับที่แขนของซาโตรุเบาๆ ก่อนที่สิ่งมหัศจรรย์ที่สุดในชีวิตของเขาจะเกิดขึ้น รอยแดงทุกส่วนค่อยๆ จางลงและหายไปในที่สุด กลายเป็นสีผิวสีขาวซีดเช่นเดิมราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น อาการแสบร้อนก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง ทำเอาเด็กหนุ่มทำตาโตอย่างไม่อยากจะเชื่อ แต่มันเกิดขึ้นแล้ว เกิดขึ้นกับเขา


    ซาโตรุมองแขนของตัวเองสลับกับคนตรงหน้า



    “คุณ..เป็นตัวอะไรกันแน่” 



    “ข้าหาใช่ตัว ข้าเป็นมนุษย์เยี่ยงเจ้า”



    “แต่ในตำนานบอกคุณเป็นปีศาจ..”



    “นั้นก็จริงอย่างที่เขาลือกัน..” ชายหนุ่มตรงหน้าคลี่ยิ้มจนตาหยี เลื่อนมือที่กำลังจับที่ท่อนแขนลงมาจับที่มือใหญ่ของซาโตรุเบาๆ “ข้าจะเป็นตัวกะไร หาใช่กงการของเจ้าไม่ แต่เจ้าควรจักกลับบ้านพักเรือนนอนเสีย.. โลกภายนอกอันตรายต่อเจ้ามากนักหนา”



    เลิกทำเหมือนเขาเป็นเด็กกันสักทีได้ไหม เขาโตมากพอแล้วที่จะดูแลตัวเองได้



    “ฮ่าๆๆ! เจ้านี่ช่างมีความคิดราวกับเป็นชายหนุ่มมากประสบการณ์นัก ทั้งที่เจ้าอายุเพียงสิบห้าปี” จู่ๆ ชายตรงหน้าเขาก็หลุดหัวเราะออกมา ซาโตรุเลิกคิ้ว เมื่อกี้เขาไม่ได้เอ่ยอะไรตอบกลับไปด้วยซ้ำ แต่มันเป็นเพียงความคิดและความรู้สึกในครั้งแรกหลังจากที่ได้ยินอีกฝ่ายพูดแบบนั้น พาให้รู้สึกอึดอัดใจเหมือนกับคนในครอบครัวพูดไม่มีผิด



    “คุณอ่านความคิดได้?”



    “ข้าทำได้ทุกอย่างที่เจ้าไม่รู้” เขาพูดเบาๆ ยกมือขึ้นลูบผมของซาโตรุอย่างอ้อยอิ่ง และเลื่อนลงมาจับที่กรอบหน้า เกลี่ยที่แก้มของเด็กหนุ่มราวกับต้องการดึงดูดทางสายตาอย่างยั่วยุ และแน่นอนว่าเขาทำสำเร็จ ซาโตรุยืนนิ่งราวกับถูกมนต์ตราสะกดไว้ไม่ให้ขยับดวงตาได้ อีกทั้งสายตาที่ยาวเหมือนคนแก่ บัดนี้กลับถูกปรับให้ชัดจนมองเห็นรอยยิ้มมุมปากของชายในชุดยูกาตะในระยะใกล้ได้อย่างเด่นชัด ซาโตรุตกใจ คนคนนี้สามารถทำให้เขาเหมือนคนปกติได้อย่างไร “เจ้าช่างงดงาม..ข้ามิเคยแลผู้ใดมีดวงตาที่งามเท่าเจ้ามาก่อน”



    น้ำคำเชยชมนั้นพาให้ซาโตรุใจสั่น เด็กหนุ่มพยายามกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก แต่เขารู้ดี ว่าคนคนนี้เคยเป็นเสือผู้หญิงดังในตำนานที่เล่าขานกันมา ฉะนั้นไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่นักที่เขาจะมีคำพูดคำจาที่พาให้คล้อยตามได้ง่ายเช่นนี้



    ฉะนั้น เขาจะไม่หลงกลลวง



    “ท่านก็งดงามเช่นกัน อิทาโดริ” ซาโตรุกระตุกยิ้มมุมปากบ้าง “ข้าไม่เคยเห็นผู้ใดน่าขย้ำเท่าท่านมาก่อนเลย”




    And we’ ll have some fun

    Yes let’ s hit the north pole

    And live happily



    ซาโตรุนอนราบอยู่บนฟูกหนาภายในห้องสี่เหลี่ยมกว้างคุ้นตา เขามองตรงขึ้นไปยังเพดานของห้อง ภาพเหตุการณ์ในวันนี้เมื่อตอนเย็นถูกฉายอีกครั้งในห้วงความคิดของเขา



    หลังจากที่ฝนหยุดตกกระหน่ำ เขาก็รีบปั่นจักรยานคันที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตั้งแต่ออกจากโรงเรียนกลับมาจนถึงคฤหาสน์หลังใหญ่ เด็กหนุ่มยืนเม้มปากอยู่ที่ประตูหน้าบ้านและพยายามข่มตายอมรับความจริง เขารู้ดีว่าเมื่อเข้าไปและเจอหน้ากับสมาชิกทุกคนภายในครอบครัว เขาจะต้องถูกดุด่าหรือกระทำการลงโทษด้วยวิธีบางอย่างที่ไม่อาจใคร่รู้ได้ แต่อีกนัยหนึ่ง เขาก็เชื่อใจในตัวของชายหนุ่มคนนั้นอย่างแปลกประหลาด



    ‘จะไม่มีผู้ใดเห็นเจ้า และจะไม่มีผู้ใดจำเรื่องราวในวันนี้ได้ ข้าให้สัญญา’



    และมันก็เป็นอย่างที่ชายหนุ่มได้กล่าวไว้จริง เมื่อซาโตรุเข้าไปภายในบ้านหลังใหญ่ ทุกอย่างเกิดขึ้นโดยปกติ เขาเดินผ่านห้องนอนของแม่และเธอก็ไม่ได้ตามไถ่ถึงการหายไปของซาโตรุ อีกทั้งยังไม่แปลกใจว่าทำไมเด็กหนุ่มถึงยังใส่ชุดนักเรียนอยู่ในบ้าน แม้กระทั่งคนสวนก็ไม่ได้ตั้งคำถามว่าจักรยานคันเก่าสนิมเขรอะที่จอดทิ้งให้ล้มนอนอยู่กลางสนามหญ้านี่เป็นของใคร นานามิที่เดินสวนกับเขาภายในบ้านยังไม่แม้แต่จะพูดถึงเรื่องราวหลังเลิกเรียนของซาโตรุ เขาตกใจ และสับสนวุ่นวายว่าสิ่งที่เขาเจอในวันนี้คืออะไรกันแน่



    วิทยาศาสตร์ไม่สามารถรองรับได้ ไม่สามารถ..



    ...หรือทฤษฎีของกาลเวลา



    ...หรือกลศาสตร์ควอนตัมกันแน่



    คิดมากไปก็ปวดหัว เด็กหนุ่มนอนพลิกตัวไปด้านหนึ่งภายในความมืด มีเพียงเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของตัวเขาเองที่เด่นชัด จู่ๆ ความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัวของซาโตรุ ความอยากรู้อยากเห็นนั้นเริ่มเพิ่มพูนมากขึ้นจนไม่อาจหยุดรั้งได้อีกต่อไป เขาคิดว่านี่มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของสิ่งแปลกใหม่ที่น่าเรียนรู้ อีกทั้งชายหนุ่มที่เขาเจออยู่บ่อยครั้ง เขาไม่ได้มาร้ายแต่อย่างใด ซ้ำยังเหมือนเป็นคนที่คอยดูแลเขาจากสิ่งต่างๆ รอบตัวอีกต่างหาก



    แต่ทฤษฎีหลายอย่างที่น่าสนใจเกี่ยวกับตัวของชายหนุ่มก็มีมากเช่นกัน ทั้งเรื่องเล่าสืบต่อกันมาที่พี่เลี้ยงของเขาเล่าเมื่อนานมาแล้ว แต่เมื่อลองค้นหาดูในอินเทอร์เน็ตกลับมีเนื้อหาอยู่น้อยมาก คงจะเกี่ยวกับแต่ละท้องที่ด้วยสินะ



    ทางด้านหนึ่ง ภายในป่าไม้อันเงียบสงบ.. แสงจันทร์ที่เคยเด่นชัดในยามราตรี ในตอนนี้ถูกแสงไฟเทคโนโลยีจากบ้านเรือนทำหน้าที่แทนเสียแล้ว ชายหนุ่มร่างสันทัดในชุดยูกาตะสีขาวนั่งปล่อยชายลงมาจากกิ่งไม้ใหญ่กลางป่า มุมปากยกยิ้มยามเมื่อนั่งหลับตาแล้วกลับสัมผัสได้ถึงความคิดแสนไร้เดียงสาของมนุษย์ผู้หนึ่ง



    เขาลืมตาขึ้น ดวงตาอำพันอุไรสะท้อนแสงราวกับหิ่งห้อยที่งดงามที่สุดในผืนป่า ยามเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์



    ‘ผู้ที่ไม่เห็นคุณค่าของผู้อื่นเยี่ยงเจ้า!! สัตว์เดรัจฉานยังสูงส่งเกินไปเสียด้วยซ้ำ!!’



    เสียงโกรธเกรี้ยวของหญิงสาวที่อดีตเคยเป็นคนรัก.. กาลครั้งหนึ่งยังคงอยู่ในภวังค์ชั่วนิรันดร์ มือเรียวใช้ชายแขนเช็ดน้ำใสที่ดวงตาอย่างแผ่วเบา เขาไม่ต้องการให้ใครได้เห็นมัน แม้กระทั่งพระเจ้าหรือเทพต้นไม้ในผืนป่า ร่างในชุดขาวกระโดดครั้งเดียวลงมายืนที่กลางบันไดหิน ทางเดินขึ้นมุ่งตรงไปยังศาลเจ้าร้าง มันไร้แสงไฟ ไร้ผู้คน ไร้ความศรัทธา ความโดดเดี่ยวที่เขาได้รับช่างมากมายมหาศาล ควรค่าแก่การกระทำของเขาแล้วในครานั้น.. เฝ้ารอมานานหลายแรมปี ในตอนที่เป็นมนุษย์เขาคิดว่าความรักช่างหาง่ายราวกับหายใจ นั่นจึงทำให้เขาไม่เคยแลเห็นถึงคุณค่าของมัน



    “ข้าว่า ข้าเห็นแล้ว...คุณค่าของผู้คน” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงแผ่ว ก่อนร่างในชุดยูกาตะยาวจะเริ่มก้าวเดินอย่างเชื่องช้า ขึ้นบันไดมุ่งตรงขึ้นไปยังศาลเจ้า ..และหายไปในความมืด ในที่สุด



    Please don’ t cry no tears now

    It’ s Christmas baby



    หลายวันต่อมา ซาโตรุทำเหมือนเดิมอีกครั้ง ในเย็นนี้เขาปั่นจักรยานมาเพียงคนเดียว เขาสวมเสื้อหลายชั้นมากขึ้น และสวมหมวกแก๊ปสีเข้มมาด้วยขณะที่ปั่นจักรยานผ่านลมและแสงแดดในยามบ่ายแก่มาจนถึงยังสะพานไม้เล็ก เด็กหนุ่มลงจากจักรยาน เขาลองยืนพิจารณาทางขึ้นไปยังศาลเจ้าเป็นครั้งแรก เขาเคยสังเกตบริเวณนี้ครั้งหนึ่งในตอนที่เขาอายุเพียงแปดขวบ มันดูดีกว่าตอนนี้มาก แม้ในตอนนั้นเขาจะมองว่ามันดูรกแล้วก็ตาม แต่ในตอนนี้มีความเสื่อมโทรมอย่างชัดเจน มันถูกทอดทิ้งให้ร้างไปแล้วโดยสมบูรณ์



    แต่บรรยากาศชวนขนหัวลุกจากความอึมครึมนั้นไม่ได้ทำให้ซาโตรุมีความหวาดกลัวต่อธรรมชาติรอบกาย เด็กหนุ่มเชื่อว่าถ้าหากต้องการจะตามหาชายหนุ่มคนนั้น ที่ตรงนี้เหมาะสมที่สุดแล้วแก่การเจรจา เขาใช้เวลาหลายวันในการไต่สวนคนแก่ในละแวกบ้าน ทั้งคุณยายและคุณย่าของเพื่อนบ้านต่างให้ข้อมูลเป็นเสียงเดียวกัน ในส่วนของข้อมูลและเรื่องเล่าที่ซาโตรุได้ยินและได้ฟังมา เหมือนกับที่นานามิเล่าสักส่วนใหญ่



    เขาคิดว่าตัวเองมีข้อมูลที่แน่นมากพอสมควร



    แต่ก็คงจะแน่นไม่พอ



    เด็กหนุ่มเดินไปนั่งที่ศาลาไม้เก่าแห่งเดิม ไม่มีใครอยู่ในละแวกนี้ มันเงียบมาก เงียบเสียจนได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเอง



    ..อิทาโดริ..



    ซาโตรุหันซ้ายที หันขวาที พลางคิดในใจ



    ช่วยออกมาหน่อยได้ไหม...ผมมีธุระต้องการคุยกับคุณ



    “เจ้าน่ะหรือ มีเรื่องจะเสวนากับข้า.. ข้าไม่ยักรู้มาก่อน”



    ทันใดนั้น เสียงอันคุ้นหูก็ดังขึ้นที่ข้างกายแทบจะทันทีที่เขาคิด ซาโตรุตกใจเฮือกใหญ่เมื่อหันไปทางต้นเสียงแล้วพบกับใบหน้าของอีกคนที่กำลังส่งยิ้มให้ในระยะไม่ห่างกันมากนัก เขามองว่ามันหลอนแปลกๆ เป็นครั้งแรกก็วันนี้ อีกฝ่ายโผล่มาเหมือนกับนั่งอยู่ตรงนี้นานแล้วยังไงอย่างงั้น ชุดยูกาตะสวยงามที่ซาโตรุได้เห็นใกล้กว่าครั้งที่แล้ว มันถูกถักทออย่างประณีตและมีลวดลายสีทองที่ชายชุด



    “คุณน่าจะรู้แล้วว่าผมมาเพื่ออะไร”



    “ข้าจักรู้ได้เช่นไร” ชายหนุ่มตรงหน้าเอนหลังพิงกับเสาของศาลา เขานั่งกอดอกซุกมืออยู่ในชุดยูกาตะ



    “คุณอ่านความคิดผมได้” ซาโตรุหายใจแรงขึ้นจากการสะดุ้งตกใจเมื่อครู่ เขานั่งหันหน้าเข้าหาอีกคนโดยตรง เห็นชายหนุ่มตรงหน้าเชิดปลายคางขึ้นเล็กน้อย



    “ความคิดที่สนใจในเรื่องของข้าน่ะหรือ” มุมปากเล็กยกยิ้ม “เสียเวลาอ่านตำราหนา พ่อเด็กน้อย”



    “รู้ด้วยเหรอว่าผมมีสอบวันพรุ่งนี้” ซาโตรุถาม เขาพอจะรู้ว่าอีกฝ่ายตามติดชีวิตอยู่แทบทุกวัน แต่ก็ไม่คิดว่าจะรู้เยอะขนาดนี้ “สต๊อกเกอร์ดีๆ นี่เอง”



    ร่างเล็กไหวไหล่



    “ข้าตามของข้ามาหลายเพลาแล้ว เจ้าช่างอ่อนหัดนักที่เพิ่งมารู้ตัวในตอนนี้” แต่ชายหนุ่มก็ต้องผงะเล็กน้อย เมื่อเด็กหนุ่มเรือนผมสีขาวตรงหน้าเคลื่อนตัวเข้ามานั่งใกล้ขึ้น “อะไรของเจ้า..?”



    “ผมอยากรู้จุดประสงค์ของคุณที่ทำแบบนั้น” ซาโตรุทำหน้าจริงจัง ดวงตาคู่สวยเด่นชัดต่อสายตาของชายหนุ่ม “ให้ผมได้รู้จักคุณมากกว่านี้..ได้รึเปล่า?”



    คำขอที่พาให้ใจของชายหนุ่มเตลิดไปไกลเกินกว่าจะกู้กลับ เขาชะงักค้างไปชั่วครู่ เริ่มรู้สึกไม่ปลอดภัยขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อถูกเด็กหนุ่มอายุเพียงสิบห้าปีพูดจาสองแง่สองง่ามใส่ถึงสองครั้ง และเป็นเขาเองที่บ่ายเบี่ยงหนีทุกครั้งไป อิทาโดริขยับตัวห่างเล็กน้อย แต่ก็ยังคงรอยยิ้มบางประดับอยู่ที่มุมปาก



    ในเมื่อขอมา เขาก็อาจจะสนองให้



    “อย่าเอาแต่ยิ้มสิ” ซาโตรุเร่งเร้าจะเอาคำตอบนอกเหนือจากรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยเลศนัยของชายหนุ่ม “คิดอะไรอยู่ อิทาโดริ”



    “..ยูจิ”



    ชายหนุ่มหัวเราะเล็กน้อย เมื่อเห็นเด็กหนุ่มตรงหน้าทำตาโตที่เขายอมบอกชื่อจริง



    “เรียกข้าว่า ยูจิ สิ..ซาโตรุ”



    My snowman and me, yea

    My snowman and me

    Baby



    วันเวลาผ่านไป นานเข้าจนอิทาโดริไม่ทันรู้ตัวเลยว่าตลอดสามปีที่ผ่านมามีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปบ้าง นอกจากเด็กหนุ่มที่เขาคอยตามดูอยู่ตั้งแต่ยังเล็ก ในตอนนี้จากเด็กหนุ่มที่อายุเพียงสิบห้าปี กลายเป็นชายหนุ่มอายุสิบแปดปีที่ตัวสูงชะลูดนำเขาไปไกล แนวไหล่กว้างอยู่ในชุดยูนิฟอร์มโรงเรียนมัธยมปลายคอเต่าสีเข้มนั่งแกว่งขาเล่น รอเขาอยู่ที่ศาลาไม้หลังเดิม นานๆ ครั้งที่เด็กหนุ่มจะมาหาอิทาโดริที่นี่ อาจจะอาทิตย์ละครั้งหรือสองครั้ง แต่ทุกครั้งซาโตรุจะมาพร้อมกับจักรยานที่ถูกยืมมาจากโรงเรียน และมักจะขอร้องให้เขาช่วยทำอะไรสักอย่าง เพื่อไม่ให้เด็กหนุ่มถูกคนในครอบครัวดุด่าที่มาหาเขาในตอนเย็น



    “เจ้ามาช้า” เขาเอ่ยหลังจากที่เพิ่งเดินลงมาจากศาลเจ้า เด็กหนุ่มที่นั่งรออยู่หันกลับมาพร้อมรอยยิ้มกว้างสดใส เพียงเท่านั้นคำเอ็ดในใจก็มลายหายไปในพริบตา “วันนี้เจ้ามีธุระมิใช่หรือ..ทำไมไม่รีบกลับบ้านพักเรือนนอนเสีย”



    “ก็อยากแวะมาเล่นด้วยแป๊บนึงไง” ซาโตรุยกขาเรียวยาวขึ้นหมุนตัวหันกลับมานั่งมองร่างเล็กกว่า ชายหนุ่มตรงหน้าเขาไม่ได้แก่ลงเลยในระยะเวลาสามปีที่ผ่านมา ยังคงใส่ชุดยูกาตะสีขาวสวยงามเช่นเดิมเสมอ เรือนผมยังคงสีเดิมไม่มีแซมขาว ริ้วรอยแห่งวัยไม่มีปรากฏให้ดูมีอายุ แต่สำหรับซาโตรุแล้ว สิ่งที่เปลี่ยนไปคือขนาดตัวของอีกคนที่เล็กลงถนัดตา มือและเท้าเล็กกว่าเขา ทั้งขนาดของไหล่และส่วนสูง เขาพยายามกล่าวโทษว่าอีกฝ่ายตัวหดลงต่างหาก ไม่ใช่เพราะเขาตัวโตขึ้น



    “หากเจ้าไม่รีบกลับบ้าน พี่เลี้ยงของเจ้าคงหัวหลุดจากบ่าเป็นแน่” อิทาโดริยืนมองร่างสูงอยู่ห่างๆ พยายามที่จะพูดบ่ายเบี่ยงให้ชายหนุ่มรีบกลับบ้านโดยเร็ว “เจ้าก็รู้มิใช่หรือ มารดาของเจ้าหวงเจ้าเพียงใด”



    “เรียกตีกรอบมากกว่านะ” ซาโตรุเท้าคางกับหัวเข่าตัวเอง พลางดันแว่นตาดำขึ้นเล็กน้อย “ยูจิก็ช่วยเหมือนทุกครั้งสิ นานามิจะได้ไม่ถูกแม่ของผมด่า”



    “จะให้ข้าช่วยเหลือเจ้าไปจนตัวตายเลยหรือ” สุดท้ายเขาก็ต้องเอ็ดจนได้ “เจ้าดูแลกายาตนเองได้ดีเพียงใด ซาโตรุ.. เจ้ายังเด็กนัก”



    “พูดกี่ครั้งแล้วว่าไม่ใช่เด็ก” ซาโตรุเงยหน้าขึ้นมองอีกคน แววตาโกรธเกรี้ยวแฝงอยู่ลึก “ต้องมีอายุเป็นหมื่นๆ ปีรึไง ถึงจะโตเป็นผู้ใหญ่สำหรับคุณ”



    อิทาโดริก้มหน้าเล็กน้อยและพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะลืมตาขึ้นมาด้วยแววตาสีอำพันฉายแสงงดงาม “แม้เจ้าจักเติบใหญ่ถึงเพียงนี้ มันไม่ใช่ความผิดหรอกหนา..แต่เจ้าช่วยฟังข้าก่อนได้หรือไม่”



    “ผมไม่เคยฟังคุณหรือไงล่ะ”



    “เจ้าฟัง แต่เจ้าช่างต่อล้อต่อเถียงนัก ฟังยังไม่ได้ความเจ้าก็ตีไปใหญ่ ..อายุหมื่นปีก็คงเป็นบิดาข้าไปแล้ว”



    “ผมไม่ได้อยากเป็นพ่อสักหน่อย” ซาโตรุยังคงทำสีหน้าเอาแต่ใจ “ยูจิชอบว่าผมเป็นเด็กๆ อยู่ได้ ตอนนี้ผมตัวใหญ่กว่าคุณอีกนะ แล้วคนอุตส่าห์มาหาตอนนี้ ก็ยังจะไล่ให้กลับบ้านอีกเหรอ”



    “เจ้าคิดว่าข้าไม่อยากพบเจ้าหรือ” คนที่ยืนอยู่เริ่มใส่อารมณ์บ้าง ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าคำพูดเมื่อครู่เป็นคำพูดเปิดผนึกบางอย่างที่กำลังก่อตัวขึ้นทีละนิด



    “งั้นก็อย่าบอกให้กลับบ้านได้ไหม”



    “เช่นนั้นจะเป็นการแย่ เจ้าต้องกลับบ้านภายในเร็วนี้”



    “นี่อยากให้ผมคลั่งตายหรือไง ถ้าได้กลับบ้านเร็วๆ นี้ผมยอมให้ยูจิเอาหางฟาดดีกว่า” ซาโตรุย่นคิ้วหนักเพื่อให้รู้ว่าเขาจริงจังมากแค่ไหนกับการมาหาอีกฝ่ายที่นี่แม้จะเลิกเรียนค่ำก็ตาม “อย่าผลักไสผมได้ไหม อย่างน้อยการได้อยู่กับคุณก็ทำให้ผมลืมเรื่องแย่ๆ ไปได้สักพัก”



    “ข้าหาได้หมายความเช่นนั้น ข้าแค่อยากให้เจ้าปลอดภัยจากอันตรายภายนอกนี้”



    “ยูจิ”



    “ดวงตาเจ้า.. มันมองในที่มืดไม่เห็นมิใช่หรือ ครานี้ข้ารับปากไม่ได้ว่าจักช่วยให้เจ้าปลอดภัย” ร่างเล็กตอบเสียงแผ่ว หลุบตาลงเล็กน้อยเหมือนหวั่นใจ “ยามรัตติกาลข้าต้องเข้าจำศีลและบำเพ็ญเพียร แลข้าไม่อยากเห็นเจ้าทรมานเจียนตายหากหลงทางหรือเกิดอันตรายใดกับเจ้า ดูเถิด..เพียงแค่แสงสว่างยังเป็นอันตรายต่อเจ้าได้ ยามที่เจ้าแสบร้อนไปทั้งกาย ใจข้า..มันมิอาจทนอยู่เฉยได้หนา”



    คล้ายความรู้สึกกำลังเอ่อออกมา ยูจิหลับตาข่มความรู้สึกเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ซาโตรุเห็น จึงได้ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงและเคลื่อนตัวเข้าไปหา วางมือลงบนเอวบางพลันรวบเข้ามาสวมกอด เขาไม่เข้าใจว่าทำไมชายคนนี้ถึงได้ตามติดชีวิตของเขาตั้งแต่เด็ก แต่การที่ได้เห็นอีกฝ่ายในสีหน้าที่ไม่เคยเห็นมาก่อน นอกเสียจากรอยยิ้มแสนใจดีนั้น ซาโตรุไม่อยากเห็นคนตรงหน้าของเขาไม่สบายใจเลย



    ฝ่ายชายหนุ่มชุดยูกาตะสีขาวหาได้ต่อต้าน เขาวางมือลงบนบ่าของร่างสูงกว่า



    “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นถึงชายหนุ่มรูปงาม.. แต่ถึงจะเติบใหญ่เพียงใดก็ยังมีวันพลาด เจ้าหาใช่คนระมัดระวังตัวไม่..เจ้ามักปล่อยปละละเลยร่างกายของเจ้าอยู่ทุกยาม ทนร้อนทนลมเพื่อมาหาข้าที่นี่ ฉะนั้นแล้วถือว่าข้าขอ เจ้าอย่ามาที่นี่ในเพลานี้อีก ป่านี้ทั้งมืดและอันตราย...”



    “ผมอยากได้ยินคำนั้น”



    “หื้ม?”



    “คำที่แทนความรู้สึกของคุณ”



    “….”



    “บอกให้ผมฟังสิยูจิ” เจ้าของชื่อชะงักนิ่งคิดตามที่คนอายุน้อยกว่าพูด ก่อนจะหลบตาหนีแสร้งไม่กล้า ทั้งที่ความรู้สึกนั้นอัดแน่นอยู่เต็มอก ไม่น่าเชื่อว่าจากเสือผู้หญิงจะกลายเป็นเด็กสาววัยแรกเยิ้มที่มีนิสัยเขินอายแก่ชายหนุ่มได้เช่นนี้ ทว่าซาโตรุก็ไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายหนีไปได้เหมือนครั้งอื่นที่ขัดเขินแล้วชอบหายไปต่อหน้าต่อตา เขากอดดวงใจของเขาเอาไว้ มองลึกเข้าไปในดวงตาและจับมือเล็กแนบกับหัวใจ



    ความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งคู่ก็เติบโตไม่ต่างจากซาโตรุเช่นกัน



    นาทีนั้นยูจิเม้มปากแล้วสูดลมหายใจ จากนั้นก็พูดคำที่อีกฝ่ายอยากจะได้ยินออกไป..



    “ข้าห่วงเจ้านัก เชื่อคำข้าหนาซาโตรุ”



    แล้วจะให้เขาห่างจากอีกฝ่ายได้ยังไงกัน



    สิ้นคำพูดนั้นร่างทั้งร่างก็ถูกรวบเข้าไปกอดแน่น ซาโตรุหุบยิ้มมุมปากไม่อยู่อีกต่อไป เขามีความสุขจนแทบลืมเรื่องที่ตัวเองจะต้องกลับบ้านไปโดยทันที ฝ่ายยูจิที่ไม่รู้จะทำตัวอย่างไรดี จึงเลื่อนมือขึ้นโอบบนหลังของซาโตรุด้วยความเก้ๆ กังๆ แม้จะมีความในใจที่อยากจะบอกก็ตาม..



    “จะเชื่อคำของยูจิสุดหัวใจเลย”



    Don’ t cry, snowman, don’ t you fear the sun

    Who’ ll carry me without legs to run, honey

    Without legs to run, honey



    ช่วงฤดูหนาวได้มาเยือน หมู่บ้านและหลังคาเต็มไปด้วยสีขาวของหิมะ ซาโตรุอยู่ในชุดเสื้อผ้าที่มิดชิด เขาสวมผ้าพันคอสีฟ้าและหมวกถัก วิ่งอย่างสม่ำเสมอไปยังศาลาแห่งเดิมซึ่งกลายเป็นที่ประจำของเขาไปแล้วในช่วงปิดเทอมปลายปียาวไปจนถึงต้นปีหน้า ที่บันไดทางขึ้นถูกทาด้วยสีขาวของหิมะนุ่มเท้า ขั้นบันไดขาว ต้นไม้ขาว ทุกอย่างขาวสะอาดตาไปหมด เขาวิ่งไปตามชั้นบันไดนั้น จนกระทั่งได้พบกับชายหนุ่มที่อยากเจอที่สุดในเวลานี้ยืนรออยู่ที่ระหว่างบันได เขายังคงอยู่ในชุดเดิมเพียงแค่มีผ้าคลุมตัวหนาด้านนอกและผ้าพันคอสีดำยาว



    ซาโตรุยิ้มกว้าง เขารู้สึกชอบยูจิในฤดูหนาวมากที่สุด ในตอนที่เขาอายุสิบห้าปี อีกฝ่ายดูไม่ใช่ผู้ชายตัวเล็กเท่าไหร่นัก ส่วนสูงมาตรฐานชายทั่วไป แต่พออยู่ในผ้าคลุมหนานั้นแล้วเหมือนยูจิมุดเข้าไปยังไงอย่างงั้น น่ารักดี



    “มารอนานไหม”



    “รอมาสิบปีแล้ว เพิ่งจะถามข้าหรือ” ยูจิยิ้มบางเมื่อเห็นชายหนุ่มร่างสูงวิ่งเข้าไปหา ก่อนพวกเขาจะเดินข้างกันขึ้นไปยังศาลเจ้าร้างด้านบนยอดเขา “เจ้าช่างความจำดียิ่งนัก..ข้าบอกเวลานี้กับเจ้ายามเช้าของสัปดาห์ก่อนโน้น”



    “ผมจะลืมนัดของเราได้ยังไงล่ะ” ซาโตรุเอ่ยอย่างร่าเริงขณะที่พูดก็หายใจออกมาเป็นไอขาวจากริมฝีปากสีระเรื่อ ไม่ลืมหันมองคนข้างกายที่เดินขนาบข้างกันไปอย่างสม่ำเสมอไม่รีบร้อน ยูจิไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เขายังคงอมยิ้มเล็กน้อยและมองบนขั้นบันไดตลอดทาง ทั้งที่ในใจนั้นมีเพียงแต่ความวิตกกังวลและความลังเลอยู่เต็มไปหมด เขาเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจเป็นแรมเดือนโดยที่ไม่เคยบอกหรือแสดงพิรุธอะไรให้ชายหนุ่มร่างสูงได้รับรู้เลยแม้แต่น้อย



    ยูจิคิดจะสารภาพความรู้สึกกับซาโตรุในวันนี้ ความรู้สึกที่ถูกเก็บงำมาเนิ่นนานกำลังจะถูกปลดปล่อยอย่างเป็นอิสระ เขาไม่ได้อยากขอร้องหรือได้รับความรักตอบกลับมา เขาเพียงแค่อยากจะบอกให้ชายหนุ่มข้างกายได้รู้ถึงจุดประสงค์ของเขาทั้งหมดเสียที



    คำสาปไม่อาจอยู่ยงได้ตลอดไป เมื่อเขาได้พบกับรักแท้ เขาจะได้รับอิสระทันที เพียงแต่ยูจิไม่อยากได้รับอิสระเหล่านั้น..เขาไม่ต้องการอีกต่อไปเมื่อเขาได้สัมผัสกับคำว่ารักอย่างแท้จริง ใช่แล้ว..ในช่วงที่เขามีชีวิต เขารู้จักแต่เพียงความใคร่และคลั่งรัก รู้จักแต่เพียงความเห็นแก่ตัว และความเอารัดเอาเปรียบ เขาไม่ได้สนใจไยดีผู้ใด ไม่ได้ห่วงว่าคนอื่นจะเป็นอย่างไร ไม่เข้าใจคุณค่าของมนุษย์ คิดว่าอยู่ไปเพื่อความสนุกสนานของตนเอง สนุกที่จะระบายความใคร่กับผู้ใดก็ได้ สนุกที่จะหลอกใช้ใครก็ได้โดยเอาความรักจอมปลอมล่อลวง



    น่าสมเพชนัก ที่ในคืนแรกที่เขากลายเป็นอมนุษย์โดยสมบูรณ์ เขาทั้งขอร้องและอ้อนวอนจากหญิงม่าย ขอให้ตัวเองกลับมาเป็นมนุษย์อีกครั้ง เขาอยากกลับไปเป็นมนุษย์ที่มากด้วยตัณหา ความโลภอย่างไม่มีวันสิ้นสุดทำให้เขากลายเป็นเช่นนี้เอง



    “คิดอะไรอยู่เหรอ” เสียงทุ้มดังขึ้นข้างกาย ยูจิหลุดจากภวังค์และหันไปมอง ตอนนี้พวกเขาทั้งคู่ขึ้นมายืนอยู่ชั้นบนสุดแล้ว เบื้องหน้าก็เป็นศาลาไม้เก่าๆ ที่ถูกทิ้งให้รกร้าง ทั้งหลังคาไม้ที่พังทะลุลงมา สีแดงสดที่ถูกทาเมื่อสามสิบปีก่อนลอกออกแทบหมดสิ้น มันไม่น่าอภิรมย์เลยแม้แต่น้อย



    “คิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะ.. เจ้าเถิด หนาวมากไหม ผิวของเจ้าเป็นอันตรายในหน้าหนาวหรือไม่” ยูจิกลับมามอง ซาโตรุส่ายหน้าไปมาด้วยรอยยิ้ม



    “ก็มีระคายเคืองบ้าง แต่ทาครีมมาแล้ว ใส่เสื้อหลายตัวมากๆ ด้วย”



    ยูจิเงยมองใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังส่งยิ้มมาให้เขา จู่ๆ ภาพในวันแรกที่พวกเขาพบกันก็แล่นเข้ามาภายในความคิด ในวันนั้นยูจิไม่ได้ตั้งตัวว่าจะถูกมองเห็น เขายังคงเป็นร่างอวตารของเสือโคร่งตัวใหญ่ แต่กลับสัมผัสได้ว่าถูกมองอยู่ตลอดเวลาถึงได้เดินออกมาจากด้านหลังของศาลเจ้า และพบเข้ากับเด็กน้อยตัวขาวคนหนึ่ง เขาขาวไปแทบทุกส่วนของร่างกายราวกับไม่ใช่มนุษย์จริงๆ แต่ใจความสำคัญมันไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้น แม้แต่เขาและซาโตรุเองก็ให้คำตอบไม่ได้ว่าเพราะอะไร พวกเขาทั้งคู่ถึงโคจรมาพบกัน ทำไมซาโตรุถึงมองเห็นเขาเพียงคนเดียว มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนและเหมือนจะเป็นสัญญาณที่ดีแน่ ในคราแรกยูจิคิดแบบนั้น



    ซาโตรุอาจจะเกิดมาเพื่อปลดปล่อยเขา พวกเราต่างเติมเต็มในส่วนที่ขาดหายของกันและกัน



    แต่ช่างน่าแปลกนักที่ยูจิอ่านความคิดทุกเรื่องของซาโตรุได้ แต่เขา..ไม่เคยรับรู้ได้เลยว่าอีกฝ่ายมีใจให้เขาหรือไม่ เขาไม่เคยเห็นมันในความคิดของชายหนุ่มเลยแม้แต่น้อย



    แต่นั่นก็ดีแล้วล่ะ.. เขาไม่ได้ต้องการความรักกลับมาอยู่แล้ว หากเลือกระหว่างเป็นอิสระกับอยู่กับชายหนุ่มตรงหน้าตลอดไป เขาย่อมเลือกอย่างที่สองมากกว่า



    แม้จะไม่รู้เลยว่า การเป็นอิสระมันจะเป็นเช่นไร



    ร่างเล็กเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้พร้อมกับสวมกอดอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา แนบแก้มบนอกกว้างที่แสนจะอบอุ่น เขาหลับตาลงช้าๆ ในขณะที่ซาโตรุเองก็ไม่ได้ผลักไส เขายกมือขึ้นกอดหลังของคนตัวเล็กเช่นกัน



    “ข้ามีอะไรจะบอกเจ้าด้วยหนา เด็กน้อย”



    “ผมก็มีเหมือนกัน”



    “จริงหรือ..งั้นเจ้าบอกข้ามาก่อน”



    “ยูจิบอกก่อนสิ ยูจิเป็นคนพูดก่อนนะ”



    “แต่ข้าอยากรู้สิ่งที่เจ้าอยากจะบอกข้าก่อน ได้หรือไม่เล่า..”



    เขาได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอของซาโตรุดังอยู่ด้านบนศีรษะ ยืนเงียบและรอฟังว่าอีกฝ่ายจะบอกเขาว่าอะไร แต่ในชั่วอึดต่อมานั้น..มันแทบจะเป็นคำที่เขาคาดไม่ถึงมาก่อน



    “ผมรักคุณ”



    “….”



    “รักคุณมากๆ มากเกินกว่าชีวิตของผม ขอบคุณที่คอยดูแลผมตลอดมา ขอบคุณที่คอยเป็นห่วงผม เป็นพ่อทูนหัวของผม แต่เคยบอกไปแล้วว่าผมไม่ได้อยากเป็นพ่อคุณนะ” ชายหนุ่มหัวเราะ ขณะที่คนในอ้อมกอดยังไม่ตอบอะไรกลับมา “ผมคิดว่าคุณน่าจะรู้แล้ว ก็คุณอ่านความคิดผมได้นี่หน่า..ผมคิดมากมาตลอดเลย รู้ไหม กลัวคุณจะเกลียดผม ถ้าผมต้องพูดแบบนี้”



    “เจ้า...พูดอะไรออกมา”



    “….” ซาโตรุแทบจะกลืนคำพูดไม่จนหมดสิ้น เสียงของคนในอ้อมกอดสั่นสะท้าน ก่อนที่มือเล็กจะดันตัวเขาออกห่างเล็กน้อยเพื่อให้มองหน้ากัน แต่สิ่งที่เห็นทำให้ซาโตรุแทบจะลืมหายใจ “หน้าคุณ…”



    ใบหน้าที่เขาชอบมองที่สุด บัดนี้กลับมีรอยแตกที่ผิวแก้มและมันกำลังจะร้าวไปเรื่อยๆ แสงสีขาวเล็กๆ เล็ดลอดออกมาจากรอยแตกบนใบหน้าของยูจิ มันค่อยๆ ลอกออกและลอยฟุ้งหายไปในอากาศราวกับหิ่งห้อยในยามรัตติกาล ซาโตรุรู้สึกเหมือนเขาหายใจไม่ออก เขาเบิกตาค้างอย่างทำอะไรไม่ถูก ราวกับคนตรงหน้ากำลังจะสลายหายไป หายไปโดยที่เขายังไม่ทันได้เตรียมใจใดๆ เลย



    “ข้าก็จะบอกคำนี้กับเจ้าเช่นกัน” รอยยิ้มสุดท้ายถูกแต่งแต้มบนใบหน้าของยูจิ “ข้ารักเจ้าหนา ซาโตรุ”



    คำสาปนั้นไม่ได้ลงโทษเขาให้หลาบจำต่อการกระทำผิด แต่คำสาปนั้นได้สอนให้เขารู้จักกับความรักอย่างแท้จริง ยูจิได้รับรู้สิ่งที่อีกฝ่ายคิดทุกอย่าง แต่กลับมีเพียงสิ่งเดียวที่ยูจิไม่อาจรับรู้ได้จากความคิดของซาโตรุ นั้นก็คือความรู้สึกดีๆ ที่อีกฝ่ายมีให้ ความรักที่ซาโตรุอยากจะมอบให้เขา เขาไม่เคยรับรู้ถึงมัน ไม่เคยรู้ว่ามันมีอยู่จริง ความคิดเหล่านี้เองที่ทำให้เขายอมทำทุกอย่างเพื่อชายหนุ่มโดยไม่หวังผลตอบแทน ไม่หวังสิ่งใดจากชายหนุ่มเลย แม้กระทั่งความรัก เขาก็ไม่ต้องการให้รักกลับ เขาแค่มีความสุขที่ได้รัก มันทำให้เขาได้รู้คุณค่าของความรักอย่างแท้จริง ช่างโชคร้ายเหลือเกินที่เขาเพิ่งจะได้รับรู้ว่า รักแท้ มันเป็นเช่นไร เขาก็จำต้องจากโลกนี้ไปเสียแล้ว...



    “ยูจิ...ไม่....ไม่!!! ยูจิ!!!!!” เสียงคำรามดังลั่นของชายหนุ่มช่างอื้ออึงอยู่ในแก้วหูของยูจินัก ร่างทั้งร่างค่อยๆ แตกสลายไปในอ้อมกอดของซาโตรุ รอยยิ้มหวานยังคงถูกแต่งแต้มบนใบหน้าของชายผู้เป็นที่รัก มันทั้งเศร้าสร้อยและดีใจในเวลาเดียวกัน แสงสีทองสว่างค่อยๆ ลอยขึ้นไปในอากาศทีละนิด จนกระทั่งแตกสลายไปทั้งหมด... ซาโตรุร้องไห้แทบจะขาดใจ เสียงร่ำไห้ดังระงมศาลเจ้าร้าง ที่บัดนี้มีแต่ความหมองเศร้าเพราะไม่มีเทพองค์ใดสถิตอยู่อีกต่อไป เขาเข่าทรุดลงกับพื้นหินที่เย็นเฉียบ นั่งกอดอากาศเย็นชื้นที่ก่อนหน้านี้เคยเป็นร่างอุ่นของชายหนุ่มคนที่เขารักจนหมดหัวใจ หายไปต่อหน้าต่อตา และไม่มีวันกลับมาหาเขาอีก



    ...ตราบชั่วนิรันดร์





    END

    ___________________________

    หักดิบสุดๆเลยค่ะแง อย่าน้ำตาซึมกันนะคะทุกคน ;_______;

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
mm04562 (@mm04562)
แง จากแอบแซ่บกลายเป็นแอบเศร้า ไม่สิ เศร้าเลย??
may0475 (@may0475)
ถึงชาตินี้จะไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ทั้งคู่ก็บอกรักกัน ชาติหน้าขอให้ทั้งคู่รักกันและอยู่ด้วยกันตลอดไปนะ
ยังยืนยันคำเดิมนะคะ ขอบคุณที่คุณเกิดมาบนโลกใบนี้ มาแต่งนิยายให้อ่าน เราไม่เคยร้องไห้กับนิยายแบบนี้มานานแล้ว ภาษาลื่นไหลน่าอ่านมาก ฮืออออออ เปียกปอนมากเลยค่ะ อุตส่าใจตรงกันแล้วแท้ๆแต่พวกเขาก็ไม่ได้อยู่ด้วยกัน แงงง ดิ่งงง
ปล.ขอบคุณที่คุณแต่งนิยายมาให้อ่านกันนะคะ จะติดตามตลอดไปนะ
ปล2.ดูแลสุขภาพด้วยนะคะ อย่าหักโหมเกินไปนะคะ
ปล3.เป็นคนชิปคู่นี้อยู่แล้วยิ่งอ่านยิ่งชอบเข้าไปใหญ่ คู่นี้ดูเข้ากันยังไงก็ไม่รู้ อะฮิ๊~~