เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
SF | ambrosialzd__gim
Sugar
  • Sugar - รสหวาน

    Theme song; Calum Scott - You Are The Reason



    คำเตือน; ในรสนี้จะบรรยายแบบวรรณกรรมนะคะ ท่านไหนไม่เคยลองอ่าน ลองเปิดใจกันดูนะคะ ไรท์จะบรรยายให้เข้าใจง่ายที่สู๊ดดดดด นึกภาพตามประโยคเลยเนอะ เอ็นจอยค่ะที่รัก ^^



    There goes my heart beating

    Cause you are the reason



    หวัดดี ผมอิทาโดริ ยูจิ



    ผมอายุสิบสามปีในวันนั้น ถนนคอนกรีตเต็มไปด้วยใบไม้เหลืองแดง เหมือนกันกับทุกหลังคาบ้าน เลยราวกั้นถนน ในป่าใหญ่สุดสายตา ในนั้นคือฝนใบไม้ร่วงโรยราย ไม่นาน พื้นจะเต็มไปด้วยภูเขาใบไม้ ไม่นาน พายุฝนจะปกคลุม และไม่นาน ใบไม้ขาวแดงจะถูกหิมะกร่อน ทุกที่จะเป็นเพียงสีขาวโพลน เหมือนเวลาหลับตา เหมือนเวลาในหัวไม่มีแม้แต่ความคิด ผมเดินสะพายกระเป๋าไปตามทางเดิน ริมถนนมีเส้นสีขาว ผมเดินต่อเท้าตามเส้นนั้นไปจนถึงโรงเรียน และผมก็เดินชนกับเขา ที่เดินต่อเท้าตามเส้นนั้นเหมือนกันกับผม



    ผมเงยหน้าขึ้นมองเขา สายตาตำหนิถูกส่งมาจากดวงตาสีฟ้าคู่นั้น แต่ผมไม่ได้รู้สึกผิดเลย แทบจะลืมความเจ็บปวดทั้งหมดไป กลุ่มผมของเขาสยายไปตามแรงลมแผ่วเบา รู้ตัวในตอนนี้เองว่าการหลงอยู่ในภวังค์มันช่างงดงามเหลือเกิน เขาแตกต่างจากคนรอบตัวที่ผมเคยรู้จักหรือเคยเห็น เขารูปงามราวกับภาพวาดหรือรูปปั้นกรีก ดวงตาของเขาสว่างแข่งกับสีของท้องฟ้าในตอนนี้ ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่อเขาผลักไหล่ผมเบาๆ



    ‘เฮ้ เหม่ออะไร ขวางทางคนอื่นจะไปโรงเรียน’



    แรงของเขาเยอะมาก แถมเขายังตัวโตกว่าผมหลายสิบเซนต์ กีตาร์ที่สะพายอยู่ด้านหลังเขากำลังทำให้ผมนึกภาพเขาตอนกำลังดีดมัน เขาโน้มหน้าลงมองผม สายตาไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย



    ‘ถนนก็มีตั้งกว้าง ทำไมไม่เดินผ่านไปล่ะ’



    ‘ก็จะเดินตามเส้นสีขาวนี่ไง’



    ผมก้มมองบนพื้น เราทั้งสองยืนบนเส้นสีขาว ที่ทอดยาวมาจากหน้าบ้านของกันและกัน และมันไม่ได้ถูกวาดให้มีทางแยก เหมือนรางรถไฟ ผมเงยหน้าขึ้นมองเขาอีกครั้ง ผมก็ไม่ยอมหลีกทางให้หรอกนะ สายตาของผมราวกับมีเสียงพูดให้เขารู้ตัว เขาน่าจะเป็นรุ่นพี่ของผมหลายปีได้ เขาดูหงุดหงิดเล็กน้อย ส่ายหัวไปมา ผมเงยมองผมสีขาวของเขาสะบัดไปมาตามแรง รู้สึกว่ามันเหมือนสายไหมเลย แต่เขาไม่รอให้ผมได้พูดอะไร เขาจับไหล่ของผมแล้วเบียดตัวเข้ามาชิด ก้าวเท้าอ้อมตัวผมไปด้านหลังเหยียบที่เส้นสีขาว มือใหญ่กำเสื้อนักเรียนผมยับ เขาเดินอย่างระมัดระวัง ราวกับด้านนอกเส้นสีขาวเป็นเหวลึกถึงลาวาร้อนระอุ ผมยืนนิ่ง เขาผ่านไปแล้ว ผ่านไปอย่างง่ายดาย



    ผมหันกลับไป มองตามหลังเขา เขาเดินสะพายกีตาร์จากไป ไม่พูด ไม่ทิ้งท้าย แต่เขาทิ้งความทรงจำไว้ที่นี่ ที่เส้นสีขาวตรงนี้ ผมคาดหวังว่าจะได้เจอเขาในทุกเช้า วันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรกของผม ผมหวังว่าคนคนนั้นคงจะไม่เปลี่ยนเส้นทางไปเดินทางอื่น ก่อนผมจะได้รู้จักชื่อของเขา



    ที่โรงเรียนของผมก็สนุกดี ได้รู้จักเพื่อนหลายคน มีกลุ่มอยู่หลังห้อง ดูเป็นเด็กดื้อ แต่ผมก็แค่ซน เช้าวันนี้อากาศร้อน ใบไม้บนถนนน้อยลงกว่าเมื่อวาน แมวส้มเดินบนกำแพง ผมเดินออกจากเขตรั้วบ้าน ยืนมองที่เส้นสีขาวนั้น มันทอดยาวและแยกทางไปตามซอย แต่เส้นที่ผมเดินมันเป็นทางตรง ตรงไปหาเขาคนนั้นที่อยู่ในเครื่องแบบโรงเรียนอื่น เดินสะพายกีตาร์ตัวเดิม ตรงมาทางผม เขามีสีหน้าเบื่อหน่าย คงเพราะมีคนมาขวางทางเดินอีกแล้ว ผิดกับผมที่ยิ้มแย้มดีใจ ได้เจอกับเพื่อนต่างโรงเรียนที่เล่นเครื่องดนตรีคลาสสิก



    ‘อรุณสวัสดิ์นะ!’



    ผมพูดกับเขา แต่เขาไม่ฟัง เขาทำแบบเดิม แบบเมื่อวานที่เขาทำ เขาก้าวขาอ้อมตัวผมไปเหยียบที่เส้นสีขาวด้านหลัง เดินล้วงกระเป๋าตรงไปตามเส้น ไม่พูดไม่จาอะไร ส่วนผมได้แต่ยิ้มแห้งมองตามหลังของเขาไป แต่อย่างน้อย วันนี้ท้องฟ้าก็สว่างกว่าดวงตาของเขา เขาแพ้ท้องฟ้าในเช้าวันนี้แล้วล่ะ แต่คงเพราะเขาไม่สบตาผมเลยต่างหาก ผมไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาคิด ผมดีใจมากแล้วที่ได้เจอเขา เขาเป็นคนแรกที่ผมเจอในวันแรกของการเปิดเทอม นั่นก็คือเมื่อวานนี้ ผมยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจ ผมอยากจะรู้จักเขาในวินาทีแรกที่สบตา



    วันนี้ผมตื่นสาย ผมรีบกระชากประตูรั้วอย่างเร็ว ผมช้าไปแค่ไม่ถึงสิบนาที แต่ผมจะรู้สึกแย่ไปทั้งวันแน่ ถ้าเช้าวันนี้ผมคลาดกันกับเขาคนนั้น ผมวิ่งใช้พลังงานจากอาหารเช้าวันนี้ ฝีเท้าสม่ำเสมอเหยียบบนถนน เส้นสีขาวยาวตรงไปยังหัวมุมที่ผมเดินชนกับเขา มันว่างเปล่า ถนนไม่มีใครเดินอยู่ ผมยืนหอบ มองทั้งสองฝั่งสลับไปมา ยังไงก็ไม่เจอเขาแล้วในวันนี้ โทษตัวเองสารพัดที่เล่นเกมในคอมพิวเตอร์จนดึกดื่น ทั้งโดนแม่เอ็ดแต่เช้า มันไม่ใช่ลางที่ดีแน่ และมันทำให้ผมไม่ได้เจอกับเขาคนนั้น ผมหน้าบึ้ง เดินคอตก ต่อเท้าไปยังโรงเรียน ผมแค่อยากรู้ว่าวันนี้ท้องฟ้าจะยอมแพ้ให้กับดวงตาสีฟ้านั้นไหม ผมแค่อยากเปลี่ยนคำพูดในการทักทายเขาคนนั้น คำว่าอรุณสวัสดิ์นะ มันคงจะเชยไปก็เป็นได้



    แต่เช้าวันนี้ผมคิดคำพูดมาพร้อมกับเวลาที่ตรงเป๊ะ มองที่หัวมุมนั้นจากไกลๆ ยังไม่เจอใครเดินสวนมา รู้สึกใจโหวงตอนเดินเข้าใกล้ และในวันนี้ก็คงคลาดกันอีกเช่นเคย ผมรู้สึกเหมือนหัวใจถูกปล่อยลม มันห่อเหี่ยว และคำพูดที่เตรียมมามันไม่มีค่าแล้วในตอนนี้ หัวมุมที่พวกเขาเดินชนกันในวันแรก ผมเดินผ่านตรงนั้นอย่างเชื่องช้า แต่หางตาดันเห็นใครบางคนยืนพิงกำแพงอยู่หลังเสาไฟ ผมหันไปมอง และใช่ ในวันนี้ดวงตาของเขาชนะท้องฟ้าขาดรอย หัวใจกลับมาถูกซ่อมแซมและเติมลมเข้าไปอีกครั้ง มันพองโตพอๆ กับรอยยิ้มกว้างของผม เขาเบิกตากว้างขึ้น ยันตัวจากกำแพงที่พิงอยู่ กระแอมไอเดินตรงมาหาผม ผมเผลอคิดเข้าข้างตัวเองไปแล้วว่าเขายืนรอผมอยู่ตรงนี้ ทั้งที่เมื่อวานไม่เจอใคร เขาเดินมาหยุดยืนบนเส้นสีขาวเหมือนกัน เราทั้งสองมองตากัน



    ‘เมื่อวานขาดเรียนเหรอ’



    ‘แล้วมารอเหรอ’



    ‘ก็เปล่า แค่ไม่อยากไปโรงเรียนเช้าเกินไป’



    ผมเอียงคอ ผมรู้สึกว่าข้ออ้างของเขามันฟังไม่เข้าหูเลย จากนั้นเขาก็ถาม โรงเรียน บ้านอยู่แถวไหน และอายุของผม ผมถามเขากลับเช่นกัน เราต่างแลกเปลี่ยนข้อมูลกันและกัน ต่างคนต่างหัวเราะ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นผม หัวใจที่พองโตอยู่แล้ว มันกำลังเต้นแรงและมีพละกำลังอย่างมหาศาล ดวงตาของเขาช่างงดงามยามมองใกล้ๆ สีฟ้าประกายกับขนตาสีขาวเหมือนสายไหม ผมไม่ได้หิว แต่ผมรู้สึกชอบเขา เพราะผมชอบของหวาน เราคุยกันไม่นาน เมื่อรู้ว่าถึงเวลาต้องจาก ต่างคนต่างขยับเข้ามาชิดกัน ผมรู้สึกได้ถึงมือใหญ่ของเขา จับที่เอวเบาๆ มือของผมก็วางบนไหล่ของเขา ระดับสายตาผมยังสูงไม่พ้นบ่าของเขาด้วยซ้ำ เขาพาผมหมุนตัวสลับตำแหน่งกัน มาหยุดยืนอยู่บนเส้นสีขาวริมข้างทางเช่นเดิม มือของเขาจับเอวผมไว้ ไม่ให้ตกจากเส้นสีขาวที่จินตนาการเป็นหน้าผาสูง หันหลังให้กันและเดินเท้าไปโรงเรียน พร้อมกับหัวใจที่เต้นแรง



    โกะโจ ซาโตรุ อายุสิบเจ็ดปี เรียนอยู่ที่โรงเรียนถัดจากบ้านของผมไปนิดหน่อย แต่ผมว่าโรงเรียนผมน่าจะใกล้กว่า อย่างน้อยก็ได้รู้จักชื่อของเขา ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนใจไปเดินเส้นทางอื่น



    I’ m losing my sleep

    Please come back now



    สามปีนั้นผ่านไปอย่างรวดเร็ว ผมไม่รู้ตัวเลยว่าอะไรที่มันเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ฤดูกาล ผู้คน หรือกาลเวลา เสียงฝนที่สาดกระทบหน้าต่างห้องนอน ห้องแห่งความลับของผมอยู่บนชั้นสองของตัวบ้าน ผนังสีฟ้าตัดกับสีส้มดูไม่เข้ากัน แต่ผมว่ามันลงตัว โปสเตอร์หนังโปรดติดบนผนังห้อง โคมไฟในห้องสีสลัวน่านอน ฤดูฝนเป็นอะไรที่น่าเบื่อ ออกไปไหนไม่ได้ เล่นน้ำก็ไม่ได้ ผมชอบไข้ขึ้นง่าย ผมนั่งเท้าคางที่ขอบหน้าต่าง มองดูเม็ดฝนหนักๆ สลับกับมองถนนหน้าบ้าน เส้นสีขาวกำลังถูกสายฝนโจมตีอย่างหนัก ผมไม่ค่อยได้เจอกับซาโตรุ ในตอนนี้ อีกฝ่ายกลายเป็นพี่มหาลัย ส่วนผมกลายเป็นพี่มัธยมปลาย ช่วงที่ผ่านมา พวกเขาดำเนินความสัมพันธ์กัน โดยการเจอกันบนถนนเส้นนั้น ดำเนินมาถึงการไปดูหนังด้วยกัน ถึงการไปฟังเขาเล่นดนตรีที่ถนนคนเดิน ถึงการไปหาพ่อกับแม่เขาที่บ้าน ถึงการที่เขามาเที่ยวที่บ้านผมเช่นกัน เราทั้งสองสนิทกันมาก แต่ยกเว้นในช่วงเวลานี้ อีกฝ่ายห่างออกไป ในตอนที่ผมกำลังจะสอบเข้ามัธยมปลาย จนเขาหายไป หายไปจากชีวิตของผมโดนสิ้นเชิง



    แต่เมื่อครั้งล่าสุด ผมกลับได้ยินข่าวของเขา ในทางที่ไม่ค่อยดีนัก เขาเรียนวิศวะไฟฟ้า และกลายเป็นคนอารมณ์ร้อน เมื่ออยู่กับผู้อื่น ผมรู้ว่าเขาชกต่อย มีเรื่อง และทะเลาะวิวาท ผมไม่คิดว่านั้นจะเป็นเขา อาจจะมีปีศาจร้ายอยู่ในร่างของเขาหรือเปล่า แต่นั่นเป็นเพียงคำปลอบประโลม ความจริงคือ ซาโตรุ ได้เปลี่ยนไปแล้ว



    หลังเลิกเรียน ผมเดินไปที่ร้านขายอุปกรณ์เครื่องเขียน มันห่างจากบ้านผมหลายกิโลเมตร ผมต้องนั่งรถไฟฟ้าเข้ามาในเมือง ตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้เห็น เมืองใหญ่ ผู้คนต่างไม่สนใจกันและกัน และมันใกล้ กับมหาวิทยาลัยที่เขาเรียนอยู่ มีงานหลายอย่างที่คุณครูสั่ง ทั้งกระดาษม้วนและกระดานวาดภาพ



    ท้องฟ้าย้อมเมืองให้หม่นเป็นสีม่วง มันอาจมืดเป็นสีดำสมบูรณ์หากไม่มีเสาไฟสีส้ม มันจึงกลายเป็นฟ้าม่วงกับแสงส้มที่ไม่สามารถกลืนกันลงตัวได้ ผมเดินไปตามตรอกแทนริมทางด่วน หลากกลิ่นขยะเปียกทำให้ผมเกือบลืมอารมณ์ดีเมื่อเช้าแทบทั้งหมด เมื่อผมเดินเลี้ยวขวาไปยังทางเท้า ผมเจอกลุ่มวัยรุ่นนั่งพิงผนังตึก ควันเทาหม่นเอ่อออกจากปากพวกเขา กลิ่นเหล้าคละคลุ้งกว่าน้ำหอมที่พวกเขาฉีด ผมรีบกลั้นหายใจเดินผ่านพวกเขา พวกเขาจะเป็นเพียงฉากหนึ่งเท่านั้น ถ้าหนึ่งในพวกเขาไม่มายืนขวางผม



    และเมื่อ ถ้าเป็นเรื่องจริง ผมจึงต้องรับมือกับคำทักทายแรกกับ ‘ทนกลิ่นบุหรี่ไม่ได้ใช่ไหม’



    ผมไม่รู้ว่ามันรู้ได้อย่างไร แต่ต่อให้ผมทนได้ มันก็คงหาเรื่องกับผมอยู่ดี ผมเลือกที่จะไม่พูด รีบกลั้นหายใจก่อนมันจะปล่อยควันโถมเข้ามาหาผม พวกที่เหลือส่งเสียงหัวเราะ พร้อมกับไอโขลกตามมาทีหลัง มันเดินเข้าหาผม ต้อนผมให้ถอยกลับไปหาพวกมัน แม้ผมพยายามเดินเบี่ยง มันก็กั้นผมได้ ผมนึกภาพตัวเองโยนถุงกระดาษสีม้วนและกระดานวาดภาพทิ้ง เหวี่ยงข้อศอกเข้าที่จมูกมัน และเสี่ยงปะทะกับพวกที่เหลือ ผมต้องวิ่งให้ทัน เหตุการณ์ทั้งหมดยังไม่เกิด แต่ผมกำลังนับถอยหลัง มันกำลังจะเกิด มันกำลังจะเกิด



    แล้วมันก็หยุด



    มันเงยหน้าขึ้น มองผ่านศีรษะผมไป เหมือนกันกับพวกที่เหลือ เหมือนกับพวกมันมีเป้าหมายใหม่ หรือมีแรงจูงใจอื่นมากกว่าผม ผมสามารถวิ่งได้ตั้งแต่ตอนนี้ โดยที่ไม่มีความรุนแรง และไม่ทิ้งของจำเป็นของผม แต่เสียงนั่นทำให้ผมหันตามไป เสียงทุ้มหนักเหมือนคลื่นระลอกใหญ่ซัดกระแทกโขดหิน เขายืนอยู่ข้างหลังผม ตาสีฟ้าอ่อนสว่างราวกับท้องฟ้ายามเช้าของเขาจ้องเขม็งไปที่มัน กรามเขาตึงแน่น เส้นเลือดบวมปูดที่มือทั้งสองข้าง เสียงของเขาจบสิ่งที่ผมคิดทั้งหมด



    ‘เป่าใส่เขาอีกทีเดียว แล้วกูจะให้มึงเป่าฝุ่นรองเท้ากู’



    ผมเฉยชากับเรื่องที่เขาเคยทำ แต่ตอนนี้ผมรู้สึกดีกับเรื่องทั้งหมดนั่น เพราะเขาไม่ลังเลจะจบที่ทะเลาะวิวาท พวกมันจึงไม่ลังเลจะเดินออกไป คนหนึ่งในพวกมันถ่มน้ำลายบนพื้น ผมคิดว่านั่นคือสิ่งที่มันทำได้มากที่สุด สายตาผมกลับมาที่เขา



    ‘ขอบคุณครับ’ คืออย่างแรกที่ออกจากปากผมโดยไม่ต้องคิด



    ‘กำลังเดินกลับบ้านเหรอ’ คือเสียงที่ผมไม่ได้ยินจากเขามานานหลายปี ผมตอบเขาว่า ‘ใช่’



    ‘มันดึกแล้ว ให้ฉันเป็นคนไปส่งนายได้ไหม’



    มันเหมือนกับว่า วันที่ผมเจอกับเขาระหว่างทางไปโรงเรียน วันที่ยูจิและซาโตรุยังเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน เพิ่งเกิดเมื่อวาน อย่างไรอย่างนั้น ดวงตาสีฟ้าประกายของเขาทำให้ผมจำเรื่องพวกนั้นได้ชัดเจนขึ้นกว่าเดิม ผมนั่งบนยานยนต์สีดำมันวาว เขาเป็นคนขับ ผมนั่งหลังเขา เขาขับผ่านถนนโล่ง ๆ ของเมือง ผ่านแสงนีออนฟ้าแดงของบาร์ ผ่านโรงภาพยนตร์คุ้นเคย ในตอนที่เรายังเป็นเพียงเด็กชาย เขาเคยพาผมกระโดดลงจากหน้าต่างบ้านตัวเอง และแอบพาผมมาดูหนังรอบดึก ที่โรงภาพยนตร์แห่งนี้ เขายอมเข้ามาในเมืองเพียงคนเดียว เพื่อซื้อตั๋วเพียงสองใบ ให้ผมและเขา ผมเงยหน้ามองตัวอักษรแดงเรืองชื่อภาพยนตร์กำลังฉาย



    ‘คิดถึงที่นี่เหรอ’ เขาถามผม ผมนึกเกลียดลมที่พยายามกลบเสียงเขา ผมตอบเขาว่า ‘ผมคิดถึงวันที่เจอกับซาโตรุวันแรก’ และตอนนี้เอง ที่ผมรู้สึกเหมือนผมแก้ปริศนาใบหน้าของโมนาลิซาได้ ที่กระจกมองข้าง ผมเห็นรอยยิ้มของเขาคลี่กว้าง ชั่วขณะหนึ่ง ผมไม่ต้องการสิ่งใดอีก ผมไม่ต้องกลับบ้านอีกต่อไปด้วยซ้ำ ผมอยากบอกเขาออกไปทันที คุณไม่ต้องไปส่งผมแล้ว คุณแค่ขับต่อไป เลยภูเขาลูกนั้น ไปที่เส้นขอบฟ้าโน้นถ้าเป็นไปได้ บอกพระเจ้าว่าวันสิ้นโลกทำลายคุณกับผมไม่ได้ แต่ผมก็เก็บมันไว้ ไม่ได้พูดออกไป เพราะวันสิ้นโลกที่ผมรู้จัก คือข้อสอบตรีโกณมิติในวันพรุ่งนี้ เขาคงหัวเราะถ้าเขาได้ยิน



    เขาจอดหน้าบ้านผม ผมไม่ได้กลับเข้าบ้านทันที เพราะคำเฉลยของเขาที่หายไปจากชีวิตรั้งผมไว้



    ‘ฉันไม่อยากให้นายโดนมองไม่ดี ที่เป็นเพื่อนกับอันธพาล’ เขาสบตากับผม ขอโทษผมด้วยสายตาเขา เราจ้องมองจนผมรับรู้ถึงสิ่งที่ผมกับเขารู้สึกเหมือนกัน ถนนยาวที่ไม่มีใครรู้จุดจบ เราต่างไม่ขยับไปไหน เราแค่รอว่าเมื่อใดมันจะมีตอนต่อ ที่เส้นสีขาวบนพื้นถนน แล้วผมจึงตอบเขา แล้วภาพทางเดินว่าง ๆ จึงกลับมาเป็นเส้นตรงสีขาวบอกเรื่องราวอีกครั้ง



    ‘ผมไม่เคยเห็นคุณเป็นอันธพาล’



    ‘แล้วนายเห็นฉันเป็นอะไรเล่า’



    ลมฤดูใบไม้ร่วงรดอาบแก้มผม หมื่นคำพูดเอ่ออยู่ที่ริมฝีปาก ผมจะบอกเขาอย่างไรก็ได้ เพียงแต่ บางคำนั้นเร็วไปที่เขาจะได้ยิน บางคำนั้นสายเกินจนไม่จำเป็นต้องพูดต่อ หนึ่งวินาทีนั้นช่างยาวนาน จนผมนึกคำตอบให้เขาได้ ผมหลงอยู่ใต้ท้องฟ้ายามเช้าตรู่อยู่ชั่วขณะ ไม่ใช่ท้องฟ้าของโลก ท้องฟ้าในดวงตาเขา



    ‘หนุ่มต่างโรงเรียนครับ’



    เขาทวนคำพูดผม เขาทวนอีกครั้ง แล้วเขาก็ยิ้ม กว้างขึ้น กว้างขึ้น จนเป็นหัวเราะ ผมรู้สึกเหมือนเวลาถูกหยุด หน้าปัดนาฬิกาไม่เดิน วินาทีไม่เพิ่ม ไม่มีสิ่งใดขยับ หัวใจผมไม่เต้น โลกหยุดหมุน เว้นแต่เสียงหัวเราะของเขา ผมอยากควักดวงตาทั้งสองข้างของผมออก ไม่ได้เป็นการทรมานตัวเอง ผมอยากให้เขาเห็นดวงตาของผม และผมจะบอกเขาว่าผมอยากให้เขาเก็บมันไว้ เพราะผมไม่ต้องการเจอรอยยิ้มที่หวานกว่าเขา เพราะผมไม่ต้องการดวงตาที่น่ามองกว่าเขา เพราะผมอยากให้เห็นใบหน้าเขา ในคู่ดวงตาผม



    เขายื่นมือมาหาผม ผมควรจับมือเขาถัดจากนี้ แต่ผมไม่ได้ทำ ผมอ้าแขนตัวเอง โอบกอดเขาใต้ท้องฟ้าสีน้ำเงินคราม เสียงรถรางเริ่มแว่วมาในหู มนุษย์ฟื้นขึ้นจากฝันแล้ว ผมกอดเขาแน่น



    ‘ผมคิดถึงคุณเหลือเกิน ซาโตรุ’ เขาส่งเสียงในลำคอ คำพูดมากมายเอ่อเต็มปากเขา แต่เขาจำเป็นต้องเก็บมัน เขาไม่ต้องพูด ไม่ใช่ตอนนี้ ผมรู้สึกนึกถึงนิ้วมือเขาบนหลังผม เขากอดผมด้วยเช่นกัน ผมรู้สึกเหมือนระยะห่างทั้งหมดถูกบั่นออก ผมรู้สึกเหมือนแรงดึงดูดฉุดผมกับเขาโคจรมาหากันอีกรอบหนึ่ง



    ‘ยินดีที่ได้กลับมารู้จักกันอีกครั้งนะ ยูจิ’



    ‘อย่าหายไปอีกนะ ซาโตรุ..’



    There goes my mind racing

    And you are the reason

    That I’ m still breathing

    I’ m hopeless now



    ผมอายุครบยี่สิบห้าปีในวันนี้ ห้องพักเล็กๆ มีเสียงโทรทัศน์ถูกเปิดทิ้ง ผมนอนอยู่ในอ้อมกอดของเขา ที่โซฟาตัวยาว เราสองคนนอนบนนั้น ผ้าห่มผืนใหญ่คลุมพวกเราทั้งคู่ เขานอนซ้อนอยู่ข้างหลังผม มองจอโทรทัศน์ด้วยความเคยชิน เขาทำงานเป็นพนักงานบริษัทแห่งหนึ่ง ส่วนผมเป็นนักเขียน ผมพลิกตัวกลับไปหาเขา มองคางของเขาในระยะใกล้ พลางยกมือขึ้นลูบมันเบาๆ แสงสะท้อนจากแหวนเงินบนนิ้วนางข้างซ้ายเด่นชัด ผมยิ้มยามเห็นมัน ซาโตรุขอผมแต่งงาน เราแต่งงานกันแล้ว แต่งงานกันอย่างถูกกฎหมาย เขาเป็นของผมโดยสมบูรณ์ เรามีบ้านที่สุขสบาย เรามีเซ็กส์กัน และเรารักกันมาก ผมไม่อายปากที่จะพูดแบบนั้น ผมชอบรสนิยมเซ็กส์ของเขา เราเข้ากันได้ดีกว่าที่คิด



    ‘เมื่อไหร่เราจะรับเด็กมาดูแลสักคนเหรอ’ ผมถามเบาๆ เขาละความสนใจจากโทรทัศน์ มือใหญ่เกลี่ยบนแก้มผม เขารู้ว่าผมอยากมีลูก เขารู้ว่าผมอยากสร้างครอบครัวให้มันสมบูรณ์ เขารู้ว่าผมพร้อมแล้วที่จะมีสิ่งมีชีวิตเล็กๆ สักคนมาวิ่งเล่นในบ้าน แต่เขาไม่ได้ให้ความสนใจกับมันขนาดนั้น เขาลุกนั่งแล้วเดินลงจากโซฟา



    ‘ค่อยคุยกัน ยูจิ ฉันอยากเข้านอน’



    เป็นอีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง นับไม่ถ้วนที่เขาเหนื่อยจากการทำงาน ราวกับเขาพยายามเบี่ยงเบนเรื่องนั้น ทุกครั้งที่ผมถามเขา เขาจะเป็นแบบนี้ทุกครั้งเสมอหลายปีที่ผ่านมา ผมพยายามเข้าใจเขา เขาเหนื่อยจากการทำงาน เขาเจอหัวหน้างานพูดจาทำร้ายจิตใจ เขาต้องฝืนร่างกายเพื่อทำงานนั้น กลับมาหาผมตอนดึกดื่น แอบเข้ามาในห้องนอน และจูบบนแก้มของผมแผ่วเบาในยามรัตติกาล ทั้งที่ตอนนั้นผมยังไม่หลับ ผมนอนรอเขากลับบ้าน ผมรู้ ผมรู้ทุกอย่าง ผมเข้าใจ เขาทำไปเพื่อเรา เขายอมเหนื่อยเพื่อเรา เพื่อเราทั้งสองคน ผมเองก็เหมือนกัน ผมอยู่ในช่วงเตรียมการ ติดต่อกับสำนักพิมพ์ใหญ่หลายที่ แต่เขาปฏิเสธงานเขียนของผม แทบจะทุกที่ที่ส่งไป เขาบอกว่ามันไม่น่าสนใจ ไม่มีจุดเด่น เขาไม่อยากตีพิมพ์ กับผลงานที่ไม่น่าจะได้รับผลตอบรับดี ผมนั่งมองมันในโน๊ตบุ๊ค เหมือนโต๊ะคอมของผมตั้งอยู่บนเทือกเขาแอลป์ มันหนาวเย็น และเคว้งคว้าง ผมอยากย้อนเวลากลับไป บอกกับคุณปู่ว่าผมพยายามแล้ว ผมเหนื่อยเหลือเกิน ผมใช้เวลาอย่างมากในการสร้างมัน งานเขียนของผม ผมใส่หัวใจของผมลงไปด้วย แต่พวกเขาพูด ราวกับมันช่างไร้ค่าเหลือเกิน แต่ผมคงคิดฆ่าตัวตาย ถ้ามันถูกตีพิมพ์ แล้วทุกคนต่างบอกว่ามันไม่น่าสนใจ มันห่วยแตก ผมเอามันกลับมาแก้หลายครั้ง เปลี่ยนเนื้อหา เปลี่ยนจุดสนใจ ให้มีความน่าสนใจ มีความตื่นเต้น ผมแทบไม่ได้นอน แก้วโกโก้ร้อนวางลงบนโต๊ะคอมผม ผมหยุดมือที่กำลังพิมพ์ รับกอดอุ่นข้างหลังจากเขา ผมหันกลับไปมองคนรัก ซาโตรุยิ้มบาง



    ‘พักก่อนดีไหม’



    ‘บอกตัวเองดีกว่านะ’



    เขาโน้มตัวลงจูบบนเนินหน้าผากผม กลิ่นตัวของเขาช่างดึงดูด ผมยิ้ม กางแขนกอดเอวเขา แนบแก้มกับหน้าท้องอุ่น ตัวเขาใหญ่เกินกว่าผมจะกอดหมด แต่เขาสามารถกอดผมให้เหมือนลูกแมวได้ มือใหญ่ลูบผมของผมแผ่วเบา เขาหัวเราะ มองแก้มของผมที่ล้นอยู่ท้องเขา เขาขอตัวไปพักบ้าง เพราะเขาก็เพิ่งจะเลิกงานมาเช่นกัน ผมจึงยอมปล่อยเขาไป เขาโน้มตัวลงมา จูบบนริมฝีปากผมหนึ่งครั้ง ก่อนจะกลับหลังเดินออกจากห้องทำงานของผม หนึ่งสิ่งที่ผมอยากทำงานนี้ต่อไป หนึ่งสิ่งที่คอยฉุดดึงผมขึ้นมาจากก้นเหวแห่งความผิดหวัง หนึ่งสิ่งที่ทำให้ผมไม่คิดจะฆ่าตัวตาย หนึ่งสิ่งที่ทำให้ผมอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป คือเขา ผมมองไอร้อนสีขาวลอยขึ้น จากโกโก้ร้อนที่เขาชง ยกมันขึ้นมาเป่าเบาๆ แล้วชิม มันหวานเจี๊ยบจนรู้ว่าคนรักเขาตักน้ำตาลใส่เพิ่ม เพราะเขาไม่ชำนาญเรื่องการเข้าครัว ผมอมยิ้ม แต่เขาก็ยังคงชงมาให้ แค่นี้ผมก็รู้สึกว่า โต๊ะคอมได้ย้ายมาอยู่ที่บ้านแล้ว มันไม่ได้อยู่บนเทือกเขาแอลป์ ตลอดไป



    อีกไม่กี่ชั่วโมง แสงสว่างจะทำให้มนุษย์ตื่น พระอาทิตย์จะโผล่พ้นขอบฟ้า ผมเดินเข้ามาผ่านในห้องนอน มันเงียบสงัดและมืด เขานอนอยู่ในผ้าห่ม ตัวของเขายาวมาก ปลายเท้าถึงปลายเตียงพอดี ผมเดินอ้อมไปข้างเตียงอีกฝั่ง ค่อยคลานขึ้นไปแผ่วเบา เตียงยุบขยับ เปิดผ้าห่มขึ้นและซุกตัวเองเข้าไปด้านใน นอนหันหน้าเข้าหาเขาที่หลับสนิท เห็นโทรศัพท์มือถือยังคาอยู่มือของเขา นี่เขาเล่นมือถือจนเผลอหลับเลยเหรอ ผมเผลอยิ้ม ค่อยดึงโทรศัพท์จากมือใหญ่เบาๆ ถ้าเขาตื่นขึ้นมาจะต้องหงุดหงิดแน่ คงคิดว่าผมกวนเวลานอนของเขา เมื่อได้มาแล้ว ผมค่อยๆ เอี่ยวตัวเอาไปวางไว้ที่ข้างหัวเตียง แต่นิ้วมือที่จับขอบดันเผลอกดปุ่ม แสงหน้าจอสว่างขึ้น ผมหรี่ตา และต้องเพ่งมอง แจ้งเตือนจากใครบางคนอยู่เบื้องหน้า



    ‘วันพรุ่งนี้ว่างไหมคะ ซาโตรุ เอาตอนที่แฟนคุณไม่รู้นะ ;) ’



    I’ d climb every mountain

    And swim every ocean

    Just to be with you



    ในเช้าวันต่อมา ผมตัดสินใจบอกเรื่องนี้กับเขา ผมนอนไม่หลับ ผมคิดมากเรื่องของเขา ความเครียดกำลังเข้าถาโถมตัวผม เขาขมวดคิ้ว เขาทำเป็นไม่รู้เรื่อง แต่ผมไม่สนใจ เหมือนเขากำลังปั้นหน้าโกหก ทั้งที่ผมเห็นความจริงแล้ว ผมเล่าถึงเรื่องเมื่อคืนให้เขาฟัง เขาบอกว่า เธอคนนั้นเป็นแค่น้องที่ทำงาน แต่ใจความที่เธอส่งข้อความมา มันช่างขัดแย้งกับสถานะเหลือเกิน ผมเถียงเขา ผมโกรธ ผมหงุดหงิด ผมไม่ชอบความลับ ผมไม่รู้ว่าเขาคุยกับใครบ้าง เขาเป็นคนออกไปทำงานด้านนอก ในขณะที่ผมอยู่แต่ที่บ้าน ทำอาหารรอเขากลับ ทำความสะอาดบ้านให้เขาอยู่สบาย เข้าใจเขาทุกอย่าง แม้กระทั่งเรื่องรับเด็กมาเลี้ยง เขาคงไม่พร้อมจริงๆ เขาคงไม่อยากมีในตอนนี้ หรือเพราะว่าเขาไม่อยากจะมีอยู่แล้วตั้งแต่แรก แต่ผมลืมตั้งคำถามไป ว่าเขาเข้าใจผมบ้างไหม เขาตวาดใส่ผมลั่น เขาขยี้ผมตัวเองเดินไปมา ผมตกใจสุดตัว เขาไม่เคยตะคอกใส่แบบนี้ ผมเอาแต่ยืนก้มหน้า หินนับล้านก้อนถ่วงขาของผมเอาไว้ ผมรู้สึกเหมือนกำลังจะจม ผมพยายามตะกายขึ้นมาสูดอากาศ แต่มันช่างยากเย็นเหลือเกิน เขาพูดพร่ำถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ถึงความสัมพันธ์ ถึงการกระทำของผม เขาไม่พอใจ แทนที่ผมควรจะเป็นคนโมโหเขา แต่เขากลับโมโหที่ผมตั้งคำถามใส่ ผมร้องไห้ ร้องไห้อย่างหนัก อกกระเพื่อมอย่างแรง พร้อมความอดทนของผมได้หมดลง



    เขานิ่งไปที่เห็นผมร้องไห้ เขาจะเดินเข้ามาแตะตัว แต่ผมถอยห่าง ผมดึงแหวนที่นิ้วนางออก และปามันลงพื้น คำพูดเสียดแทงที่เขาพูดยังวนเวียนอยู่ในหัว พูดถึงงานเขียนของผม ที่ไม่ได้ช่วยแบ่งเบาภาระเขา ภาพเมื่อคืนพังทลาย เขาทำมันไปเพื่ออะไร เขาหวังอะไรจากตัวของผมกันแน่ เขาอ้างถึงสิ่งที่ทำอยู่ก็เพื่อผม ผมไม่ควรสงสัยในตัวเขา ซึ่งมันไม่ใช่ ผมคงกลายเป็นหมาที่ซื่อสัตย์ ขณะที่เฝ้ารอเจ้าของไปเที่ยวไนซ์คลับแล้วกลับบ้านในยามเช้าตรู่ ทำเป็นไม่รู้แล้วกระโดดดีใจที่รถของเจ้านายเข้ามาจอด ทั้งที่เขาเพิ่งซื้อหมาตัวใหม่มา และเอาตัวเก่าไปปล่อยทิ้ง ถนนทอดยาวถูกตัด เส้นสีขาวหายไปในพริบตา ผมเลือกที่จะหันหลัง ทิ้งท้ายกับเขาว่า อย่าเจอกันอีกเลย และเดินออกมาจากตรงนั้น หันหลังให้ถนนสีขาวตลอดกาล



    And fix what I’ ve broken

    Oh, cause I need you to see

    That you are the reason



    หนึ่งปี ผ่านไปไวอย่างน่าใจหาย เขาอายุครบยี่สิบหกปีในวันนี้ เขาได้รับเค้กปอนด์เล็กจากเพื่อนสนิท กลิ่นเมล็ดกาแฟขั้วคละคลุ้งภายในร้าน อากาศด้านนอกหนาวเย็น ริมทางเท้าเป็นสีขาวตามฤดูกาล ไอขาวเม็ดเล็กลอยลงมาจากท้องฟ้า มันคือหิมะที่ผมโหยหา ผมรักฤดูหนาวน้อยกว่าฤดูใบไม้ร่วงนิดหน่อย งานเขียนเป็นยังไงบ้างช่วงนี้ ฟุชิงุโระ เมกุมิ นั่งอยู่ตรงข้าม ตรงหน้ามีแก้วกาแฟดำร้อนวางอยู่ ผมเคยบอกกับเขาว่าดูแก่ชะมัด แต่เขาไม่ได้แคร์ ผมหันหน้ากลับเข้ามาภายในร้าน



    ‘กำลังตีพิมพ์ เดี๋ยวคงวางขายอีกเดือนหน้า’



    ‘ฉันขออ่านฟรีได้ไหม’



    ‘แน่นอน’



    ผมทำสำเร็จ งานเขียนของผมมีสำนักพิมพ์รับเข้าตีพิมพ์แล้ว มันเกิดจากความพยายามและความเหน็ดเหนื่อยของผม ผมใช้เวลาหนึ่งปีเต็มในการแก้ไขมัน เปลี่ยนแปลงเนื้อหาทั้งหมดใหม่ ผมเริ่มแต่งมันอีกครั้ง หลังจากหัวใจที่แตกสลายกลับมาประกอบกันใหม่ ผมเข้าใจอะไรมากขึ้น ผมพยายามกับตัวเอง พยายามแสดงให้โลกรู้ พระเจ้าต้องได้รู้ ว่าไม่มีเขา ผมก็สามารถทำมันสำเร็จได้ ด้วยสองมือของผม ด้วยสมองของผม ด้วยแนวคิดของผม ผมไม่ต้องการเขาอีกต่อไป ผมยกคาปูชิโน่ร้อนขึ้นดื่ม ความกลมกล่อมของมันเคลือบไปทั้งลำคอ พร้อมเสียงประตูร้านที่ถูกเปิด ร่างสูงคุ้นตาเดินเข้ามาเพียงคนเดียว ผมสีขาวมีหิมะติดเล็กน้อย เสื้อโค้ชตัวใหญ่ ผมแทบจะสำลัก มองผ่านเมกุมิไปด้านหลังราวกับกำลังเจอความตาย แต่มันไม่ใช่ เขาเดินไปสั่งเมนูกับเคาน์เตอร์ และเดินมาเลือกโต๊ะนั่ง เขาช่างเลือกได้เหมาะเจาะเสียจริง เพราะเขานั่งอยู่โต๊ะข้างหลังเพื่อนสนิทผม เรานั่งหันหน้าเข้าหากัน เพียงแค่เพื่อนสนิทเขานั่งบังอยู่ เพียงเท่านั้น



    ‘อย่าหันไปนะ’



    ‘ทำไม’ เมกุมิเลิกคิ้ว กำลังจะเอี่ยวตัวกลับไป ผมรีบคว้าใบหน้าของเพื่อนไว้ ประกบแก้มทั้งสองข้างให้จ้องตา



    ‘ก็บอกว่าอย่าหัน!’



    ผมร้องบอก ผมดึงคอเพื่อนรักมากระซิบ เมกุมิทำตาโต เขาถามผม จริงเหรอ โดยไม่มีเสียง และไม่อยากหันกลับไป เราตัดสินใจจะออกจากร้าน เพื่อนรักของผมมีธุระที่ร้านขายเครื่องเล่นแผ่นเสียง พ่อของเมกุมิมีรสนิยมคลาสสิก เขาดูดีมากถึงจะอายุเยอะก็ตาม ผมเก็บกระเป๋าเมื่อทานของหวานจนหมด พนักงานหนุ่มเดินมาคิดเงิน ขณะที่ด้านหลังเพื่อนรัก พนักงานเพิ่งจะเดินมาเสิร์ฟกาแฟและขนมปังอบให้เขา ผมมองเขาไประหว่างรอเงินถอน เขาไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไป เขายังคงดูดี เขามีเสน่ห์แม้จะไม่ได้ยิ้ม เขานั่งเล่นไอแพดสีเงินสวย เสื้อโค้ชตัวหนาสีเทา เข้ากันกับสีผมเขา แว่นตาดำที่ผมเคยซื้อให้เป็นของขวัญ เขายังคงใส่มันอยู่ ในตอนนี้ ขาของเขายาวเกือบถึงขาเก้าอี้ของเมกุมิ เขานั่งทำงานด้วยท่าทางสบายๆ เขาคงจะสบายดีสินะ



    ‘ไปกันเถอะ’ ผมบอกกับเพื่อนรัก เมกุมิพยักหน้าและลุกขึ้นพร้อมกัน ผมใช้ตัวของเมกุมิ บังระหว่างผมกับเขา ผมรีบก้าวเท้าเดินผ่านโต๊ะของเขา เดินออกจากร้าน เขาไม่รู้ถึงตัวตนของผมในร้าน เขาไม่รู้ตัวว่าถูกมองอยู่ตลอด ตั้งแต่ก้าวเข้ามาในร้าน เขาไม่รู้ตัวว่าถูกสังเกตทุกอย่าง เขาไม่รู้ตัวว่ามีใครบางคนพยายามหนีเขา และเขา ไม่รู้ตัวว่ามีใครบางคนที่ยังไม่ลืมเขาอยู่ ผมเดินขนาบข้างกับเพื่อนสนิท ไปตามทางเท้าที่เย็นเฉียบ ลมหายใจออกมาเป็นไอขาวลอยโขมง ปลายจมูกผมแดง พยายามซุกคางลงกับเสื้อโค้ชตัวหนาสีน้ำตาล ห่อไหล่ขึ้น เมกุมิสวมเสื้อหนังสีดำ หมอนี่ไม่ได้ดูหนาวเหมือนผมด้วยซ้ำ



    ‘ไม่พกฮิตเตอร์เหรอ’ เขาหันมาถามผม



    ‘ลืมอะ’



    ‘ทำไมขี้ลืม ยูจิ ตัวก็แค่นี้ เดี๋ยวก็หนาวตายหรอก’ เมกุมิสวดผมยับ เขาเดินบ่นมาตลอดทาง ผมไม่มีสมาธิฟังเพื่อนบ่น จิตใจยังติดค้างอยู่ประตูทางเข้า ของร้านกาแฟ ลึกๆ มันยังอยากนั่งอยู่ อยากแอบมองเขา จนกว่าเขาจะออกจากร้านไป แต่ถึงทำแบบนั้นไป มันก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมาอยู่แล้ว บนฟุตบาทเปียกชื้น ฤดูหนาวเมื่อหลายปีก่อน ผมกับเขาเคยออกมาเดินเล่นด้วยกัน จูงมือกันท่ามกลางหิมะ มาถึงร้านขนม ซื้อของเสร็จก็เล่นปาหิมะด้วยกัน รอยยิ้มของเขา ราวกับพระอาทิตย์ในยามเช้า ผมไม่เคยลืมมันได้ ก่อนเข้าไปในร้านขายเครื่องเล่นแผ่นเสียง ผมหยุดยืน เงยหน้ามองท้องฟ้าสีขาว มันดูครึ้ม ผมถอนหายใจ อากาศสีขาวถูกพ่นออกเหมือนคนสูบบุหรี่ ผมหลับตา และลืมตาขึ้น อยู่กับความจริง



    ผมซื้อกาแฟจากหน้าร้านเข้ามาด้วย ร้านถูกตกแต่งด้วยสไตล์คลาสสิก ผนังถูกติดด้วยแผ่นเสียงขนาดต่างๆ ไซส์ต่างๆ ยี่ห้อต่างๆ ผมยืนมองเมกุมิเลือกแผ่นเสียง กาแฟในแก้วกระดาษของผมหมดลง ผมบอกกับเขาว่าจะออกไปทิ้งขยะ กาแฟที่ขายข้างทางมันอร่อยอีกแบบ แตกต่างจากกาแฟร้านทั่วไป ผมชอบ เพราะเขาคนนั้นชอบ มือเล็กผลักประตูร้านออกมา เห็นถังขยะตั้งอยู่ที่หน้าร้านข้างๆ กัน ผมก้าวเท้าตรงไป ทิ้งแก้วกระดาษในมือลงถังอย่างแม่นยำ และหันกลับมาชนเข้ากับร่างของใครคนหนึ่ง เสียงเขาขอโทษทำให้ผมชะงัก เขาก็ตกใจ เมื่อเห็นหน้าของผม โกะโจ ซาโตรุ ยืนอยู่ตรงหน้า มือเขาถือแก้วกาแฟร้อนจากร้านเมื่อครู่ มือถือกระดาษห่อขนมปังอบ ที่ขนมปังได้เข้าไปอยู่ในท้องแล้ว เขากำลังจะเอามาทิ้งเช่นเดียวกัน เขาได้สติก่อนผม เขาเริ่มยิ้มออกมา



    ‘เหม่ออะไร ขวางทางคนจะทิ้งขยะ’



    ผมกะพริบตา เม้มปากแน่น ขยับตัวออกจากระหว่างเขากับถังขยะ ผมใช้เวลาเสี้ยววินาทีในการตัดสินใจ ผมนึกภาพตัวเองเดินออกมาจากตรงนั้น เปิดประตูเข้าไปในร้านขายแผ่นเสียง เข้าไปยืนมองเมกุมิเลือกแผ่นเสียง และทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำเป็นลืมเรื่องทั้งหมด ทำเหมือนซาโตรุไม่ได้อยู่ในโลกใบนี้อีกครั้ง ผมกำลังจะทำ มันกำลังจะเกิดขึ้น มันกำลังจะเกิดอีกครั้ง



    ‘ยูจิ’ เพียงเสียงเดียว มันพังทลายทุกอย่างที่ผมคิด ผมยืนหันหลังให้เขา ‘เป็นยังไงบ้าง สบายดีไหม’



    ‘ก็ดี’



    ‘เหรอ’ เขาเดินเข้ามาใกล้ ผมไม่ขยับ ผมยืนก้มหน้า หัวใจของผมเต้นแรง ไม่กล้าแม้จะหันกลับไป ผมอยากจะร้องไห้อีกครั้งให้สาสม เพียงแต่อากาศที่หนาวเกินไป เพียงแต่เขาคนนั้นยืนอยู่ข้างหลัง ผมจะไม่ร้องไห้เพราะเขาอีกแล้ว แต่เพราะเขานั่นแหละ ผมถึงได้รู้ตัวในตอนนี้ ไม่ว่าจะวันไหน ผมไม่เคยเลิกรักเขาเลย ผมยังคงคิดถึงเขา ผมไม่อยากยอมรับ มันยากเกินกว่าจะยอมรับได้ แผลที่เคยสด บัดนี้กลับมาเปิดอ้าออก จากการขยับร่างกายที่มันฝืนแผลมากเกินไป ผมกลั้นใจ ยามที่มือของเขาจับที่แขน เขาค่อยๆ หมุนตัวผมกลับไป เขายังสูงเท่าเดิม ไอควันสีขาวจากปากเขาพุ่งทั่ว เขาเองก็คงตื้นตันไม่ต่างจากผม



    ‘ลืมกันไปหรือยัง’ คำถามที่ผมแทบไม่ต้องคิดคำตอบ ผมตอบในใจด้วยเสียงอันดัง จะลืมได้ยังไงกันล่ะ! แต่ทำได้เพียงแค่เงยหน้าขึ้นมอง



    ‘ลืมแล้ว’



    เสียงของผมสั่น ผมรู้ตัวว่าไม่เนียน แต่ผมยังคงทำหน้านิ่งต่อไป เขาหัวเราะออกมา เขาไม่ได้เสียใจกับคำพูดผม แต่เขากลับยิ้มกว้างขึ้น มองผมเนิ่นนาน ราวกับผมเป็นสิ่งล้ำค่า เขารูดซิปเสื้อลงถึงลำคอ ผมมองเขาทำมัน เขาเริ่มเปิดออกทุกชั้นที่ใส่อยู่ ผมอยากจะเอ่ยปากห้าม อากาศข้างนอกมันหนาวเกินไป เขาจะทำอะไร แต่ทุกอย่างก็ต้องหยุด เขารูดซิปออก พอที่จะสามารถดึงเอาสร้อยคอที่อยู่ด้านในสุด ดึงออกมาให้ผมดูได้ ผมมองสร้อยนั้น แหวนเงินคุ้นตาสองวงถูกร้อยอยู่ด้วยกัน ผมตกใจ เปลี่ยนสายตามามองหน้าเขา เขาจับมือผมวางแนบที่อก เสื้อโค้ชตัวหนาเย็นเฉียบ มันกระเพื่อมตามแรงหายใจเข้าออก แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนกำลังลูบอกเปลือยเปล่าของเขาอยู่



    ‘อยากจะบอก ในสิ่งที่อยากพูดมานานแล้ว’ เขาพูด จับที่แหวนสองวงนั้นไปพลาง ‘ไม่ว่าอดีตจะเป็นยังไง ฉันไม่เคยสนใจ ฉันรู้แค่สิ่งที่ฉันทำอยู่นี้ ฉันทำไปเพื่ออะไร’ เสียงของเขาสั่น ผมรับรู้ได้ ‘งานนั้นมันไม่ได้สำคัญกับฉันเลย ก่อนหน้านี้ฉันเลือกมัน เพราะฉันเชื่อว่ามันคือทุกสิ่ง ฉันคิดว่ามีมันแล้วจะสบาย ฉันทุ่มทุกอย่างให้มัน หาทุกอย่างได้จากมัน โดยที่ฉันไม่ได้มองคนที่อยู่ข้างหลัง..ฉันทำผิดอย่างใหญ่หลวง ในตอนนี้นายเดินออกไปจากชีวิตฉัน’



    เขาน้ำตาคลอเบ้า ดวงตาที่แสนงดงามกำลังร่ำไห้ และอ้อนวอน



    ‘ฉันรู้แล้วว่ามันไม่ได้สำคัญจริงๆ กลับมาที่บ้านอย่างคนไร้ค่า ได้มันมาโดยที่ฉันไม่มีความสุข ฉันเหมือนคนว่างเปล่า นอนมองแหวนของนายทุกคืน คิดซ้ำไปซ้ำมา ว่าควรจะรักษานายให้ดีมากกว่านี้ ควรจะดูแลนาย ควรจะให้กำลังใจนาย เหมือนที่นายทำกับฉัน ควรจะเข้าใจนาย ไม่ควรข่มเหงนาย ไม่ควรตัดสินสิ่งที่นายทำว่ามันไร้ค่า ไม่ ฉันไม่ควร...ฮึก..’



    ผมเดินเข้าไปกอดเขา ใบหน้าของเขาเริ่มบิดเบี้ยว น้ำตาเม็ดโตหยดลงบนผิวแก้ม เขากำแหวนที่สร้อยคอแน่น ผมใช้แขนทั้งหมดกอดรอบตัวเขา เอื้อมขึ้นมาลูบแผ่นหลัง เสียงสะอื้นดังอยู่ข้างหู เขากำลังร้องไห้เหมือนเด็กโยเย ผมระบายยิ้มออกมา ราวกับหิมะที่กำลังโปรยปรายไม่สามารถทำอะไรเราทั้งสองได้ ไออุ่นจากตัวเขาเหมือนเกาผิงไฟที่ไม่เคยดับ มันยังคงหลงเหลือประกายเล็กอยู่เสมอแม้จะผ่านกาลเวลา ท้องฟ้าเริ่มเปิด แสงสีขาวเริ่มสาดส่องลงมาบนพื้นถนน เขาไม่ได้เปลี่ยนไปเลยจริงๆ แท้จริงแล้วผมรู้จักเขาดีกว่าใคร ยามที่เขาเหนื่อย อ้อมกอดเท่านั้นถึงจะเอาอยู่ รู้สึกถึงมือเขาดันหลังของผม ให้แนบชิดกับตัวเขา เรายืนกอดกันแนบแน่น ท่ามกลางสายตาของผู้คน ที่เดินผ่าน และนั่งอยู่ละแวกนั้น ยิ้มตามราวกับมองคู่รักปรับความเข้าใจ แต่มันก็คงจะเป็นเรื่องจริง



    ผมผละตัวออก เมื่อเขาเริ่มเงียบ จมูกเขาแดงเหมือนกวางเรนเดียร์ ขนตาสีขาวเปียกไปด้วยหยาดน้ำตา แสงสีขาวจากพระอาทิตย์ในหน้าหนาว มันสวยงามแม้จะไม่ได้เห็นบ่อย ผมเช็ดน้ำตาบนแก้มเขา เขาไม่ได้บอก แต่มือของผมมันทำไปเอง ตามความเคยชินที่เคยทำ เขามองผมที่ยืนยิ้ม ผมไม่สามารถหุบยิ้มได้ ผมมองแหวนคู่ที่ห้อยคออยู่เขา แหวนที่สลักชื่อของเราทั้งคู่ลงไป ผมสวมแหวนที่เป็นชื่อเขา เขาสวมแหวนที่เป็นชื่อผม ผมหยิบมันขึ้นมาดูใกล้ๆ มันยังคงเหมือนเดิม เพียงแค่แหวนที่เคยเป็นของผม มันบุบไปเล็กน้อย จากวันที่ผมปามันลงพื้น จากวันที่ความรักของผมพังทลาย จากวันที่ผมตัดสินใจเดินออกมา ดีใจเหลือเกินที่เขาเก็บมันไว้ แหวนของผมยังคงติดตัวเขาไปทุกที่ ผมยิ้มกับตัวเอง เงยหน้าขึ้น และพูดกับเขา ด้วยหัวใจที่พองโตอีกครั้ง ราวกับเรื่องราวของถนนยาว เส้นสีขาว ถูกปะติดปะต่อ



    ‘ขอเอาไปใส่วงนึงนะ’



    There goes my hands shaking

    And you are the reason

    My heart keeps bleeding

    I need you now



    ผมอายุสามสิบเจ็ดปีในวันนี้ ภายในบ้านหลังเดิม อันแสนคุ้นเคย ผมมองตัวเองภายในกระจก ใบหน้าที่เคยเต่งตึงเริ่มปรากฏริ้วรอยเล็กน้อย สมรรถภาพทางร่างกายเริ่มถอยลงตามกาลเวลา ผมเดินออกมาจากห้องน้ำ มุ่งตรงไปตามเสียงที่ดังขึ้นภายในครัว คนรักของเขากำลังทำมื้อค่ำ ผมหยุดยืนกอดอก พิงขอบประตู มองแผ่นหลังของคนตัวสูงใหญ่ สวมผ้ากันเปื้อนสีน้ำเงิน พิถีพิถันกับขั้นตอนการทำอาหาร ที่ผมเคยสอนเขาไป จะได้สลับกันทำได้ เพราะให้ผมทำคนเดียวตลอดไปคงจะเหนื่อยมากแน่ เขาเกิดก่อนผมหลายปี เขากลายเป็นหนุ่มวัยกลางคนอายุสี่สิบเอ็ดปี แต่เขายังคงดูดีมากเสมอในสายตาของผม ผมเดินไปหยุดยืนข้างหลังเขา เอื้อมมือกอดรอบเอว เขารู้สึกได้ถึงแก้มที่กำลังแนบหลัง เขาหัวเราะเบาๆ มือที่กำลังหั่นผักวางมีดลง จับมือของผมที่อยู่หน้าท้องของเขา



    ‘ทำเมนูนี้อีกแล้วเหรอเนี่ย’



    ‘ยังไม่ได้ดูเมนูอื่นในอินเทอร์เน็ตต่างหาก’ เขาหัวเราะ ‘ทนกินสักมื้อหน่อยนะครับ ที่รัก’



    ‘ครับ..ที่รัก’



    เราใส่ความหวานให้กันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ผมจูบลงบนหลังเขาผ่านเสื้อผ้า ปล่อยเขาให้ทำอาหารได้อย่างอิสระ ผมเดินมาที่ห้องรับแขก ตรงไปยังโต๊ะกินข้าวเล็กที่มีเก้าอี้สองตัว มันเป็นแบบนี้มานานแล้ว ผมจัดจานบนโต๊ะ เตรียมทุกอย่างให้พร้อมสำหรับการทานอาหารเย็น รอยยิ้มบนมุมปากยังไม่จางหาย ผมมีความสุขแบบนี้ เหมือนทุกๆ วัน ทุกๆ เดือน และทุกๆ ปี ไม่ว่าจะฤดูไหนๆ ไม่ว่าผมจะชอบฤดูเหล่านั้นหรือไม่ เพียงแค่เขายังไม่จากไปไหนอีกเป็นครั้งที่สาม ผมก็ยังคงมีความสุขแบบนี้ ตราบเท่าที่จะยังมีลมหายใจ อยากจะอยู่กับเขาในทุกๆ วันแบบนี้ ผมไม่ต้องการสิ่งใดอีกต่อไป



    แกร๊ง!!!



    เสียงมีดตกลง ผมหันไปตามเสียง ตามด้วยเสียงของหนักกระแทกบนพื้น ผมใจสั่น ก้าวเท้าอย่างรวดเร็วไปที่ประตูครัว และใจผมแตกสลาย ชายหนุ่มนอนราบอยู่บนพื้นครัว เขานอนแน่นิ่งราวกับสิ้นลมหายใจ ผมน้ำตาค้างเบ้า รีบพุ่งถลาไปนั่งลงข้างเขา มือรวนไปหมด ปากพร่ำเรียกชื่อของเขา ยกตัวเขาขึ้นมาบนตัก เขาไม่ลืมตา แต่เขายังหายใจอยู่ ผมภาวนากับพระเจ้า อย่าเอาเขาไปจากผมอีกเลย



    If I could turn back the clock

    I’ d make sure the light defeated the dark

    I’ d spend every hour, of every day

    Keeping you safe



    วันนี้เขาอายุครบเจ็ดสิบแปดปี ร่างกายของเขาแก่ชราตามกาลเวลา ผมเองก็เหมือนกัน โลกในตอนนี้เปลี่ยนไป ตามเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากขึ้น เขานอนพักตัวอยู่ที่โรงพยาบาล แพทย์ตรวจเจอ ว่าเขาเป็นมะเร็งระยะที่หนึ่ง ตอนที่เขาอายุสี่สิบเอ็ดปี เกิดจากสารเคมีบางชนิดในขบวนการทางอุตสาหกรรม จากบริษัทที่เขาทำงานอยู่ แต่ถึงจะรู้ผลอย่างนั้น เขาก็ยังคงใช้ชีวิตได้อย่างคนปกติ ผมพยายามไม่ทำให้เขาคิดมาก ตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมา พวกเราอยู่ด้วยกัน ใช้เวลาร่วมกันให้มากที่สุด เพราะผมไม่รู้ ไม่มีทางรู้ ว่าจะมีใครพรากเขาไปจากผมอีกหรือไม่ เขาจะไปจากผมด้วยอะไร ผมจะรักษาเขาให้ดีที่สุด เท่าที่ชายคนหนึ่งจะสามารถทำได้



    ผมยืนรอรถไฟฟ้า เด็กวัยรุ่นคุยกันอยู่ข้างหน้า ผมคิดถึงตัวเองเมื่อตอนอายุสิบสามปี สดใสและร่าเริง ผมยิ้มมุมปาก ก้มมองไม้ค้ำยัน ที่ใช้ค้ำร่างกายอันอ่อนล้านี้ไว้ ในตอนนี้ มีเพียงร่างกายที่เสื่อมสภาพลง เรือนผมแซมขาว ใส่กางเกงทรงลุงเชยๆ และเสื้อกั๊กไหมพรม เหมือนคนแก่ทั่วไป ผมไม่รู้ตัวเลยว่าเผลอหยิบเสื้อผ้าแบบนี้มาใส่ แต่เพราะเป็นวัยที่อยากพักแล้ว ถึงไม่ได้คิดมากเรื่องภาพลักษณ์ ผมนั่งรถไฟมาหาเขาที่โรงพยาบาล ระหว่างการเดินทาง ผมไปไหนมาไหนคนเดียว ในบางครั้งต้องอาศัยคนละแวกนั้นช่วยพยุง แต่ผมยังคงยิ้มแย้ม ผมยังคงมีความสุข ผมขอบคุณเขาเหล่านั้นที่คอยช่วยเหลือชายชราไม่มีลูกหลานอย่างผม ผมมองเด็กที่มากับพ่อแม่ ตอนที่อยู่บนรถไฟฟ้า ยิ้มเมื่อดวงตาน่ารักนั้นหันมามอง เขาเคยอยากมีลูก ตอนนี้ก็ยังรู้สึกแบบนั้น เพียงแต่มันไม่สำคัญแล้ว ครอบครัวที่สมบูรณ์ ไม่จำเป็นต้องมีลูกเสมอไป



    ผมเปิดประตูห้องพักผู้ป่วยเข้ามา ภายในห้องเงียบสงัด มีร่างหนึ่งนอนทอดยาวบนเตียง เขาสวมหมวกถักที่ผมซื้อมาให้ใส่ เพราะโรคมะเร็ง ทำให้เรือนผมสีขาวสว่างของเขาร่วงโรยตามกาลเวลา เขาหันมามอง ดวงตาสีฟ้าประกาย ถูกหนังตาหย่อนบดบังเล็กน้อย ใบหน้าเหี่ยวย่นค่อยๆ ยิ้มอย่างเชื่องช้า ผมเดินเข้าไปหาเขา นั่งลงที่ข้างเตียง ยิ้มให้กับเขาเช่นกัน



    ‘เป็นยังไงบ้าง’ ผมถามเขา เสียงไม่ได้สดใสเหมือนในช่วงที่ยังหนุ่ม เขาพยักหน้าเบาๆ



    ‘เจอแต่พยาบาล..’ เสียงแหบพร่าตอบกลับมา เขายังคงยิ้ม ผมยกมือขึ้นวางทับหลังมือเขา ‘คิดถึงนายเหลือเกิน..ยูจิ’



    เขายังคงใส่ความหวานให้ผมไม่หยุดหย่อน ผมหัวเราะเบาๆแม้จะเคยชิน แต่มันก็ทำผมเขินจนหุบยิ้มไม่ได้ทุกครั้งที่เขาบอกรักหรือบอกคิดถึง ถึงแม้ในตอนนี้ เขาจะไม่ได้หล่อเหลา ถึงแม้ในตอนนี้ เขาจะไม่ได้คงรูปร่างเดิมไว้ ถึงแม้ร่างกายที่แก่ชรานี้ จะทำให้เขาต้องพักฟื้นที่โรงพยาบาล ผมก็ไม่เคยละทิ้งความพยายามที่จะมาหาเขาทุกวัน พวกเขาเป็นชายชราที่เดินไปไหนมาไหนด้วยกันสองคนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และคนหนึ่งต้องล้มป่วย ด้วยโรคมะเร็งระยะสุดท้าย ใกล้เข้ามาแล้ว ผมและเขาเตรียมใจมาพอสมควร แต่ผมรู้ ผมรู้อยู่แก่ใจ ว่าผมไม่สามารถที่จะเข้มแข็งได้ ในวันที่ไม่มีเขา ไม่มีเขาตลอดไป



    ผมบีบมือของเขา เขามองหน้าผม ดวงตาที่ผมรัก ผมไม่เคยเบื่อมัน ไม่เคยอยากผลักไส รอยยิ้มที่ผมหลงใหล ไม่เคยไม่ชอบมัน หากสิ่งเหล่านี้หายไป ผมคงต้องแย่มากแน่



    ‘ไม่เป็นไรหรอก ยูจิ…’ เขาพูดขึ้นมา ฝืนแรงเอื้อมมือขึ้นมาวางบนหัวของผม อย่างแผ่วเบา ‘ทุกอย่าง มันถูกกำหนดไว้แล้ว...นายทำหน้าที่ของนาย ดีที่สุดแล้วล่ะ’



    ‘อืม ฉันไม่เป็นไรหน่า..’



    ‘อย่าแอบกลับไปร้องไห้บ่อยนักเลย อย่าเสียใจ ..ทั้งกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้น และกำลังจะเกิดขึ้น สิ่งที่ฉันภูมิใจที่สุดในตอนนี้.. คือการที่ฉันได้อยู่กับนายนะ ยูจิ’ เขาลูบผมของผมเบาๆ ‘ฉันทำสำเร็จแล้ว..ฉันสำเร็จหลายอย่างด้วย แต่งงาน ใช้ชีวิตคู่ ดูหนัง เล่นเกมดีวีดี กินอาหารฝีมือของนาย นอนเตียงเดียวกัน ได้กอด ได้ดูแล..’



    ‘พูดเก่งจังเลยนะ วันนี้เนี่ย’ ผมหัวเราะเบาๆ เขาไม่ตอบ เขาเพียงแค่ยิ้ม วินาทีนั้น ผมรู้โดยทันที ว่าอะไรมันกำลังจะเกิดขึ้น นัยน์ตาของเขากำลังสั่นไหว มันสะท้อนภาพของผม สีฟ้าประกายงดงาม ราวกับท้องฟ้าในยามแรกของวัน มันกำลังโศกเศร้า กำลังอ้อนวอน และกำลังอำลา ผมรู้สึก ราวกับอกกำลังสั่น ใต้ตาร้อนผ่าว เขาค่อยๆ ลดมือลง วางแน่นิ่งบนเตียง รอยยิ้มของเขายังคงไม่จางหายไปไหน เขายังคงทำให้ผมสบายใจ จนวินาทีสุดท้าย เขายังคงเป็นความสบายใจ เป็นรักแรก และรักสุดท้ายของผม



    ‘ฉัน..อยากกินแอปเปิลเขียวจัง’ เขาเปรยขึ้น ผมเม้มปาก พยักหน้าแผ่วเบา ทั้งที่น้ำตาหยดลงบนแก้ม ผมร้องไห้อีกแล้ว แม้จะอายุปูนนี้ ผมก็ยังคงอ่อนไหวง่าย เมื่อเป็นเรื่องของเขา ‘อย่าร้องไห้เลยนะ..ที่รักของผม’ เสียงแหบพร่าของเขาดังปลอบประโลม เขาถอนหายใจ ผมพยักหน้าอีกครั้ง ลุกขึ้นยืนด้วยแรงทั้งหมดที่มี จับไม้ค้ำติดมือมาด้วย



    ‘.. เดี๋ยวออกไปซื้อให้ รอก่อนนะ’



    ‘อืม จะรอนะ..’



    ผมกลั้นใจพูด กลับหลังหันและเดินออกมาอย่างเชื่องช้า ใช้มือเช็ดน้ำตาที่ไหลไม่หยุด เปิดประตูออกมาด้านนอกโถงทางเดิน เมื่อประตูปิดสนิท ผมพยายามสูดลมหายใจ และค่อยๆ เดินค้ำไม้ไปที่ร้านค้าหน้าโรงพยาบาล




    I’ d climb every mountain

    And swim every ocean

    Just to be with you



    ผมเดินกลับมาในโรงพยาบาลอีกครั้ง เมื่อได้แอปเปิลในถุงมา มุ่งตรงมายังห้องพักของเขา รีบเดินเล็กน้อย เพราะรู้ว่าซาโตรุคงรอทานผลไม้อยู่ แต่ยังเดินไปตามโถงทางเดินได้ไม่เท่าไหร่ เสียงฝีเท้านางพยาบาลดังขึ้น วิ่งผ่านผมไป ไปยังห้องที่คนรักของผมพักอยู่ เสียงคุยดังจอแจ ราวกับท้องฟ้าในยามเช้ากลายเป็นกลางคืนในชั่วพริบตา



    ‘ชีพจรคนไข้ หยุดเต้นแล้วค่ะ’



    เกิดเสียงวิ๊งดังขึ้นอย่างปริศนา ผมไม่ได้ยินเสียงอะไรอีก ผมยืนนิ่งกลางโถงทางเดิน ที่อีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงห้องพักของคนรัก ผมไม่กล้าเดินไป ผมรู้สึกขาไม่มีแรงอีกต่อไป ผมพยายามบังคับใบหน้าไม่ให้บิดเบี้ยว แต่ผมทำไม่ได้ ผมร้องไห้ออกมา คำพูดสุดท้ายของเขายังคงวนเวียนอยู่ในหัว ภาพสุดท้ายที่ได้คุยกับเขา เขาจากไปโดยที่บอกให้ผมออกมา เขาไม่อยากให้ผมต้องทนเห็นภาพนั้น ภาพที่เขาหลับใหล ภาพที่เขาจากผมไปตลอดกาล และไม่มีวันหวนกลับคืนมาอีกแล้ว



    And fix what I’ ve broken

    Oh, cause I need you to see

    That you are the reason

    You are the reason



    ผมในวันนี้ ไม่สิ..ตอนนี้ อายุครบแปดสิบหกปีแล้ว ผมไม่สามารถลุก นั่ง หรือเดินได้อีกต่อไป ผมกลายเป็นคนแก่ที่นอนติดเตียง นอนรอความตาย อย่างสิ้นหวัง หญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างเตียง เธอรับหน้าที่ดูแลผมมาหลายปี เธอรู้จักผม จากการเป็นนักเขียนชื่อดัง นิยายที่ผมเขียน ดังมาก ทั้งในอดีตและในปัจจุบัน ถูกตีพิมพ์ไม่ต่ำกว่าห้าครั้ง น่าแปลกใจที่คนเขียนมันขึ้นมาอย่างผม ยังไม่จากโลกนี้ไป และมีอีกหลายงานเขียน ที่ผมเอาชีวิตของตัวเอง มาเรียบเรียงเป็นนิยายขึ้นมา เอาความสุข ความเศร้า เอาหัวใจ เอาเวลาว่าง ใส่ลงไป เติมเต็มให้งานเขียนของผม น่าสนใจ และมีคุณค่า ให้แง่คิดแก่ผู้คน ผมอุทิศตนให้แก่งานเขียน จนกระทั่งประสบความสำเร็จ ผมไม่ต้องการสิ่งใดอีก เงินที่ผมเก็บไว้ในบัญชี ผมบอกกับเธอที่คอยดูแล ว่าให้นำไปบริจาคเสีย อย่าให้เงินจำนวนมากนี้ ตกไปอยู่ในมือของใคร ให้มันได้สร้างประโยชน์แก่ผู้คน ให้คนเหล่านั้นไม่รู้สึกโดดเดี่ยว ให้เขาได้รับความสุข ให้เขาได้ทำ ในสิ่งที่อยากทำ



    ‘งั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ คุณตามีอะไร โทรหาได้เลยนะ’



    เสียงหวานของเธอดังขึ้น หลังจากจัดแจงทุกอย่างให้เขาเรียบร้อย ในตอนหัวค่ำเธอจะแวะเข้ามาหาผมอีกครั้ง เย็นนี้เธอจะออกไปทำงานพาร์ทไทม์ เธอเป็นเด็กสาวที่มีความขยันขันแข็ง ผมชื่นชมในตัวเธอ เมื่อเสียงประตูปิดลง ผมได้ทบทวนอะไรหลายอย่างในชีวิต ผมนอนมองออกไป นอกหน้าต่าง ท้องฟ้าในตอนนี้กลายเป็นสีส้ม มันกำลังจะกลายเป็นสีม่วง และครึ้มในที่สุด ร่างกายที่อ่อนโรยรา ผิวหนังเหี่ยวย่นติดกระดูก เรือนผมสีชมพูอ่อนเหลือน้อยนิดและแซมขาว ไม่มีความงดงามอยู่ภายนอก แต่ภายในนั้น เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข เขาไม่รู้สึกว่าไร้ค่าอีกต่อไป เขาในตอนอายุสิบสาม เป็นเพียงเด็กชายตัวเล็ก ที่ยังไม่มีแม้แต่ความฝัน ไม่มีแม้เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ แต่เขากลับได้เจอกับเด็กชายอีกคน เขาเป็นนักดนตรี เขาทั้งหน้าตาดี และพาผมทำอะไรหลายๆ อย่างที่ไม่เคยทำ พาผมออกท่องโลกกว้างไปด้วยกัน เดินเคียงข้างกัน แม้ระหว่างทางจะเกิดปัญหามากมายให้ต้องแยกทาง แต่ท้ายที่สุด พวกเขาก็หวนวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง



    ริมฝีปากแห้งผากยกยิ้ม ดวงตาหลับลงอย่างเชื่องช้า จะยังรอผมอยู่จริงไหมนะ ซาโตรุ.. มีเพียงภาพสีขาวโพลนปรากฏอยู่เบื้องหน้า.. พร้อมแผ่นหลังกว้างในชุดนักเรียนคุ้นตา ของเด็กชาย เจ้าของเรือนผมสีขาวราวกับสายไหม หลังของเขาสะพายกีตาร์คู่ใจ เขาหันกลับมา รอยยิ้มกว้างนั้นสว่างไสวเกินกว่าสิ่งอื่นใดในโลกนี้ พร้อมส่งมือมาหาผม ผมเอื้อมมือไปจับมือของเขา เขาออกแรง ดึงผมให้เดินตาม เบื้องหน้าเป็นเส้นสีขาว พวกเราเดินตามเส้นนั้นไปเรื่อยๆ พร้อมกัน ก่อนจะเดินเร็ว เร็วขึ้น เร็วขึ้น และวิ่งจับมือไปพร้อมกันในที่สุด ไปตามเส้นสีขาวนั้น มันทอดยาวต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ยาวไปยังสุดขอบฟ้า สุดขอบทะเล สุดขอบโลกนี้ ป่าวประกาศแก่ทุกคนว่า เขาทั้งคู่รักกันมากแค่ไหน บอกให้ทุกคนได้รู้โดยทั่วกัน ว่าต่อให้จากกันไปตลอดกาล เขาจะยังคงอยู่ในความทรงจำที่ดีตลอดไป



    รอยยิ้มหวาน ยังคงแต่งแต้มบนใบหน้าของชายชรา



    ..พร้อมกับเส้นชีพจร ที่กลายเป็นเส้นตรง ในที่สุด





    ___________END___________

    ใช้พลังชีวิตไปเยอะมากเลยกับตอนนี้ ซีนอารมณ์เยอะมากเลยค่ะ 

    เพลงที่ไรท์แปะให้ด้านบน เป็นเพลงที่เพราะมากเช่นกันค่ะ ความหมายดีมากๆ ไรท์คิดว่าเข้ากับตอนนี้มากๆเลยนำมาแปะไว้ ตอนเขียนตอนนี้ก็ฟังเพลงนี้ค่ะ :)

    พล็อตนี้ไรท์เคยคิดจะแต่งแล้วตีพิมพ์ด้วย แต่ก็แค่เคยคิดค่ะ เพราะมันต้องใช้เวลาเขียนนานมาก แต่ไรท์นำมาย่อจนกลายเป็นสองตอนให้ทุกท่านได้อ่านกัน เลือกที่จะนำพล็อตนี้มาใส่กับคู่นี้เลยค่ะ 55555

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
Farsai Soutdalay (@fb2809281742733)
ตอนนี้มันสุดมากค่ะ ชอบมากกกกกกกกกกกน้ำตาไหลขี้มูกโป่งเลย เราชอบที่มีความหวานปนขม ค่อยๆเป็นค่อยๆไปที่สุดของความสนุกเลยฮื่อ?