เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
SF | ambrosialzd__gim
Whipped cream
  • Whipped cream - รสวิปครีม

    Theme song; Camila Cabello - Never Be the Same



    คำเตือน; ในรสนี้ มีเนื้อหาสปอยขั้นรุนแรง! และมีการดัดแปลงมาจากในมังงะ Jujutsu Kaisen - Chapter 70, Part 6 นะค้าบ



    Something must’ ve gone wrong in my brain

    Got your chemicals all in my veins

    Feeling all the highs, feeling all the pain



    เขานอนไม่หลับ



    โกะโจ ซาโตรุ นอนคิดอยู่เช่นนี้มาสักพักแล้ว ภายในบ้านพักชายทะเลในยามค่ำคืนนี้ช่างเงียบสงัด ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจอย่างสม่ำเสมอของชายหนุ่มเรือนผมสีดำยาวสยายบนหมอนที่กำลังนอนหลับอยู่ข้างกาย นี่ไม่ใช่ช่วงลาพักร้อนหรือเวลาปิดเทอมของโรงเรียนไสยเวทย์สาขาโตเกียวแต่อย่างใด แต่มันคือเวลาที่เขากำลังปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายพร้อมกับสุคุรุ เกะโท คู่หูของเขา



    ภารกิจสำคัญที่ต้องนำพาตัวของเด็กสาว ริโกะ อามาเนะ หรือผู้เชื่อมต่อแห่งดวงดาวกลับไปที่โรงเรียนไสยเวทย์สาขาโตเกียว เพื่อเข้าทำพิธีที่ซาโตรุเรียกมันว่า การเปลี่ยนร่างกายใหม่ กับมาสเตอร์เทนจิน แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายเลยแม้แต่น้อย พวกเขาถึงได้ถูกมอบหมายและคำพูดกำชับภารกิจนี้อย่างมากจากอาจารย์ยากะ เพราะต่างมีองค์กรที่ต้องการล้มล้างระบบผู้ใช้อาคม พวกเขาอยากให้มาสเตอร์เทนจินถูกทำลาย และกลุ่มที่คลั่งบูชามาสเตอร์เทนจินราวกับพระเจ้า เหล่ากลุ่มนักบวชผู้เคร่งศาสนา พวกนั้นต่างมีเป้าหมายเดียวกันคือการฆ่าผู้เชื่อมต่อแห่งดวงดาวเสีย



    ร่างสูงลุกขึ้นนั่งบนเตียงใหญ่ สำหรับชายหนุ่มร่างกายใหญ่โตทั้งคู่ก็นอนกันจนเต็มพื้นที่หมดแล้ว เขายกมือขึ้นขยี้ผมเล็กน้อย ความวิตกกังวลถึงภารกิจอันสำคัญนี้ที่ถาโถมเข้ามาพร้อมกับความเหนื่อยล้าที่เขาไม่ได้พักติดต่อกันหลายวัน น่าแปลกที่ร่างกายเขามันไม่ยอมนอนหลับ เกรงว่าในวันรุ่งขึ้นที่พวกเขาต้องออกเดินทางกลับไปยังโตเกียว ตัวเขาเองจะไม่เหลือแรงไปถึงโรงเรียนเนี่ยสิ



    ซาโตรุเดินออกมาจากบ้านพักริมชายหาดอย่างแผ่วเบาเพราะกลัวว่ากะโทที่นอนหลับอยู่จะตื่นเพราะเสียงเปิดประตู ลมทะเลเย็นยะเยือกนั้นไม่ได้บาดผิวของเขาเลยแม้แต่น้อย เขากระชับเสื้อฮู้ดเข้าเล็กน้อย มองไปยังทะเลเบื้องหน้าที่ไม่มีจุดสิ้นสุด



    ที่นี่คือ เกาะโอกินาวะ จังหวัดที่อยู่ด้านล่างสุดของประเทศญี่ปุ่น ถามว่าทำไมเขาต้องมาถึงที่นี่ ก็คงเพราะวิธีเห็นใจของเขาและอยากจะเที่ยวสนุกสักที ทั้งที่จริงๆ แล้วพวกเขาควรที่จะเดินทางกลับกันตั้งแต่วันนี้ เพียงแต่เขาดันเห็นสีหน้าผิดหวังของ ริโกะ อามาเนะเข้าในตอนที่รู้ว่าหมดเวลาเล่นสนุกแล้ว



    ความรู้สึกของคนที่รู้ว่าความตายอยู่เบื้องหน้า จะรู้สึกโดดเดี่ยวแค่ไหนกัน?



    เขาเดินไปตามผืนทรายละเอียดนุ่มเท้า ในตอนกลางคืนน้ำลดลงเสียจนเขาต้องเดินออกไปไกลจากบ้านพัก ริมชายหาดไม่ค่อยมีแสงไฟเท่าไหร่นัก มีเพียงแสงจากประภาคารและแสงจากเสาไฟที่เรียงรายทอดยาวอยู่บนทางเดินไปจนถึงหอคอยกลางทะเล



    เขาไม่รู้ตัวว่าเดินออกมาไกลแค่ไหน แต่ก็ไกลมากพอที่จะเห็นใครบางคนกำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้ไม้ตัวยาวใต้แสงจากเสาไฟสว่าง เรือนผมสีอ่อนนั้นก้มลงจนคางชิดอกราวกับคนกำลังนั่งหลับจนคอพับ ซาโตรุเดินไปยืนอยู่ข้างๆ เก้าอี้ตัวนั้น เด็กหนุ่มตรงหน้าเขาก็ยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมามอง เขารับรู้ได้ว่าคนคนนี้ไม่ใช่ผู้ใช้ไสยเวทย์ เขาเป็นเด็กหนุ่มธรรมดาที่แต่งตัวเหมือนเพิ่งเดินทางมาจากสักที่หนึ่ง



    ไม่รู้ว่าในตอนนั้นเขาคิดอะไรอยู่ แต่เขาคิดว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าคงไม่ใช่เด็กเร่ร่อนอย่างแน่นอน เขาเดินไปทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ อีกฝ่ายบนเก้าอี้ไม้ตัวยาวที่ว่างอยู่ พวกเขาถูกขั้นกลางด้วยกระเป๋าเป้ที่คาดว่าน่าจะเป็นของคนข้างๆ เด็กหนุ่มที่ดูเหมือนจะเริ่มรู้สึกตัวตื่น มือเล็กนั้นยกขึ้นมาลูบบริเวณหลังคอแสดงถึงความเมื่อยล้าจากท่านั่งหลับเมื่อครู่ พร้อมใบหน้าน่ารักที่กำลังงัวเงียมองไปรอบๆ ก่อนจะสะดุดเข้ากับร่างสูงที่นั่งเอามือสอดเข้ากระเป๋าเสื้อแขนยาวอยู่ข้างๆ



    “ค..คุณ..”



    “หนีออกจากบ้านมามันไม่ดีนะ รู้มั้ย”



    “คุณรู้ได้ยังไง!?” เด็กหนุ่มข้างเขารีบคว้ากระเป๋าเป้เพียงใบเดียวที่มีติดตัวมากอดแน่นพลางจะขยับออกห่างจนตูดแทบจะตกจากเก้าอี้ เขาเบิกตากว้างอย่างตกใจ และยิ่งประหลาดใจเข้าไปใหญ่เมื่อชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีขาวสว่างตรงหน้าไม่ได้มีท่าทีตื่นตระหนกแต่อย่างใด



    “หนีออกจากบ้านจริงๆ เหรอ? ฉันก็แค่เดาไปอย่างนั้น” ซาโตรุยกยิ้มมุมปาก พร้อมมองพิจารณาการแต่งตัวของอีกฝ่ายที่น่าจะหนีออกมาจากบ้านจริงๆ “คิดยังไงหนีออกมา มานอนอยู่ตรงนี้จะสบายเท่านอนอยู่บ้านเหรอ”



    “ไม่ใช่ธุระของคุณสักหน่อย!” เด็กหนุ่มกอดกระเป๋าแนบอกพูดก่อนจะลุกขึ้นยืนหมุนตัวเดินหนีอย่างรวดเร็ว แต่ทุกอย่างกลับต้องหยุดชะงักเมื่อเสียงทุ้มนุ่มระรื่นนั้นเอ่ยขัดจังหวะเสียก่อน



    “หึๆ มานั่งคุยกันก่อนก็ได้ เดินหนีไปก็หาเก้าอี้นอนไม่ได้หรอก”



    Let go on the wheel, it’ s the bullet lane

    Now I’ m seeing red, not thinking straight

    Blurring all the lines, you intoxicate me



    “เฮ้อ...ที่นี่อากาศดีนะ ว่ามั้ย?”



    อิทาโดริ ยูจิ เรียกได้ว่าตนเองใช้หางตาเหลือบมองชายหนุ่มข้างๆ ด้วยความระหวาดระแวงก็ว่าได้ บนตักเขายังมีกระเป๋าเป้ที่ติดตัวมาจากบ้านเพียงใบเดียว ภายในมีเสื้อผ้าไม่กี่ตัวและขนมเพียงไม่กี่ชิ้น เขาคิดว่าการออกเดินทางมายังโอกินาวะจะต้องดีกว่าการอยู่ที่บ้านกับครอบครัวที่ชอบบังคับขู่เข็ญเป็นแน่ แต่เพราะเขายังเด็กเกินกว่าที่จะต้องออกมาเรียนรู้โลกภายนอกด้วยตัวเองได้ เมื่อมาถึงเขาก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปเป็นอย่างแรก ไม่รู้ว่าผู้คนที่โอกินาวะเป็นอย่างไร ไม่รู้ว่าจะมีอพาร์ทเม้นท์หรือห้องเช่าเล็กๆ ให้เขาอยู่หรือไม่ แต่ที่แน่ๆ เงินในกระเป๋าของเขาตอนนี้มันไม่พอสำหรับหนึ่งอาทิตย์เสียด้วยซ้ำ



    “ไม่พูดกับฉันหน่อยเหรอ ขี้ระแวงจังเลย แต่ทำไมกล้าออกมาจากบ้านคนเดียวนะ”



    “ทำไมคุณอยู่ที่นี่” ไม่สิ อีกฝ่ายอาจจะเป็นคนแถวนี้ก็ได้ “คุณเป็นคนที่นี่เหรอ..แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าผมหนีออกจากบ้าน”



    ซาโตรุเลิกคิ้วพลางมองตัวอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้า เขาชี้นิ้วมาที่กระเป๋าเป้บนตักเล็ก



    “ก็เหมือนเพิ่งจะนั่งรถไฟมา หรือไม่ก็คงจะหาที่นอนไปแล้ว ไม่ใช่มานั่งให้ลมตีหน้าแบบนี้” เขาตอบไปตามที่เห็น ทั้งที่จริงๆ แล้วเขามีความสามารถในการสังเกตคนทั่วไปต่างหากล่ะ เด็กหนุ่มตรงหน้าเขายังเด็กมาก แต่ก็อายุน้อยกว่าเขาเพียงไม่กี่ปีในตอนนี้และเขาก็รับรู้ได้ถึงความไร้เดียงสานั้นจากมนุษย์ที่ไม่ใช่ผู้ใช้ไสยเวทย์ดี “อีกอย่างฉันไม่ใช่คนที่นี่ ฉันเรียนอยู่ที่โตเกียว..”



    “โตเกียวเลยเหรอ!?” อิทาโดริถึงกับหูผึ่ง ทำตาโตมีประกายวิบวับบางอย่างที่ซาโตรุเผลอยิ้มตาม “ผมไม่เคยไปที่โตเกียวเลยสักครั้ง!”



    “ไม่ให้พ่อกับแม่พาไปล่ะ” คนพูดเริ่มกอดอกเอนหลังพิงผนักเก้าอี้ไม้ อย่างน้อยการมีเพื่อนคุยในช่วงเวลาที่กำลังวิตกกังวลแบบนี้ก็ช่วยคลายเครียดได้บ้าง



    “ผมอยู่กับคุณปู่น่ะ..พ่อกับแม่ผมเสียไปตั้งแต่ผมเด็กๆ แล้ว” เสียงนั้นอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด เหมือนซาโตรุจะมองเห็นใบหูสีส้มฟูๆ บนศีรษะเล็กนั้นที่กำลังลู่ลงด้วยใบหน้าเศร้าหมอง “เขาไม่เข้าใจอะไรผมเลย เพราะแบบนี้ผมถึงหนีออกมา”



    อา.. เข้าใจล่ะ



    “แล้วคิดว่าตอนนี้ปู่ของนายจะตามหานายรึเปล่า?” เขาถามพลางเอียงคอเล็กน้อยอย่างลองเชิง “ฉันว่าร้อยเปอร์เซ็นต์คงกำลังนอนไม่หลับ เพราะมัวแต่เป็นห่วงหลานชายตัวแสบที่หนีออกมาจากบ้านคนเดียว”



    “ผมก็แค่อยากให้เขารู้บ้างว่าถ้าวันหนึ่งไม่มีผม เขาจะรู้สึกยังไง” อิทาโดริกอดอก ริมฝีปากยื่นออกมาเล็กน้อย จะเรียกว่าน้อยอกน้อยใจก็ได้ เพราะเขากับคุณปู่มักจะมีปัญหากันอยู่บ่อยครั้งจนวัยรุ่นอารมณ์ร้อนอย่างเขาทนไม่ไหวอีกต่อไป และเหมือนซาโตรุจะมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง เขาถึงได้หัวเราะออกมาเสียงดังลั่นจนร่างเล็กกว่าสะดุ้งโหยง



    “ฮ่าๆๆๆ! คิดได้ยังไงเนี่ย!” ซาโตรุหัวเราะจนน้ำตาไหล “นายลองนึกสภาพ ตอนนายเลี้ยงน้องหมาตัวหนึ่งจนโต แต่มันกลับหนีออกจากรั้วบ้านนาย นายจะรู้สึกยังไงล่ะ” เขาว่าพลางมองปฏิกิริยาของเด็กหนุ่มตรงหน้าที่กำลังทำหน้าครุ่นคิดตามคำพูดของเขา หัวคิ้วเล็กนั้นขยับชนกันจนแทบจะผูกกันเป็นโบ และเป็นอีกครั้งที่ซาโตรุยิ้มกับภาพตรงหน้าอย่างช่วยไม่ได้



    ให้ตายเถอะ คิดเรื่องของคนอื่นนี่มันช่วยคลายเครียดได้จริงๆ เหรอเนี่ย



    “ก็คง..กังวลล่ะมั้ง?” เสียงเล็กตอบแผ่วเบา “นี่จะบอกว่ามองผมเป็นแค่หมาตัวหนึ่งงั้นเหรอ”



    ซาโตรุย่นคิ้วใส่เด็กหนุ่มทันที เขาพยายามกลั้นขำกับคำถามสิ้นคิดนั้นก่อนจะดึงสติกลับมาแล้วตอบคำถามอย่างใจเย็น



    “ไม่ ฉันไม่ได้หมายความว่านายเป็นหมาเอ๋งนะ” เขาว่าพลางหันตัวมามองเด็กหนุ่มตรงๆ “ขนาดแค่หมา นายยังรู้สึกกังวลกับมันเลย แต่นายทั้งคนเลยนะ คิดว่าปู่ของนายจะรู้สึกเป็นห่วงนายกี่เท่ากัน”



    เขาว่าพลางวางท่อนแขนบนพนักพิงเก้าอี้ จ้องมองดวงหน้าเล็กนั้นด้วยความรู้สึกเอ็นดู จนเผลอคิดขึ้นมาได้ว่าเขาอาจจะเป็นอาจารย์สอนอยู่สักโรงเรียนหนึ่งแน่หลังจากเรียนจบจนหลักสูตร เพราะเขากลับรู้สึกว่าตัวเองเข้ากับเด็กได้ง่ายอย่างแปลกประหลาด แขนที่งออยู่เริ่มกางออกจนวางพาดยาวไปกับพนักพิงอ้อมแผ่นหลังเล็กของเด็กหนุ่มโดยไม่รู้ตัว ฝ่ายอิทาโดริเองเขาก็คิดตามจนเริ่มรู้สึกว่าสิ่งที่เขาทำอยู่มันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาเลย แต่ในใจอีกด้านหนึ่งก็ยึกยักไม่ยอมกลับบ้านไปขอโทษคุณปู่เพราะเลือกทางที่จะหนีออกมาแล้ว กลับไปก็อาจจะถูกด่า ซ้ำยังโดนดูถูกว่าไปไหนได้ไม่ไกลอีกเช่นเดิม



    ซาโตรุที่เห็นใบหน้านั้นกำลังตึงเครียด เขาก็ชักจะเริ่มไม่รู้สึกสนุกไปด้วย นิ้วใหญ่ของแขนอีกข้างที่ว่างอยู่ยื่นไปจิ้มที่กลางหน้าผากของเด็กหนุ่มจนร่างเล็กเผลอหลับตาปี๋ แต่สุดท้ายแรงจิ้มบนหน้าผากกลับแผ่วเบาราวกับต้องการเรียกสติ สุดท้ายอิทาโดริก็ช้อนตาขึ้นมองชายหนุ่มแปลกหน้าที่จิ้มหน้าผากเสร็จก็เหมือนนิ่งชะงักไป



    ราวกับถูกตรึงด้วยสายตาโอนอ่อนนั้น..



    Just like nicotine, heroin, morphine

    Suddenly, I’ m a fiend and you’ re all I need

    All I need, yeah, you’ re all I need



    “ผมควรกลับบ้านเหรอครับ..” ว่าพร้อมกับหลุบตาลงอีกครั้ง หัวคิ้วชนกันอย่างคนลังเล แน่นอนว่าซาโตรุสนับสนุนความคิดนั้นอย่างสุดแรง



    “แน่นอน นายยังต้องกลับไปเรียน กลับไปกินข้าวอร่อยๆ กลับไปเตะบอลกับเพื่อนๆ ที่โรงเรียน” ซาโตรุพูดไปตามข้อมูลที่ตัวเองพอจะรู้มาบ้างจากโรงเรียนมัธยมทั่วไป เพราะโรงเรียนไสยเวทย์สาขาโตเกียวที่เขากำลังศึกษาอยู่ในตอนนี้ช่างแตกต่างจากโรงเรียนธรรมดาเหลือเกิน “นายมีอะไรให้เลือกทำได้ แต่นายเลือกจะทิ้งชีวิตสนุกๆ แบบนั้นมานั่งตากลมทะเลอยู่คนเดียวแบบนี้ ฉันไม่เห็นด้วยเท่าไหร่นะ”



    อิทาโดริที่เหมือนถูกใส่ไฟจนติดก็ปรากฏแววตาที่เปลี่ยนไป เขาตัดสินใจเชื่อตามคำแนะนำที่ชายหนุ่มพูด ทั้งที่มันก็เป็นเรื่องจริงทุกอย่างแต่ทำไมเขาถึงคิดไม่ได้แบบนี้บ้างนะ



    เป็นคนมองโลกในแง่ดีจัง



    “เดี๋ยวผมจะกลับไป” เขาตอบ แต่ก็ยังอยากคุยกับอีกคนต่ออยู่ “แล้วคุณมาทำอะไรที่นี่”



    “อา.. ฉันมาทัศนศึกษาน่ะ แต่เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าก็กลับแล้ว”



    “แล้วทำไมคุณไม่พักผ่อนล่ะครับ”



    นั่นแหละ คำถามที่ซาโตรุเองก็ยังให้คำตอบกับตัวเองไม่ได้เลย



    ร่างสูงถอนหายใจอย่างแรงจนเด็กหนุ่มถึงกับเลิกคิ้ว มองจากประภาคารก็รู้ว่าอีกฝ่ายก็คงจะมีเรื่องหนักใจอยู่แน่ถึงได้ออกมาเดินเล่นคนเดียวริมทะเลแบบนี้ แต่โชคร้ายหน่อยที่ดันมาเจอกับเด็กที่สับสนในตัวเองอย่างเขา เลยกลายเป็นผู้รับฟังเสียอย่างนั้น



    “ฉันแค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยจนนอนไม่หลับน่ะ”



    “แบบนั้นไม่ดีเลยนะครับ ถึงเวลานอนพักแล้วทำไมยังคิดอะไรอยู่ล่ะ”



    “นี่จะดุฉันกลับรึไงเนี่ย หื้ม”



    ซาโตรุหลุดยิ้มเมื่อถูกเด็กหนุ่มติเรื่องการนอนของเขา เหมือนกับรู้จักกันมาหลายปีแล้วยังไงอย่างงั้น ทั้งที่จริงๆ เหตุการณ์มันเพิ่งจะเริ่มขึ้นเพียงไม่กี่นาทีก่อนด้วยซ้ำ



    แต่เมื่อพูดถึงเรื่องนั้นแล้ว.. เขาก็อดคิดไม่ได้จริงๆ เขาใช้พลังในการสร้างเขตอาคมเพื่อป้องกันเด็กสาวไปเยอะมากและมันทำให้เขาอ่อนเพลียไม่แพ้กัน ซ้ำการที่เขามัวแต่วิตกกังวลกลับทำให้เขาหลับไม่ลงจนต้องตื่นออกมาเดินเล่น อย่างที่เกะโทพูดจริงๆ เขาตื่นในตอนกลางคืนและไม่ได้นอนหลายวันติดกันเพราะภารกิจนี้ เขาอยากทำให้มันสำเร็จตามความประสงค์ของอามาเนะ คือการไปส่งเธอให้ถึงที่หมายโดยไม่ให้เธอบาดเจ็บหรือตายเสียก่อน แต่ถ้าหากถามถึงสภาพจิตใจในตอนนี้น่ะหรือ



    เขาว่า เขาเข้าใจยัยนั้นดีเลยล่ะ



    “ผมมีสิทธิ์อะไรจะดุคุณ...แค่ชื่อยังไม่รู้จักกันเลย” อิทาโดริว่าพลางขยับห่างเล็กน้อย แต่มันก็คงไม่ทันแล้วถ้าเขาต้องการที่จะรักษาระยะห่างในตอนนี้ เพราะกลายเป็นว่าวงแขนกว้างของร่างสูงคล้ายกำลังโอบรอบไหล่ของเด็กหนุ่มอยู่ยังไงอย่างงั้น ทั้งที่มันกำลังพาดอยู่ที่ผนักเก้าอี้ด้านหลัง



    “นั่นสินะ! ฉันโกะโจ ซาโตรุ น่าจะเป็นรุ่นพี่ของนายด้วย” เขาว่าด้วยรอยยิ้มกว้าง พยายามที่จะไม่คิดมากถึงความวิตกกังวลนั้น และทันทีที่เขามองลึกเข้าไปในดวงตาคู่ตรงหน้า เขาก็คลายความวิตกกังวลดังกล่าวได้ลงจริงๆ



    “ผมอิทาโดริ ยูจิ” เด็กหนุ่มแนะนำตัวบ้าง มีหลายอย่างที่เขาสงสัยจากตัวของชายหนุ่มตรงหน้า “คุณเรียนอยู่โรงเรียนอะไรเหรอ แล้วที่โตเกียวสวยมากมั้ย”



    “สวยสิ ว่างๆ ก็ให้คุณปู่พามาเที่ยวได้นะ” เขาเลือกที่จะเบี่ยงหลบคำถามเรื่องโรงเรียนที่เขากำลังเรียนอยู่ “แต่ถ้ายูจิดื้อหนีออกมานั่งเล่นคนเดียวแบบนี้อีก ก็สมควรแล้วนะที่ผู้ใหญ่จะไม่พาเที่ยว”



    “งั้นผมรีบกลับเลยดีกว่า!” เหมือนซาโตรุจะเห็นใบหูฟูๆ นั้นกลับมาตั้งตรงอีกครั้ง มันกำลังกระดิกไปมาอย่างกระตือรือร้นยามเมื่อสีหน้าจริงจังนั้นพร้อมที่จะทำในสิ่งที่ใจต้องการ นึกภูมิใจที่เขาทำให้เด็กคนหนึ่งสามารถกลับไปดำเนินชีวิตของตัวเองต่อได้อย่างถูกต้อง อีกทั้งยังมีความตั้งใจเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย ในเรื่องที่เขาจะเป็นอาจารย์สอนนักเรียนเมื่อเรียนจบ



    แต่ในตอนนี้...คงต้องถึงเวลาลาจาก



    “ดึกมากแล้ว..ฉันก็จะกลับไปที่พักเหมือนกัน” เขาว่าพลางยกแขนที่วางพาดอยู่หลังเก้าอี้ขึ้นข้ามหัวของเด็กหนุ่ม “ยินดีที่ได้รู้จักนะ ยูจิ หวังว่าพรุ่งนี้นายจะไม่โดนคุณปู่ดุหรอกนะ”



    “ไม่เหลือหรอก..” น้ำเสียงหงอยๆ นั้นทำให้เขาต้องหลุดหัวเราะในลำคอ ฝ่ายอิทาโดริเองก็จับกระเป๋าขึ้นมาสะพายบ่า พลางคิดว่าในวันนี้เขาจะต้องหาที่นอนอย่างเป็นหลักเป็นแหล่งก่อนที่วันพรุ่งนี้จะซื้อตั๋วรถไฟกลับไปหาคุณปู่ที่เป็นห่วงรออยู่บ้าน ซาโตรุเองในช่วงเวลาที่นั่งคุยกับยูจิ เขาไม่ได้ใช้พลังในการสร้างอาณาเขต ราวกับตัวเขาได้พักจากการใช้พลังนานๆ ติดต่อกัน แต่เขาก็ต้องรีบกลับไปที่ที่พักอยู่ดีเพื่อคุ้มกันอามาเนะต่อถึงแม้ว่าจะเป็นตอนกลางคืนก็ตาม



    ทั้งคู่ลุกขึ้นยืนพร้อมกัน และยืนข้างกันอยู่เพียงครู่หนึ่งราวกับต่างคนต่างอยากให้ช่วงเวลาในตอนนี้ดำเนินไปอย่างเชื่องช้า เป็นซาโตรุเองที่หันไปมองคนด้านข้างที่สูงเพียงแค่ปลายคางเขาเท่านั้น



    “เดินไปคนเดียวก็ระวังตัวด้วย รู้มั้ย”



    อิทาโดริเงยหน้าขึ้นมองก่อนจะพยักหน้ารับอย่างไม่อาจห้ามและจะตัดสินใจหมุนตัวเดินออกมาจากตรงนั้น ใต้แสงไฟเพียงเสาเดียวในละแวกนั้น ซาโตรุเองที่ยืนนิ่งอยู่เพียงครู่หนึ่งก็ก้าวเท้าเดินออกมาจากเก้าอี้ไม้ตัวยาว ในใจนั้นรู้ดีว่าเด็กหนุ่มยังเดินออกห่างไปไม่ได้ไกล เขาไม่รู้ว่าควรจะกล่าวอะไรก่อนจากลากันหรือไม่ เพราะเขาไม่คิดว่าในใจตนเองนั้นจะถูกใจในตัวของยูจิมากมายขนาดนี้ ยามเมื่อหันหลังให้กันทุกอย่างมันเริ่มเด่นชัด เหมือนมีเสียงของเขาอีกเสียงหนึ่งกำลังร้องบอกว่าให้หยุดเดิน



    และเขาหยุดเดิน แต่ไม่ใช่เพราะใจสั่งมา แต่เป็นเพราะเสียงน่าฟังของเด็กหนุ่มที่ตะโกนตามไล่หลัง..



    “แล้วพบกันใหม่นะ! พี่ซาโตรุ!”



    เขาหันกลับไป และพบกับร่างเล็กนั้นที่เอามือป้องปากตะโกนกลับมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เขาไม่รู้ตัวเลยว่ายกยิ้มกว้างขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ราวกับหัวใจได้รับพลังแรงฮึดบางอย่างทำให้เขาเหลือเรี่ยวแรงเหลือเฟือในการเดินเท้ากลับไปถึงที่พัก น่าเสียดายที่เขาไม่ได้ตอบกลับยูจิกลับไป เพราะเด็กหนุ่มก็หมุนตัววิ่งจากไปเช่นกัน



    แต่รอยยิ้มของซาโตรุคงชัดเจนแล้วล่ะ



    ว่าอยากพบกันใหม่อีกครั้งหนึ่งเช่นกัน..



    It’ s you, babe

    And I’ m a sucker for the way that you move, babe





    END

    ________________________________

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in