เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
SF | ambrosialzd__gim
Candy
  • Candy - รสลูกกวาด



    คำเตือน ; รสชาตินี้เป็นตอนต่อของ ‘รสเยลลี่’ นะคะ ถ้าพร้อมแล้ว..! เอ็นจอยค่า ><




    ‘ว่ายังไงนะ!’ เสียงทุ้มใหญ่เอ่ยด้วยความตกตะลึงที่ปิดไม่มิดจากปลายสาย ภายในความเงียบสงัดที่มีเพียงใครคนหนึ่งกำลังสนทนากับบุคคลอื่นผ่านทางโทรศัพท์ ‘มึงเจอพี่เขาเหรอ?’



    “อือ..อยู่ห้องข้างๆ กันนี่เลย” เสียงของเด็กหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยตอบเพื่อนของตนเองกลับไป พร้อมเสียงร่างเล็กที่ทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ล้อหมุนหน้าโต๊ะคอม “ไม่คิดว่าโลกจะกลมขนาดนี้นะ..”



    ‘พี่ซาโตรุอะนะ! คนนั้นจริงๆ อะนะ!’



    “เออ! จะถามอะไรหลายครั้งวะโทโด”



    อิทาโดริ ยูจิ คิดว่าตัวเองกำลังจะเริ่มหงุดหงิดแทนที่จะให้ความสนอกสนใจถึงประเด็นที่กำลังพูดคุยกันอยู่ในตอนนี้ โทโด เพื่อนสนิทของเขาถอนหายใจออกมาดังฟึดฟัดแม้จะรู้ว่าเก็บความตื่นเต้นไว้ไม่มิดก็ตาม และใช่...ยูจิรู้จักกับชายหนุ่มข้างห้องที่ชื่อ โกะโจ ซาโตรุ มานานมากแล้ว..



    ย้อนกลับไปในวันที่อิทาโดริยังคงเป็นเพียงแค่เด็กมัธยมปลาย เขามีความสามารถในหลากหลายด้านไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันทางวิชาการ ศิลปะ ดนตรี แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดในตัวของเขาก็คงไม่พ้นด้านกีฬาที่ร่างกายมีประสิทธิภาพสูงอย่างเห็นได้ชัด เสียแต่ว่าพระเจ้าได้มอบความวิเศษเหล่านี้มาให้แก่ยูจิ แต่ดันไม่มอบวิธีใช้งานมาให้เขาด้วย เด็กหนุ่มหาได้เห็นความสำคัญของการเล่นกีฬาไม่ ถึงแม้ว่าเขาจะทำมันออกมาได้ดีมากก็ตาม แต่เขากลับเลือกที่จะเข้าชมรมถ่ายภาพของโรงเรียนเสียอย่างนั้น..



    ชมรมถ่ายภาพในโรงเรียนที่ยูจิกำลังศึกษาอยู่ ไม่ใช่ชมรมที่เมื่อถึงชั่วโมงเรียนก็ออกเดินเล่นหรือนอนเรื่อยเปื่อย ในบางเดือนอาจมีการแข่งขันถ่ายภาพดีเด่นเพื่อให้เด็กนักเรียนในชมรมได้ร่วมทำกิจกรรมและมีความคิดสร้างสรรค์ ยูจิที่ไม่ได้มีความชอบต่อการถ่ายภาพขนาดนั้น แต่เขาก็ยังคงสนใจต่อกิจกรรมที่ถูกจัดขึ้นในแต่ละครั้งไม่เคยขาด จนกระทั่งในเย็นวันหนึ่งหลังเลิกเรียนในวันหยุดสุดสัปดาห์ เขาและเพื่อนรักร่างสูงใหญ่กำลังเดินไปที่โรงจอดรถของโรงเรียน และได้พบเข้ากับจุดสนใจเข้าอย่างจัง



    “เฮ้ยๆ ดูดิ”



    ไหล่แคบของยูจิถูกสะกิดโดยโทโดที่เดินข้างกันให้หันไปมองตามสายตา ยูจิเบือนหน้าไปมอง ดวงตาเบิกค้างเล็กน้อย เขาพบรุ่นพี่สาวสวยประจำโรงเรียนกำลังยืนถ่ายรูปอยู่ที่หน้าอัศจรรย์ข้างสนามฟุตบอล เธอดังมากในเฟสบุ๊คและอินสตราแกรม ในบางโพสต์ของเธอเพียงแค่ลงอะไรเรื่อยเปื่อยก็มีคนกดไลค์ให้เป็นร้อยไลค์ เขาจะไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่โทโดสะกิดเขา เพราะเพื่อนรักของเขาชื่นชอบการมองสาวสวยอยู่สม่ำเสมอ คงจะเหมือนการชื่นชอบดาราไอดอลอย่างคลั่งไคล้นั้นเอง



    แต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของยูจิไม่ใช่พี่สาวแสนสวยคนนั้น แต่กลับเป็นช่างภาพหนุ่มที่อยู่ในเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงขายาวสีดำ เขาเป็นชายหนุ่มสูงโปร่ง ดูสมส่วนไม่ผอมเกินไป มีมวลกล้ามเนื้อพอประมาณเหมือนหุ่นของคนเกาหลีหรือตัวการ์ตูนชายที่แสนจะเพอร์เฟค เรือนผมสีขาวสว่างยิ่งช่วยขับให้กลายเป็นจุดสนใจ ในมือถือกล้องดิจิตอลตัวหนึ่งเดินตามนางแบบไปตามจุดต่างๆ เมื่อได้มุมตามที่ต้องการมือใหญ่ที่ตึงไปด้วยเส้นเลือดก็ยกกล้องขึ้นส่องที่ดวงตา



    ยูจิยืนค้างอยู่แบบนั้นหลายนาที เขายอมรับตามตรงว่าชื่นชอบและอยากจะเป็นแบบนั้นบ้าง แต่ก็คงห่างไกลตั้งแต่หน้าตาแล้วล่ะนะ



    “เหม่อเลยนะ ชอบพี่ผู้หญิงคนนั้นก็คงจีบยากหน่อยอะ” โทโดเอ่ยข้างๆ เขา



    “ไม่ใช่ มองพี่ผู้ชายต่างหาก” ยูจิเอ่ยเสียงเรียบพลางชี้นิ้วไปทางพี่คนนั้น “หล่อเนอะ ดูเก่งด้วย ช่างภาพนี่เท่กันจังเลย”



    “เปลี่ยนรสนิยมก็ไม่บอกกัน”



    “ชอบเพราะอยากเป็นแบบนั้นต่างหาก..อีกอย่างรสนิยมกูได้หมดอยู่แล้วเว้ย”



    หลังจากวันนั้นที่เขาได้เจอกับชายหนุ่มช่างภาพเป็นครั้งแรก การได้พบกันของพวกเขาก็เริ่มบ่อยขึ้นโดยมีเพียงฝ่ายของยูจิเท่านั้นที่เฝ้ารอคอยการได้เจอกับซาโตรุในทุกวัน เด็กหนุ่มได้รู้ว่าชายหนุ่มคนนั้นชื่ออะไร ได้รู้ว่าเขาเพิ่งจะจบมหาลัยมาได้ไม่นานและมีเพื่อนสนิทเป็นคุณครูใหม่ที่เพิ่งเข้ามาสอนในโรงเรียนของยูจิ ซาโตรุยังรับงานช่างภาพ และมักจะไปวาดรูปขายที่ถนนคนเดินในช่วงเย็นอยู่เป็นประจำ ในบางวันก็มักจะเห็นมารับพี่สาวคนสวยที่ยูจิเห็นตั้งแต่ครั้งแรกออกไปข้างนอกหลังจากเลิกเรียน เด็กหนุ่มแทบไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาอยู่ในสถานะอะไรกันในช่วงนั้น ข่าวลือกันให้แซดว่าพี่สาวสุดสวยคนนั้นคบกับชายหนุ่มนอกโรงเรียน น่าแปลกที่ยูจิกลับใจกระตุกทันทีที่ได้รู้เรื่องจากปากของโทโด ใจหนึ่งก็อยากยินดีด้วยเพราะพวกเขาช่างเหมาะสมกันเหลือเกิน แต่อีกนัยหนึ่ง ยูจิกลับคาดหวังให้พี่ชายคนนั้นได้รู้จักตัวตนของเขาบ้าง ทุกครั้งที่ยูจิได้รู้จักเขา แอบมองเขาอยู่ฝ่ายเดียว แล้วชายหนุ่มคนนั้นก็ไม่ได้มาให้ยูจิเห็นบ่อยๆ เสียด้วย



    แต่เขาพยายามที่จะไม่คิดมากหรอก..ยูจิกับซาโตรุในตอนนั้น เรียกว่าคนรู้จักยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำไป



    แต่ในตอนนี้มันคงไม่ใช่เสียแล้ว



    ‘แล้วพี่เขาเป็นยังไงบ้างวะ’ กลับมาในปัจจุบัน ยูจิสะดุ้งหลุดจากภวังค์ของตนเองหลังจากเสียงทุ้มใหญ่ของโทโดพูดขึ้น ‘ไอดอลของมึงตอนนั้นเลยไม่ใช่เหรอ เอะอะก็อยากดูเขาถ่ายรูป’



    “เท่าที่สังเกตเหรอ…” ยูจิเงียบไปสักพักหนึ่ง “พี่เขาดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ว่ะ ตอนนั้นก็คิดว่าเป็นคนเงียบๆ สรุปเงียบจริงด้วย กลายเป็นกูพูดฉอดๆ เลย”



    ‘ไม่ค่อยดีคือยังไงวะ ไม่หล่อแล้วเหรอ?’



    “ก็ยังหล่ออยู่..แต่พี่เขาดูเหนื่อยๆ เหมือนทำงานแล้วอดหลับอดนอน”



    ‘สรุปชอบหรือปลื้มพี่เขาวะมึงอะ’



    ยูจิผงะนิ่งไป หากเป็นก่อนหน้านี้เขาคงจะตอบปฏิเสธไปโดยไม่ลังเล แต่ทว่าการได้พูดคุยกับชายหนุ่มที่นอกระเบียงในวันนี้ทำให้ยูจิต้องกลับมาพิจารณาตัวเองอีกครั้ง ยูจิไม่เคยพูดคุยกับซาโตรุมาก่อน เขารู้จักซาโตรุแค่ในมุมมองของคนนอกที่ชื่นชอบไลฟ์สไตล์เป็นการส่วนตัว และช่วงเวลามันทิ้งห่างกันไปนานมากจนซาโตรุไม่ได้สำคัญอะไรมากมายในชีวิตของยูจิ แต่ยิ่งน่าประหลาดใจเข้าไปอีกที่ยูจิจำหน้าของชายหนุ่มได้ทันทีที่เห็นตั้งแต่เขาเปิดประตูระเบียงออกมาด้านนอก



    เขายังคงมีเสน่ห์เหลือล้นไม่ต่างจากหลายปีก่อน สามารถทำให้เด็กหนุ่มตาค้างได้ในวินาทีแรกที่เห็น อีกทั้งยังใกล้ในระยะที่ยืนสนทนากันแบบปกติ ไม่ใช่การเดินผ่านหรือแอบมอง เขาได้เห็นทุกอณูกระทั่งเรือนผมสีสว่าง ดวงตาคู่สวย และมันวิเศษมากที่เขาได้มีโอกาสพูดคุยกันเป็นครั้งแรก ซาโตรุไม่รู้เลยว่ายูจิรู้จักตัวตนของเขามานานแล้ว และชายหนุ่มคงจะไม่ได้สนใจเด็กมัธยมอย่างยูจิในตอนนั้นแน่



    ‘อย่าเงียบสิวะ เป็นไร’



    “เปล่า” เด็กหนุ่มตอบ “ก็ชอบแหละ แต่อย่างที่กูบอกว่าพี่เขาดูสภาพไม่ค่อยดีเลย เหมือนจะมีปัญหาเรื่องงาน แถมเลิกกับแฟนไปแล้วด้วย..กูเลยพยายามเสนอตัวเลือกเพื่อช่วยพี่เขาไป ไม่รู้เขาจะสนใจไหม แต่กูอยากจะช่วยเขาจริงๆ นะ”



    ‘ไม่ใช่อยากรู้จักเหรอเลยพยายามช่วย’



    “อย่าจับผิดกูสิวะ กูอยากช่วยพี่เขาจริงๆ” ยูจิเถียงคอเป็นเอ็น อย่างน้อยสิ่งหนึ่งที่เขามั่นใจและมันถูกถ่ายทอดออกมาจากก้นบึ้งของจิตใจจริงๆ คือ เขาต้องการที่จะช่วยเหลือซาโตรุเท่าที่ตนเองสามารถทำได้ แต่อย่างไรก็ตามทุกอย่างก็ต้องผ่านการคิดทบทวนของเจ้าตัวก่อนอยู่แล้ว “แต่มาคิดๆ ดูแล้ว..เขาก็ไม่ได้ถามความเห็นจากกูเลยสักนิด อย่างที่บอกว่ากูกลายเป็นนักฉอดไปเลยตอนอยู่ต่อหน้าพี่เขา อายเลยว่ะ มันดูเสนอหน้าเกินไปไหมวะ”



    ‘อ้าว ไอ้เหี้ยนี่ มึงบอกเองไม่ใช่เหรอว่าแค่ออกความเห็น ดูเสนอไหมกูไม่รู้หรอก..อยู่ที่พี่เขาจะคิดป่าววะ’ โทโดถอนหายใจแผ่วเบา เขาพยายามที่จะพูดให้เพื่อนสนิทของเขาไม่คิดมากจนเกินไป ‘ถ้ามึงไม่สบายใจก็ลองหายไปดูสิ ถ้าเขาสนใจข้อเสนอของมึงจริงๆ เขาคงมาเคาะที่ห้องแหละ’



    โทโดไม่ได้รู้เลยว่าการพูดแบบนั้นมันทำให้ยูจิคิดและเลือกที่จะทำตามคำบอกของเขาโดยไม่ลังเล ยูจิห้ามใจตัวเองไม่ให้ออกไปสูบบุหรี่ที่นอกระเบียงหลายวันพร้อมกับประตูห้องที่เงียบสงัด ไม่ได้มีใครมาเคาะห้องอย่างที่ควรจะเป็น..นั่นยิ่งทำให้เด็กหนุ่มอดคิดน้อยใจไม่ได้ที่ข้อเสนอของเขามันคงไม่ถูกใจของชายหนุ่มข้างห้องเลย แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งย้อนแย้งในตัวเองที่ดันไปคาดหวังกับซาโตรุมากจนเกินไป ทั้งที่เพิ่งจะรู้จักและพูดคุยกันเพียงวันแรกเท่านั้น



    แต่ความคาดหวังของยูจิก็ไม่ได้ไกลเกินเอื้อมมากนัก..



    “น่ารักจังนะ”



    ยูจิแทบจะไม่เชื่อหูของตัวเอง พร้อมรอยยิ้มมุมปากเล็กๆ ถูกประดับบนใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่ม



    “ยูจิไง หน้าตาน่ารักมากเลย รู้ตัวหรือเปล่า..?”



    รู้แล้วก็ได้ครับ!



    ในคืนนั้นยูจินอนไม่หลับเลย ร่างเล็กนอนกระสับกระส่ายจนผ้าห่มผืนฟูม้วนเป็นก้อนดูขัดหูขัดตาและถูกขาเรียวถีบไปอยู่ปลายเตียง เสื้อยืดสีขาวเลิกขึ้นจนเห็นหน้าท้องเนียนพร้อมล่อนกล้ามเนื้อสวยจากท่านอนที่พลิกไปมา ใบหน้าจิ้มลิ้มเริ่มมุ่ยอย่างแรงบ่งบอกถึงความไม่สบายเนื้อตัว เขาพยายามที่จะข่มตาให้หลับแต่ยิ่งหลับตา ในหัวก็มีแต่ภาพใบหน้าของหนุ่มข้างห้องแว๊บเข้ามาอยู่ร่ำไป ไม่รอยยิ้มก็เสียงนุ่มทุ้มที่ดังก้องอยู่ในห้วงความคิดอย่างห้ามไม่ได้ มือเล็กยกขึ้นมาปิดใบหน้าเอาไว้ เขาฟุ้งซ่านเสียแล้ว และคงกู้ไม่กลับแน่ในคืนนี้ แต่ยังไม่ทันที่จะได้พลิกเปลี่ยนท่านอนอีกครั้ง โทรศัพท์ที่ถูกชาร์จไว้บนชั้นข้างหัวเตียงก็สั่นค้าง หน้าจอขึ้นเบอร์แปลกหน้าที่ไม่รู้จัก..



    ร่างเล็กพลิกตัวสองตลบเอื้อมไปหยิบมาดู แสงสว่างจากหน้าจอสาดใส่เต็มๆ จนต้องหรี่ตา ก่อนจะปัดกดรับสาย และเสียงที่ได้ยินกลับทำเอาต้องลงไปนอนกองกับเตียงอีกครั้ง



    ‘ฮัลโหล...’



    นี่ใช่ความฝันหรือเปล่า! ช่วยบอกเขาที!



    ‘พี่คิดว่าคงจะนอนแล้ว เลยลองโทรเบอร์ที่ขอเราดู..รับสายแบบนี้แปลว่ายังไม่นอนใช่ไหม’



    โกะโจ ซาโตรุ เอ่ยร่ายยาวโดยไม่ได้สนใจเลยว่าปลายสายอีกฝั่งหนึ่งจะมีสีหน้าแบบใด ยูจิพยายามอย่างมากที่จะไม่พรวดพราดตอบซาโตรุไปโดยทันทีด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เดี๋ยวชายหนุ่มอาจจะรู้สึกแปลกได้ว่าดึกขนาดนี้แล้ว ทำไมเด็กหนุ่มยังดีดได้ขนาดนี้อีก?



    “กำลังจะนอนแล้วครับ...พี่มีอะไรเหรอครับ”



    ‘พรุ่งนี้ว่างหรือเปล่า?’ ปลายสายชะงักไปเล็กน้อย ‘...หมายถึงมีเรียนไหม?’



    คิดว่ายูจิจะตอบแบบไหนน่ะเหรอครับ...



    “ผมมีเรียนเช้าครับ” เด็กหนุ่มตอบไปแบบนั้น ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่เคยจะตื่นก่อนเก้าโมงเช้าเลยด้วยซ้ำไป แต่เพราะเขาอยากเป็นคนที่มีธุระบ้าง ไหนๆ ข้อเสนอของยูจิก็ได้รับความสนใจแล้ว “มีอะไรเหรอครับพี่?”



    ‘ออกไปข้างนอกเป็นเพื่อนพี่หน่อยสิ’



    ยูจิขมวดคิ้ว เหล่าทุ่งดอกไม้ในใจกำลังเริ่มพลิบาน เขาหุบยิ้มไม่อยู่ ก่อนนจะถามออกไปทั้งที่ยังยิ้มค้างอยู่แบบนั้น “ไปไหนครับ?”



    ‘ล้างฟิล์ม..พี่มีฟิล์มที่ยังไม่ล้างเพียบเลย ถือโอกาสไปเดินเล่นแถวสยามด้วย ดีไหม?’



    “ช่วงโควิดนะครับพี่ เราควรจะกักตัวไม่ใช่เหรอ?”



    ‘แค่พาพี่ไปล้างฟิล์มเอง’ ซาโตรุเริ่มยื่นข้อเสนอ ‘เราป้องกันให้มากๆ เอาก็ได้ แมสก็ใส่ตลอด พกเจลล์ล้างมือด้วย พี่จะไม่พาไปตรงคนเยอะๆ หรอก จะเดินใกล้สุดก็ใกล้พี่เนี่ยแหละ’



    ไม่รู้ว่ายูจิรู้สึกไปเองหรือเปล่า แต่เหมือนเขากำลังถูกล่อซื้อด้วยคำว่า ใกล้สุดก็ใกล้พี่เนี่ยแหละ และแน่นอนว่าซาโตรุทำสำเร็จ ยูจิตอบตกลงไปโดยมีท่าทีลังเลเล็กน้อย ทั้งที่จริงๆ แล้วคำตอบที่แท้จริงถูกคิดเอาไว้ตั้งแต่ชายหนุ่มถามว่าว่างหรือเปล่าแล้ว



    จากคำตอบที่เคยถูกตั้งคำถามมาตั้งแต่เจอกับชายหนุ่มครั้งแรก ว่าเขาเปลี่ยนรสนิยมหรือเพราะอยากเป็นแบบซาโตรุกันแน่



    ยูจิคิดว่า มันเริ่มจะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แล้วล่ะ..



    15 : 45 PM



    อา...มันเกิดขึ้นจนได้สินะ



    ยูจิยืนคิดอยู่เพียงลำพัง เขายืนอยู่ด้านหน้าของอพาร์ทเมนท์แห่งหนึ่งในใจกลางเมือง ร่างสันทัดอยู่ในชุดลำลองเสื้อฮู้ดตัวใหญ่และกางเกงยีน รองเท้าผ้าใบธรรมดา สะพายกระเป๋าเป้บนบ่าข้างหนึ่ง ไม่ลืมที่จะสวมแมสปิดปากพร้อมพกเจลล้างมือติดกระเป๋าด้วยทุกครั้ง เขากำลังยืนรอใครบางคนที่เพิ่งจะโทรมาบอกว่าล่าช้าเล็กน้อยและยูจิไม่คิดจะเคืองใจใดๆ ยืนรอไม่นาน รถยนต์สีขาวคันหนึ่งก็ขับมาจอดเทียบฟุตบาทตรงหน้าเด็กหนุ่มด้วยความเร็วไม่มากนัก ในตอนแรกยูจิผงะเพราะไม่รู้ว่าเป็นรถของใคร จนกระทั่งเจ้าของรถที่เพิ่งโทรมาบอกเขาก่อนหน้านี้เลื่อนกระจกลง



    “ต้องลงไปเปิดประตูอีกฝั่งให้ไหมครับ”



    “ไม่เป็นไรครับ” ยูจิยิ้มทั้งที่คิ้วกระตุกตุบๆ บทจะกวนประสาทก็มาแบบไม่ทันตั้งตัวจริงๆ คนคนนี้ เด็กหนุ่มเดินอ้อมหน้ารถไปฝั่งข้างคนขับทั้งที่หางตายังคงเห็นซาโตรุยิ้มมุมปาก วันนี้ชายหนุ่มอยู่ในเสื้อเชิ้ตสีขาวเรียบๆ พร้อมสวมแว่นตากันแดดสีดำดูดี ช่างเป็นไทป์การแต่งตัวที่ใครเห็นเป็นต้องเหลียวซึ่งแตกต่างจากยูจิที่เหมือนผู้ปกครองมารับเสียมากกว่า



    ร่างเล็กเปิดประตูเข้ามานั่ง และสิ่งแรกที่รับรู้ได้คือกลิ่นภายในรถที่หอมสดชื่นเสียจนเผลอสูดลมหายใจเข้าอย่างลืมตัว เบาะกำมะหยีนุ่มเข้ากับเครื่องปรับอากาศภายในรถพร้อมกับเพลงสากลคุ้นหูที่เด็กหนุ่มสามารถร้องตามได้ ยูจิแอบเกร็งเล็กน้อยหลังจากที่ปิดประตูรถ มือเล็กจัดกระเป๋าให้วางบนหน้าตักที่นั่งหุบขาอย่างเรียบร้อย สายตาเหลือบมองท่อนแขนแกร่งของชายหนุ่มอายุมากกว่าที่กำลังหมุนพวงมาลัยรถวนออกจากอพาร์ทเมนท์ ก่อนจะเลื่อนสายตาขึ้นเรื่อยๆ มองกางเกงสแล็คสีดำขึ้นมายังเสื้อเชิ้ตสีขาวที่พับแขนเสื้อขึ้นถึงศอก ช่วงอกกว้างรับกับไหล่หนาทำให้ยิ่งสวมเชิ้ตยิ่งดูดีเข้าไปใหญ่ ไหนจะใบหน้าหล่อเหลาด้านข้าง กับแว่นตาดำทรงกลมนั่นอีก..



    “จ้องเหมือนพี่ทำอะไรผิดเลย” ซาโตรุพุดทั้งที่ไม่ได้หันมามองเด็กหนุ่มด้วยซ้ำ ยูจิสะดุ้งเฮือกรีบสะบัดหน้ากลับมาเช่นเดิม เขากลัวตัวเองจะเสียมารยาทที่เผลอสังเกตอีกฝ่ายมากจนเกินไป จนอีกฝ่ายเริ่มไม่มั่นใจ ความเลิ่กลั่กที่แสดงออกมาของยูจิทำเอาคนที่รู้ตัวว่ากำลังถูกจ้องมองยิ้มตามอย่างช่วยไม่ได้ “พี่มีอะไรผิดปกติเหรอ?”



    “เปล่าครับ ผมแค่มองเฉยๆ”



    ตอบไปแบบนั้นทั้งที่ความตื่นเต้นอยู่ภายในใจเป็นหมื่นล้านคำ ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอจากคนข้างกายก็ยิ่งใจเต้นแรง รู้อยู่เต็มอกว่าคำตอบเมื่อครู่นี้ของเขาช่างไม่ช่วยอะไรเลย ตอบไปแบบนั้นใครเขาจะเชื่อกัน..เด็กหนุ่มพยายามบังคับสายตาให้มองไปยังเส้นทางเบื้องหน้า เขานึกว่าจะต้องนั่งรถไฟฟ้าหรือรถเมล์ไป ไม่ได้คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะมีรถยนต์ส่วนตัวด้วย



    “กินข้าวเที่ยงมาหรือยัง? แวะกินอะไรก่อนไหม?”



    “ก็ดีครับ ผมยังไม่ได้กินอะไรมาเลย”



    ซาโตรุหันมามองร่างเล็กกว่า แนวคิ้วสวยขมวดเล็กน้อย “จะสี่โมงเย็นแล้วยังไม่กินข้าว เดี๋ยวก็เป็นโรคกระเพาะหรอก” เขาเริ่มชะลอรถเพราะไฟแดงด้านหน้า โน้มตัวไปค้ำกับพวงมาลัยด้วยท่าทีสบายๆ มองดูการจราจรเบื้องหน้าที่ยุ่งวุ่นวายสะท้อนบนแว่นตาดำ “จะกินอะไรดี มีร้านไหนชอบกินเป็นพิเศษไหม?”



    “ผมชอบกินกวยจั๊บครับ ร้านอยู่เยาวราช” ยูจิเหลือบสายตามามองชายหนุ่มข้างกาย “แต่ถ้ามันคนละทางกับร้านล้างฟิล์ม ผมกินร้านไหนก็ได้ครับ”



    “โอเค” ซาโตรุตอบโดยไม่คิด พร้อมตบไฟเลี้ยวทันที “ไปเยาวราชกัน”



    16 : 13 PM



    “เอาธรรมดาเหมือนกันไหมครับ” อีกคนพยักหน้ากลับมา เด็กหนุ่มหันไปชูสองนิ้วให้กับพนักงานคนหนึ่งที่กำลังเดินผ่านมา ปกติเวลาที่มาเยาวราชแบบนี้เขาจะต้องแวะกินกวยจั๊บร้านนี้เสมอ และใช่...ตอนนี้พวกเขาอยู่เยาวราชภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว ก่อนที่พวกเขาจะมาถึงร้านกวยจั๊บเจ้าโปรดของยูจิ ชายหนุ่มอายุมากกว่าได้พูดถึงสถานที่ท่องเที่ยวหลายๆ ที่ในย่านเยาวราช เขาเปรยระหว่างขับรถว่าอยากจะไปถ่ายรูปที่วัดมังกรถ้ามีเวลาเหลือ ส่วนของกินด้านนอกถือว่าเป็นของแถมสำหรับตัวเขาและเด็กหนุ่ม ยูจิยิ้มแย้มอย่างมีความสุขหลังจากชามกวยจั๊บถูกวางบนโต๊ะโดยเด็กเสิร์ฟ ร่างสูงตรงข้ามดึงชามเข้าหาตัวเองแล้วเตรียมใส่เครื่องปรุงลงไป



    “ปกติมาบ่อยเหรอเรา”



    “ทุกครั้งที่มาเยาวราชเลยครับ”



    “เอามานี่” ยูจิเลิกคิ้วสูง เมื่อซาโตรุที่กำลังจะเริ่มคนกวยจั๊บในชาม จู่ๆ ก็ยื่นมือมาทางเขาพร้อมส่งสายตาตรงมา ยูจิลืมไปเลยว่ากระเป๋าสะพายของตัวเองวางอยู่บนโต๊ะ เพราะด้านข้างไม่มีเก้าอี้อีกตัวจึงไม่มีที่วาง แต่ฝั่งของซาโตรุมีเก้าอี้ว่างหนึ่งตัวที่ไม่มีคนนั่ง



    ไม่พูดอีกเป็นครั้งที่สอง มือใหญ่ถือวิสาสะเอื้อมหยิบกระเป๋าสะพายของยูจิไปวางไว้บนเก้าอี้ข้างตัวเองทันที ก่อนจะหันกลับมาคนกวยจั๊บร้อนๆตรงหน้าต่อโดยไม่พูดอะไร หลังจากนั้นบรรยากาศที่ควรจะตึงเครียดกลับเต็มไปด้วยความนุ่มฟูภายในใจของยูจิ เด็กหนุ่มเอาแต่เหลือบมองซาโตรุขณะที่กำลังกินอย่างลืมตัว อมยิ้มเล็กน้อยที่รับรู้ได้ว่าเมื่อกี้อีกฝ่ายกำลังใส่ใจตัวเขา



    จนกระทั่งทานกวยจั๊บกันจนยูจิรู้สึกหนังท้องตึง ซาโตรุจึงเริ่มเสนอว่าอยากจะไปเดินเล่นหาของกินอีกสักหน่อยก่อนจะไปยังร้านล้างฟิล์ม ซึ่งยูจิไม่ได้มีปัญหาอะไรเลยถ้าหากค่ากวยจั๊บมื้อนี้ยูจิเป็นคนออกเงินเอง พวกเขาเดินออกมาจากร้านพร้อมสีหน้าเกรงอกเกรงใจของยูจิเดินตามแผ่นหลังกว้างต้อยๆเพราะชายหนุ่มเพิ่งจะออกเงินค่ากวยจั๊บมื้อนี้ให้เขาไป ยูจิพยายามปฏิเสธความใจดีนั้นแต่มันช่างยากเย็น สุดท้ายเขาก็ปล่อยให้ชายหนุ่มจัดการเลยดีกว่า



    ระหว่างทางเดินกลับขึ้นรถ พวกเขาแวะร้านน้ำแข็งไสเจ้าหนึ่ง อากาศแบบนี้ของหวานตบท้ายก็ควรจะเป็นสิ่งนี้นี่แหละ เด็กหนุ่มยืนรอรับน้ำแข็งไสมาหนึ่งถ้วยแล้วยื่นให้คนที่เดินข้างกันกินด้วย เพราะถ้าซื้อคนละถ้วยเกรงว่าจะกินกันไม่หมด ซาโตรุไม่ได้ปฏิเสธอะไร ซ้ำยังรับไปกินหน้าตาเฉย คงเพราะรู้สึกร้อนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอถึงรถอีกคนก็โยนสัมภาระทั้งหมดไปไว้ข้างหลัง แล้วเปิดแอร์ให้แรงที่สุดเท่าที่รถของตัวเองจะทำได้



    “ร้อน”



    “กินอีกไหม” ยูจิยื่นถ้วยน้ำแข็งไสให้คนที่นั่งตรงคนขับอีกรอบ แต่คราวนี้อีกคนไม่ได้หยิบไปกิน กลับดันมือเขาออกแทน ยูจิที่กำลังจะอ้าปากถามว่าทำไมไม่กินล่ะ กลับถูกทำให้หยุดกลืนคำพูดลงคอไปทันทีด้วยความรู้สึกเย็นวาบบริเวณต้นคอ เขาสัมผัสถึงนิ้วของอีกคนที่ลูบไปมาอยู่ตรงนั้นเบาๆ ..



    ยูจิกระตุกเบาๆ เผลอหดคอกลับโดยไม่ทันตั้งตัว ทำให้ซาโตรุชะงักมือและชักมือกลับพร้อมเอ่ยขอโทษแผ่วเบา



    “โทษที พอดีพี่เห็นมันแดงๆ” คนที่เหมือนจะเพิ่งรู้ตัวว่าเผลอทำอะไรประหลาดๆ ก็ยกมือขึ้นจับพวงมาลัยไว้แทน ก่อนจะออกรถเพื่อมุ่งหน้าไปยังร้านล้างฟิล์มที่เป็นเป้าหมายหลัก แต่ในตอนนี้มันไม่สำคัญสำหรับยูจิอีกต่อไป ร่างเล็กนั่งนิ่ง ความรู้สึกร้อนฉ่าขึ้นบนทั่วใบหน้าจนถึงใบหูทำให้ยิ่งต้องหันหน้าหลบอีกคนไปมองด้านนอกรถแทน



    “มันคันอะครับ เลยไปเกามัน”



    “แพ้เหงื่อตัวเองเหรอ”



    “มั้งนะครับ เวลาร้อนแล้วมันจะคัน”



    “เห็นแดงตั้งแต่อยู่ข้างนอกแล้ว แต่พออยู่ในรถมันชัด”



    “เหรอครับ” เด็กหนุ่มหันกลับมา มือยกขึ้นสัมผัสตรงจุดเดิมที่ซาโตรุเพิ่งจะแตะไปเมื่อครู่ สัมผัสแผ่วเบาก่อนหน้านี้ยังคงอยู่ “มันดูน่าเกลียดมั้ยครับ”



    “หื้ม?” ซาโตรุหันมามอง นิ่งไปสักพักก่อนจะตอบ “ไม่นะ ก็แค่แดงเอง”



    ยูจิขมวดคิ้วไม่เชื่อ เขากดเปิดกล้องโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเพื่อส่องดูความแดงที่เกิดขึ้น พอได้เห็นกับตาก็เลยรู้ว่าจริงๆ แล้วมันเป็นเพียงรอยเกาเล็กๆ เท่ายุงกัด ไม่ได้เป็นรอยแดงใหญ่โตอะไร ถ้าอีกคนไม่ทักตัวเขาเองอาจจะไม่ได้สนใจเลยก็ได้ พอหายข้องใจก็ปิดหน้าจอแล้วมองข้างทางต่อไป



    เพลงในรถดังตลอดทางระหว่างไปยังร้านล้างฟิล์ม ไม่มีใครพูดอะไรขณะอยู่ในความเงียบ แต่แทนที่บรรยากาศมันควรจะอึดอัด ยูจิกลับรู้สึกว่าพวกเขาทั้งคู่ได้รู้จักกันมากยิ่งขึ้นด้วยซ้ำไป ระหว่างที่อยู่ร้านกวยจั๊บ พวกเขาต่างพูดคุยกันถึงเรื่องทั่วไปของตัวเอง เช่น เด็กหนุ่มได้รู้ว่าซาโตรุเป็นคนที่ชอบสวมแว่นตาดำ เพราะเขาไม่ชอบที่สว่าง ภายในห้องของชายหนุ่มส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยเปิดไฟ มักจะอยู่ด้วยแสงธรรมชาติจากระเบียงห้องเสียมากกว่า ทั้งยังขี้ร้อนแต่กลับแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่ไม่ได้ระบายความร้อนเอาเสียเลย รวมถึงงานอดิเรกเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่นการถ่ายรูปที่ทำให้ยูจิสนใจในตัวชายหนุ่มเช่นเดียวกัน พวกเขาพูดคุยกันอย่างถูกคอจนเกินความคาดหมายไปมาก..



    “ถึงแล้ว จะลงไปด้วยไหม หรือจะรอบนรถ” เมื่อรถจอดอยู่ด้านหน้าร้าน ซาโตรุหันไปปลดสายนิรภัยของตัวเองพลางถามเด็กหนุ่มข้างกายด้วยน้ำเสียงสบายๆ



    “ลงไปด้วยดีกว่าครับ”



    “แต่อากาศร้อนนะ เดี๋ยวก็แดงทั้งตัวหรอก”



    “พี่ครับ ผมไม่ได้แพ้แดดสักหน่อย” ยูจิยู่ปากเล็กน้อย พร้อมมองชายหนุ่มร่างสูงข้างกายเอี้ยวตัวไปเบาะหลังเพื่อควานหาจะหยิบเอาม้วนฟิล์มพร้อมกล้องลงไปเข้าร้าน แต่ทว่าสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นจนได้...



    “อ่า..แย่ล่ะ”



    ยูจิกะพริบตาปริบ ก่อนจะหันไปถามอีกคนที่เอี้ยวตัวกลับมานั่งตามเดิม “มีอะไรเหรอครับ?”



    “พี่ไม่ได้เอากระเป๋ามาน่ะสิ”



    อ...เอ๋



    “ทั้งม้วนฟิล์ม ทั้งกล้อง อยู่ในกระเป๋าใหญ่หมดเลย ทั้งตัวพี่มีแต่โทรศัพท์กับกระเป๋าตังค์..บ้าชิบ ลืมได้ยังไงวะเนี่ย” ชายหนุ่มถึงกับเอนตัวลงพิงเบาะอย่างหมดแรง หัวคิ้วชนกันบ่งบอกถึงความหัวเสียกึ่งๆ เสียดาย ฝ่ายเด็กหนุ่มที่ไม่รู้จะปลอบประโลมอย่างไรได้แต่นั่งหางคิ้วตก มีสีหน้าเสียดายไม่ต่างจากเจ้าของม้วนฟิล์มมากนัก ก็อุตส่าห์ออกมาข้างนอกแล้วนี่หน่า อีกอย่างเขาก็มาด้วย...ไม่ใช่ว่ารอบหน้าเขาจะต้องมาเป็นเพื่อนอีกหรอกนะ



    “งั้นไว้ค่อยมารอบหน้าดีไหมครับ..หรือพี่จะกลับไปเอาฟิล์มที่ห้อง” เด็กหนุ่มลองเสนอความเห็นขณะที่ภายในรถเริ่มเงียบ ดวงตาไร้เดียงสาสบมองคนอายุมากกว่าที่นั่งนิ่งไปสักพักราวกับกำลังตัดสินใจ ก่อนมือใหญ่จะดึงเข็มขัดนิรภัยคาดบนเอวสอบของตนเองพร้อมเตรียมออกรถอีกครั้ง



    “ไว้พี่ค่อยมาล้างอีกทีดีกว่า อีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงร้านก็จะปิดแล้ว..ถ้ากลับมาอีกรอบคงไม่ทันหรอก อีกอย่างพี่ไม่อยากลำบากเราหลายรอบ…”



    “ไม่เป็นไรเลยฮะ!” ยูจิถึงกับรีบเม้มปากแน่นเมื่อรู้สึกตัวช้าไป ในตอนที่ตัวเองเผลอตอบโต้อีกฝ่ายไปโดยไม่ทันคิด ทำเอาซาโตรุชะงักอยู่ในท่าหันมองร่างเล็กพร้อมตบไฟเลี้ยวค้างไว้เตรียมจะถอยรถออก “..ถ้ามาล้างฟิล์มรอบหน้า..ถ้าผมว่าง ผมจะมาเป็นเพื่อนแบบนี้อีกนะครับ ถ้าพี่ต้องการเพื่อน..”



    ซาโตรุระบายยิ้มออกมา “อยากกินกวยจั๊บฟรีอีกล่ะสิ”



    “เปล่าสักหน่อย ผมไม่ใช่เด็กตะกละขนาดนั้นนะ” จากที่กำลังพูดด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักเมื่อครู่กลับตามมาด้วยแววตาจริงจัง ทำเอาคนมองที่ยิ้มอยู่แล้วยิ่งหัวเราะร่าเข้าไปใหญ่ด้วยปฏิกิริยาน่ารักตรงหน้า “หัวเราะอะไรครับ! ผมดูเป็นคนแบบนั้นในสายตาพี่เหรอ”



    เหมือนกับลูกแมวร้องแง้วๆ อยู่ข้างหู ซาโตรุคิดในใจ เขาไม่ได้ตอบอะไรเด็กหนุ่มกลับไป แต่วนรถออกจากหน้าร้านฟิล์มและมุ่งหน้ากลับไปยังอพาร์ทเมนท์ขณะที่รอยยิ้มมุมปากยังคงประดับอยู่บนใบหน้าไม่หายไปไหน ยูจิที่เห็นว่าซาโตรุเอาแต่ยิ้มไปขับรถไป ไม่ยอมตอบคำถามของเขา ซ้ำยังทำเหมือนกำลังเมินสีหน้ามุ่ยๆ ของยูจิอีกด้วย เด็กหนุ่มกอดอก มองออกไปยังนอกหน้าต่าง เขาพยายามบังคับตัวเองไม่ให้น้อยใจหรือรู้สึกแย่กับคำพูดของอีกฝ่ายระหว่างทาง ถ้ารู้แบบนี้เขาน่าจะยืนยันจะจ่ายเองดีกว่า สุดท้ายพอถูกเลี้ยงข้าวเพียงแค่มื้อเดียว ก็ดูกลายเป็นเด็กเลี้ยงตัวเองไม่ได้ยังไงอย่างนั้น ซ้ำยังดูเหมือนเด็กเหลือขอ ตะกละตะกลามโดยไร้เหตุผล



    “จริงๆ ให้เลี้ยงทุกมื้อก็ได้ พี่ไม่ว่าเลย”



    “ไม่เอาครับ! ถ้าเลี้ยงแล้วพี่จะมาบอกว่าผมอยากกินฟรีๆ แบบนี้ ผมไม่ได้แบมือขอพี่กินสักหน่อย” เหมือนยูจิกำลังจะจริงจังเสียแล้ว ซาโตรุเริ่มหุบยิ้ม ในหัวตอนนี้กำลังเริ่มคิดหาวิธีตั้งรับกับอารมณ์ที่กำลังร้อนรุ่มของเด็กหนุ่ม



    “พี่พูดหยอกไปแบบนั้นเอง ไม่ได้มีเจตนาให้ยูจิรู้สึกแย่เลยนะครับ” ซาโตรุเริ่มใช้ไม้อ่อนพูดสุภาพเข้าใส่ ขณะนั้นรถกำลังติดไฟแดงพอดี และอีกไม่ถึงกิโลเมตรก็จะถึงทางเข้าอพาร์ทเมนท์ของพวกเขาแล้ว “พี่เต็มใจจะเลี้ยงจริงๆ นะ แค่เราเสียสละเวลามาเป็นเพื่อนพี่ พี่ก็ดีใจมากแล้ว”



    “ผมบอกแล้วไงครับว่าผมจะช่วยพี่เสมอ” ยูจิพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ แววตาสุกสกาวสะท้อนกับแสงจากไฟสัญญาณจราจรเบื้องหน้ารถ มันกำลังจับจ้องไปยังชายหนุ่มด้วยความรู้สึกภายในใจลึกๆ โดยที่เจ้าตัวไม่ได้รู้เลยว่าแววตาของตัวเองชัดเจนเสียจนคนมองเริ่มมองออกว่าเขารู้สึกอย่างไร “ช่วงนี้พี่มีปัญหาเรื่องเงินใช่ไหมล่ะครับ..ฉะนั้นอย่าเลี้ยงข้าวผมอีกเลยนะ ผมไม่อยากรบกวนพี่..แต่ผมจะไม่ไปไหนหรอก ไม่ต้องเอากวยจั๊บมาล่อด้วย”



    ทันทีที่สิ้นเสียง ราวกับเวลาผ่านไปอย่างยาวนาน ตัวเลขวินาทีบนสัญญาณไฟราวกับถูกเพิ่มเป็นร้อยกว่าวินาที ยามเมื่อซาโตรุสบตากับยูจิภายใต้ความนิ่งเงียบที่มีเพียงเขาทั้งสองนั่งมองหน้ากันในรถ ชายหนุ่มไม่ได้พูดอะไรออกมาหลังจากที่ยูจิเอ่ยจบ หากแต่คำพูดของเด็กหนุ่มทำให้เขาได้ย้อนคิดถึงอดีตนับล้านเรื่องราวที่กำลังหลั่งไหลเข้ามาในหัวอย่างถาโถม ยูจิไม่ได้ปลุกอดีตอันแสนปวดร้าวมาเพื่อทำร้ายจิตใจของเขาในตอนนี้ เรื่องราวเหล่านั้นทำอะไรซาโตรุไม่ได้อีกต่อไปแล้ว..มีเพียงปัจจุบันในตอนนี้ที่ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นอย่างประหลาด คงเพราะตลอดมาไม่มีใครเลยที่จะเข้าใจหัวอกของเขา และพร้อมที่จะอยู่ข้างเขาโดยไม่หวังผลใดๆ



    ซาโตรุรู้ตัวดีว่าเขาอาจจะคิดเป็นตุเป็นตะ เด็กตรงหน้าอาจจะพูดไปแบบนั้นเฉยๆ ก็ได้..เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า หลายๆ อย่างย่อมเปลี่ยนแปลงได้เหมือนกัน แม้กระทั่งตัวของเขาเองก็ด้วย



    เพียงแต่ตอนนี้..



    เขาได้มีความสุข มันก็มากพอแล้วไม่ใช่หรือ?



    ยูจิเลิกคิ้วสูงอีกครั้งเมื่อจู่ๆ ชายหนุ่มก็หัวเราะออกมาเบาๆ ในลำคอ ใบหน้าหล่อเหลาที่ก้มลงจนกลุ่มผมหล่นลงปรกใบหน้าทั้งหมด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นพร้อมมือใหญ่เสยหน้าผากขึ้น ในความคิดแรกมันช่างดูเร่าร้อนในสายตาเด็กหนุ่มเหลือเกิน แต่ยูจิจะพยายามไม่ไปโฟกัสตรงจุดนั้น เพราะหลังจากที่ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น สิ่งที่เข้ามาเป็นประเด็นแทนความฮอตของซาโตรุก็ถูกพูดออกมาจากปากของเจ้าตัวเอง



    “พี่ชอบเรามากเลย” เขาว่าพลางเอื้อมมือไปจับบริเวณท้ายทอยบางของเด็กหนุ่มอย่างเชิงช้า พร้อมเรียวนิ้วยาวที่เกลี่ยตอกลุ่มผมบริเวณนั้นแผ่วเบา นั้นทำให้ยูจิไม่มีสิทธิ์ที่จะหันหน้าหนีจากพันธนาการขนาดย่อมนี่ได้เลย “ทำยังไงดีนะ..แค่วันแรกก็ทำพี่ใจเต้นขนาดนี้แล้ว”



    ยูจิรู้สึกเหมือนเสียงของตัวเองอันตรธานหายไปโดยไม่ทราบสาเหตุ เขารู้สึกไม่ใช่ตัวเองเลยในตอนนี้ จากเด็กที่โต้ตอบโดยทันทีกลับเป็นใบ้เพราะความสนใจทั้งหมดถูกตรึงด้วยสายตาอ่อนโยนของชายตรงหน้า นิ้วมือที่กำลังไกล่เกลี่ยท้ายทอยเบาๆ ทำเอาเสียวสันหลังวูบวาบจนต้องเผลอห่อไหล่ขึ้นโดยไม่รู้ตัว โดยไม่ต้องตอบคำถาม ซาโตรุก็รู้แล้วว่าเขาควรจะทำอย่างไรดี ในเมื่อเขาตกหลุมรักยูจิอย่างตั้งใจแบบนี้ เขาจะไม่ถอยหลังกลับอย่างแน่นอน



    “หน้าแดงไปหมดแล้วนะ อากาศไม่ได้ร้อนสักหน่อย” ซาโตรุยังคงพูดแกล้งให้ลูกแมวในอ้อมแขนยิ่งมีสีหน้าเลิ่กลั่กเข้าไปอีก แต่สุดท้ายเขาก็ยอมปล่อยให้เด็กหนุ่มเป็นอิสระ เมื่อไฟแดงด้านหน้ารถของเขาเหลือเพียงแค่ไม่กี่วินาทีก่อนที่มันจะเปลี่ยนเป็นสัญญาณไฟสีเขียว เขาเคลื่อนรถอย่างอารมณ์ดีจนแทบจะผิวปากไปขับรถไป ซึ่งแตกต่างจากยูจิที่ยังคงใจหายกับสถานการณ์ที่ไม่ทันตั้งตัวเมื่อครู่ เด็กหนุ่มเอาแต่นั่งเงียบตลอดทั้งทาง แต่เขาไม่ได้โกรธหรือไม่พอใจ เขาแค่ทำอะไรไม่ถูกหลังจากที่ถูก ‘สารภาพ’ ต่อหน้าแบบนั้น..



    ไม่นานก็ถึงอพาร์ทเมนท์ของพวกเขา ซาโตรุดับเครื่องยนต์พร้อมเปิดไฟภายในรถให้สว่างเพราะเขาจะต้องเช็ครถทุกครั้งหลังจากกลับจากข้างนอก ยูจิที่เพิ่งจะปลดสายนิรภัยอย่างเชิงช้ายังคงไม่เปิดประตูลงจากรถ ร่างเล็กมองชายหนุ่มครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา



    “สรุป..วันนี้ก็แค่พาผมไปกินกวยจั๊บที่เยาวราชเองหนิครับ”



    ซาโตรุหันมามอง ก่อนจะยกยิ้มมุมปาก



    “คิดว่าเป็นเดทแรก ก็ไม่เสียหายนะ”



    “ใครจะไปกล้าคิด..” ยูจิพึมพำ และแน่นอนว่าซาโตรุได้ยินชัดเจน ชายหนุ่มหลุดหัวเราะออกมา เพราะแท้ที่จริงแล้ว..มันคือความตั้งใจของเขาตั้งแต่แรกต่างหาก เขาเลิกเล่นกล้องฟิล์มไปนานแล้ว มีแต่ตัวกล้องเก่าๆ และม้วนฟิล์มที่ผ่านการล้างมาแล้วเรียบร้อย ฉะนั้นไม่จำเป็นเลยที่เขาจะต้องเอามาติดรถด้วย เพราะเหตุนั้นเขาถึงได้ให้ข้ออ้างว่าลืมเอามาแทนการสารภาพตามตรงว่าเขาไม่ได้ต้องการล้างฟิล์มเก่าอะไรทั้งนั้น



    เขาทำเพราะต้องการลองสัมผัสด้วยตัวเอง



    หลังจากที่พวกเขาแยกย้ายกันเข้าไปในห้องของตนเอง ต่างคนต่างทำธุระส่วนตัวของตัวเองขณะที่เหตุการณ์ในวันนี้ตั้งแต่ช่วงบ่ายกำลังถูกหมุนเวียนฉายซ้ำอยู่เรื่อยๆ ภายในความคิด จบด้วยภาพทั้งคู่ทิ้งตัวลงนอนแผ่บนเตียงของตัวเองพร้อมกันทั้งคู่ในชุดนอนที่ถูกอาบน้ำเปลี่ยนแล้วเรียบร้อย ยูจินอนถอนหายใจยาว ขณะที่ซาโตรุลุกขึ้นมานั่งใหม่อีกครั้ง ร่างสูงเดินลงจากเตียงไปหยิบเอาแลปท็อปบนโต๊ะหน้าโทรทัศน์ขึ้นมานั่งเปิดบนตัก ส่วนเด็กหนุ่มก็พลิกตัวไปนอนซุกกองผ้าห่มสีขาวนุ่มจนตัวเหมือนมุดเข้าไปในนั้น เก็บซ่อนใบหน้าที่กำลังแดงซ่านเมื่อนึกถึงใบหน้าของชายหนุ่มภายในรถวันนี้



    ซาโตรุกดเข้ามาในบันทึกที่มีเพียงหน้ากระดาษว่างเปล่า เขารู้แล้วว่าเขาจะเขียนนวนิยายอย่างไร และเขาได้แรงบันดาลใจมาจากใคร ยิ่งใบหน้าของเด็กหนุ่มอายุน้อยกว่าที่กำลังเคี้ยวเส้นกวยจั๊บ หรือจะตอนที่ไปยืนต่อแถวซื้อน้ำแข็งไส ผิวแดงๆ น่าเอ็นดูที่เขาสังเกตได้จากการมองบ่อยๆ ยิ่งคิดถึงเพียงใบหน้า รอยยิ้มก็ถูกประดับบนใบหน้าหล่อเหลาราวกับเป็นกลไกอัตโนมัติ และเขารู้ตัวว่าคงไม่ใช่เพียงแค่เขาฝ่ายเดียวที่จะรู้สึกหวั่นไหวเหมือนกัน ซาโตรุมองไปยังผนังห้องที่ชิดกับห้องข้างๆ ไม่รู้ว่าตอนนี้ยูจิกำลังจะทำอะไรอยู่ จะเลิกบุหรี่อยากที่เขาขอตอนคุยกันอยู่ระเบียงแล้วหรือยัง หรือจะนอนเล่นเกมอย่างที่เจ้าตัวเคยบอกงานอดิเรกตอนนั่งกินกวยจั๊บด้วยกัน



    ซาโตรุรู้สึกว่าชีวิตของเขาถูกรดน้ำพรวนดินอีกครั้ง และมันพร้อมที่จะเจริญงอกงามเมื่อเขาเริ่มปูเนื้อเรื่องจุดเริ่มต้นในนวนิยายของตนเองได้แล้ว



    ความรักโดยความตั้งใจ มันเกิดขึ้นจากการยืนคุยกันที่ระเบียงห้องจริงๆ น่ะเหรอ?





    _______END_______

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in