เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
SF | ambrosialzd__gim
Death
  • Death – รสน้ำตา

    Theme song ; Set Fire To The Rain – Adele



    คำเตือน ; #โกะยู รสนี้ต้องใช้จินตนาการสูงมาก (หรือเปล่า?) แนวที่ไรท์ไม่ถนัดเลยค่ะ แต่พล็อตมันมามาก อยากแต่งก็เลยจัดสนองนี๊ดตัวเองซะเลย!



    I let it fall, my heart,

    And as it fell you rose to claim it



    December 7, 1989



    ภายใต้แสงจันทร์ในคืนวันที่พระเจ้าได้มอบของขวัญอันล้ำค่าที่สุดแก่เธอ...



    ห้องทำคลอดกำลังชุลมุนไปด้วยเหล่าพยาบาล นายแพทย์หนุ่มที่กำลังทำหน้าที่ของตัวเองอย่างสุดความสามารถ แสงไฟสีขาวสว่างทั่วทั้งห้องผ่าตัด ดังระงมไปกับเสียงกรีดร้องอย่างปวดร้าวของหญิงสาวท้องโตที่กำลังนอนอ้าขาอยู่บนเตียงนองเลือด.. เธอครรภ์เป็นพิษและสูญเสียเลือดไปเยอะมาก นายแพทย์หนุ่มมีแววตาที่เคร่งเครียดฉายแววออกมาจนนางพยาบาลผู้ช่วยเป็นกังวลไปตามๆ กัน เพราะพวกเขารู้ดีว่าถ้าหากมันสายเกินไป การผ่าตัดครั้งนี้อาจสูญเสียทั้งแม่และเด็กได้



    แต่จนแล้วจนรอด เสียงทารกน้อยก็ดังระงมแทนที่เสียงโอดครวญของหญิงสาวที่นอนหอบอย่างหมดแรง เธอมีรอยยิ้มที่ปีติยินดีต่อเสียงเล็กแหลมของเด็กทารกน้อยที่เพิ่งจะบังเกิดมาเพียงไม่ถึงนาที เห็นคุณหมออุ้มทารกตัวแดงก่ำขึ้นมาพร้อมสายรกยาว ในวินาทีนั้นเธอยิ้มเหนื่อยทั้งน้ำตา ดวงตาสีฟ้างดงามของหญิงสาวเงยขึ้นมองแสงไฟภายในห้องผ่าตัด สติของเธอเริ่มเลือนรางลงแต่สิ่งที่ยังคงดึงความรู้สึกของเธอไว้คือเสียงพูดคุยของทีมแพทย์และเสียงร้องไห้ดังระงมของทารก เธอเหลือบสายตาลงไปมองลูกของเธออีกครั้ง แต่บัดนี้..เธอกลับมีแววตาที่ต่างออกไปจากเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง..



    เมื่อด้านหลังของคุณหมอปรากฏเป็นควันสีดำมหึมาแทบจะกลืนกินทั้งห้องผ่าตัด ในขณะที่ทีมแพทย์ทุกคนกำลังปฏิบัติหน้าที่ให้แล้วเสร็จแต่กลับไม่มีใครให้ความสนใจแก่กลุ่มควันดำนั้น.. เธอเบิกตากว้างขึ้นเมื่อควันดำนั้นเริ่มประกอบขึ้นเป็นรูปร่างของมนุษย์ หากแต่มันกลับไม่มีเนื้อหนังมังสาแต่อย่างใด.. เงาตรงหน้าเธอมีเพียงโครงกระดูกของมนุษย์ที่ผอมแห้ง ภายในชุดคลุมศีรษะสีดำยาวลอยสยาย ไม่ต่างจากรังสีอำมหิตที่แผ่กระจายออกมาทั่วร่าง ดวงตาสีแดงก่ำเผยขึ้นเมื่อร่างนั้นเงยหน้า พร้อมอาวุธประจำกายคือเคียวด้ามยาวที่มีไว้ใช้ตัดสายใยสุดท้ายที่ระหว่างเชื่อมวิญญาณกับร่างกาย..



    หญิงสาวเริ่มมีใบหน้าที่ซีดเซียวทันที เมื่อรู้ว่าบุคคลตรงหน้าของเธอคือใคร..



    ยมทูต ไม่ได้เอ่ยอะไรกับเธอ มีเพียงเธอที่ตะลึงพรึงเพริดจนสมองว่างเปล่า เธออยากจะกรีดร้องออกมาด้วยแรงเฮือกสุดท้ายแต่มันช่างยากเย็นเหลือเกิน ราวกับทุกอย่างรอบตัวของเธอถูกหยุดเวลาเอาไว้หมดแล้ว โดยคนผู้นั้นตรงปลายเท้าของเธอ ร่างใหญ่สีดำทะมึนเคลื่อนกายเข้ามาหาเธอจนชิดขอบเตียง เธอตกใจมาก เธอหลับตาแน่น เธอปกป้องลูกของเธออย่างสุดชีวิต..



    ‘อย่าเอาลูกของฉันไปเลย เอาฉันไปเถอะ..ให้ลูกของฉันได้มีชีวิตต่อไป..’



    เงียบไปเพียงครู่หนึ่ง ..ก่อนน้ำเสียงที่แฝงความเคร่งขรึมน่าเกรงขามจะเอ่ยตอบหญิงสาวแผ่วเบา



    ‘เป็นเวลาของเจ้าต่างหาก..ที่หมดลง..’



    หญิงสาวเริ่มน้ำตาคลอเบ้าทันทีที่เธอได้ยินเช่นนั้น เธอไม่ได้เสียใจที่ตัวเองจะต้องตาย แต่เธอกลับเสียใจที่เธอจะต้องจากโลกใบนี้ไปตลอดกาล โดยที่เธอยังไม่ทันได้เห็นลูกน้อยของเธอได้เติบโตในอนาคต เธออยากทำหน้าที่ของมารดาให้ดีที่สุดในเมื่อเธอได้ให้กำเนิดบุตรชายมาแล้ว



    หญิงสาวกลั้นน้ำตาเอาไว้ ไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ เพียงแต่เธอแค่ต้องการโอกาสแม้เพียงสักเล็กน้อยก็ยังดี..ให้เธอได้อยู่กับลูกชายอีกสักหน่อย



    ‘ขอให้ฉันได้อยู่กับลูกชายของฉันอีกสักนิด..จะได้ไหม…’ เธอจ้องใบหน้าที่เป็นหัวกะโหลกนั้น ตอบด้วยน้ำเสียงสั่นคลอ



    ‘เจ้าจะแลกด้วยอะไร’



    ‘ความดีทั้งหมดที่ฉันได้ทำมาในชีวิตนี้..ฉันขอใช้มันกับการได้อยู่กับลูกของฉัน’



    ในคราแรก มีเพียงความเงียบที่เป็นคำตอบให้แก่หญิงสาว แต่ในท้ายที่สุดแล้ว..ผู้ที่มีหน้าที่นำพาดวงวิญญาณไปยังปรโลกก็น้อมรับต่อข้อตกลงนั้นอย่างง่ายดาย



    ‘อีกหกเดือนข้างหน้า เราจะเจอกันอีกครั้ง..หวังว่าครั้งนั้น เจ้าจะมากับข้าแต่โดยดี’



    It was dark and I was over

    Until you kissed my lips and you saved me



    5 months later



    ทารกน้อยในวัยห้าเดือนสิบห้าวัน เขามีดวงตาที่งดงามไม่ต่างจากมารดา เสียงหัวเราะเล็กๆ อย่างมีความสุขเมื่อมองเหล่าโมไบล์ดวงดาวแสนสวยที่ห้อยประดับเหนือเปลนอน เด็กน้อยนอนดิ้นไปมาเบาๆ ในเปลเด็กสีขาว ชูมือขึ้นจะคว้าจับดาวดวงเล็กที่หมุนไปมา ขณะที่หญิงสาวผู้เป็นแม่กำลังงวดอยู่กับการเก็บของด้านนอกห้องนอนและทิ้งให้บุตรชายนอนเล่นในเปลสักพัก เธอแทบจะลืมเรื่องราวที่เคยสัญญาไว้กับใครบางคนจนหมดสิ้น หลังจากที่ฟื้นจากการผ่าตัดขึ้นมา สามีของเธอบอกว่าหญิงสาวสลบไปถึงสามวันเต็ม แต่โชคดีที่พระเจ้าช่วยเธอไว้ เธอจึงมีชีวิตรอด..



    พระเจ้าที่ไม่ได้หมายจะเอาชีวิตของเธอไปในคืนนั้น..



    ..แต่ก็แค่ประเดี๋ยวประด๋าวเท่านั้น เมื่อฝันร้ายกำลังเริ่มคืบคลานเข้ามาใกล้ทุกที



    ภายในห้องสีครีมสว่าง เสียงอ้อแอ้ของเด็กน้อยดังเป็นระยะ มือเล็กชูขึ้นสูงหวังจะให้ถึงดาวดวงเล็ก แต่ทว่า..แสงสว่างกำลังถูกบดบังด้วยบางสิ่งที่คอยติดตามรอวันเวลาตามคำสัญญา



    ร่างสีดำทะมึนปรากฏขึ้นที่กลางห้อง กลุ่มควันไม่ใหญ่มากหากเทียบกับในคืนห้องผ่าตัด ร่างนั้นมาด้วยรูปร่างของโครงกระดูกเช่นเดิม ผ้าคลุมสีดำสยายตีแผ่เป็นวงกว้างและค่อยๆ เคลื่อนกายเข้ามาชะโงกดูเด็กน้อยที่กำลังนอนอยู่ในเปล รังสีทะมึนแทบจะครอบคลุมทั้งเปลสีขาวให้หม่นหมอง



    เด็กน้อยชะงักเมื่อเห็นใบหน้าที่มีเพียงกะโหลกดำลึก กำปั้นเล็กที่กำลังชูขึ้นถูกยกขึ้นปิดดวงตา ไม่มีเสียงร้องไห้เล็ดลอดออกมาแม้แต่น้อย ช่างน่าแปลกใจสำหรับยมทูตนัก เพราะน้อยครั้งที่เด็กเห็นเขาแล้วจะไม่ร้องไห้ออกมา หรือนี่แทบจะเป็นครั้งแรกเลยด้วยซ้ำที่ทารกน้อยไม่ร้องไห้เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา



    ราวกับได้ใจ จากร่างกายที่ผอมแห้งมีเพียงแต่กระดูกซีดเซียว กลับเริ่มมีผิวหนังปรากฏขึ้นมาห่อหุ้มจนกลายเป็นผิวของมนุษย์จริงๆ กระดูกมือแห้งเริ่มกลายเป็นมือเรียวของมนุษย์ที่มีผิวขาวซีด พร้อมทั้งใบหน้าที่เริ่มมีผิวครอบคลุมกะโหลกจนกลายเป็นรูปหน้าของชายหนุ่มหน้าตาดี เจ้าของเรือนผมสีโอลด์โรสตัดสั้น มีรอยแผลเป็นทางยาวบริเวณกลางใบหน้าและมุมปาก ช่างดูแตกต่างจากรูปลักษณ์เมื่อครู่โดยสิ้นเชิง เว้นเสียแต่แววตาดุดันที่จ้องมองเด็กน้อยในเปลอย่างแข็งกร้าวและรังสีอำมหิตที่ยังคงเช่นเดิม



    แต่ยิ่งเขาเปลี่ยนรูปร่างเป็นปกติที่ไม่ใช่ร่างอวตาร ราวกับมันถูกใจทารกในเปลไม่ใช่น้อย เด็กน้อยดิ้นอย่างอารมณ์ดีเมื่อยมทูตกลายเป็นมนุษย์ธรรมดาที่อยู่ในชุดคลุมสีดำ รอยยิ้มกว้างพร้อมเสียงหัวเราะไม่ต่างจากก่อนหน้านี้ที่กำลังสนใจเหล่าโมไบล์ดวงดาว หากแต่ครานี้ทารกน้อยกำลังชูมือให้แก่ยมทูตราวกับต้องการให้อุ้ม..



    ‘อะไร เจ้าเด็กโง่…’



    ยมทูตในร่างชายหนุ่มเอ่ยเบาๆ แนวคิ้วขมวดชนกันดูไม่พอใจตลอดเวลา เขาเหลือบไปเห็นจุกดูดอยู่ในตะกร้าผูกโบสีฟ้าข้างกับเปลทารก ร่างควันโขมงสีดำจึงเอื้อมไปหยิบจุกดูดมาก่อนจะโน้มตัวลงไปเอาจุกยัดใส่ปากเล็กของเด็กน้อยเบาๆ เขาไม่อยากจะยอมรับว่าภาพตรงหน้ามันช่างน่าเอ็นดู และหญิงสาวที่เขากำลังจะเอาชีวิตไปช่างมีลูกน้อยหน้าตาน่ารักเสียจริง



    แต่เขาคงจะช่วยหล่อนได้เพียงเท่านี้...



    ดวงตาสีแดงเพลิงสบตากับดวงตาสีฟ้าทะเลใสประกายอยู่นาน นับว่าเป็นสิ่งที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่พวกเขากลับมีแรงดึงดูดถึงกันอย่างน่าประหลาด



    แกร๊ก!!!



    เกิดเสียงของตกบนพื้นดังขึ้นที่หน้าประตูห้องนอน พร้อมร่างกายของยมทูตที่แปรเปลี่ยนเป็นร่างอวตารอีกครั้งอย่างรวดเร็ว เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นจากเปลทารกหันไปมอง ก็พบกับหญิงสาวที่เคยให้คำสัญญาแก่เขายืนจังก้าอยู่เบื้องหน้า เธอมีสีหน้าที่ตื่นตกใจและหวาดกลัวแต่ก็ร้องไม่ออก ถ้วยข้าวต้มบดในมือถูกปล่อยตกแตกกระจายบนพื้นโดยที่เธอยังคงยืนค้างตกใจอยู่อย่างนั้น เสียงตะโกนถามของสามีที่อยู่ชั้นล่างถามว่าเกิดอะไรขึ้น พร้อมกับร่างสีดำทะมึนที่หันกลับมามองทารกน้อยอีกครั้ง เด็กน้อยผู้มีดวงตาสีฟ้าสว่างสุกสกาว นอนดูดจุกที่เขาเพิ่งจะใส่ให้เมื่อครู่ด้วยใบหน้าไร้ความตื่นกลัวใดๆ



    “ซาโตรุ! อย่า..!! อย่าทำอะไรลูกฉันนะ!!”



    หญิงสาวพยายามวิ่งเข้ามาด้วยขาอันแข็งและก้าวไม่ออก แต่ด้วยความเป็นห่วงลูกชายยิ่งกว่าสิ่งใด เธอจึงออกปากขับไล่ผู้นำวิญญาณอย่างไม่แยแส แม้เธอจะเป็นคนยื่นข้อต่อรองในคืนนั้นก็ตาม และภายในชั่วพริบตาที่ร่างควันดำนั้นหายไปต่อหน้าต่อตา หญิงสาวรีบพุ่งเข้ามาดูทารกน้อยในเปลด้วยความเป็นห่วงก่อนจะอุ้มเด็กน้อยขึ้นมาเพื่อตรวจดูว่ามีอะไรบาดเจ็บหรือไม่ เธอรีบโอบกอดทารกแนบอกอย่างห่วงใย เธอร้องไห้จนน้ำตาไหลเป็นสายทางยาว ก่อนที่สามีของเธอจะตามขึ้นมาทัน..



    เธอรู้ดี ว่ามันคือการมาเตือน..ว่าเวลาของเธอใกล้หมดลงแล้ว..



    My hands, they’ re strong

    But my knees were far too weak,



    ใช่..นั้นเป็นเดือนสุดท้ายที่ทารกน้อยได้นอนอยู่ในอ้อมอกของมารดาอย่างแท้จริง เพราะภายในเดือนต่อมาหญิงสาวเกิดประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์และมาเสียชีวิตที่โรงพยาบาล ทางครอบครัวได้จัดงานศพพร้อมความโศกเศร้าที่ทารกน้อยไม่อาจรับรู้ถึงมัน เด็กน้อยในวัยหกเดือนหกวันถูกส่งไปอยู่กับครอบครัวน้าสาวและถูกเลี้ยงดูจนเติบโตมาอย่างดี



    ชื่อเต็มของเด็กน้อยคือ โกะโจ ซาโตรุ หรือที่แปลว่า ผู้ตรัสรู้ ผู้เบิกเนตร ผู้รู้แจ้งเห็นจริง



    ในวันนี้เขากลายเป็นเด็กชายวัยสิบสองปี โรงเรียนประถมปลายที่เด็กชายกำลังศึกษาอยู่ เขาได้กลายเป็นจุดสนใจในบรรดาหมู่เด็กนักเรียนหญิงด้วยรูปร่างและหน้าตาที่หล่อเหลา แต่เสียทีที่รอยยิ้มของซาโตรุช่างพบเห็นได้ยาก ดวงหน้าขาวผ่องฉายเพียงความเรียบนิ่งอยู่ตลอดเวลาแม้กระทั่งเวลาพูดคุยกับใคร ซึ่งแตกต่างจากเด็กในวัยเดียวกันที่จะยิ้มแย้มและร่าเริงแจ่มใสเป็นส่วนใหญ่



    ในทุกเย็นหลังจากเลิกเรียน เด็กชายมักจะมานั่งอยู่ริมสระน้ำกว้างที่สวนสาธารณะอยู่เป็นประจำ เพราะมันอยู่ในระหว่างทางกลับบ้านของเขา หากแสงอาทิตย์สุดท้ายยังไม่สะท้อนลงบนผืนน้ำ ซาโตรุก็จะไม่ลุกจากเก้าอี้ม้าหินอ่อนไปไหนโดยเด็ดขาด หากคนภายนอกมองมาก็มักจะคิดว่าเด็กน้อยเพียงแค่นั่งเล่นอยู่กับวิวทิวทัศน์ของสระน้ำ แต่ความเป็นจริงแล้วบางอย่างมันซับซ้อนยิ่งกว่านั้น ซาโตรุรู้ดีว่าถ้าหากตัวเองรีบถึงบ้านเร็วเท่าไหร่ ความทรมานของเด็กชายก็จะยิ่งทวีคูณมากขึ้นเท่านั้น



    ในตอนนี้ซาโตรุยังคงอาศัยกินนอนอยู่กับครอบครัวของน้าสาว ซึ่งเธอทำหน้าที่ของการเลี้ยงดูเด็กชายได้อย่างดี เพียงแต่มีบางอย่างที่ซาโตรุสัมผัสได้จากการเลี้ยงดูเขาเพราะหวังผลประโยชน์บางอย่างของเธอ ตั้งแต่รับเลี้ยงดูเขามาตั้งแต่ยังเป็นทารกน้อยไม่ถึงขวบ ค่าใช้จ่ายทุกอย่างที่พ่อส่งมาให้ แม้กระทั่งของเล่นนั้นแทบไม่ตกถึงมือของบุตรชายเลยสักครั้ง มันกลับถูกยกให้ลูกชายของน้าสาวและอ้างว่าเธอซื้อให้บุตรชายของเธอเอง



    เขาไม่มีความสุขเลย มันเป็นเพราะอะไรกันนะ



    เอี๊ยดดดดด!!!!!



    โครมมมมม!!!!!!!



    ฉับพลัน! เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเด็กชายที่กำลังนั่งอยู่ เสียงดังสนั่นไปทั่วทั้งท้องถนนและร้านขายของบริเวณนั้นจนผู้คนแตกตื่น เบื้องหลังเก้าอี้ม้าหินอ่อนที่ซาโตรุนั่งอยู่เป็นถนนเส้นเล็กที่ตีขนาบไปกับสระน้ำกว้างของสวนสาธารณะกลางเมือง หากแต่มันเกิดอุบัติเหตุรถยนต์ประสานงาจนควันโขมงลอยขึ้นฟ้าคล้ายกับจะเกิดประกายไฟ เสียงพูดคุยตะโกนเรียกคนที่อยู่ในรถดังขึ้นพร้อมกับเหล่าผู้คนที่เริ่มเดินเข้าไปมุงดูอยู่ห่างๆ มีคนโทรเรียกหน่วยกู้ภัยและรถโรงพยาบาลดังลั่น



    ซาโตรุลุกขึ้นจากเก้าอี้ม้าหินอ่อน แม้ตอนนั้นแสงสุดท้ายจะยังไม่สะท้อนลงบนผิวน้ำก็ตาม เขาได้ยินคนบอกให้โทรเรียกหาตำรวจประจำพื้นที่ เด็กชายในวัยสิบสองเริ่มเดินเข้าไปปะปนกับผู้คนจนกระทั่งไปโผล่อยู่ด้านหน้าสุดด้วยความอยากเห็น ซึ่งใกล้กับรถที่กำลังประสบเหตุไม่มากนักเพราะห่วงว่าถ้าหากมันเกิดเพลิงลุกไหม้แล้วจะเป็นอันตรายได้



    แต่ยังไม่ทันที่รถตำรวจหรือหน่วยงานไหนที่ได้รับแจ้งจะมาถึง จู่ๆ ขนทุกเส้นบนร่างกายของซาโตรุก็ตั้งชันขึ้นจนเจ้าของร่างกายรู้สึกว่ามันไม่ปกติ แต่มันเพียงแค่ชั่วครู่เท่านั้น... เมื่อดวงตาคู่สวยเงยขึ้นไปมองยังรถเบื้องหน้าที่ประสบอุบัติเหตุ เขากลับพบเข้ากับมวลพลังบางอย่างที่ไม่อาจอธิบายด้วยหลักกลไกของฟิสิกส์ได้ ลอยตัวอยู่เหนือรถคันดังกล่าวอย่างอิสระ ก่อนที่กลุ่มควันดำนั้นจะลอยลงต่ำมาหน้ารถที่บุบยับจนแทบไม่เหลือเค้าโครงเดิม



    ในวินาทีนั้นซาโตรุมองไปที่เหล่าผู้ใหญ่รอบข้างที่เอาแต่คุยกันว่าคนในรถจะเป็นอะไรมากหรือไม่ เพราะพวกเขาก็ไม่กล้าจะทำอะไรมากไปกว่านี้ถ้าหากเจ้าหน้าที่ยังมาไม่ถึงจุดเกิดเหตุ หากแต่ไม่มีใครพูดถึงกลุ่มควันดำนั้นที่เด็กชายเห็นเลยแม้แต่คนเดียว



    ซาโตรุมองทุกคนด้วยความสงสัย แต่เมื่อมองตรงไปยังหน้ารถคันนั้นอีกครั้ง เขากลับพบว่ากลุ่มควันนั้นเริ่มแปรสภาพเป็นรูปร่างของชุดคลุมสีดำพริ้วสยาย ถูกครอบคลุมด้วยรังสีดำทะมึนทั่วทั้งบริเวณจนรู้สึกอึดอัดแน่นอกไปหมด เด็กชายยังคงจ้องมองไม่กะพริบตา ร่างเปราะบางนั้นเผยมือที่มีเพียงกระดูกออกมานอกเสื้อคลุมสีดำ กรีดกรายไปมาบนอากาศราวกับออกคำสั่ง ก่อนที่ร่างโปร่งสว่างสีขาวของหญิงสาวคนหนึ่งจะถูกดูดออกมาจากรถที่บุบยับคันนั้น เด็กชายตกใจมาก...เมื่อร่างโปร่งขาวนั้นลอยขึ้นมาพร้อมสายอะไรบางอย่างที่โยงขึ้นมารั้งเธอไว้กับบางสิ่งในรถคันนั้น ซึ่งเด็กชายคาดการณ์ว่าน่าจะเป็นกายหยาบของเธอ



    มือผอมแห้งของร่างในชุดคลุมสีดำชูขึ้นเหนือหัวเล็กน้อยราวกับเรียกอะไรบางอย่าง ก่อนเคียวสีดำมหึมาจะค่อยๆ ไล่ปรากฏขึ้นบนมือผอมแห้งนั้น คมมีดของเคียวนั้นใหญ่เสียจนซาโตรุคิดว่ามันสามารถตัดร่างของมนุษย์ให้ขาดเป็นสองท่องได้อย่างง่ายดาย เคียวนั้นถูกควงหนึ่งครั้ง ก่อนที่มันจะถูกเกี่ยวกับสายโยงสีขาวที่ติดร่างโปร่งขาวกับกายหยาบภายในรถ และภายในชั่วพริบตาที่สายใยสุดท้ายระหว่างวิญญาณกับร่างกายถูกตัดขาดออกจากกัน ร่างโปร่งสีขาวนั้นแตกสลายกลายเป็นฝูงผีเสื้อสีขาวบินกระจายกันไปคนละทิศทาง บังเกิดแสงประกายบริสุทธิ์ที่ค่อยๆ จางหายไป บ่งบอกว่าเธอผู้นั้นได้ไปยังปรโลกเสียแล้ว..



    ซาโตรุยืนนิ่ง ยังคงจ้องมองไปยังร่างนั้นที่ไม่ได้ลอยหรือหายไปไหน แต่กลับค่อยๆ หันมาทางเด็กชายอย่างเชื่องช้า พร้อมกับใบหน้าที่มีเพียงกะโหลกน่ากลัวปรากฏผิวหนังค่อยๆ ห่อหุ้มจนกลายเป็นใบหน้าของชายหนุ่มคนหนึ่งที่ซาโตรุรู้สึกคุ้นตาอย่างประหลาด.. ดวงตาสีแดงก่ำฉายแววเรียบเฉย และใบหน้าอ่อนเยาว์ที่มีบาดแผลใหญ่ที่กลางหน้าและมุมปาก ก่อนที่ชายผู้นั้นจะขยับแสยะยิ้มอย่างขบขัน ที่ไม่ว่าจะผ่านไปนานเพียงใด



    เด็กน้อยคนนั้นก็ยังคงจ้องมองเขาราวกับเขาเป็นผู้วิเศษวิโสตาไม่กะพริบ



    ‘เจอกันอีกครั้งแล้วสินะ...




    ซาโตรุ…’



    40%

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in